สาระน่ารู้ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2568

‘ซัพพลายบ้านหรู’ ยังโตแรง!สวนทาง‘ดีมานด์’ส่งสัญญาณชะลอซื้อ

ซัพพลายบ้านหรูระดับราคา 10 ล้านขึ้นไปในกรุงเทพฯ ยังโตแรงโดยเฉพาะโซนตะวันออกและตะวันตก ครองส่วนแบ่งอุปทานใหม่กว่า 50%สวนทาง‘ดีมานด์’ส่งสัญญาณชะลอซื้อ

แฟรงค์ ข่าน พาร์ทเนอร์ หัวหน้าฝ่ายที่อยู่อาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดบ้านหรู ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวและมาตรการสินเชื่อยังคงเข้มงวด โดยมีกลุ่มผู้ซื้อมั่งคั่งสูง ทั้งกลุ่ม High Net Worth และ  Ultra Affluent  เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาดที่สำคัญ 

ขณะเดียวกันผู้พัฒนาโครงการเลือกกระจายอุปทานใหม่อย่างชัดเจนในพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก และฝั่งตะวันตก ที่รวมกันแล้วมีสัดส่วนอุปทานใหม่มากกว่าครึ่งของตลาด

ทั้งนี้ จำนวนบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 12,349 ยูนิต ในปี 2562 พุ่งทะยานขึ้นถึง 37,775 ยูนิตในปัจจุบัน สะท้อนความต้องการบ้านหรูที่มีเสถียรภาพสูง โดยเฉพาะช่วงระดับราคา 10-20 ล้านบาท  เป็นกลุ่มที่ดีเวลลอปเปอร์ปรับกลยุทธ์หันมาเจาะตลาดนี้มากขึ้น เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อดี  ส่วนบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี ระดับราคาเกิน 70 ล้านบาท ยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องเน้น “ทำเล” และ “ความแตกต่าง” อย่างชัดเจน

ในแง่ทำเล พบว่าโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกเป็นศูนย์กลางอุปทานใหญ่สุด ด้วยสัดส่วนสูง 26% ของตลาดบ้านหรูทั้งหมด ตามด้วยฝั่งตะวันตก โดยมีสัดส่วนรวมกันเกิน 40%  ซึ่งโซนฝั่งตะวันตก และ ชานเมืองฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ยังคงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาโครงการแนวราบขนาดใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขณะที่โซนกลางเมืองมีอุปทานต่ำสัดส่วนเพียง 3% เนื่องจากข้อจำกัดที่ดินและต้นทุนที่สูงมาก!

ซัพพลายแกร่ง แต่ดีมานด์ชะลอ!

อย่างไรก็ดี แม้ตลาดบ้านหรูระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปขยายตัวต่อเนื่อง และมีอัตราการขายสูงถึง 65.6% ของอุปทานใหม่ โดยเฉพาะบ้านในช่วงราคา 10-40 ล้านบาท ที่ครองยอดขายรวมกว่า 75% ของตลาด แต่ ปริมาณหน่วยขายบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ถึง เม.ย.2568 ชะลอตัวลง! อยู่ที่ 1,000-1,500 ยูนิต สะท้อนความระมัดระวังในการตัดสินใจของผู้ซื้อในภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ โซนตะวันออกยังคงเป็นทำเลฮอต! ที่มีความต้องการสะสมสูงสุด 28% ของตลาด ขณะที่ฝั่งตะวันตกมีอุปสงค์สะสมราว 37% รวมกันครองตลาดใหญ่สุด โซนกลางเมืองได้รับความนิยมต่ำเพียง 4% เนื่องจากราคาที่ดินสูงและพื้นที่จำกัด ขณะที่โซนเหนือ และชานเมืองฝั่งเหนือของกรุงเทพฯ เป็นตลาดรองที่ยังไม่มีแรงดึงดูดมากนัก

ราคา 10-20 ล้าน ครองใจผู้ซื้อกลุ่มใหญ่

จากการวิเคราะห์อุปสงค์และอุปทานตามระดับราคา พบว่า กลุ่มบ้านราคา 10-20 ล้านบาท คือตลาดหลัก!  มียอดขายสูงสุด 38% ของตลาดทั้งหมด  ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ที่ต้องการบ้านคุณภาพบนทำเลเข้าถึงได้ง่าย ส่วนบ้านราคาสูงกว่า 70 ล้านบาท แม้มีอุปทานจำกัดแต่กลับมีอัตราการขายสูงถึง 84% แสดงถึงความมั่นคงของตลาดอัลตร้าลักชัวรีที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาทั้งความเป็นส่วนตัวและสถานะทางสังคม

หากประเมินแนวโน้มตลาดบ้านหรูค่อนข้าง ”ทรงตัว” หรือขยายตัวอย่างระมัดระวัง ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่ยังคงมีกำลังซื้อและความต้องการอยู่อาศัย หรือ ลงทุนในทรัพย์สินที่จับต้องได้  ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ยังคงเดินหน้ารุกตลาดบ้านหรูในทำเลศักยภาพหลัก เช่น ราชพฤกษ์ กรุงเทพกรีฑา พระราม 9-บางนา สมุทรปราการ และฝั่งธนบุรี เพื่อรักษาอัตราการขายและลดความเสี่ยงจากสต็อกคงค้าง ถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่ต้องจับตาคือภาวะ “ดอกเบี้ย” ที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย แม้ว่าจะมีแนวโน้มปรับลดในครึ่งปีหลัง 2568 และภาระหนี้ครัวเรือนสูงใกล้ 90% ของ GDP  อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค นอกจากนี้ การสะสมอุปทานบ้านแนวราบราคาสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ตลาดบางกลุ่มเริ่ม “ชะลอตัว”

“ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้ผู้ซื้อยังมีศักยภาพแต่กลับใช้เวลาในการพิจารณาและเลือกซื้อมากขึ้นสะท้อนการชะลอการตัดสินใจของผู้ซื้อบางกลุ่ม”

ตลาดบ้านหรูในกรุงเทพฯ ยังมีกลุ่มลูกค้าแข็งแรงโดยเฉพาะผู้ซื้อที่พร้อมทางการเงินและมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตในระยะยาว กลุ่มราคา 10-30 ล้านบาทยังคงเป็นตลาดหลัก ขณะที่ตลาดอัลตร้าลักชัวรี มีดีมานด์มั่นคงในกลุ่มลูกค้าเฉพาะเฉพาะเจาะจง (Niche Market) ด้วยดีไซน์และจุดขายที่แตกต่างตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม! จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพตลาดในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ทัวริสต์จีนหดหันเจาะตลาดใหม่ดัน‘ออริจิ้นโฮเทล’โตสวนกระแส

ออริจิ้น โฮเทล สวนกระแสธุรกิจท่องเที่ยวหดตัว อัตราเข้าพักโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง สูง 70% ทำราคาต่อคืนสูงกว่าตลาดหลังขยายฐานเจาะลูกค้าใหม่

นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยชะลอตัว ทั้งเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย ซึ่งข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค. 2568 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยจำนวน 12.9 ล้านคน หดตัว 1% (YoY) แต่บริษัทฯ มองว่าภาพรวมภาคการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของลูกค้าในโรงแรมเครือออริจิ้นค่อนข้างสูงเฉลี่ย 70% (BKK 76%) เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมการลงทุน และการท่องเที่ยวยังเป็นเซ็กเตอร์สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 และในอนาคตอย่างมาก

โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่มีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ แต่กลุ่มออริจิ้น โฮเทล สามารถสร้างผลงานโดดเด่นสวนกระแสโรงแรมคู่แข่งในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากอัตราการเข้าพักของโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบังที่ยังอยู่ในระดับสูง

ที่ผ่านมา เครือฯ ออริจิ้น โฮเทล ได้ขยายการลงทุนธุรกิจโรงแรมในทำเลทองภาคตะวันออก ร่วมกับพันธมิตร International Hotel Chains เช่น กลุ่มโรงแรม Inter Continental Hotels Group (IHG) ซึ่งเป็นบริษัทโรงแรมและรีสอร์ทข้ามชาติขนาดใหญ่ของอังกฤษ เข้ามาบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ Holiday inn and suites สร้างความแข็งแกร่งมีลูกค้าทั้งจากชาวต่างชาติและชาวไทย ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มลูกค้าคอร์ปอเรทของบริษัทข้ามชาติที่มีสวัสดิการให้กับพนักงานและผู้บริหารระดับกลาง-สูง ที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมได้เข้ามาพักอาศัยต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดบริการทางการเมื่อช่วงต้นปี 2563

นายปรีชา ยะรังวงษ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง กล่าวเสริมว่า โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ศรีราชา แหลมฉบัง เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ เป็นอาคารสูง 28 ชั้น รวม 347 ห้องพัก ปัจจุบันมี Occupancy Rate ต่อวันเฉลี่ย 70% อัตรา Room Rate ต่อคืนสูงกว่าตลาดในย่านเดียวกันทั้ง Occupancy Rate และ Room Rate (ขึ้นอยู่กับประเภทห้อง) 

โดยปัจจัยหลักที่สามารถดึงดูดลูกค้าต่างชาติให้เลือกใช้บริการและเข้าพักที่โรงแรม มาจากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ซึ่งเป็นกลุ่ม IHG (InterContinental Hotels Group) ภายในโรงแรมยังมีห้องบอลรูมขนาดใหญ่  ห้องอาหาร The Hub Bar & Deli และ Level 8 Kitchen & Bar โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพใจกลางย่านอีอีซี เขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง และย่านธุรกิจที่สำคัญของ อ.ศรีราชาที่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน มีการพัฒนาโครงสร้างสาธารณะพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เดินทางจากกรุงเทพฯ เพียงชั่วโมงกว่าๆ

“แม้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว แต่ยังคงมีกลุ่มลูกค้าที่มาจากหลากหลายประเทศ อาทิ กลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี ทั้งเป็นลูกค้าคอร์ปอเรทที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมเข้าพักช่วงวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนวันหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจมาตีกอล์ฟในวันหยุด และลูกค้าประชาชนทั่วไปที่มากันเป็นครอบครัวเพื่อพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้19มิ.ย. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังเสี่ยงจะทยอยอ่อนค่าบ้าง ในจังหวะเงินดอลลาร์เริ่มมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่า จับตาความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ และยุโรป

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19มิ.ย.2568 ที่ระดับ  32.69 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.62 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็เริ่มมีแรงหนุนฝั่งแข็งค่ามากขึ้น อาจกดดันให้เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง

 ทว่า เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่า เร็ว แรง ไปมากนัก ตราบใดที่ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ไม่ได้พัฒนาไปสู่ วิกฤตการเมือง จนอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนต่างชาติอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงนั้น อาจยังคงหนุนการปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ ทำให้ในระยะสั้น เงินบาทอาจยังมีโซนแนวต้านแถว 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ ส่วนแนวรับของเงินบาทนั้น อาจขยับขึ้นมาแถวโซน 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.80 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.56-32.70 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด ทว่า คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หรือ Dot Plot ใหม่

สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในปีนี้ 2 ครั้ง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาด แต่ เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ต่อ ปี ในปี 2026 และ 2027 ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่น้อยกว่าคาดการณ์ของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ ประธานเฟดยังคงย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบเดินหน้าลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินข้อมูลให้รอบด้าน

โดยเฉพาะผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังพอสามารถรีบาวด์สูงขึ้นได้ จากที่ปรับตัวลดลงหลังรับรู้ผลการประชุมเฟด ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะคลายกังวลสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล อีกทั้ง เฟดก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.03%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.36% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงของ Novo Nordisk -1.1% หลังศาลสหรัฐฯ ยืนคำตัดสินของ FDA สหรัฐฯ ในการถอดยายอดนิยมของบริษัท ทั้ง Ozempic และ Wegovy ออกจากบัญชียาขาดแคลน

 ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่ระดับ 4.39% หลังเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย อีกทั้ง Dot Plot ใหม่ ก็สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่น้อยลงกว่าที่ตลาดคาดในปี 2026 และ ปี 2027

ทั้งนี้ แม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากนัก หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด แต่เรามองว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ปัจจุบัน อาจยังไม่น่าสนใจมากนัก ทำให้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50% 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ก็ยังพอหนุนความต้องการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.5-99.0 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) จะเผชิญแรงกดดันให้ย่อตัวหลัง ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หนุนการรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,390-3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ต่างจากการตัดสินใจของเฟดล่าสุด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ ก่อนที่จะจบรอบการลดดอกเบี้ย

และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ที่จะรายงานในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยรายงานอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว อาจส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า  เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องไปอยู่ใกล้ๆ แนว 32.80 โดยปรับตัวอยู่ที่ 32.76-32.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงเช่นเดียวกับทิศทางของสกุลเงินเอเชียและสกุลเงินหลักอื่นๆ สวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นรับสัญญาณจากประธานเฟดที่สะท้อนว่า เฟดอยู่ระหว่างรอประเมินผลกระทบจากภาษี และยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อและ dot plot ใหม่ของเฟด ยังบ่งชี้ว่า เฟดมีแนวโน้มลดจำนวนรอบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในปีหน้า (แม้ผลการประขุมรอบนี้ เฟดจะมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% และ dot plot สะท้อนโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ตามเดิมก็ตาม) นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากประเด็นทางการเมืองในประเทศด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมเฟด ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า  ผลการประชุม BOE และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไทย VS อิตาลี : วอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2025, เทียบสถิติ, ถ่ายทอดสด

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ ลีก 2025 (VNL 2025) สัปดาห์สอง กลุ่ม 5 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568

โดยในวันนี้ (19 มิ.ย. 68) จะเป็นการลงสนามนัดที่สองของสัปดาห์นี้ของ “ทัพนักตบสาวทีมชาติไทย” ทีมอันดับ 14 ของโลก พบกับ ทีมชาติอิตาลี ทีมอันดับ 1 ของโลก

เผยสถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุดระหว่าง ไทย VS อิตาลี ปรากฏว่า สาวไทยเป็นฝ่ายปราชัยทั้ง 5 นัด

สถิติ 5 นัดหลังสุด วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย VS ทีมชาติอิตาลี

คัดโอลิมปิก วันที่ 19 กันยายน 2023
ไทย แพ้ อิตาลี 1-3 เซต (19-25, 25-21, 22-25, 18-25)

เนชันส์ ลีก วันที่ 30 พฤษภาคม 2023
ไทย แพ้ อิตาลี 2-3 เซต (26-24, 17-25, 29-27, 28-30, 11-15)

เนชันส์ ลีก วันที่ 3 กรกฎาคม 2022

ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (20-25, 14-25, 14-25)

เนชันส์ ลีก วันที่ 20 มิถุนายน 2021
ไทย แพ้ อิตาลี 1-3 เซต (35-33, 21-25, 25-27, 20-25)

เนชันส์ ลีก วันที่ 22 พฤษภาคม 2019
ไทย แพ้ อิตาลี 0-3 เซต (13-25, 17-25, 24-26)

ถ่ายทอดสดวอลเลย์บอลหญิงวันนี้ ไทย พบ อิตาลี ช่องทางไหนบ้าง

สำหรับวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พบกับ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติอิตาลี ศึกเนชันส์ ลีก 2025 วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ตามเวลาประเทศไทย 16:00 น. สามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง VBTV (มีค่าบริการแบบรายเดือน)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มะเร็งปอดวิกฤต คร่า 40 ชีวิต9ต่อวัน ฝุ่น PM2.5 ตัวการร้าย!

ไทยเผชิญวิกฤตมะเร็งปอดพุ่ง! พบผู้ป่วยใหม่วันละ 48 ราย เสียชีวิตวันละ 40 ราย ชี้มลพิษอากาศ-ฝุ่น PM2.5 ตัวการร้าย

จากข้อมูลล่าสุดของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่า มะเร็งปอด กำลังเป็นภัยเงียบคร่าชีวิตคนไทยสูงถึง วันละ 40 ราย และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย วันละ 48 ราย สะท้อนความรุนแรงของโรคที่มาพร้อมกับวิกฤตมลพิษอากาศ โดยเฉพาะ ฝุ่น PM2.5 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ยกให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มหนึ่ง เช่นเดียวกับบุหรี่
 
ในงาน “มะเร็งรู้ทัน ป้องกันเป็น รักษาได้” จัดโดยชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง รศ.นพ.นรินทร์ วรวุฒิ ให้ข้อมูลกล่าวว่า องค์กรอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 77 ภายใน 25 ปีข้างหน้า

สำหรับ สถิติมะเร็งในประเทศไทย ในปี 2022 ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่าแต่ละปีมีคนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งรายใหม่ ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 คน เฉลี่ยวันละ 227 ราย มะเร็งเต้านมยังคงมีสถิติเป็นอันดับหนึ่ง มะเร็งปอดตามมาเป็นอันดับ 2 แต่มีสถิติที่น่าตกใจ พบผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยวันละ 48 คน และมะเร็งปอดคร่าชีวิตคนไทยวันละ 40 ราย

PM2.5 ตัวเร่งมะเร็งปอดแบบไม่รู้ตัว

รศ.นพ.นรินทร์ กล่าวต่อว่า หนึ่งในวิธีการป้องกันมะเร็งที่สำคัญมาก คือ อากาศ มะเร็งไม่ชอบออกซิเจน มะเร็งชอบสิ่งที่เป็นกรด ออกซิเจนน้อยๆ หากเราสามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปได้มา จะช่วยส่งเลือดหมุนเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ร่างกายจะแข็งแรง อายุยืน แต่ด้วยอากาศที่สกปรกของไทยที่ติดอันดับโลกไปแล้ว ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ทั้งสิ้น

“สิ่งที่น่ากลัวมากในปัจจุบัน คือ อากาศเป็นพิษเต็มไปด้วย PM 2.5 เมื่อสูดดมเข้าสามารถเข้าไปลึกถึงหลอดลมจนกระทั่งเข้าไปในกระแสเลือดได้ ทำให้เกิดผลต่างๆ ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจนั้น ทำให้ถุงลมโป่งพอง มีพังผืด มีแผลในปอด ปอดอักเสบ ติดเชื้อง่าย ส่งผลให้เป็นมะเร็งปอดได้ เพราะ PM 2.5 สามารถกระตุ้นให้เซลล์กลายพันธุ์อยู่แล้วแต่ยังไม่เป็นมะเร็งกลายพันธุ์เป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้”

เสียงเตือนจากแพทย์  ป้องกันมะเร็งปอด

เราต้องหายใจตลอดเพื่อป้องกัน สาเหตุของโรคมะเร็งปอด ควรหลีกเลี่ยงมลพิษ เสริมสร้างสุขภาพปอดด้วยการออกกำลังกายในที่อากาศบริษัท รับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บล็อกโคลี ชาเขียว แครอท ฟักทอง

อาหารต้านการอักเสบ เช่น ขิง ขมิ้นชัน เป็นต้น ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะคนที่มีประวัติ สูบบุหรี่จัด มีแผลในปอด หรือเคยฉายแสงที่ปอด การตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 80%

ขอบคุณขอบคุณข้อมูล bangkokbiznews.com


Do กับ Make คำง่าย ๆ แต่หลายคนสับสน ใช้ต่างกันอย่างไร?

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ สิ่งที่จะทำให้เราฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างคล่องแคล่วคือการรู้คำศัพท์ หนึ่งในคู่คำศัพท์ที่ต้องรู้ตั้งแต่เรียนคอร์สแรกคือ do กับ make ฟังดูเหมือนเป็นคำง่าย ๆ เพราะถ้าแปลเป็นไทย สองคำนี้หมายถึง “ทำ” เหมือนกัน แต่เพื่อน ๆ รู้หรือไม่ว่านี่คือคู่คำศัพท์ที่ทำให้หลายคนสับสน ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่ เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ เท่านั้น คนที่เรียนมานานบางคนก็ยังสับสน เพราะฉะนั้นเราไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน เพื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง

Do กับ Make ต่างกันอย่างไร

แม้ว่าทั้ง do และ make ในภาษาไทยจะหมายถึง “ทำ” ซึ่งคงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ สับสน แต่ความจริงแล้วสองคำนี้มีการใช้ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป “do” จะหมายถึงการกระทำ (ตัวการกระทำนั้น) ส่วน “make” มักหมายถึงการกระทำที่มีผลลัพธ์ออกมา ตัวอย่างเช่นหากเรา make breakfast (ทำอาหารเช้า) ผลก็คืออาหารเช้าที่ออกมา หรือหากเรา make a suggestion (ให้คำแนะนำ) ผลก็คือคำแนะนำที่เราสร้างขึ้น และต่อไปนี้คือหลักการโดยสรุปของการใช้ do และ make ที่จะช่วยลดความสับสนให้คนที่กำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ได้

  1. Do ใช้กับกิจกรรมที่ไม่มีการสร้างหรือผลิตสิ่งใหม่ออกมา มักเป็นกิจกรรมที่เป็นนามธรรม เป็นกิจวัตร หรือเป็นหน้าที่ โดยกลุ่มที่ใช้ do บ่อยคือ การเรียน งานบ้าน และการทำงานที่เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น

– Do homework (ทำการบ้าน) แม้ว่าจะมีการบ้านเป็นผลลัพธ์ที่ออกมา แต่นี่คือหน้าที่ซึ่งนักเรียนต้องทำ

– Do the dishes (ล้างจาน) งานบ้านอื่น ๆ ก็ใช้ do เช่น do the laundry (ซักผ้า)

– Do business (ทำธุรกิจ)

– Do your best (ทำให้ดีที่สุด) การกระทำที่พูดถึงโดยทั่วไปในลักษณะนี้ก็ใช้ do เช่น do the right thing (ทำในสิ่งที่ถูกต้อง)

– Do research (ทำวิจัย) แม้ว่าจะมีผลลัพธ์คืองานวิจัยออกมา แต่เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ จึงใช้ do

– Do a favor (ให้ความช่วยเหลือ)

  1. ส่วน Make ใช้เมื่อเราสร้างบางสิ่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่เป็นรูปธรรม หรือแม้แต่สิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีผลลัพธ์ออกมา เช่น เสียงหรือแผนการ และต่อไปนี้คือคำที่ใช้กับ make ซึ่งคน เรียนภาษาอังกฤษ พบได้บ่อย

– Make a cake (ทำเค้ก) ทำอาหารประเภทอื่น ๆ ก็ใช้ make เหมือนกัน เช่น make dinner (ทำอาหารเย็น)

– Make a decision (ทำการตัดสินใจ)

– Make money (หาเงิน)

– Make noise (ทำให้เกิดเสียง)

– Make a plan (วางแผน)

– Make a mistake (ทำความผิด)

– Make a phone call (โทรศัพท์)

เคล็ดลับ ทำยังไงให้ใช้ได้แบบมือโปร

แม้ว่าตอน เรียนภาษาอังกฤษ ในคลาสหลายคนอาจเข้าใจแล้วว่า do กับ make ใช้ต่างกันอย่างไร เพราะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจหลักการเบื้องต้นแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาใช้ในสถานการณ์จริง หลายคนก็ลังเลว่าจะเลือกคำไหนดี ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้ใช้สองคำนี้ได้คล่องขึ้น

  1. จดจำเป็นวลี (collocations) ดีกว่าท่องเป็นกฎ

บางครั้งการจำเป็นกฎทั่วไปอาจทำให้สับสนง่าย แนะนำให้จำเป็นกลุ่มคำ (collocations) ที่ใช้บ่อยไปเลย เพราะการจำเป็นกลุ่มคำคือสิ่งที่เจ้าของภาษาใช้จริงในชีวิตประจำวัน หากจำได้ก็จะช่วยให้นำไปใช้ได้เร็วขึ้นเมื่อพูดหรือเขียน เช่น do a job (ทำงาน), make an appointment (นัดหมาย), make an effort (พยายาม), make the bed (เก็บที่นอน) แม้ดูเป็นงานบ้าน แต่นี่คือหนึ่งในข้อยกเว้นที่ใช้ make

  1. หากยังรู้สึกว่าสับสนในสถานการณ์จริง

ก่อนจะเลือกใช้ do หรือ make ให้ถามตัวเองว่าผลลัพธ์ของการกระทำนั้นคืออะไร ถ้าแค่ทำบางสิ่งโดยไม่มีผลผลิตที่ออกมาชัดเจน ให้ใช้ Do แต่ถ้าการกระทำทำให้เกิดบางสิ่งขึ้นมาอย่างชัดเจน ให้ใช้ Make

  1. ฝึกใช้จริง

แม้ว่าการ เรียนภาษาอังกฤษ และการจำวลีต่าง ๆ อาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือการได้ฝึกใช้ในสถานการณ์จริง เช่นตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้

A: Did you do your homework?

(เธอทำการบ้านเสร็จหรือยัง)

B: Yes, and I also made a plan for my weekend trip!

(เสร็จแล้ว ฉันวางแผนทริปวันหยุดแล้วด้วย!)

การฝึกใช้จริง ไม่ได้มีเพียงแค่การพูดเท่านั้น การฟัง podcast, อ่านบทความภาษาอังกฤษ หรือดูซีรีส์ที่ใช้วลีเหล่านี้บ่อย ๆ จะช่วยให้เราซึมซับการใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการ เรียนภาษาอังกฤษ ในคลาสเพียงอย่างเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ซินโครตรอนโชว์ เครื่องสังเคราะห์กราฟีนจากขยะอุตสาหกรรม

ซินโครตรอน อว.โชว์ 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” จากขยะอุตสาหกรรม และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ในงาน Thailand Research Expo 2025

สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” จัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ 

ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง

จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ

จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที” 

โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น

พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” 

อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า

สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย

เทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้

“สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี

และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน

ฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว 

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เลือกน้ำผึ้งอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด รู้ก่อนซื้อเพื่อสุขภาพที่ดี

น้ำผึ้งขึ้นชื่อว่าเป็นของหวานจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยคุณค่า แต่ไม่ใช่น้ำผึ้งทุกแบบจะให้ประโยชน์เท่ากัน หากเลือกไม่ดีอาจได้แค่น้ำตาลผสมน้ำผึ้งปลอม บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีเลือกน้ำผึ้งให้ดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง

น้ำผึ้งคืออะไร

น้ำผึ้งคือของเหลวที่ได้จากการที่ผึ้งดูดน้ำหวานจากดอกไม้ แล้วนำกลับไปเก็บในรวงผึ้ง ผ่านการย่อยบางส่วนและระเหยน้ำออกจนมีความเข้มข้นสูง น้ำผึ้งแท้จะมีลักษณะเหนียว ข้น และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ผึ้งไปเก็บน้ำหวานมา เป็นแหล่งของน้ำตาลธรรมชาติ เช่น ฟรุกโตสและกลูโคส และยังมีเอนไซม์ วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

น้ำผึ้งมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

น้ำผึ้งมีสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น

  • สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีฟีนอล ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง
  • เอนไซม์ธรรมชาติ ที่ช่วยย่อยอาหาร เช่น อินเวอร์เตส (Invertase) และไดแอสเตส
  • วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน B, แคลเซียม, แมกนีเซียม
  • คุณสมบัติต้านแบคทีเรีย ใช้บรรเทาอาการเจ็บคอหรือแผลภายนอก
  • ให้พลังงานอย่างรวดเร็วจากน้ำตาลธรรมชาติ ช่วยเติมพลังระหว่างวัน

น้ำผึ้งแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยง

  • น้ำผึ้งปลอม หรือที่ผสมน้ำตาล/ไซรัปมักมีราคาถูกแต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร
  • น้ำผึ้งผ่านความร้อนสูง (Pasteurized) จะสูญเสียเอนไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • น้ำผึ้งที่ใสหรือไม่มีตะกอนเลย อาจถูกกรองหรือปรุงแต่งจนขาดประโยชน์

วิธีเลือกน้ำผึ้งให้ได้ประโยชน์สูงสุด

  • เลือกน้ำผึ้งดิบ (Raw Honey) ที่ไม่ผ่านการกรองหรือความร้อนสูง
  • ตรวจดูฉลาก ควรมีคำว่า “น้ำผึ้งแท้ 100%” หรือ “ไม่เติมน้ำตาล”
  • สังเกตลักษณะ น้ำผึ้งแท้จะมีความข้นเหนียว มีกลิ่นหอมตามแหล่งพืชที่ผึ้งเก็บ
  • สีของน้ำผึ้งธรรมชาติจะไม่คงที่ ขึ้นกับชนิดของดอกไม้ เช่น น้ำผึ้งดอกลำไยจะมีสีเข้ม
  • ถ้าแช่เย็นแล้วตกผลึก ถือเป็นเรื่องปกติของน้ำผึ้งแท้ ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ

ข้อควรระวังในการบริโภคน้ำผึ้ง

  • ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีบริโภค เพราะเสี่ยงต่อโรคโบทูลิซึม
  • ผู้ป่วยเบาหวานควรจำกัดปริมาณ เพราะแม้เป็นธรรมชาติแต่ก็มีน้ำตาลสูง
  • ควรกินในปริมาณพอเหมาะ เช่น 1–2 ช้อนชาต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงพลังงานเกิน

น้ำผึ้งดีมีประโยชน์ ถ้าเลือกให้เป็น

น้ำผึ้งคือแหล่งประโยชน์จากธรรมชาติที่มีมากกว่าความหวาน แต่จะได้คุณค่าจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเลือกบริโภค เลือกน้ำผึ้งดิบที่มาจากแหล่งเชื่อถือได้ หลีกเลี่ยงของปลอมหรือผ่านการปรุงแต่ง แล้วคุณจะได้ของดีที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/06/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,300.0052,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,381.0051,255.9653,200.00
ทองรูปพรรณ 90%3,042.9046,130.36n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,704.8041,004.77n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,521.4523,065.18n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,183.3517,939.59n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,503.6353,115.03n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8529.0929.0929.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.5449.2449.8449.2441.54
เบนซิน 9541.2449.2141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า