พฤกษาเร่งปั้นอีโค–เฮลท์ลิฟวิ่งผสานอสังหาฯ–การแพทย์ครบวงจร

พฤกษา พลิกกลยุทธ์ใหม่ผสานอสังหาฯ–การแพทย์ครบวงจรเปิดบริการแพทย์ประจำครอบครัวครั้งแรกในไทย และเปิดตัวอีโคอพาร์ตเมนต์เจาะดีมานด์คนเมือง
ปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีการแข่งขันด้านราคารุนแรง พฤกษา ยังคงมีผลประกอบการโดดเด่น ทั้งโครงสร้างทางการเงินและประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน โดยทำอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 35.5% และรายได้รวม 10,177 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนความแข็งแกร่งขององค์กรที่ยังเติบโตท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ
“เรายังคงรักษามาร์จิ้นระดับสูงได้แม้การแข่งขันรุนแรง พร้อมเดินหน้าปรับกลยุทธ์เชื่อมธุรกิจอสังหาฯ และเฮลท์แคร์ เพื่อสร้างการเติบโตยั่งยืนภายใต้แนวคิด ‘Lifetime Well-Living – อยู่ดี ทั้งชีวิต’”
เปิดตัวแพทย์ประจำครอบครัว
พฤกษาเร่งขยายบริการสุขภาพสู่ฐานลูกบ้านกว่า 70 โครงการ หรือ 27,700 ครอบครัว ผ่านโครงการ Well Care @Home ซึ่งร่วมกับโรงพยาบาลวิมุต และเตรียมเปิดบริการ Family Doctor ครั้งแรกในไทยในไตรมาส 4 แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวจะดูแลผู้พักอาศัยตั้งแต่การป้องกันโรค การรักษาโรคทั่วไป ไปจนถึงผู้ป่วยเรื้อรัง ถือเป็นการยกระดับบริการสุขภาพสู่ชุมชนในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
ยกระดับศูนย์แพทย์เฉพาะทาง
นายแพทย์นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เผยว่า ธุรกิจเฮลท์แคร์ของกลุ่มยังเดินหน้ากลยุทธ์ Specialty-Led Utilization Growth ด้วยการพัฒนา 7 ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง (COE) ระหว่างปี 2568–2569 โดยศูนย์สุขภาพปอด โรงพยาบาลวิมุต ยังคว้ารางวัลระดับโลก “Excellence Specialist Clinical Center for Lung Center Thailand 2025” ซึ่งตอกย้ำมาตรฐานความปลอดภัยและเทคโนโลยีการรักษา กลุ่มวิมุตยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยรายได้ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 8% QoQ และ EBITDA ขยับขึ้นเป็น 64 ล้านบาท จากการขยายฐานผู้ป่วยทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในศูนย์เฉพาะทางหัวใจและปอด
“จำนวนผู้ป่วยต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมียนมาและจีน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานทางการแพทย์และพันธมิตรประกันสุขภาพของเรา”
ผลักดันโครงการใหม่–เดินหน้าคลังสินค้า
ในด้านการลงทุนเชิงโครงสร้าง พฤกษาเดินหน้าก่อสร้างโครงการ “โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส” คลังสินค้าอัจฉริยะขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนร่วมกับ CapitaLand และ ALP ปัจจุบันคืบหน้าแล้วกว่า 50% และจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2569
พร้อมเดินหน้าลงทุนในกองทุน C-WELL เพื่อพัฒนาโครงการด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลเฉพาะทาง วิมุต ทองหล่อ, โครงการเดอะ ปาล์ม เรสซิเดนเซส และโครงการระดับลักชัวรี เดอะ รีเซิร์ฟ วิลล่า สุขุมวิท 89/1 รวมถึงโรงแรม LYF Bugis ที่สิงคโปร์ซึ่งมีอัตราเข้าพักสูงถึง 90%

ลุยเปิด อีโคอพาร์ตเมนต์สร้างรายได้ประจำ
พฤกษา ยังเดินหน้าขยายธุรกิจสร้างรายได้ประจำ เปิดตัว “ไอเพลิน” Eco Branded Apartment รุ่นใหม่ ราคาประหยัด คุณภาพตามมาตรฐานพฤกษา พร้อมฟังก์ชันครบรองรับดีมานด์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่น–สะดวก–พร้อมบริการเสริมครบวงจรถือเป็นการขยับสู่ตลาดอพาร์ตเมนต์เชิงแบรนด์เต็มรูปแบบครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย
ธีระ ทองวิไล ซีอีโอ พฤกษา เรียลเอสเตท ระบุว่า 9 เดือนแรกทำยอดขาย 9,256 ล้านบาท มียอดโอน 7,561 ล้านบาท และยังมีสต็อกพร้อมขายมูลค่ารวมกว่า 66,200 ล้านบาทไตรมาส 4 เตรียมเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่า 6,700 ล้านบาท ครอบคลุมบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี—เดอะ ปาล์ม คอร์ทยาร์ด บางนา กม. 8, เดอะ ปาล์ม วิภาวดี 64—ไปจนถึงคอนโดราคาเข้าถึงง่ายอย่าง พลัม คอนโด อีสต์ ลาดพร้าว ใกล้ MRT
“เรามุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งคุณภาพชีวิต เชื่อม 3 เสาหลัก Well Home–Well Care–Well Community เพื่อยกระดับชีวิตคนไทยในระยะยาว” นายธีระกล่าว
ปลายปีนี้ พฤกษาเดินหน้าแคมเปญ “พฤกษา มหาดีล” มอบส่วนลดรวมกว่า 200 ล้านบาท พร้อมของแถมสูงสุด 15 รายการ และมอบ iPhone 17 ให้ลูกค้า 100 สิทธิ์แรกที่จองและโอนภายในกำหนด คาดสร้างรายได้อีกกว่า 3,000 ล้านบาทพร้อมทยอยส่งมอบ 4 คอนโดมูลค่ารวม 9,700 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพรอบเมืองและได้รับความนิยมจากกลุ่มเช่าและนักลงทุน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เศรษฐกิจ-การเมืองฉุดอสังหาเพอร์เฟคพลิกเกมปี69ดันยอดหมื่นล้าน

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเกมรุกปี69 ปรับธุรกิจสู้หลังเศรษฐกิจ-การเมืองฉุดอสังหาฯแผ่วสุดในรอบ 20 ปี ตั้งเป้ายอดขาย 1.1หมื่นล้านดันรายได้ประจำแตะ 30% ภายใน 3 ปี
จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายสูงสุดในรอบ2ทศวรรษ ทั้งอุปทานและอุปสงค์’ลดลง’ต่ำสุดในรอบ 20 ปี ส่งผลให้โครงการเปิดใหม่ลดลงต่อเนื่องคาดว่าปี2568จะมีเพียง 30,000 หน่วย ขณะที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่46,000 หน่วย สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง บางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
ศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ระบุว่า 2 ปัจจัยหลักคือเศรษฐกิจและการเมืองเป็น 2 ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่”ชะลอ”ซื้อเพื่อลงทุน โดยการเปลี่ยนผ่านผู้นำทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นโยบายเศรษฐกิจขาดความชัดเจนและต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ประเมินว่าภาพรวมตลาดจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังการเลือกตั้งปีหน้า หากได้รัฐบาลใหม่ที่สามารถเรียกความเชื่อมั่น ประกอบกับมีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง จะเป็นกลไกสำคัญต่อการฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
“อุปทานและอุปสงค์ลดลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ผู้ซื้อจำนวนมากชะลอการตัดสินใจ”
ควบคุมคุณภาพ เปิดตัวแบบบ้านใหม่ทุกเซกเมนต์
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ทางพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังคงเดินหน้าธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ควบคู่กับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2569 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 9,000 ล้านบาท และจากโครงการคอนโดมิเนียมของ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออีก 2,000 ล้านบาท
ถือเป็นเป้าหมายการฟื้นตัวกลับสู่ฐานเดิมของบริษัท แม้ว่าตลาดจะยังอยู่ในภาวะ “หดตัว” บริษัทเชื่อมั่นว่าจะขับเคลื่อนยอดขายได้ตามเป้าหมาย ด้วยประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data-Driven) ที่ช่วยให้การพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ตลาดได้แม่นยำขึ้น
ศานิต กล่าวว่า กลยุทธ์สำคัญในปี 2569 บริษัทมุ่งเน้นการยกระดับผลิตภัณฑ์และคุณภาพงานก่อสร้าง โดยเตรียมเปิดตัวแบบบ้านรุ่นใหม่ในทุกเซกเมนต์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ที่ผ่านการออกแบบร่วมกันระหว่างทีมสถาปนิกทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ทั้งการปรับรูปแบบบ้านและการปรับฟังก์ชั่นภายในให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ควบคู่กับการควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างให้เข้มข้น โดยพัฒนากระบวนการตรวจสอบให้มีมาตรฐานสูงขึ้น พร้อมปรับปรุงโครงการที่มีอยู่ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบัน
ปรับสโมสร เป็น Health & Lifestyleเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนปรับปรุงสโมสรรวม 25 แห่งภายในโครงการต่าง ๆ สู่การเป็น “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์ ” (Health & Lifestyle Club)พื้นที่ส่วนกลางรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะดวกสบาย อย่างครบวงจร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิกโครงการ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการ ซึ่งคาดว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ลงทุนธุรกิจสร้างรายได้ประจำ 30% ใน 3 ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการวิเคราะห์โอกาสเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างฐานรากที่แข็งแกร่ง ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความกระชับขึ้น เน้นการสร้างรายได้จากบริษัทร่วมทุนให้เพิ่มขึ้น พร้อมหารายได้เพิ่มจากธุรกิจอื่น โดยขยายโอกาสในธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในระยะยาว
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างวางแผนการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ประจำให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่า 30% ภายในปี 2571 โดยไม่พึ่งพิงรายได้จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแต่เพียงอย่างเดียว
“การสร้างรายได้ประจำคือหัวใจของการเสริมภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจ เรากำลังมองหาโอกาสลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18พ.ย.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18 พ.ย. 2568 ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ
อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ที่จะรับรู้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ รวมถึง รายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่จะรับรู้ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ในช่วง After Market ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ
หลังในช่วงที่ผ่านมา บรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ทั่วโลกได้ทยอยปรับตัวลดลง จนทำให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากประเมินเชิงเทคนิคัล ดัชนี S&P500 และดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ก็ย่อตัวลง เข้าสู่โซนที่เสี่ยงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังหลุดโซนแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน
อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า อาจระวังความผันผวนจากการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 155 เยนต่อดอลลาร์ เปิดความเสี่ยงที่ เงินเยนญี่ปุ่นอาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เร็ว
หากตลาดเผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยงที่รุนแรง (Sell-Off) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก จากการศึกษาข้อมูลในอดีตของเรา พบว่า หากเงินเยนญี่ปุ่นเคลื่อนไหวแตกต่างจากระดับที่ประเมินจากโมเดลคาดการณ์โดยใช้ส่วนต่างบอนด์ยีลด์ระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น
อย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งปัจจุบัน โมเดลดังกล่าว ชี้ว่า เงินเยนญี่ปุ่นควรอยู่ที่ระดับ 145-150 เยนต่อดอลลาร์) เงินเยนญี่ปุ่นก็สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าหรืออ่อนค่า “เร็ว แรง” ได้ หากมีปัจจัยมากระตุ้น นอกจากนี้ เรามองว่า ควรจับตาการสื่อสารจากกระทรวงการคลังและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ถึงแนวโน้มการเข้าแทรกแซงค่าเงินอย่างใกล้ชิด
โดยล่าสุด เราพบว่า ทางการญี่ปุ่นได้ทยอยสื่อสารว่า เงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าต่อเนื่องพอสมควรและอาจสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจได้ ทว่า ถ้อยแถลงของทางการญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการเข้าแทรกแซงค่าเงินในระยะสั้น
(สเกลความเสี่ยงเข้าแทรกแซงค่าเงิน อาจอยู่ในระดับ 6-7 จาก 10 ที่จะเป็นระดับชี้ว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงค่าเงินในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า ระดับ 160 เยนต่อดอลลาร์ อาจเป็นโซนที่ทางการญี่ปุ่นพร้อมเข้าแทรกแซงเต็มที่)
นอกจากนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานรายสัปดาห์จากทาง ADP ที่แม้จะเป็นข้อมูลจากฝั่งเอกชน หรือ Alternative Data แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา
ทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.49 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีความพยายามอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวลดลงบ้างของราคาทองคำ (XAUUSD)
หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่อาจมีการชะลอการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา หลังภาวะ US Government Shutdown ได้สิ้นสุดลง
โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ ที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในฝั่งสถานะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่นได้ทยอยอ่อนค่าลงทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ จากทั้งประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น ภายใต้นายกฯ Sanae Takaichi
สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวญี่ปุ่น และประเด็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนล่าสุด ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกชะลอลงบ้างแถวโซนแนวต้าน หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว หรือปรับลดสถานะถือครอง อย่างสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อีกครั้ง อาทิ Nvidia -1.9% ซึ่งอาจเป็นการปรับลดสถานะถือครองลงบ้าง ก่อนรับรู้ผลประกอบการของ Nvidia ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้
ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Alphabet +3.1% จากรายงานการเข้าซื้อหุ้น Alphabet โดย Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.92% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.84%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อ -0.54% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ ประเด็นรอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นล่าสุด
ยังได้กดดันบรรดาหุ้นสินค้าแบรนด์เนมที่มียอดขายในจีนพอสมควร อาทิ Kering -2.2%, LVMH -2.0% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Utilities และกลุ่ม Healthcare
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 4.14% โดยแม้จะเผชิญแรงกดดันบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม
และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในส่วนของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งล่าสุดได้อ่อนค่าลงทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์
จากประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของญี่ปุ่นและปัญหารอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่โซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.3-99.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ
(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงสู่โซน 4,010 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานยอดการจ้างงานรายสัปดาห์ โดย ADP
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้ ยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports and Imports) เดือนตุลาคม ในช่วง 06.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)
นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.45-32.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.43 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทและสกุลเงินอื่นในเอเชียอ่อนค่าลง ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า (Prob. อยู่ที่ 41%)
ประกอบกับน่าจะมีการปรับโพสิชั่นก่อนการเปิดเผยบันทึกการประชุมเฟดและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. ในวันพฤหัสบดี
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนรายสัปดาห์ และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สองยักษ์ใหญ่ไม่พลาด! เปิดรายชื่อ 34 ทีม ลุย “ศึกฟุตบอลโลก 2026” รอบสุดท้าย

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ที่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการเพิ่มทีมเป็น 48 ชาติเข้าร่วมแข่งขัน รวมถึงจะมีเจ้าภาพร่วม 3 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก รับหน้าที่จัดแข่งขัน
ล่าสุด สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้ประกาศทีมเพิ่มอีก 2 ชาติ ที่สามารถผ่านรอบคัดเลือกเข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายก็คือ เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ สองชาติยักษ์ใหญ่จากทวีปยุโรป ที่สามารถการันตีตั๋วได้สำเร็จ

ทำให้ถึงตอนนี้ได้ทีมชาติที่จะผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย แล้วจำนวนทั้งหมด 34 ทีม ยังเหลือโควตาอีก 14 ทีมที่ต้องลุ้นแย่งตั๋วกันในช่วงโค้งสุดท้าย
สรุปทีมชาติการันตีฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย
เจ้าภาพ : แคนาดา, เม็กซิโก และ สหรัฐอเมริกา
โซนยุโรป : อังกฤษ, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, นอร์เวย์, เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์
โซนเอเชีย : ญี่ปุ่น, อิหร่าน, อุซเบกิสถาน, เกาหลีใต้, จอร์แดน, ออสเตรเลีย, กาตาร์ และ ซาอุดิอาระเบีย
โซนโอเชียเนีย : นิวซีแลนด์
โซนอเมริกาใต้ : อาร์เจนตินา, บราซิล, เอกวาดอร์, อุรุกวัย, โคลอมเบีย และ ปารากวัย
โซนแอฟริกา : โมร็อกโก, ตูนิเซีย, อียิปต์, แอลจีเรีย, กานา, เคป เวิร์ด, แอฟริกาใต้, ไอวอรี่ โคสต์ และ เซเนกัล
สำหรับรูปแบบการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2026 จะมีการแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 4 ทีม จำนวน 12 กลุ่ม เพื่อคัดหาทีมแชมป์ กับรองแชมป์กลุ่ม และ อันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 8 ทีม ผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีมสุดท้าย ต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
12 เรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับการ “บริจาคเลือด”

หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าการ “บริจาคเลือด” มีประโยชน์ในเรื่องของการได้ช่วยชีวิตเพื่อมนุษย์ที่ต้องการเลือดเพื่อรักษา แต่นอกจากได้อิ่มอกอิ่มใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นแล้ว การบริจาคเลือดยังมีข้อมูลที่น่าสนใจที่คุณอาจไม่เคยรู้อีกเพียบ
12 เรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับการ “บริจาคเลือด”
- ใครที่คิดว่าเห็นคนไปบริจาคเลือดกันหลายคน คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะปัจจุบันมีความต้องการใช้เลือดในแต่ละวันสูงถึง 5,000 ยูนิตต่อวัน แต่ตอนนี้เลือดที่ได้รับบริจาคมามีเพียง 2,000 ยูนิตต่อวันเท่านั้น
- ที่เห็นไปรอคิวบริจาคเลือดกันมากมาย จริงๆ แล้วเป็นเพียง 3% ของประชากรไทยทั้งประเทศเองนะ แล้วมันจะไปพอที่ไหน จริงไหม?
- เลือดที่เราบริจาคไปในแต่ละครั้ง สามารถแยกออกมาใช้งานได้หลายส่วน ทั้งเกล็ดเลือด พลาสมา และเม็ดโลหิตแดง เราไม่ได้ใช้เลือดเพื่อการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยแต่เพียงอย่างเดียวนะ
- แต่ถึงอย่างไร ผู้ป่วยที่ต้องการใช้เลือดมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดใหญ่ หรือประสบอุบัติเหตุ แล้วประเทศเราก็ประสบอุบัติเหตุกันบ่อยเสียด้วยสิ
- การบริจาคเลือดช่วยกระตุ้นการทำงานของไขกระดูกให้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ๆ ที่มีคุณภาพมาหมุนเวียนใช้บำรุงร่างกาย เป็นการเปลี่ยนถ่ายเลือดเก่า เลือดใหม่ได้อย่างมีประโยชน์ และปลอดภัยที่สุด
- เมื่อเราได้เปลี่ยนถ่ายโลหิตเก่า-ใหม่ ส่งผลให้เลือดใหม่ที่ไปหล่อเลี้ยงตามร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสยิ่งขึ้น
- หากคุณตั้งใจจะบริจาคเลือดเป็นประจำตามที่สภากาชาดแนะนำ นั่นหมายความว่าคุณจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้สมบูรณ์แข็งแรงตลอดเวลา ต้องระวังเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน ไม่เครียด เลยทำให้กลายเป็นคนที่มีสุขภาพดีไปโดยธรรมชาติ
- เมื่อร่างกายแข็งแรง ก็ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่ใครๆ ก็กลัวอย่าง โรคมะเร็ง ซึ่งคนที่บริจาคเลือดจะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายอย่างมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่เคยบริจาคเลือดด้วยนะ
- สุขภาพจิตดีตามไปด้วย เมื่อเรารู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น ความสุขใจ อิ่มเอมใจ จะส่งผลต่อจิตใจของเราที่รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ได้ทำอะไรดีๆ เพื่อสังคม ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้าได้ด้วย
- เราบริจาคเลือดได้สูงสุด 4 ครั้งต่อปีเลยนะ (โดยที่ไม่ทำให้ร่างกายเราได้รับอันตรายใดๆ) หรือทั้งชีวิตเราบริจาคเลือดได้มากถึง 212 ครั้งเลยทีเดียว
- กรุ๊ปเลือดที่ต้องการมากที่สุดก็คือ กรุ๊ป AB ตามมาด้วยกรุ๊ป A, B และ O ตามสัดส่วนของประชากรในประเทศ
- เคยได้ยินเรื่องกรุ๊ปเลือดแบบ negative ไหม หากใครที่มีกรุ๊ปเลือด Rh- นั่นหมายความว่าคุณใช้เลือดโดยส่วนใหญ่ที่คนไทยมีไม่ได้ (เราเรียกระบบหมู่โลหิตนี้ว่า Rh- ส่วนใหญ่คนไทยมีหมู่เลือดเป็น Rh+ แต่จะพบ Rh- มากขึ้นในชาวต่างชาติ) ใครที่รู้ตัว หรือรู้จักคนที่มีหมู่เลือด Rh- ชวนไปบริจาคเลือดด้วยกันด่วนๆ เลย เพราะกรุ๊ปเลือดนี้ถือว่าเป็นกรุ๊ปเลือดหายาก และพิเศษมากจริงๆ
คุณสมบัติ ผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้ มีดังนี้
- อายุ 17-70 ปีบริบูรณ์
- น้ำหนักเกิน 45 กิโลกรัม
- นอนหลับพักผ่อนเกิน 6 ชม. ก่อนมาบริจาค
- สภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นไข้หวัด ไม่มีอาการท้องเสีย ท้องร่วงใน 7 วันที่ผ่านมา
- หยุดทานยาทุกอย่างมาแล้ว 7 วัน
- ไม่เป็นโรคหอบหืด, ผิวหนังเรื้อรัง, วัณโรค หรือภูมิแพ้อื่นๆ
- ไม่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ตับ ไต ไทรอยด์ หรือโรคที่เกี่ยวกับเลือด
- หากทำฟัน ควรทิ้งระยะก่อนมาบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 วัน
- หากเคยได้รับการผ่าตัดใหญ่ต้องเกิน 6 เดือน ผ่าตัดเล็ก ต้องเกิน 1 เดือน
- ไม่มีประวัติยาเสพติด หรือพ้นโทษเกิน 3 ปี
- หากเจาะหู สัก ลบรอยสัก หรือฝังเข็ม ต้องเกิน 1 ปี
- หากเคยเป็นไข้มาลาเรีย ต้องเว้น 3 ปี แต่หากเคยเข้าไปในพื้นที่ๆ เสี่ยงต่อการติดต่อโรคมาลาเรีย ต้องเว้น 1 ปี
- ไม่ได้รับวัคซีนใดๆ ภายใน 14 วัน หรือเซรุ่มใดๆ ภายใน 1 ปี
- เลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูงทุกชนิด และงดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนบริจาคเลือด (แต่สามารถทานอาหารก่อนมาบริจาคเลือดได้ตามปกติ ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อป้องการอาการวิงเวียนศีรษะ)
- คนที่มีอาการแพ้ต่างๆ เช่น แพ้อาหารทะเล แพ้ถั่ว สามารถบริจาคเลือดได้ เฉพาะกรณีที่ ณ ขณะนั้นสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี ไม่ได้มีอาการแพ้เกิดขึ้น
- สตรีที่มีประจำเดือน สามารถบริจาคเลือดได้ หากปริมาณประจำเดือนปกติ และสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีอาการอ่อนเพลีย
- หากเคยรับเลือดของคนอื่นเพื่อการรักษา ต้องเกิน 1 ปี
- ท่านหรือคู่ครองของท่านต้องไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือเบี่ยงเบนทางเพศ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา ให้พัฒนาทักษะพูดและฟังไวที่สุด

1. เตรียมตัวก่อนเข้าเรียนกับเจ้าของภาษา
ทำความรู้จักคำศัพท์พื้นฐานล่วงหน้า
- ทบทวนคำศัพท์ที่ใช้บ่อย เช่น การทักทาย, การบอกเวลา, อาหาร, งาน
- ใช้ Flashcards หรือแอปอย่าง Anki/Quizlet เพื่อช่วยจำ
ฝึกประโยคง่าย ๆ
- เช่น “Can you repeat that, please?” หรือ “How do you spell it?”
- ประโยคพวกนี้ช่วยให้คุณ “เอาตัวรอด” ในห้องเรียนและไม่รู้สึกกดดัน
2. ใช้เวลาในคลาสกับเจ้าของภาษาให้คุ้มที่สุด
พูดให้มากกว่าฟังเฉย ๆ
- อย่าแค่พยักหน้า ควรตอบกลับ แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ
- การพูดออกมาเสียงดังจะช่วยให้สมองและปากประสานกันได้ดีขึ้น
ขอให้ครูแก้ไขทันที
- ถ้าพูดผิด ควรให้ครูเจ้าของภาษาช่วยแก้ตรงนั้นเลย
- อย่าอาย เพราะการแก้ผิดทันทีทำให้จำได้แม่นกว่า
จดสำนวนที่ครูใช้จริง
- สำนวนที่เจ้าของภาษาใช้บ่อย เช่น “That makes sense.” หรือ “I see what you mean.”
- เอาไปฝึกใช้ในชีวิตจริงได้ทันที
3. ฝึกการฟังให้หูคุ้นกับเจ้าของภาษา
ฟังหลากหลายสำเนียง
- นอกจากในคลาส ควรดูหนัง ฟัง Podcast หรือ YouTube ที่มีสำเนียงต่าง ๆ เช่น อเมริกัน, อังกฤษ, ออสเตรเลีย
ใช้เทคนิค Shadowing
- ฟังประโยคสั้น ๆ จากครู หรือจากสื่อ แล้วพูดตามทันที
- วิธีนี้ช่วยฝึกทั้งการฟังและการออกเสียงไปพร้อมกัน
ฟังซ้ำ ๆ มากกว่าฟังครั้งเดียว
- เลือกสื่อที่ชอบ แล้วฟังซ้ำ 3–4 รอบ จะทำให้สมองจับ Pattern ได้ดีขึ้น
4. ฝึกนอกเวลาเรียน — ทำให้ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ตั้ง Challenge ให้ตัวเอง
- เช่น วันละ 5 นาทีพูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ
- หรือบันทึกเสียงตัวเองแล้วฟังย้อนหลังเพื่อเช็กการออกเสียง
หา Language Partner
- แลกเปลี่ยนภาษาไทย–อังกฤษกับเพื่อนต่างชาติหรือผ่านแอปอย่าง HelloTalk, Tandem
ใช้ Social Media เป็นห้องเรียน
- ติดตาม TikTok หรือ YouTube ของครูเจ้าของภาษา
- คอมเมนต์หรืออินบ็อกซ์ถามเป็นภาษาอังกฤษเพื่อฝึกเขียน–อ่าน
5. เทคนิคเสริมความมั่นใจ
อย่ากลัวผิด
เจ้าของภาษาส่วนใหญ่เข้าใจว่าคุณไม่ใช่ Native เขาจะให้กำลังใจมากกว่าหัวเราะเยาะ
ใช้คำง่ายก่อน ไม่ต้องซับซ้อน
การสื่อสารสำคัญกว่าความหรูหรา เช่น แทนที่จะพูด “utilize” ใช้แค่ “use” ก็เข้าใจได้เหมือนกัน
คิดเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง
- พยายามไม่แปลไทย–อังกฤษในหัว
- เริ่มจากคิดสิ่งเล็ก ๆ เช่น “I’m hungry.”, “It’s raining today.”
ประสบการณ์จริงจากผู้เรียน
- คุณนัท (นักศึกษา): “ตอนแรกกลัวมาก ฟังเจ้าของภาษาไม่ออกเลย แต่ใช้ Shadowing กับการขอให้ครูแก้ไขทันที ทำให้มั่นใจขึ้นมาก”
- คุณพลอย (พนักงานบริษัท): “เรียนกับ Native Teacher 3 เดือน แล้วบังคับตัวเองให้พูดทุกครั้งที่มีโอกาส ตอนนี้เวลาประชุมกับชาวต่างชาติกล้าพูดมากขึ้น”
สรุป
การเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาเป็นโอกาสที่ดีมาก แต่จะได้ผลเร็วหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ วิธีใช้เวลาในคลาส + การฝึกนอกเวลาเรียน
- ในคลาส: กล้าพูด ขอให้ครูแก้ไข จดสำนวนใหม่ ๆ
- นอกคลาส: ฟังซ้ำ ใช้ Shadowing หาเพื่อนฝึกภาษา
- ทัศนคติ: ไม่กลัวผิด คิดเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าทำตามเทคนิคเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ไม่กี่เดือนคุณจะเห็นผลชัดเจน ทั้งการฟังและการพูดที่มั่นใจขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
เผยเทรนด์“กลโกงสมัครงาน” เตือนผู้หางาน มิจฉาชีพมุ่งเป้าไปตำแหน่งงานเริ่มต้น

- มิจฉาชีพมีแนวโน้มพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น โดยเฉพาะงานธุรการและสำนักงานซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
- สำหรับในประเทศไทย ตำแหน่งงานที่ตกเป็นเป้าหมายสูงสุดคือ งานด้านการขาย (67%) รองลงมาคืองานบัญชี และงานด้านสื่อ/โฆษณา
- กลโกงมีความซับซ้อนขึ้น โดยมีการใช้เทคโนโลยี AI และแอบอ้างชื่อแพลตฟอร์มหางานเพื่อหลอกลวงผู้สมัครผ่านช่องทางต่างๆ เช่น SMS และโซเชียลมีเดีย
บริษัท SEEK ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jobsdb และ Jobstreet เปิดเผยข้อมูลเทรนด์ล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มกลโกงในการหางานทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย เพื่อตอบรับกับสัปดาห์รณรงค์ต้านภัยการทุจริตและฉ้อโกงสากล (International Fraud Awareness Week)
โดยพบว่ามิจฉาชีพมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นตามบริบททางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้สมัครงานในแต่ละประเทศ
ระบบตรวจจับการโกงของ SEEK พบว่ากลโกงการหลอกลวงในตลาดแต่ละประเทศมีรูปแบบพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของตลาดงานในประเทศนั้น ๆ ซึ่งรวมถึงตลาดงานประเทศไทย และช่องโหว่ที่มิจฉาชีพมักใช้ในการหลอกลวงผู้สมัครงานชาวไทย
ข้อมูลการวิเคราะห์เทรนด์ในครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูลภายในของระบบตรวจจับกลโกงบนแพลตฟอร์มของ SEEK ซึ่งรวมถึง Jobstreet และ Jobsdb โดยดึงข้อมูลจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ทั้งยังรวมไปถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีส่วนช่วยสร้างความเข้าใจเพื่อวางแนวทางการปกป้องแรงงาน ในยุคที่การหางานกำลังเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
รูปแบบการหลอกลวงที่ต่างกันในแต่ละประเทศ
ข้อมูลในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า “ตำแหน่งงานด้านธุรการและสำนักงาน” (Administration & Office Support) ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพในทุกตลาด คิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของจำนวนประกาศงานที่หลอกลวงทั้งหมด โดยเฉพาะในตลาดภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่ตำแหน่งเหล่านี้จะเป็นตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น
ทั้งนี้ อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่พบการฉ้อโกงด้านการจ้างงานมากที่สุด โดยคิดเป็น 38% จากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ 62% จากทั้งภูมิภาคเอเชีย รองลงมาคือประเทศฟิลิปปินส์ที่มีภัยคุกคามด้านการจ้างงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
สำหรับตลาดเอเชียในภาพรวมยังพบว่าการหลอกลวงด้านการจ้างงานส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง และโลจิสติกส์ (16%) โดยมิจฉาชีพมักฉวยโอกาสจากผู้ที่กำลังต้องการหางานอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ ตำแหน่งงานด้านการขาย (7% จากทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ในขณะที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ANZ) พบว่ามีการหลอกลวงในกลุ่มงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ มาก ซึ่งอยู่ที่ 9% เทียบกับเพียง 2% ในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลบ่งชี้ว่าปริมาณการหลอกลวงด้านการจ้างงานโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สะท้อนให้เห็นว่าประกาศงานทั้งหมดที่อยู่บนแพลตฟอร์ม SEEK ของประเทศไทยมีจำนวนน้อยกว่าหากเทียบกับตลาดประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งยังมีรูปแบบการหลอกลวงที่แตกต่างออกไป
โดยตำแหน่งงานที่พบการหลอกลวงสูงสุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 67% ของประกาศงานที่หลอกลวงทั้งหมด คืองานด้านการขาย รองลงมาคืองานด้านบัญชี (17%) และงานด้านสื่อ โฆษณา และศิลปะ (17%) ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มิจฉาชีพมักมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้สมัครที่กำลังมองหางานอย่างเร่งด่วน หรืองานที่ให้ค่าตอบแทนในรูปแบบค่าคอมมิชชัน ซึ่งทำให้ผู้สมัครกลุ่มนี้มักตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ง่าย จากข้ออ้างเรื่องรายได้ดีและได้เงินไว
นางสาวดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า “เราพบว่ามิจฉาชีพจากทั่วทั้งภูมิภาคนี้ได้พัฒนาเทคนิคหลอกลวงให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยได้ปรับรูปแบบการหลอกลวงให้เข้ากับแต่ละประเทศ ตำแหน่งงาน และภาคอุตสาหกรรมที่ผู้สมัครน่าจะมีความเปราะบางมากที่สุด
ในฐานะที่ Jobsdb by SEEK เป็นแพลตฟอร์มหางานชั้นนำของไทย เรามองว่านี่คือความรับผิดชอบของเราในการสร้างตลาดงานที่ปลอดภัยและโปร่งใสยิ่งขึ้นให้แก่ประเทศไทย ปัญหาเรื่องประกาศงานที่หลอกลวงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบกับตัวผู้สมัครเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่ออีโคซิสเต็มของการจัดหางานในภาพรวม ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบที่จะตรวจจับกลโกงและประกาศงานที่หลอกลวงได้อย่างชาญฉลาดขึ้น ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ต่อนายจ้างและผู้สมัครงานเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นธรรมในการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง”
มาตรการของ SEEK ป้องกันการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม
ในฐานะแพลตฟอร์มหางานชั้นนำ SEEK ได้ดำเนินมาตรการสำคัญเพื่อป้องกันการสรรหาตำแหน่งงานที่เอาเปรียบแรงงาน รวมทั้งการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมในยุคปัจจุบัน โดยเริ่มต้นจากการตรวจสอบผู้ว่าจ้าง ซึ่งทีม Trust & Safety ของ SEEK จะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อยืนยันและรับรองความน่าเชื่อถือของนายจ้าง ตามด้วยกระบวนการกรองเนื้อหาของประกาศงานต่าง ๆ ซึ่งจะใช้ระบบสแกนอัตโนมัติ และในกรณีที่พบความเสี่ยง เนื้อหานั้นจะได้รับการส่งต่อไปให้ทีมผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากนี้ แพลตฟอร์มของ SEEK ยังเปิดโอกาสให้ผู้สมัครสามารถรายงานประกาศงานที่น่าสงสัยโดยตรงได้ด้วยเช่นกัน
มาตรการป้องกันเหล่านี้สร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นในปีงบประมาณ 2568 ของ SEEK (ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568) ซึ่งระบบของ SEEK ได้สแกนประกาศงานเป็นจำนวนทั้งหมดกว่า 4.3 ล้านรายการทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครอบคลุม 100% ของประกาศงานทั้งหมด โดย 8% จากในจำนวนดังกล่าวยังได้รับการส่งต่อให้ทีมผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแบบละเอียดเพิ่มเติม
ทั้งนี้ SEEK ได้ป้องกันไม่ให้ผู้จ้างงานกว่า 3,600 รายที่ไม่ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นเข้าสู่แพลตฟอร์ม รวมถึงได้ปิดบัญชีผู้จ้างงานที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการฉ้อโกงไปกว่า 650 บัญชี และยังลบประกาศงานที่มีความเสี่ยงกว่า 2,800 รายการหลังการตรวจสอบ ขณะเดียวกัน ผู้สมัครงานยังได้มีส่วนช่วยรายงานเกี่ยวกับประกาศงานต้องสงสัยกว่า 22,000 รายการ ซึ่งทั้งหมดล้วนได้รับการตรวจสอบโดยทีม Trust & Safety
วิธีการรับมือและตามทันกลโกงที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันเหล่ามิจฉาชีพเริ่มใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาสร้างกลโกงให้แนบเนียนยิ่งขึ้น และยังมีการแอบอ้างชื่อ SEEK, Jobsdb หรือ Jobstreet ในการติดต่อผู้สมัครงานผ่านข้อความ SMS แอปพลิเคชันรวมถึงโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ อีกด้วย
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ SEEK จึงได้ยกระดับมาตรการและพัฒนาระบบตรวจจับการฉ้อโกงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงระบบบล็อกอัตโนมัติ กระบวนการยืนยันตัวตนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หนึ่งในพันธกิจของ SEEK คือเรื่องความปลอดภัยของผู้สมัคร โดยบริษัทได้สนับสนุนการให้ความรู้สู่สาธารณะด้วย “ศูนย์ความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว” (Security & Privacy Hub) ซึ่งรวบรวมข้อมูลการหลอกลวงในปัจจุบัน การจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงยังให้คำแนะนำในการหางานอย่างปลอดภัย พร้อมเคล็ดลับการปกป้องข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
4 สิ่งที่ไม่ควรเก็บไว้ในช่องแช่แข็งตู้เย็น เพราะ “อันตรายกว่าที่คิด!”

4 สิ่งที่ไม่ควรเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง “อันตรายกว่าที่คิด!”
“ในช่องแช่แข็งของคุณมีของบางอย่างที่อันตรายมาก ควรรีบเอาออกทันทีนะ!” คำเตือนจากช่างซ่อมตู้เย็นวันนั้น ทำเอาฉันถึงกับขนลุก
ก่อนหน้านี้ ตู้เย็นที่บ้านฉันเกิดปัญหายางขอบประตูเสื่อม ทำให้น้ำแข็งในช่องแช่แข็งละลายอยู่บ่อยๆ จนต้องเรียกช่างมาซ่อม แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจไม่ใช่แค่การซ่อมเสร็จสิ้น หากเป็นคำพูดของช่างที่ตามมา — เขาบอกว่าในช่องแช่แข็งของฉันมีของบางอย่าง “อันตรายสุดๆ” และควรเอาออกให้เร็วที่สุด!
แม้จะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่หลายคนก็เผลอเก็บของบางชนิดไว้ในช่องแช่แข็งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่อการทำให้ตู้เย็นเสียหายแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือระเบิดได้โดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่า 4 สิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรแช่ในช่องแช่แข็งมีอะไรบ้าง
1. ภาชนะหรือขวดที่ทำจากแก้ว
หลายบ้านนิยมเก็บของปรุงอาหาร เช่น หอม กระเทียม หรือผักสมุนไพร ใส่กล่องแก้วแล้วนำไปแช่แข็งเพื่อความสะดวกในการทำอาหาร แต่รู้หรือไม่ว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่อันตรายมาก!
เพราะแก้วเมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำจะเปราะและแตกง่าย โดยเฉพาะหากภายในบรรจุของเหลวอย่างน้ำ ซุป หรือแกง เมื่อของเหลวกลายเป็นน้ำแข็ง ปริมาตรจะขยายตัว ทำให้กล่องหรือขวดแก้วระเบิดแตกได้ทันที
เศษแก้วที่แตกออกมานอกจากจะเสี่ยงบาดมือเวลาเปิดตู้แล้ว ยังอาจทำให้แผงทำความเย็นและผนังอลูมิเนียมในช่องแช่แข็งเสียหาย ส่งผลให้ตู้เย็นชำรุดเร็วกว่าปกติ ทางที่ดีควรใช้ภาชนะพลาสติกชนิดทนความเย็นแทน
2. น้ำแข็งแห้ง (Dry Ice)
บางคนซื้อของแช่แข็งหรือไอศกรีมที่ร้านแล้วได้รับ “น้ำแข็งแห้ง” แถมมาเพื่อรักษาความเย็น และมักนำไปใส่ช่องแช่แข็งต่อทันที ซึ่งถือเป็น “ระเบิดเวลา” ในตู้เย็นเลยทีเดียว
น้ำแข็งแห้งคือคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของแข็ง (CO2 solid) ที่มีจุดระเหิดอยู่ที่ -78.5 องศาเซลเซียส ขณะที่ช่องแช่แข็งของตู้เย็นทั่วไปอยู่ที่ประมาณ -18 องศาเซลเซียส เมื่อใส่น้ำแข็งแห้งเข้าไป มันจะระเหิดอย่างรวดเร็วและปล่อยก๊าซ CO2 ออกมา
เมื่อตู้เย็นปิดสนิท ก๊าซนี้จะถูกอัดอยู่ในพื้นที่ปิด ทำให้แรงดันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ฝาตู้เย็นระเบิดหรือระบบทำความเย็นเสียหายได้ทันที
3. เครื่องดื่มอัดลม เบียร์ และของดื่มบรรจุขวด
หลายคนชอบแช่เบียร์ โคล่า หรือเครื่องดื่มอัดลมในช่องแช่แข็งเพื่อให้เย็นเร็ว แต่ความจริงแล้วนี่คือพฤติกรรมเสี่ยงอันตราย!
เพราะเครื่องดื่มอัดลมมีคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่ภายใน เมื่อถูกแช่เย็นจัดจนเริ่มแข็งตัว ปริมาตรของน้ำในขวดจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้แรงดันภายในเพิ่มขึ้นจนขวดแตกหรือระเบิดได้
มีหลายกรณีที่ผู้ใช้เปิดตู้เย็นแล้วถูกเบียร์หรือโคล่าระเบิดใส่หน้า ไม่เพียงทำให้บาดเจ็บจากเศษแก้วหรือกระป๋อง แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับช่องแช่แข็ง เช่น รอยร้าวในถาดพลาสติกหรือขอบยางประตู
4. อาหารที่ยังเปียกน้ำ
นิสัยที่หลายคนมองว่าไม่เป็นไรอย่าง “ล้างแล้วแช่เลย” แท้จริงแล้วเป็นตัวการทำให้ตู้เย็นเสื่อมสภาพ
ไม่ว่าจะเป็นผัก เนื้อ ปลา หรือผลไม้ หากยังมีน้ำหลงเหลืออยู่ เมื่อถูกแช่แข็ง น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งที่เกาะบนพื้นผิวอาหารและผนังช่องแช่แข็ง เมื่อดึงออกอาจทำให้ถาดหรือฉนวนกันความเย็นแตก และหากน้ำแข็งเกาะหนา ยังขวางการไหลเวียนของอากาศเย็น ทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น กินไฟมากขึ้น และอายุการใช้งานสั้นลง
คำแนะนำจากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ของทั้ง 4 อย่างนี้ดูเหมือนไม่อันตราย แต่ในความเป็นจริงกลับเป็น “ตัวการเงียบ” ที่ทำลายตู้เย็นของคุณอย่างช้าๆ หากตู้เย็นในบ้านมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ควรรีบเอาออกทันที
ก่อนนำอาหารเข้าช่องแช่แข็ง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า:
- อาหารบรรจุในภาชนะพลาสติกทนความเย็นหรือถุงซิปที่ออกแบบมาสำหรับแช่แข็งโดยเฉพาะ
- ไม่มีน้ำค้างอยู่ ไม่มีอากาศหรือก๊าซอัดอยู่ภายใน
- อย่าแช่ของแน่นเกินไป เพื่อให้ลมเย็นหมุนเวียนได้ทั่วถึง
เพียงเท่านี้ ตู้เย็นของคุณก็จะปลอดภัยและใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 61,700.00 | 61,800.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,989.00 | 60,473.24 | 62,600.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,590.10 | 54,425.92 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,191.20 | 48,378.59 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,795.05 | 27,212.96 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,396.15 | 21,165.63 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,133.68 | 62,666.59 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.65 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.44 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







