สาระน่ารู้ประจำวันที่ 2 มิถุนายน 2568

อสังหาฯจ่อฟื้นตัวหลังผู้บริโภคปรับพฤติกรรมหลังแผ่นดินไหว

DDproperty ชี้ซื้อ-เช่ายังเติบโต หนุนอสังหาฯจ่อฟื้นตัว โดยเฉพาะแนวราบและกลุ่มเช่าระดับบน เมื่อผู้บริโภคปรับพฤติกรรมหลังแผ่นดินไหว

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 เปิดฉากด้วยสัญญาณการฟื้นตัว แม้จะเผชิญแรงกระแทกจากเหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมาเมื่อปลายมีนาคม แต่พฤติกรรมผู้บริโภคกลับสะท้อนการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญ นำโดยความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลล่าสุดจาก DDproperty แพลตฟอร์มซื้อ-ขายอสังหาฯ รายใหญ่ เผยให้เห็นว่าจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เดือนเมษายนเพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนความสนใจในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงแข็งแรง ท่ามกลางความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายนอกและความกังวลด้านความปลอดภัย

“แม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด แต่ผู้บริโภคยังคงมองหาโอกาสในการครอบครองที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคงและการใช้ชีวิต”

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนหลังแผ่นดินไหว

คอนโดฯสะเทือน แนวราบรับอานิสงส์ ความต้องการซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ ลดลง 14% จากเดือนก่อน ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมกลับเพิ่มขึ้น 8% และ 6% ตามลำดับ เหตุผลหลักคือความกังวลด้านความปลอดภัยของอาคารสูงหลังเกิดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว

กลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปเริ่มขยับ

แม้ผู้ซื้อกว่า 46% ยังมองหาบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่ระดับราคาที่เติบโตเร็วที่สุดคือกลุ่มเกิน 10 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 6% เปรียบระหว่างเดือนที่ผ่านมา ( Month on Month:MoM) สะท้อนสัญญาณดีในตลาดระดับบน

ตลาดเช่าโตแรง โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมียม

ความต้องการเช่าทุกรูปแบบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทาวน์โฮมที่โต 31% MoM ส่วนระดับค่าเช่าที่สูงกว่า 30,000 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นถึง 28% MoM สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในทำเลและคุณภาพชีวิต

“ตลาดเช่ายังมีแรงหนุนจากกลุ่มมืออาชีพและต่างชาติที่มองหาทางเลือกการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น”

แม้ปี 2568 จะเริ่มต้นด้วยแรงสั่นสะเทือนเชิงกายภาพ แต่ในมุมของตลาดอสังหาฯ กลับเป็นปีที่ผู้บริโภคเริ่มปรับพฤติกรรมและมองหา ‘ความมั่นคงใหม่’ ผ่านรูปแบบการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ยุคหลังโควิดและภัยธรรมชาติ ความยืดหยุ่นจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของพื้นที่อีกต่อไป แต่รวมถึงความสามารถในการเข้าใจและตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นี่ไม่ใช่เพียงโอกาสของผู้บริโภค แต่คือจังหวะที่ผู้ประกอบการต้องอ่านเกมให้ออก และปรับตัวให้เร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


5ขั้นตอนวางแผนซื้อบ้านคุ้มค่าในยุคที่โอกาสเป็นของคนพร้อม

แม้ตลาดอสังหาฯ จะเปิดโอกาสมากขึ้น แต่การซื้อบ้านยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องอาศัย “การวางแผน” ไม่ใช่แค่ “อารมณ์” เปิด5ขั้นตอนวางแผนซื้อบ้านคุ้มค่าโอกาสทองของคนพร้อม

ซื้อบ้านอย่างมืออาชีพ ต้องเริ่มจากแผนมากกว่าแค่ฝัน
หลายคนอยากมีบ้านเป็นของตัวเองแต่รู้หรือไม่ว่า ความฝันจะกลายเป็นความจริงได้นั้นไม่ได้เริ่มจากการดูโครงการ หรือถามหาโปรโมชัน
แต่เริ่มจาก “แผนที่ดี” และ “การเตรียมความพร้อม”

ข้อมูลจาก DDproperty แพลตฟอร์มอสังหาฯ เผย 5 ขั้นตอนที่ผู้บริโภคควรรู้ ก่อนจะตัดสินใจเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดฯ
เพราะการก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว อาจนำไปสู่หนี้ที่แบกไม่ไหวในระยะยาว

“บ้านไม่ใช่ของถูก แต่ถ้าเตรียมพร้อมดี มันคือทรัพย์สินที่เพิ่มค่าได้ในอนาคต”

วางแผนให้รอบก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

 1. เริ่มจากสิ่งที่ ‘ไหว’ ไม่ใช่สิ่งที่ ‘อยากได้’
เลือกบ้านให้เหมาะกับรายได้และภาระที่มีอยู่เริ่มจากคำนวณวงเงินกู้จากรายได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่าย)เพื่อตั้งงบประมาณที่ “ไหวจริง” ไม่ใช่แค่ “พอใจ”และอย่าลืมมองภาพรวมของครอบครัว ทั้งไลฟ์สไตล์ ทำเล และขนาดพื้นที่

 2. ฐานการเงินแข็งแรง = ลดความเสี่ยงหนี้ล้ม
อสังหาฯ คือหนี้ระยะยาว การเตรียมเงินดาวน์และค่าธรรมเนียม
ควรเริ่มจากการมีเงินออมฉุกเฉิน 3-6 เดือนก่อนค่าใช้จ่ายผ่อนไม่ควรเกิน 40% ของรายได้และควรมีวินัยการเงินดีพอ เช่น จ่ายหนี้ตรงเวลา ไม่มีภาระบัตรเครดิตล้นมือ

“คนที่เครดิตดี ไม่ใช่คนรวย แต่คือคนที่วางแผนล่วงหน้าและรักษาวินัยทางการเงินได้”

3. Pre-approve คืออาวุธลับของคนอยากซื้อบ้านอย่างฉลาด
ก่อนลงชื่อจองบ้าน การยื่น “Pre-approve” กับธนาคารจะช่วยให้รู้ว่าคุณมีสิทธิ์กู้ได้จริงไหม ในวงเงินเท่าไร หากไม่ผ่าน ยังมีโอกาสกลับไปปรับแผนก่อนตัดสินใจซื้อจริงและยังช่วยคัดกรองโครงการให้เหมาะกับศักยภาพทางการเงินของคุณด้วย

อย่าลืมเปรียบเทียบโปรโมชันก่อนตัดสินใจแม้จะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน แต่ถ้าตัดสินใจเร็วเกินไปโดยไม่ดูโปรโมชันอาจพลาดดีลดีที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ย หรือของแถมหลักแสน

โปรโมชันจากดีเวลอปเปอร์ร่วมกับธนาคารมักมาพร้อมข้อเสนอที่จำกัดเวลา เช่น ดอกเบี้ยพิเศษ หรือฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนดังนั้นจง “ช้าให้พอคิดได้” แต่ “ไวพอจะคว้าโอกาส”

“บ้านดี+โปรโมชันใช่ อาจช่วยให้คุณประหยัดได้หลักแสน หรือแม้แต่ล้าน”

บ้านที่ใช่ เริ่มจากแผนที่ชัดการซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของ “ข้อมูล + วินัย + จังหวะ”  5 ขั้นตอนวางแผนที่ดี คือการลงทุนในอนาคตของคุณเพราะบ้านไม่ได้เป็นแค่ที่อยู่ แต่มันคือต้นทุนของความมั่นคงในชีวิต

หากคุณวางแผนได้ดีพอโอกาสเป็นเจ้าของบ้านดี ๆ ในราคาที่คุ้มค่า… อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“กัลฟ์” จ่อขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3 แสนล้าน ใช้รีไฟแนนซ์-ลงทุน

กัลฟ์เตรียมเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3 แสนล้านบาท ใช้ทยอยรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม และลงทุนโครงการใหม่ภายใน 5-10 ปี

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 68 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 300,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิม รวมถึงรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัทฯ ในอนาคต

“วงเงิน 300,000 ล้านบาทที่ได้รับอนุมัติดังกล่าว เป็นเพียงกรอบวงเงินสูงสุดสำหรับการออกหุ้นกู้ในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ จะทยอยออกหุ้นกู้ในแต่ละปีประมาณ 30,000–50,000 ล้านบาทต่อปี ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงินทุนและภาวะตลาดในช่วงเวลานั้น“

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดหุ้นกู้คงค้างอยู่จำนวน 185,500 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดในระหว่างปี 2568 – 2578 ซึ่งได้รวมอยู่ในวงเงินใหม่จำนวน 300,000 ล้านบาทนี้แล้ว และจะดำเนินการรีไฟแนนซ์ภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ 

ขณะที่วงเงินส่วนที่เหลือจะถูกจัดสรรเพื่อรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (LNG Terminal) โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 

และโครงการภายใต้ธุรกิจดิจิทัล เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นต้น โดยจำนวนหุ้นกู้ที่จะออกจริงอาจต่ำกว่าวงเงินสูงสุดที่ได้รับอนุมัติ ขึ้นอยู่กับแผนการดำเนินงานและความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา

อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ อย่างยั่งยืน GULF ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยตั้งเป้าให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) ไม่เกิน 2 เท่า ตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โค้ชอ๊อต-เฝิงคุน นำวอลเลย์บอลหญิงไทยซ้อมเข้มก่อนดวลโปแลนด์ VNL 2025

ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยลงฝึกซ้อมเต็มรูปแบบ 2 ชั่วโมงเต็มที่ปักกิ่ง นำโดย โค้ชอ๊อต-เฝิงคุน เพื่อเตรียมพร้อมชน โปแลนด์ 4 มิ.ย. ในศึก VNL 2025

ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดลุยศึก เนชันส์ ลีก 2025 (FIVB Volleyball Nations League 2025) เดินหน้าฝึกซ้อมเข้มข้น ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน หลังจากได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสถานเอกอัครราชทูตไทย โดยมี “โค้ชอ๊อต” เกรียติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอน และ “เฝิงคุน” ผู้จัดการทีมคนใหม่ ทำหน้าที่ร่วมกันนำทัพในการฝึกซ้อมครั้งนี้

การฝึกซ้อมใช้เวลารวม 2 ชั่วโมงเต็ม ที่สนามฝึกของสโมสรวอลเลย์บอลปักกิ่ง เน้นทั้ง การทำสมาธิ, ทดสอบระบบรับ-ตบ, การเซตบอล, และ การเล่นเกมสมมุติจริงแบบเก็บคะแนน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเจอของจริง

โค้ชอ๊อต เริ่มต้นด้วยการนำนักกีฬาทำสมาธิเพื่อเสริมจิตใจให้มั่นคง จากนั้นแบ่งทีมฝึกการรับบอลแรกให้แม่นจุดเซตเตอร์ พร้อมเกมฝึกเข้มข้นในสนาม ขณะที่ เฝิงคุน ภรรยาของโค้ชอ๊อต ซึ่งทำหน้าที่ผู้จัดการทีมสนามแรกของปีนี้ ก็ลงมาช่วยฝึกนักกีฬาตำแหน่งเซตเตอร์อย่างใกล้ชิด

หลังจบการฝึกซ้อม เฝิงคุน กล่าวแสดงความรู้สึกว่า “ดีใจและตื่นเต้นที่ได้ทำหน้าที่นี้เป็นครั้งแรกกับทีมชาติไทย ขอให้ทุกคนโชคดีและพร้อมเต็มที่ในแมตช์เปิดสนาม”

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทยใน VNL 2025 สนามแรก จะพบกับ ทีมชาติโปแลนด์ ในวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

แฟนวอลเลย์บอลสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสดได้ทาง VBTV (Volleyball TV) แพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการของ Volleyball World ผ่านทางเว็บไซต์ tv.volleyballworld.com และแอปพลิเคชัน ทั้งระบบ iOS และ Android

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


8 วิธีป้องกัน RSV โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ในเด็กและผู้ใหญ่

ตอนนี้หันไปทางไหนก็มีแต่คนติดเชื้อไวรัส RSV กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ โรคนี้เป็นอย่างไร อันตรายมากกว่าไข้หวัดธรรมดาหรือไม่ และมีวิธีป้องกัน RSV อย่างไร Sanook! Health มีคำตอบจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขมาฝาก

โรค RSV คืออะไร?

โรค RSV หรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส Respiratory Syncytial Virus ที่ทำให้คนที่ติดเชื้อมีอาการคล้ายหวัด สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โดยไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอหรือจาม ในประเทศไทยพบเชื้อไวรัสอาร์เอสวีได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว

กลุ่มเสี่ยงโรค RSV

การติดเชื้อทางเดินหายใจ RSV จะพบได้ในทุกกลุ่ม แต่อาการจะรุนแรงในกลุ่มคนต่อไปนี้

  • เด็กเล็ก
  • เด็กที่คลอดก่อนกำหนด
  • ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ
  • ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ

อาการของโรค RSV

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ RSV ที่แสดงหลังสัมผัสถูกเชื้อไวรัสประมาณ 4-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีอาการ ดังนี้

  • มีไข้
  • ไอ
  • มีน้ำมูก
  • เจ็บคอ
  • หากอาการรุนแรง จะหายใจเร็ว หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเสบ
  • รับประทานอาหารได้น้อย
  • ซึมลง
  • อาการจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากผู้ป่วยเป็นเด็กเล็ก หรือคนชรา ที่ภูมิต้านทานต่ำกว่าปกติ

การรักษาโรค RSV

การรักษาส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการ ส่วนยาสำหรับการรักษาเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและยังไม่มีจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย

การป้องกันโรค RSV

ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี แต่เราสามารถป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้โดยวิธีต่อไปนี้

  1. หมั่นล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ เช่น ก่อนรับประทานอาหาร เป็นต้น
  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ติดเชื้อ เช่น ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กที่คลอดก่อนกำหนด และทารกในช่วงอายุ 1-2 เดือน 
  3. ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดมาป้ายจมูกหรือตา
  4. ไม่ควรใช้แก้วน้ำร่วมกันและหลีกเลี่ยงใช้แก้วน้ำที่ผู้ป่วยใช้แล้ว
  5. ทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังพบว่าเด็กที่ป่วยมาสัมผัสหรือเล่นของเล่นนั้นๆ 
  6. สำหรับผู้ป่วย หากมีอาการป่วยควรหยุดพัก และปิดปาก จมูก เมื่อไอหรือจาม
  7. ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ
  8. ดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำทำให้สารคัดหลั่ง เช่น เสมหะหรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนเกินไป และไม่ไปขัดขวางการทำงานของระบบทางเดินทางหายใจ

ตามปกติแล้ว อาการของการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีในเด็กโตและผู้ใหญ่จะดีขึ้น หลังได้รับการรักษาเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น หอบ เหนื่อย รับประทานอาหารได้น้อย ควรรีบพาไปพบแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ใช้ Do, Does, Did และ Done ในภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้อง

ในบทความนี้ จะทำให้รู้จักและเรียนรู้วิธีการใช้ Do, Does, Did และ Done อย่างละเอียด พร้อมทั้งยกตัวอย่างและอธิบายข้อผิดพลาดที่พบบ่อย เพื่อให้ใช้งานคำเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ

ในภาษาอังกฤษ คำว่า Do, Does, Did และ Done เป็นคำกริยาช่วยที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยคทั้งในรูปแบบบอกเล่า ปฏิเสธ และคำถาม ซึ่งมีการใช้งานที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับกาลเวลา (tense) และรูปแบบของประโยค ผู้เรียนภาษาอังกฤษหลายคนมักสับสนกับการใช้คำเหล่านี้ เนื่องจากมีกฎและรูปแบบการใช้งานที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจถึงความหมายและวิธีการใช้ที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างแม่นยำและถูกต้องมากขึ้น

1. ความหมายและการใช้งานของ Do และ Does

Do และ Does เป็นกริยาช่วย (Auxiliary Verbs) ที่ใช้ในการบ่งบอกถึงความเป็นปัจจุบัน (Present Tense) เพื่อสร้างประโยคคำถาม ปฏิเสธ หรือเพื่อเน้นความหมายของประโยคบอกเล่า ทั้งสองคำนี้มีความหมายคล้ายกันคือ “ทำ” แต่มีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับรูปแบบของประธานในประโยค โดยสามารถแบ่งการใช้งานออกได้ดังนี้

  • การใช้งาน Does ใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์ เช่น He, She, It
  • การใช้งาน Do ใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์ เช่น We, You, They และใช้ได้กับประธานเอกพจน์ที่เป็น “I” ในรูปปัจจุบัน

ตัวอย่างประโยคการใช้ Do และ Does

ใช้ในประโยคบอกเล่า

  • She does her homework every day. (เธอทำการบ้านทุกวัน)
  • We do our best to help the country. (พวกเราทำเต็มที่เพื่อช่วยเหลือประเทศ)
  • I do my homework every day. (ฉันทำการบ้านทุกวัน)

ใช้ในประโยคคำถาม

  • Do you like ice cream? (คุณชอบไอศครีมหรือไม่)
  • Does he go to school every day? (เขาไปโรงเรียนทุกวันหรือไม่)
  • Does it work properly? (มันทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่?)

ใช้ในประโยคปฏิเสธ

  • She doesn’t (does not) eat meat. (เธอไม่กินเนื้อ)
  • I don’t (do not) like coffee. (ฉันไม่ชอบกาแฟ)
  • They do not (don’t) understand the instructions. (พวกเขาไม่เข้าใจคำแนะนำ)

ใช้ Do ขึ้นต้นประโยค ทำให้เป็นประโยคคำสั่ง

  • Do your homework. (ทำการบ้านของคุณได้แล้ว)
  • Do it right now. (ทำมันเดี๋ยวนี้)
  • Do it again. (ทำมันอีกครั้ง)

หมายเหตุ

  • การใช้ Do และ Does จะใช้ในกรณีของปัจจุบันเท่านั้น และใช้ในประโยคที่ไม่มีกริยาช่วยอื่น ๆ
  • ในประโยคคำถามและปฏิเสธ คำกริยาหลักที่ตามหลัง Do จะไม่ต้องเปลี่ยนรูป (ยังคงใช้รูปกริยาช่องที่ 1) เช่น “Do you go?” ไม่ใช่ “Do you goes?”
  • การใช้ Do และ Does ตามประธานในประโยคเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ประโยคมีความถูกต้อง

2. ความหมายและการใช้งานของ Did

Did เป็นรูปอดีต (Past Tense) ของ Do และ Does ใช้เมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยไม่คำนึงถึงว่าประธานของประโยคเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ การใช้งาน Did คล้ายกับ Do และ Does แต่เน้นที่เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมด Did สามารถใช้ได้ทั้งในประโยคคำถาม ประโยคบอกเล่า และประโยคปฏิเสธ โดยใช้งานดังนี้

การใช้ในประโยคบอกเล่า ในการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต Did จะใช้เป็นกริยาหลักที่หมายถึง “ทำ” การกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว โดยกริยาที่ตามมาจะอยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 ไม่ใช่กริยาช่องที่ 2 แม้จะเป็นอดีตก็ตาม

  • We did our homework yesterday. (ฉันทำการบ้านเมื่อวานนี้)
  • He did his homework last night. (เขาทำการบ้านเมื่อคืน)
  • I just did my nail yesterday. (ฉันเพิ่งทำเล็บมาเองเมื่อวาน)

การใช้ในประโยคคำถาม เมื่อใช้ Did ในการตั้งคำถามเพื่อถามถึงเหตุการณ์ในอดีต รูปแบบกริยาหลักที่ตามหลัง Did จะอยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 เสมอ (base form) ไม่ใช่กริยาช่องที่ 2 หรือรูปอดีต

  • Did you go to the party last night? (เมื่อคืนคุณไปปาร์ตี้นั้นหรือ?)
  • Did she finish her work? (เธอทำงานของเธอเสร็จแล้วหรือ?)
  • Did my cat eat your fish? (แมวฉันกินปลาของคุณไปหรือ?)

การใช้ในประโยคปฏิเสธ เราจะใช้ Did not หรือ Didn’t ในประโยคปฏิเสธโดยกริยาหลักที่ตามมา ยังคงเป็นรูปกริยาช่องที่ 1 เช่นเดียวกับประโยคคำถาม

  • I didn’t (did not) go to the meeting. (ฉันไม่ได้ไปประชุม)
  • He didn’t (did not) call me. (เขาไม่ได้โทรหาฉัน)
  • Her dog didn’t bite your shoes. (หมาเธอไม่ได้กัดรองเท้าของคุณ)

หมายเหตุ

  • Did ใช้กับประธานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์
  • Did ใช้เมื่อพูดถึงอดีต ไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ กริยาหลักที่ตามหลัง Did จะต้องเป็นรูปกริยาช่องที่ 1 เสมอ
  • Did จะใช้เฉพาะเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น

เพิ่มเติม: ใช้ Do Does Did ในการเน้นกริยาว่าทำสิ่งนั้นจริง ๆ

  • I do love you. (ฉันรักคุณจริง ๆ)
  • She does have a new luxury car. (เธอมีรถหรูคันใหม่จริง ๆ)
  • I did bake this cake myself. (ฉันอบเค้กนี้เองจริง ๆ)

3. ความหมายและการใช้งานของ Done

Done เป็นคำกริยาช่องที่ 3 (Past Participle) ของคำว่า Do ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาษาอังกฤษ โดย Done มักถูกใช้ในรูปประโยคที่เป็น Perfect Tense หรือ Passive Voice เพื่อบอกถึงการกระทำที่เสร็จสิ้นไปแล้วหรือมีการกระทำต่อประธานโดยผู้อื่น การใช้งานของ Done แตกต่างจาก Do และ Did ตรงที่มันไม่ได้ใช้เป็นกริยาหลักในประโยค แต่ใช้ร่วมกับกริยาช่วย เช่น have, has, had หรือใช้ในโครงสร้าง Passive Voice โดยใช้งานดังนี้

การใช้ใน Present Perfect Tense Done จะใช้กับกริยาช่วย have หรือ has เพื่อบอกถึงการกระทำที่เสร็จสิ้นไปแล้วในอดีต แต่มีผลลัพธ์มาถึงปัจจุบัน การใช้ Present Perfect Tense มักจะเน้นที่การเสร็จสมบูรณ์ของการกระทำหรือประสบการณ์

  • I have done my homework. (ฉันทำการบ้านเสร็จแล้ว)
  • She has done her project. (เธอทำโปรเจ็กต์เสร็จแล้ว)
  • You haven’t (have not) done your job. (คุณยังทำงานของคุณไม่เสร็จ)

การใช้ใน Past Perfect Tense โดยใช้คู่กับกริยาช่วย had เพื่อบอกว่าการกระทำสิ้นสุดก่อนเหตุการณ์อื่นในอดีต

  • They had done the work before the deadline. (พวกเขาทำงานเสร็จก่อนกำหนด)
  • She had done nothing wrong. (เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย)
  • We had done homework when our parents arrived home yesterday. (เราเพิ่งทำการบ้านเสร็จ ตอนที่พ่อแม่ของเรากลับมาถึงบ้านเมื่อวานนี้)

การใช้ในโครงสร้าง Passive Voice

  • The work is done. (งานเสร็จแล้ว)
  • Everything was done by the team. (ทุกอย่างถูกทำเสร็จแล้วโดยทีม)
  • Let it be done by yourself. (ทำมันด้วยตัวคุณเอง)

ในประโยคที่เป็น Idioms หรือการเน้นถึงความสมบูรณ์

  • I’m done with my project. (ฉันทำโปรเจ็กต์เสร็จแล้ว)
  • We are done here. (เราทำเสร็จที่นี่แล้ว)
  • I’m done with you. (ฉันจะไม่ทนคุณอีกแล้ว พอกันที)

หมายเหตุ

  • Done จะไม่ถูกใช้เดี่ยว ๆ ในประโยค แต่จะใช้คู่กับ has, have หรือ had เพื่อแสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว

4. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Do, Does, Did, Done

การใช้ Do, Does, Did และ Done อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารภาษาอังกฤษ เนื่องจากคำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกริยาช่วย (Auxiliary Verbs) และมีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยคคำถาม ปฏิเสธ และเน้นย้ำการกระทำ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการใช้ในประโยคต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารหรือทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์ ซึ่งหลายคนมักมักจะใช้ผิดพลาดเนื่องจากความสับสนในกฎและรูปแบบการใช้งาน ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมีดังนี้

ใช้ Does ผิด ไปใช้กับประธานพหูพจน์

  • ผิด: They does go to school every day.
  • ถูก: They do go to school every day.

ใช้ Did แต่ยังคงกริยาหลักในรูปอดีต

  • ผิด: She did went to the store.
  • ถูก: She did go to the store.

ใช้ Done ผิดในประโยคที่ไม่ใช่ Perfect Tense หรือ Passive Voice

  • ผิด: I done my homework.
  • ถูก: I have done my homework.
  • ผิด: She done the project.
  • ถูก: She has done the project.

ใช้ Do/Does ในประโยคอดีต

  • ผิด: He does his homework yesterday.
  • ถูก: He did his homework yesterday.
  • ผิด: They do not go to the party last night.
  • ถูก: They did not go to the party last night.

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


พบ Username/Password รั่ว นับล้านบัญชี เหตุใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน

สกมช.ตรวจพบ Username/Password รั่ว นับล้านบัญชีรายชื่อ เหตุจากการใช้ Software เถื่อน เสี่ยงถูกโจมตีระบบองค์กรและขโมยเงินหมดบัญชี

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (ลธ.กมช.) เปิดเผยว่า“จากการตรวจสอบของ สกมช. โดย ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) พบว่า มีประชาชนจำนวนมากที่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน ซึ่งถือเป็นประตูสู่ภัยคุกคามไซเบอร์ต่อบุคคลและองค์กร

สาเหตุหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ในหลายหน่วยงาน มักเริ่มจากการติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อน ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงาน, หรือ อุปกรณ์ที่ใช้งานภายในองค์กร อุปกรณ์เหล่านั้นมักมีข้อมูลสำคัญ มีช่องทางในการเข้าถึงระบบภายในขององค์กร หรือ Username/Password สำหรับเข้าระบบภายในขององค์กร เช่น VPN, Remote Desktop, หรือ Cloud System

เมื่อมัลแวร์สามารถเข้าถึง Credential เหล่านั้นได้ แฮกเกอร์จะสามารถเข้าถึงระบบภายในขององค์กรได้โดยไม่มีการเตือนจากระบบตรวจจับการโจมตี เนื่องจากใช้บัญชีผู้ใช้ที่เชื่อถือได้ จากนั้นก็สามารถเข้าถึงระบบงานที่สำคัญต่อไปได้ นำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูล หรือถูกโจมตีด้วย Ransomware ซึ่งตรวจพบการรั่วไหลมากกว่าล้านบัญชีรายชื่อ และส่งผลต่อการถูกขโมยเงินสกุลดิจิทัล (คริปโต) จนหมดบัญชีได้”

จากการตรวจสอบของ ThaiCERT พบว่า มัลแวร์หลายรูปแบบแฝงมากับซอฟต์แวร์เถื่อน ซึ่งภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พบบ่อย เช่น Phishing คือ การหลอกลวงทางออนไลน์ โดยมิจฉาชีพจะปลอมตัวเป็นหน่วยงานหรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ แล้วส่งอีเมล ข้อความ หรือเว็บไซต์ปลอม มาหลอกให้เรากรอกข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรประชาชน หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร และในระดับองค์กรส่วนใหญ่มักตรวจสอบพบ Ransomware คือ ไวรัสเรียกค่าไถ่ที่แฝงเข้ามาในคอมพิวเตอร์ แล้วล็อกไฟล์ทั้งหมดไม่ให้เราเปิดใช้ได้ จากนั้นคนร้ายจะส่งข้อความมาขู่เรียกเงิน

นอกจากนี้ยังพบเหตุการณ์ Cryptojacking คือการที่มิจฉาชีพแอบใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือของเราแอบขุดเหรียญคริปโต เช่น บิตคอยน์ โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลให้เครื่องร้อนทำงานช้า เพราะถูกใช้ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จาวมะพร้าวคืออะไร เปิดประโยชน์ของดีหายากจากธรรมชาติ

จาวมะพร้าว คือส่วนหนึ่งของมะพร้าวที่คนโบราณยกย่องว่าเป็นของดีจากธรรมชาติ หลายคนอาจเคยเห็นแต่ไม่รู้ว่ากินได้และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน มาทำความรู้จักกับจาวมะพร้าว พร้อมเคล็ดลับการกินอย่างปลอดภัยกันเลย

จาวมะพร้าวคืออะไร

จาวมะพร้าว คือเนื้อสีขาวนวลหรือเหลืองอ่อน ที่เกิดขึ้นภายในผลมะพร้าวแก่ที่เริ่มงอกเป็นต้นอ่อน โดยธรรมชาติแล้ว มะพร้าวเมื่อสุกเต็มที่จะมีเนื้อมะพร้าวที่แข็ง หากเก็บไว้นานจนเริ่มงอก ต้นอ่อนของมะพร้าวจะดูดซับสารอาหารจากเนื้อมะพร้าวเดิม กลายเป็นเนื้อฟู นุ่ม เบา คล้ายฟองน้ำ ซึ่งเราเรียกว่า “จาวมะพร้าว” นั่นเอง

รสชาติของจาวมะพร้าว

จาวมะพร้าว เกิดขึ้นจากการสลายไขมันและแป้งในเนื้อมะพร้าวเดิมเพื่อนำไปเลี้ยงต้นอ่อน ทำให้มีรสชาติหวานมันอ่อนๆ เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน

ประโยชน์ของจาวมะพร้าว

การกินจาวมะพร้าวไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติที่อร่อยกรอบนอกนุ่มใน แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่น่าสนใจ เช่น

  • อุดมด้วยไฟเบอร์ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
  • มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ให้พลังงานและอิ่มท้องนาน
  • มีกรดไขมันดีจากมะพร้าวที่ช่วยบำรุงร่างกาย
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณเล็กน้อย ช่วยลดความเสี่ยงการอักเสบ
  • คนโบราณเชื่อว่าช่วยบำรุงร่างกายและเพิ่มความแข็งแรง

อย่างไรก็ตาม การกินจาวมะพร้าวควรเลือกกินจาวมะพร้าวที่ไม่เก็บไว้นานเกินไปหรือขึ้นรา เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ

วิธีเลือกและกินจาวมะพร้าว

  • เลือกจาวมะพร้าวที่มีสีขาวหรือเหลืองอ่อน ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือเชื้อรา
  • กินสดๆ หรือใช้ทำเมนูหวาน เช่น ขนมไทย หรือเติมในเครื่องดื่ม
  • ถ้าชอบรสหวาน มักกินกับน้ำเชื่อมหรือน้ำกะทิ
  • อย่ากินมากเกินไป เพราะไฟเบอร์สูง อาจทำให้ท้องอืดได้

จาวมะพร้าว ไม่ใช่แค่ของกินเล่นธรรมดา แต่ยังเป็นแหล่งสารอาหารจากธรรมชาติที่หากินได้ยากและมีคุณค่าทางโภชนาการ การกินอย่างพอดีและปลอดภัยจะช่วยให้เราได้ประโยชน์เต็มที่จากของดีที่ธรรมชาติมอบให้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/06/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,300.0051,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,316.0050,270.5652,200.00
ทองรูปพรรณ 90%2,984.4045,243.50n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,652.8040,216.45n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,492.2022,621.75n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,160.6017,594.70n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,436.2752,093.85n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1448.8449.8448.8441.14
เบนซิน 9540.8448.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า