อสังหาฯ ปี 68 ท้าทายธุรกิจปรับแผน! ค้าปลีกฟื้นช้า บ้านทรงตัว

จับชีพจรตลาดอสังหาฯ ไทย ปี 2568 เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจไทย – โลก “ซีบีอาร์อี” ชี้แนวโน้มหลายเซกเตอร์เริ่มกลับมาฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการยังระมัดระวังลงทุนมากขึ้น
รุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี (CBRE) ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 5 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ที่พักอาศัย สำนักงาน ค้าปลีก โรงแรม อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ กำลังฟื้นตัวในระดับแตกต่างกัน กลุ่มที่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง นำโดยโรงแรม อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ส่วนกลุ่มที่กำลังกลับมาฟื้นตัวได้แก่ ค้าปลีก พื้นที่สำนักงาน และที่พักอาศัย ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
ภาพรวมตลาดมีปัจจัยกระทบหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจไทย ตลาดโลก เงินเฟ้อ ความท้าทายเรื่องสิ่งแวดล้อม การปรับตัวของภาคธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยกลุ่มที่ขยายตัวดี คือ โรงแรม มาจากการท่องเที่ยวไทยเติบโตดี จากมาตรการภาครัฐ อาทิ เปิดฟรีวีซ่ารวม 93 ประเทศดึงนักท่องเที่ยว ทำให้มีการขยายโรงแรมใหม่และราคาของห้องพักในกรุงเทพสูงขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ขยายตัวต่อเนื่องจากการลงทุนใหม่ในพื้นที่อีอีซี ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า โลจิสติกส์ และดิจิทัล รวมถึงตลาดพื้นที่สำนักงาน มีการเข้ามาใช้พื้นที่มากขึ้น ส่วนตลาดค้าปลีก หลายศูนย์การค้ามีการรีโนเวทพื้นที่ใหม่และความสนใจเข้ามาลงทุนของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการเน้นทำตลาดในโครงการเดิมที่มีอยู่เพื่อ “เคลียร์สต็อก” ไม่เน้นเปิดโครงการใหม่ ซึ่งตลาดที่ไปได้ดีอยู่คือ กลุ่มลักชัวรี

ซัพพลายโรงแรมลักชัวรีพุ่ง
โชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและให้คำปรึกษา กล่าวเสริมว่า กลุ่มโรงแรมขยายตัวสูง ปีนี้ประเมินว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนที่มี 35.5 ล้านคน นักท่องเที่ยวกลุ่มหลัก คือ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซียและไต้หวัน คาดโรงแรมมีซัพพลายทั้งหมด 80,000 คีย์ เพิ่มขึ้น 7% และซัพพลายกลุ่มใหม่ที่เข้ามาคือ ลักชัวรี ทำให้ราคาห้องพักปรับเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4,000 บาทต่อคืน
โดยมีโรงแรมใหม่เปิดตัวในปีนี้ อาทิ แอนดาซ วัน แบงค็อก 260 คีย์, แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี 512 คีย์ และ อมัน นายเลิศ 52 คีย์ โรงแรมแห่งนี้ราคาห้องพัก 50,000 บาทต่อคืน ทุบราคาห้องพักสูงสุดของโรงแรมในกรุงเทพฯ จากที่ผ่านมาห้องพักราคาสูงอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
กลุ่มอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ มีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องในช่วง 3 ปี ทำเลหลัก ได้แก่ อีอีซี มีการลงทุนทั้งพื้นที่สร้างใหม่ในนิคมอุตสาหกรรม จากรถยนต์ไฟฟ้า ไฮเทคและเซมิคอนดัคเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ทำให้ชัพพลายมีน้อยกว่าดีมานด์แล้ว ต่อมา พื้นที่ให้เช่าสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงแวร์เฮ้าส์ มีพื้นที่ใหม่ 1.5 แสน ตร.ม. มีอัตราการเช่า 86% ถือว่าอยู่ในระดับทรงตัว
ค้าปลีกฟื้นตัวช้าสุด
กลุ่มค้าปลีก มีการฟื้นตัวช้ากว่าเซกเตอร์อื่นๆ โดยปีนี้มีพื้นที่ใหม่ 2.5 แสนตร.ม. จากโครงการวัน แบงค็อก เฟสใหม่ โครงการเซ็นทรัลพาร์ค รวมถึงการรีโนเวทหลายทำเลของศูนย์การค้าเซ็นทรัล อีกทั้งมีแบรนด์ใหม่ๆ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาเช่าพื้นที่ โดยเฉพาะแบรนด์จากญี่ปุ่นและจีน ต่อมากลุ่มแฟชั่นและสินค้าลักชัวรี เข้ามาเปิดตลาดในไทย
กลุ่มสำนักงาน ภาพรวมปีนี้มีซัพพลายใหม่ 4.8 แสน ตร.ม. จาก 9 โครงการใหม่ อาทิ วัน แบงค็อก อาคาร 5, ซัมมิท ทาวเวอร์, เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศ, บีทีเอส วิชั่นนารี พาร์ค, เอไอเอ คอนเน็คท์ และ ครีเอเตอร์ วิลเลจ ส่วนใหญ่เป็นสำนักงานเกรดเอและเอพลัส ส่งผลซัพพลายทั้งหมดในตลาดรวม 10 ล้าน ตร.ม. อัตราการเช่า 78% ขณะที่อัตราเช่าพื้นที่ทำเลซีบีดี ออฟฟิศเกรดเอ และเอพลัส อาจปรับขึ้น 3% แต่ทำเลอื่นๆ อาจปรับลดราคาลงเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้า
“สำนักงานราว 60% เปิดให้บริการมากกว่า 25 ปี ทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับโฉมพื้นที่ใหม่ ลงทุนด้านดิจิทัล บางทำเลทุบตึกสร้างใหม่ หรือปรับไปทำมิกซ์ยูส ขยายไปสู่โรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์”
ที่พักอาศัยชะลอเปิดตัวโครงการใหม่
อาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย กล่าวว่า ผู้ประกอบการมีการปรับแผนลงทุนหลายด้าน โดยทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ปีนี้ มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ 3,986 ยูนิต มิดทาวน์/ชานเมือง 37,000 ยูนิต ถือว่า “ชะลอตัว” จากปี 2567 สร้างเสร็จพื้นที่ใจกลางเมือง 4,230 ยูนิต มิดทาวน์/ชานเมือง 44,200 ยูนิต
คอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ ในกรุงเทพฯ ใจกลางเมือง 3,600 ยูนิต มิดทาวน์/ชานเมือง 20,400 ยูนิต ชะลอตัวจากในปี 2567 ใจกลางเมือง มี 3,029 ยูนิต มิดทาวน์/ชานเมือง 25,500 ยูนิต ส่วนโครงการบ้านเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ 18,000 ยูนิต น้อยสุดในรอบ 10 ปี ลดลงต่อเนื่องจากในปี 2567 มีจำนวน 22,500 ยูนิต
ประเมินภาพรวมปีนี้ มีโครงการบ้านที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่ได้ขายรวม 1.59 แสนยูนิต เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 1.55 แสนยูนิต ส่วนยอดการโอนปีนี้คาดอยู่ที่ 30,000 ยูนิต ลดลงจากปีก่อนที่มี 32,000 ยูนิต
“ผู้ประกอบการต้องการระบายโครงการในสต็อก เพื่อบาลานซ์ตลาด คาดใช้เวลา 5 ปี ทำให้ราคาที่พักอาศัยพื้นที่ชานเมืองค่อนข้างทรงตัวจากการแข่งขันสูง มีซัพพลายจำนวนมาก ส่วนพื้นที่ใจกลางเมืองราคาปรับขึ้นเล็กน้อย”
ขณะที่ภาพรวมการถือครองที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติทั่วประเทศ มีสัดส่วน 16.5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ทำเลหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี พื้นที่อีอีซี
ส่วนที่อยู่อาศัยกลุ่มลักชัวรี ถือเป็นตลาดที่มีความเฮลธ์ตี้ แบ่งเป็นระดับราคา 30-70 ล้านบาท ซูเปอร์ลักชัวรี ราคา 70-100 ล้านบาท และอัลตร้า ลักชัวรี ราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยจำนวนมากสุดในตลาดคือ “ลักชัวรี” โดยภาพรวมจำนวนโครงการกับยอดขาย หรือ เซลส์เพอร์ฟอร์แมนซ์ ประมาณ 50% ซูเปอร์ลักชัวรี 90% และ อัลตร้า ลักชัวรี 70% เนื่องจากมีโครงการไม่มาก
ตลาดที่มาแรง “ภูเก็ต” เป็นปีทองทั้งซัพพลายและดีมานด์ ได้รับความนิยมทั้งคอนโดมิเนียมและวิลล่า โดยคอนโดมิเนียม สร้างยอดขายได้ถึง 65% ประเมินตั้งแต่ปี 2569 จะมีซัพพลายใหม่เพิ่มเกือบเท่าตัว ส่วนวิลล่า มีซัพพลายปีนี้ 5,500 ยูนิต
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
10ปี ราคาที่ดินกลางเมืองพุ่ง 400%แตะตร.ว.ละ 4 ล้านบาท

“สืบพงษ์ เกียรติวิศาลชัย” คีย์แมน สยามสินธร ชี้ 10ปี ราคาที่ดินกลางเมืองพุ่ง 400%แตะตร.ว.ละ 4 ล้าน “สินธร วิลเลจ” จุดประกายมิกซ์ยูส บนที่ดินลิสโฮลด์ รายแรก ของไทย12ปีก่อน หลังสวน-ชิดลม ราคาที่ดิน9แสนถึง1ล้านบาทต่อตร.ว. แสนสิริ ที่มาของที่ดินทั้งย่าน4ล้านบาทต่อตร.ว.
ที่ดินย่านศูนย์กลางธุรกิจขยับร้อนแรงสวนทางเศรษฐกิจชะลอตัวเนื่องจากความต้องการยังมีต่อเนื่องขณะที่ดินหายาก และมีราคาแพง จุดเริ่มต้นของราคาที่ดินปรับตัวเริ่มมาจากโครงการสินธร วิลเลจ ของบริษัท สยามสินธร จำกัด พัฒนาโครงการมิกซ์ยูส บนที่ดินลิสโฮลด์ มาตั้งแต่ 12 ปีก่อน

ครั้งนั้นราคา อยู่ที่ตารางวาละ 9 แสนถึง 1 ล้านบาท เท่ากับ ที่ดินฟรีโฮลด์ ของ “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี” ที่กลุ่มเซ็นทรัลซื้อต่อมาจากสถานทูตอังกฤษ เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก ขณะโครงการนิมิต ของ “เพซ ดีเวลอปเมนท์” ซื้อที่ดินตารางวาละ 2 ล้านบาท

ในเวลาต่อมา ราวปี 2561 ในซอยหลังสวน ใกล้สถานีชิดลม ตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย สร้างปรากฎการณ์ สะท้านวงการอสังหาริมทรัพย์ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของที่ดินกลางใจเมืองครั้งสำคัญเมื่อบริษัท สโคป จำกัด โดยบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ประมูลซื้อที่ดิน ของตระกูลพิชัยรณรงค์สงคราม บ้านเก่าแก่เนื้อ 2 ไร่ เศษในราคา ตารางวาละ 3.1 ล้านบาท พัฒนาโครงการสุดหรู สโคป หลังสวน จุดประกายให้ที่ดินย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ขยายวงปรับราคาที่ดินไปที่3ล้านบาทต่อตารางวา
ไม่เพียงเท่านั้น เปิดบันทึก ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ บนถนนสารสิน ย่านปทุมวัน ตารางวาละ 3.9 ล้านบาท ทำนิวไฮที่ดินแพงสุดในประเทศ ไทย เมื่อบมจ.แสนสิริ ประกาศสวนโควิด ปิดดีลซื้อที่ดิน ฟรีโฮลด์ ในเดือนเมษายน 2563
ล้มแชมป์เก่า “สโคป” เนื้อที่เกือบ 2 ไร่ พร้อมอาคารซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “ฮักส์” ที่มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี ตารางเมตรละ 1 ล้านบาท เพียง 14 ยูนิตเท่านั้น และเป็นที่มาของราคาที่ดิน 4 ล้านบาทต่อตารางวา
นายสืบพงษ์ เกียรติวิศาลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษท สยามสินธร จำกัด วิเคราะห์ว่าในระยะ 10 ปี พบว่าที่ดินในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ขยับขึ้นมา 400% เป็นเรื่องที่ดีสำหรับ โครงการ สินธร วิลเลจ ที่ทำให้มูลค่าโครงการ ราคาขยับดีขึ้นแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ โดยทำเลเพลินจิต วิทยุ หลังสวน พระราม4 ราชประสงค์
โดยเป็นที่ดินที่แพงที่สุดแต่การพัฒนาส่วนใหญ่เป็นนิว ดีเวลลอปเมนท์สวนทางวิธีคิดของการพัฒนาเพราะที่ดินแพงจะพัฒนายาก แต่กลายเป็นว่ามีโครงการใหม่ขึ้นตลอดเวลาเพราะว่าศักยภาพโตเร็วกว่าราคาที่ดิน ทำให้เกิดความคุ้มทุนที่จะทุบสร้างใหม่ที่น่าจับตา !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20ก.พ.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาท เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ท่ามกลางความไม่แน่นอนการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของBOJ -มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20 ก.พ.2568 ที่ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.69 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ที่ทำให้การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์หลัก ไม่ว่าจะเป็นเงินดอลลาร์ (รวมถึงบรรดาสกุลเงินหลัก)
และราคาทองคำมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะทิศทางใด ทิศทางหนึ่งก็ตาม ซึ่งภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ เมื่อตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ หรือรับรู้ปัจจัยพิเศษ เช่น พัฒนาการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และผลการเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนี (รอลุ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้)
โดยเงินบาท (USDTHB) อาจยังมีโซนแนวต้านแถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับยังคงเห็นในช่วง 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับสำคัญถัดไป 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจแข็งค่าต่อได้ถึงโซน 33.30 บาทต่อดอลลาร์)
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.64-33.78 บาทต่อดอลลาร์) ตามการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่ยังพอได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของบรรดาผู้เล่นในตลาด
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งความไม่แน่นอนของแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 รวมถึงความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากแนวโน้มเฟดชะลอการลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ เงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องชัดเจน หลังราคาทองคำยังสามารถแกว่งตัวในกรอบ Sideways ได้ โดยมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นบ้าง ซึ่งช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft +1.3% ได้ที่อานิสงส์จากการเปิดตัว ชิปควอนตัมคอมพิวเตอร์ (QPU) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.24%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงกว่า -0.91% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประเภทรถยนต์ Semiconductor และยา
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจต้องการทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป โดยเฉพาะหุ้นเยอรมนีออกมาบ้าง ก่อนรับรู้ผลการเลือกตั้งเยอรมนีในช่วงสุดสัปดาห์นี้
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะยังคงเชื่อว่า เฟดมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ยและเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่ถึง 2 ครั้ง หรือ 50bps ตามที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด
ทว่า บรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม ได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.53% หลังจากปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.60% สะท้อนภาพว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ หรือ Buy on Dip
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้เงินดอลลาร์จะได้แรงหนุนอยู่บ้างจากความกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ
รวมถึงความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และแนวโน้มเฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย ทว่าภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด อีกทั้งมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดหวังแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้นสู่โซน 151 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถว 107.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107-107.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) จะเผชิญแรงกดดันจากการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดออกมาบ้าง แต่ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในช่วงนี้ ยังคงหนุนความต้องการถือทองคำอยู่ และช่วยหนุนให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และรายงานภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ อาทิ ดัชนีภาคการผลิต และดัชนีภาวะภาคธุรกิจโดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนมกราคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 48% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.68-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.42 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาที่ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมในระหว่างวันตาม Sentiment ของเงินหยวนที่มีปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ย LPR ไว้ที่ระดับเดิม
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม หลังตลาดรับรู้การเตรียมปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยาของสหรัฐฯ ไปแล้วบางส่วน ประกอบกับบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับลดลงเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากบันทึกการประชุมเฟดที่ระบุว่า เฟดมีการหารือกันเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอการปรับลดงบดุลของเฟด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.60-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าของประเทศคู่ค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สถานการณ์ของสกุลเงินในภูมิภาค ฟันด์โฟลว์ การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หาตัวเองจนเจอ! “น้องดีม” อดีตลูกยางเจ้าของส่วนสูง 2 เมตรที่เคยทำ “นุศรา” อึ้ง

ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยสำหรับ “น้องดีม” อารีรักษ์ อัมภรัตน์ นักกีฬาเนตบอลเจ้าของส่วนสูง 202 เซนติเมตร ที่ปัจจุบันย้ายไปเล่นให้กับ เนเกริ เซมบิลัน เวนอม สโมสรใน เนตบอล ซูเปอร์ ลีก ของประเทศมาเลเซีย
โดยเชื่อว่าแฟนกีฬาน่าจะต้องจดจำ เด็กหญิงวัย 14 ปี ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ทั้งประเทศหันมาสนใจตัวเธอด้วยส่วนสูงที่โดดเด่นถึง 198 ซม. เมื่อปี 2558 และถูกมองว่าจะเป็นอนาคตในวงการลูกยางไทย
แถมครั้งนั้น “ซาร่า” นุศรา ต้อมคำ มือเซตระดับโลกของทีมชาติไทย ที่เดินทางไปแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ถ้วย ก. ที่จังหวัดศรีสะเกษ ก็ได้ไปพบกับน้องก่อนถ่ายภาพร่วมกัน และกลายเป็นที่สนใจมากขึ้นถึงขนาดที่สำนักข่าวหลายสำนักต้องเดินทางไปทำข่าว

ซึ่งที่ผ่านมาเธอสามารถพาทีม ร.ร.สตรีสิริเกศ คว้าแชมป์การแข่งขันวอลเลย์บอล กีฬาธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสินประจำปี 2561 สายงานกิจการสาขา 4 ไปครอง รวมถึงเคยลงเล่นให้กับ โปรเฟล็กซ์ วีซี และ แซลมิ่ง อาร์เอสยู วีซี สองสโมสรในศึกวอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีก
อย่างไรก็ตามเส้นทางในวงการกีฬาของเธอก็เปลี่ยนอีกครั้งในปี 2022 เมื่อตัดสินใจเลือกเล่นกีฬาใหม่อย่าง เนตบอล ก่อนสามารถหยิบแชมป์ระดับประเทศมาครองได้ ถือเป็นการค้นพบความถนัดของตัวเองที่แท้จริง
จากผลงานดังกล่าวทำให้เธอได้รับการเรียกตัวจาก สมาคมกีฬาเนตบอล แห่งประเทศไทย ให้มีชื่อติดทีมชาติชุดลุยศึก เนตบอล ชิงแชมป์ เอเชีย 2022 ที่ประเทศสิงคโปร์ และล่าสุดในรายการ เอเชียนเนตบอล 2024 ที่ประเทศอินเดีย
สำหรับ อารีรักษ์ อัมภรัตน์ กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ทำไปได้ 214 คะแนน รั้งอันดับ 4 ผู้ทำแต้มสูงสุดในลีก ถือเป็นการลงเล่นในลีกมาเลเซียเป็นฤดูกาลที่ 2 หลังก่อนหน้านี้เคยลงเล่นให้กับ เตอเริงกานู มาร์เวลส์ มาแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
แขนขาชาครึ่งซีก ปากเบี้ยว สัญญาณอันตราย “หลอดเลือดสมอง”

เมื่อผู้ป่วยเกิด โรคหลอดเลือดสมอง จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อสมองบริเวณนั้น ทำให้การทำงานของสมองเกิดความผิดปกติหรือสูญเสียไป
“หากท่านมีอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก ปากเบี้ยว กลืนลำบาก พูดไม่ออก ฟัง ไม่เข้าใจภาษา เห็นภาพซ้อน เดินเซ ตามัว ทรงตัวไม่ได้ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเป็นแบบปัจจุบันทันด่วน เป็นในทันทีทันใด” ขอให้รีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
หลอดเลือดสมองตีบ ตัน พบได้ 80 – 85 % สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้
เกิดในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) ผนังหลอดเลือดด้านในหนาตัวขึ้นจากคราบไขมันคอเลสเตอรอลสะสม ผนังหลอดเลือดเหล่านี้จะเสียความยืดหยุ่น ปริแตกง่าย เมื่อมีการไหลเวียนของเลือดไปกระแทกที่ผนังหลอดเลือด จะเกิดแผลเล็กๆที่ผนังหลอดเลือดด้านในได้ง่าย ร่างกายจะสร้างเกล็ดเลือดและพังผืดไปซ่อมแซม ทำให้คราบสะสมเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนอุดตันหลอดเลือดในที่สุด
เกิดจากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นบริเวณอื่น เช่นหัวใจ หรือหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ หลุดไปตามกระแสเลือดไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง
เกิดจากโรคหรือภาวะอื่นๆ เช่น หลอดเลือดอักเสบ โรคการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ การปริแตกของเยื่อบุหลอดเลือดด้านใน เป็นต้น
หลอดเลือดสมองแตก พบได้ 15 – 20 % เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบาง มีความเสื่อม หรือเสียความยืดหยุ่น ร่วมกับมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นโป่งพองและแตกออก เมื่อเกิดหลอดเลือดสมองแตก ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างฉับพลันและทำให้เกิดเลือดออกในสมอง ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อสมอง เกิดความทุพพลภาพ หรือบางกรณีอาจอันตรายมากจนส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
เพราะอะไรหลอดเลือดสมองถึงตีบ แตก ตัน
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสให้เป็นโรคหลอดเลือดสมองมากยิ่งขึ้น ได้แก่
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ คือ อายุ เพศ พันธุกรรม
ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ นอกจากนี้ใครที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้มากขึ้นไปอีก
ทำอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดสมอง?
โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่มักเป็นแบบปัจจุบันทันด่วน ดังนั้นการป้องกันโดยการลดปัจจัยเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งด้วยการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น ความดัน เบาหวาน ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ งดแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม โดยการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และมีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนัก ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว รับประทานอาหารประเภทกากใยให้มากขึ้น รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เป็นแล้วต้องทำอย่างไร?
สำหรับในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ ตัน เฉียบพลัน ปัจจุบันมียาสลายลิ่มเลือด ( rtPA : recombinant tissue plasminogen activator) เพื่อใช้รักษาภาวะหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน จากการศึกษาถึงประโยชน์จากการที่ได้รับยานี้ เมื่อติดตามผู้ป่วยเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา ผลปรากฏว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยโอกาสที่จะฟื้นตัวจากความพิการสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ยา 30 % นับจากเริ่มเป็น จนถึงการวินิจฉัยและให้ยา ต้องอยู่ภายในไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง แพทย์จะต้องประเมินแล้วว่าไม่มีข้อห้ามต่างๆ ในการใช้ยา และมีการตรวจเลือดตามข้อกำหนดมาตรฐาน รวมถึงผลเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองจะต้องยืนยันชัดเจน ว่าไม่มีเลือดออกในสมองก่อนให้ยา เพราะฉะนั้นต้องทราบเวลาที่เริ่มเกิดอาการอย่างชัดเจน และผู้ป่วยควรรีบมาให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เนื่องจากกระบวนการวินิจฉัยตลอดจนการตรวจผลเลือดตามมาตรฐานที่กำหนดต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
หัวใจสำคัญของการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน คือ ให้รีบเข้ามารับการรักษาอย่างด่วนจี๋ภายใน 4.5 ชั่วโมง หากใครมีอาการดังกล่าวอย่านิ่งนอนใจปล่อยไว้ จนสายเกินไป ปัจจุบันมียาสลายลิ่มเลือดที่ให้ผลการรักษาได้ผลดี แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพิ่มโอกาสหายกลับไปเป็นปกติได้ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานสมองเสียหายมาก โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตถาวรจะสูงขึ้น เพราะฉะนั้นยิ่งมาเร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีกับผู้ป่วยมากขึ้นเท่านั้น Stroke Fast Track ยิ่งเร็ว… ยิ่งมีโอกาสรอด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์พื้นฐานภาษาญี่ปุ่น: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้เริ่มต้น

กำลังวางแผนจะเดินทางไปพักผ่อนหรือทำงานที่ญี่ปุ่นอยู่หรือเปล่า หรือคุณอาจเพียงแค่สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่น บทความนี้รวบรวมคำศัพท์และวลีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นที่คุณควรรู้เอาไว้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหากคุณสนใจที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นหรือกำลังเรียนบทเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ยัตเตะมิโยะ (ไปลองดูกันเลย)!
วลีและคำศัพท์ที่ควรรู้
คุณควรจะต้องรู้พื้นฐานภาษาญี่ปุ่นติดตัวไว้บ้างเผื่อเวลาที่เผลอออกไปนอกเส้นทางที่ไม่ใช่โซนนักท่องเที่ยว นี่คือคำภาษาญี่ปุ่นที่คุณสามารถนำไปใช้ได้
- ไฮ (はい): ใช่
- อีเยะ (いいえ): ไม่
- นะมะเอะวะ นันเดสกะ (名前はなんですか): คุณชื่ออะไร
- วะตะชิวะ ~ เดส (私は〜です): ฉันชื่อ ~
- ~ คะระ คิมะชิตะ (から来ました): ฉันมาจาก ~
- โคะเระวะ นันเดสกะ (これは何ですか): นี่คืออะไร
- อิกุระเดสกะ (いくらですか): เท่าไหร่
- โคะเระ คุดะไซ (これください): ฉันขออันนี้ได้ไหม หรือฉันจะเอาอันนี้
- โอะเนะกะอิชิมัส (おねがいします): ขอความกรุณาด้วย ได้โปรด
- ชูมง โอะเนะกะอิชิมัส (注文お願いします): ฉันขอสั่งอาหาร
- มิซุโอะ โอะเนะกะอิชิมัส (水をお願いします): ฉันขอน้ำเปล่า
- โอะไกเก โอะเนะกะอิชิมัส (お会計お願いします): รบกวนคิดเงินด้วย (ในร้านอาหาร)
- โคะโกะวะ โดะโกะเดสกะ (ここはどこですか): นี่คือที่ไหน
- โทะอิเระวะ โดะโกะเดสกะ (トイレはどこですか): ห้องน้ำอยู่ที่ไหน
- เอะกิวะ โดะโกะเดสกะ (駅はどこですか): สถานีรถไฟอยู่ที่ไหน
- อิมะ นันจิเดสกะ (今何時ですか): ตอนนี้กี่โมง
- วะกะริมะเซน (わかりません): ฉันไม่เข้าใจ
- นิฮงโกะโอะ ฮะนะเสะมะเซน (日本語を話せません): ฉันพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้
คำทักทาย
คนญี่ปุ่นทักทายโดยการโค้งคำนับซึ่งแสดงถึงความเคารพ ความเอาใจใส่ และความขอบคุณ และการรู้คำศัพท์ที่ใช้ทักทายในขณะที่คุณโค้งคำนับก็เป็นสิ่งจำเป็นในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
โอะฮะโย โกะซะอิมัส (おはようございます): อรุณสวัสดิ์
ประโยคนี้ใช้ตอนที่คุณตื่นนอนก่อน 11 โมง หากพูดกับคนที่สนิทกัน คุณสามารถตัดคำว่า “โกะซะอิมัส” และพูดแค่ “โอะฮะโย” ได้
คนนิจิวะ (こんにちは): สวัสดีตอนบ่าย
คนมักเข้าใจผิดว่าคำนี้แปลว่า “สวัสดี” แต่จริงๆ แล้วแปลว่า “สวัสดีตอนบ่าย” ดังนั้นให้ใช้แค่ในช่วงกลางวันถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น
คมบังวะ (こんばんは): สวัสดีตอนเย็น
ใช้ตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ (ประมาณ 5 โมงเย็น) ไปจนถึงตอนค่ำ
อะริกะโต โกะซะอิมัส (ありがとうございます): ขอบคุณ
หากต้องการขอบคุณแบบเป็นกันเอง สามารถพูดแค่ “อะริกะโต” ก็ได้ การตัดคำคำว่า “โกะซะอิมัส” ที่ใช้พูดแบบเป็นทางการออกนั้นพบได้บ่อย
สุมิมะเซน (すみません): ขออภัย
นี่เป็นวลีพื้นฐานในภาษาญี่ปุ่นที่มีประโยชน์มากเพราะสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร การขอความช่วยเหลือเมื่อหลงทาง หรือการขอโทษอย่างเป็นทางการ ฯลฯ
บางครั้งคนก็ใช้คำว่า “สุมิมะเซน” เวลาที่มีคนอื่นทำอะไรดีๆ ให้ แทนที่จะใช้คำว่า “อะริกะโต” (ขอบคุณ) ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการแสดงความเคารพและสุภาพต่อผู้ที่ช่วยเหลือ
คนและคำสรรพนาม
การใช้สรรพนามของคนญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากภาษาส่วนมาก พวกเขามักหลีกเลี่ยงการใช้คำสรรพนามในบทสนทนาในกรณีที่ชัดเจนอยู่แล้วว่ากำลังพูดถึงใคร นอกจากนี้อาจมีใช้ชื่อ บทบาทในครอบครัว หรือตำแหน่งทางสังคมแทน
การเรียกใครสักคนโดยไม่ใช้ชื่อถือว่าไม่แสดงความเคารพ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่ใช้คำว่า “คุณ” “เขา” หรือ “เธอ” เมื่อคุณรู้จักชื่อของคนคนนั้นแล้ว
- วะตะชิ/ โบะกุ/ โอะเระ (私、僕、俺): ฉัน
- โทะโมะดะจิ (友達): เพื่อน
- โด-รโย (同僚): เพื่อนร่วมงาน
- บุโจ/ ฉะโจ (部長、社長): หัวหน้า ประธาน (ของบริษัท)
- คะโซะกุ (家族): ครอบครัว
- โอะโตซัง (お父さん): พ่อ
- โอะกาซัง (お母さん): แม่
- โอะนีซัง (お兄さん): พี่ชาย
- โอะเนซัง (お姉さん): พี่สาว
- โอะโตโต (弟): น้องชาย
- อิโมโต (妹): น้องสาว
- โอะโตะนะ (大人): ผู้ใหญ่
- โคะโดะโมะ (子供): เด็ก
- คะเระชิ (彼氏): แฟนหนุ่ม
- คะโนะโจะ (彼女): แฟนสาว
- โอะโตะโกะโนะฮิโตะ (男の人): ผู้ชาย
- อนนะโนะฮิโตะ (女の人): ผู้หญิง
อาหารและเครื่องดื่ม
ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอาหารที่น่าประทับใจ โตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงเป็นเมืองที่มีร้านอาหารมิชลินมากที่สุดในโลก ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบความหลากหลายที่มีทั้งอาหารวะโชะกุ (和食: อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม) และโยโชะกุ (洋食: อาหารญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารตะวันตก)
- อะสะโกะฮัง (朝ご飯): อาหารเช้า
- ฮิรุโกะฮัง (昼ご飯): อาหารกลางวัน
- โยะรุโกะฮัง (夜ご飯): อาหารเย็น
- โกะฮัง (ご飯): ข้าว มื้ออาหาร
- พัง (パン): ขนมปัง
- นิกุ (肉): เนื้อ
- สะกะนะ (魚): ปลา
- ยะซะอิ (野菜): ผัก
- คุดะโมะโนะ (果物): ผลไม้
- ซูปุ (スープ): ซุป
- สะระดะ (サラダ): สลัด
- ทะมะโกะ (卵): ไข่
- กยู-นยู (牛乳): นม
- ชีสุ (チーズ): ชีส
- เดซาโตะ (デザート): ของหวาน
- มิซุ (水): น้ำ
- โอะชะ (お茶): ชาเขียว ชาโดยทั่วไป
- โคฮี (コーヒー): กาแฟ
- โอะซะเกะ (お酒): สาเก เหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- วาอิน (ワイン): ไวน์
- บีรุ (ビール): เบียร์
ตัวเลข
ตัวเลขภาษาญี่ปุ่นเข้าใจง่ายมาก และควรเรียนรู้ไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ดาวน์โหลดตารางด้านล่างนี้เก็บไว้ใช้ฝึกฝนเวลาที่คุณต้องการ

วันในสัปดาห์
- วันอาทิตย์: 日曜日 (นิชิโยบิ)
- วันจันทร์: 月曜日 (เก็ตสึโยบิ)
- วันอังคาร: 火曜日 (คาโยบิ)
- วันพุธ: 水曜日 (ซุยโยบิ)
- วันพฤหัสบดี: 木曜日 (โมะคุโยบิ)
- วันศุกร์: 金曜日 (คินโยบิ)
- วันเสาร์: 土曜日 (โดะโยบิ)
เดือนในปี
- มกราคม: 一月 (อิจิกัตสึ)
- กุมภาพันธ์: 二月 (นิกัตสึ)
- มีนาคม: 三月 (ซังกัตสึ)
- เมษายน: 四月 (ชิกัตสึ)
- พฤษภาคม: 五月 (โกะกัตสึ)
- มิถุนายน: 六月 (โระคุกัตสึ)
- กรกฎาคม: 七月 (ชิจิกัตสึ)
- สิงหาคม: 八月 (ฮะจิกัตสึ)
- กันยายน: 九月 (คุกัตสึ)
- ตุลาคม: 十月 (จูกัตสึ)
- พฤศจิกายน: 十一月 (จูอิจิกัตสึ)
- ธันวาคม: 十二月 (จูนิกัตสึ)
- วันนี้: 今日 (คโย)
- เมื่อวาน: 昨日 (คิโน)
- พรุ่งนี้: 明日 (อะชิตะ)
- สัปดาห์นี้: 今週 (คนชู)
- สัปดาห์ที่แล้ว: 先週 (เซ็นชู)
- สัปดาห์หน้า: 来週 (ไรชู)
- เดือนนี้: 今月 (คนเก็ตสึ)
- เดือนที่แล้ว: 先月 (เซ็นเก็ตสึ)
- เดือนหน้า: 来月 (ไรเก็ทสึ)
- ปีนี้: 今年 (โคโตชิ)
- ปีที่แล้ว: 去年 (คโยเน็น)
- ปีหน้า: 来年 (ไรเน็น)
สถานที่
ในประเทศญี่ปุ่น คุณจะได้เดินทางด้วยยานพาหนะประเภทต่างๆ เช่น รถไฟ รถไฟใต้ดิน รถบัส และชินคันเซ็น (รถไฟหัวกระสุน) สถานีหลายแห่งมีรถหลายสายเพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอื่นๆ การเข้าใจวลีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการเดินทางและสถานที่จึงเป็นสิ่งสำคัญ
- เอะกิ (駅): สถานี
- บโยอิน (病院): โรงพยาบาล
- รโยกาเอะ (両替): แลกเงิน
- กิงโก (銀行): ธนาคาร
- เคซัตสึโช (警察署): สถานีตำรวจ
- ยูบินคโยกุ (郵便局): ที่ทำการไปรษณีย์
- คนบินิ (コンビニ): ร้านสะดวกซื้อ
- พันยะ (パン屋): ร้านขนมปัง
- มิเซะ (店): ร้านค้า
- ซุปะ (スーパー): ร้านขายของชำ
- คูโก (空港): สนามบิน
- บัสเต (バス停): ป้ายรถเมล์
- มินะโต (港): ท่าเรือ
- จินจะ (神社): ศาลเจ้า
- โอเทะระ (お寺): วัด
- มาจิ (町): เมือง
- โฮเทรุ (ホテル): โรงแรม
- อุเก็ตสึเกะ (受付): แผนกต้อนรับ
คำกริยาที่ควรรู้
เช่นเดียวกับภาษาส่วนใหญ่ ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น คุณควรเข้าใจคำกริยาและหลักการผัน เราได้รวบรวมคำกริยาภาษาญี่ปุ่นที่พบบ่อยที่สุดมาให้คุณ 20 คำในรูปก่อนผัน
- ทะเบะรุ (食べる): กิน
- อิกุ (行く): ไป
- โนะมุ (飲む): ดื่ม
- คิกุ (聞く): ฟัง
- โยมุ (読む): อ่าน
- มิรุ (見る): ดู มอง
- เนะรุ (寝る): นอน
- โอะกิรุ (起きる): ตื่น
- ฮะนะสุ (話す): พูด คุย
- คะเอรุ (帰る): กลับ
- ซุวะรุ (座る): นั่ง
- ทัตสึ (立つ): ยืน
- โอะโยะกุ (泳ぐ): ว่ายน้ำ
- อะโซบุ (遊ぶ): เล่น
- โนรุ (乗る): ขี่
- คะอุ (買う): ซื้อ
- อะอุ (会う): พบ
- คะกุ (書く): เขียน
- มัตสึ (待つ): รอ
- โทะรุ (撮る): ถ่ายรูป
ขอบคุณข้อมูลจาก preply.com
“บิล เกตส์” เตือน 4 หายนะที่คนรุ่นใหม่ต้องกังวล

“บิล เกตส์” ผู้ก่อตั้ง Microsoft และประธานมูลนิธิเกตส์ เตือน 4 หายนะที่คนรุ่นใหม่ต้องกังวล วิกฤตสภาพอากาศ AI ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ สงครามนิวเคลียร์ และการแพร่ระบาดของโรค
บิล เกตส์ กล่าวว่า มีเรื่องน่ากลัวอยู่ 4 หรือ 5 เรื่องด้วยกัน และเรื่องเดียวที่เข้าใจและกังวลมากเมื่อตอนเด็ก ๆ ก็คือ สงครามนิวเคลียร์
เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft และประธานมูลนิธิเกตส์แบ่งปันมุมมองของเขาเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปซึ่งสังคมต้องเผชิญ
ผมคิดว่าเราควรเพิ่ม การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การก่อการร้ายทางชีวภาพ/โรคระบาด และการควบคุมปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเข้าไปด้วย
เกตส์ยังได้อธิบายถึงความแตกแยกทางสังคมว่าเป็นปัญหา และต่อมาได้กล่าวเสริมว่า คนรุ่นใหม่จะต้องกลัวสิ่งเหล่านั้นมาก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกตส์ระบุถึงประเด็นที่น่ากังวลเหล่านี้ ในโพสต์บล็อกเมื่อปี 2023 เกตส์กล่าวว่า เมื่อครอบครัวของเขาเติบโตขึ้น ความปรารถนาที่จะทำให้โลกดีขึ้นก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
การมีหลานทำให้คุณคิดถึงวิธีที่จะดูแลอนาคตให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเมือง สุขภาพ สภาพภูมิอากาศ ฯลฯ
เกตส์โต้แย้งว่าสังคมกำลังขาดแคลนความรู้ความเชี่ยวชาญ แต่เขาเชื่อว่า AI อาจเป็นทางออกมากกว่าจะเป็นปัญหา แม้บางคนจะเตือนถึงศักยภาพของ AI ที่อาจนำไปสู่หายนะ แต่เกตส์คิดว่าเราสามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
เราไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มากพอ คนที่สามารถติดตามทุกอย่างได้ทัน หรือคนที่สามารถสอนคณิตศาสตร์ในเขตเมืองชั้นใน เรากำลังขาดแคลนความรู้ความเชี่ยวชาญ และเราใช้ระบบตลาดในการจัดสรร AI จะทำให้ความรู้ความเชี่ยวชาญกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ แม้ว่าผู้คนอาจถกเถียงกันเรื่องกรอบเวลาที่จะเกิดขึ้นก็ตาม
แม้จะมีความท้าทายต่างๆ เกตส์กล่าวว่า เขายังคงเชื่อว่าประชาชนในอนาคตจะมีชีวิตที่ดีขึ้นมาก หากจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ ได้
หากเราไม่ละเลยการแก้ปัญหาใหญ่ๆ เหล่านี้ ทุกอย่างจะดีขึ้นมาก ทั้งโรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน เราจะมีวิธีรักษาเอชไอวี เราจะกำจัดโปลิโอ หัด และมาลาเรียได้ ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมในปัจจุบันนี้เร็วกว่าที่เคยเป็นมา
แม้ว่าความกลัวมักทำให้คนไม่กล้าลงมือทำอะไร แต่เกตส์เชื่อว่ามันอาจเป็นแรงผลักดันให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“กี่โมง” คือเวลาที่ดีที่สุดในการกิน “โพรไบโอติกส์”

โพรไบโอติกส์ประกอบด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตที่สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้ของคุณได้ ช่วงเวลาในการรับประทานโพรไบโอติกส์นั้นไม่สำคัญเท่ากับความสม่ำเสมอในการรับประทาน อาหารเสริมเหล่านี้ให้ประโยชน์มากมาย เนื่องจากมันประกอบไปด้วยจุลินทรีย์มีชีวิต เช่น แบคทีเรีย หรือ ยีสต์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ของคุณ
อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะสงสัยว่าคุณควรจะรับประทานมันในเวลาไหน บทความนี้จะบอกคุณว่ามีเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานโพรไบโอติกส์หรือไม่
ช่วงเวลาที่รับประทานสำคัญหรือไม่
ผู้ผลิตโพรไบโอติกส์บางรายแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมขณะท้องว่าง ในขณะที่บางรายแนะนำให้รับประทานพร้อมอาหาร แม้ว่าการวัดปริมาณแบคทีเรียที่มีชีวิตในมนุษย์จะเป็นเรื่องยาก แต่จากการวิจัยบางชิ้นพบว่า จุลินทรีย์ Saccharomyces boulardii มีชีวิตรอดได้ในจำนวนที่เท่ากันไม่ว่าจะรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่ก็ตาม
ในทางกลับกัน Lactobacillus และ Bifidobacterium จะมีชีวิตรอดได้ดีที่สุดเมื่อรับประทานก่อนอาหาร 30 นาที
อย่างไรก็ตาม ความสม่ำเสมอในการรับประทานอาจจะสำคัญกว่าว่าคุณจะรับประทานโพรไบโอติกส์พร้อมอาหารหรือไม่ จากการศึกษาหนึ่งเดือนพบว่า โพรไบโอติกส์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ ไม่ว่ารับประทานพร้อมอาหารหรือไม่ก็ตาม
องค์ประกอบของอาหารอาจช่วยได้
จุลินทรีย์ที่ใช้ในโพรไบโอติกส์ได้รับการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันสามารถอยู่รอดได้ในสภาวะต่างๆ ในกระเพาะอาหารและลำไส้ของคุณ อย่างไรก็ตามการรับประทานโพรไบโอติกส์พร้อมกับอาหารบางชนิดอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของมันได้
ในการศึกษาหนึ่งพบว่าอัตราการรอดชีวิตของจุลินทรีย์ในโพรไบโอติกส์ดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารเสริมพร้อมกับข้าวโอ๊ตหรือนมพร่องมันเนย เทียบกับเมื่อรับประทานพร้อมกับน้ำเปล่าหรือน้ำแอปเปิลเท่านั้น
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าไขมันในปริมาณเล็กน้อยอาจช่วยเพิ่มการอยู่รอดของแบคทีเรียในระบบย่อยอาหารของคุณได้
โปรไบโอติก Lactobacillus อาจอยู่รอดได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานพร้อมกับน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต เนื่องจากพวกมันต้องพึ่งพา กลูโคส เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด
วิธีเลือกโพรไบโอกติกส์
เลือกชนิดที่เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของคุณ
หากคุณมีภาวะสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง คุณอาจต้องการพิจารณาโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งโดยเฉพาะ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อค้นหาชนิดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่าสายพันธุ์ Lactobacillus และ Bifidobacterium เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Lactobacillus rhamnosus GG และ Saccharomyces boulardii อาจช่วยลดความเสี่ยงของคุณต่ออาการท้องเสียที่เกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะ ในขณะที่ E. coli Nissle 1917 อาจช่วยรักษาอาการลำไส้ใหญ่เป็นแผล
ในขณะเดียวกัน โพรไบโอติกส์ที่มี Lactobacillus, Bifidobacterium และ Saccharomyces boulardii ดูเหมือนว่าจะช่วยอาการในบางคนที่มีอาการท้องผูก โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และอาการท้องเสียหลายประเภท
บทสรุป
โพรไบโอติกส์ประกอบด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตที่สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้ของคุณได้ ในขณะที่งานวิจัยบ่งชี้ว่าโพรไบโอติกส์บางสายพันธุ์อาจอยู่รอดได้ดีขึ้นหากรับประทานก่อนอาหาร ช่วงเวลาในการรับประทานโพรไบโอติกส์นั้นไม่สำคัญเท่ากับความสม่ำเสมอ ดังนั้นคุณควรรับประทานโพรไบโอติกส์ในเวลาเดียวกันทุกวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/02/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 46,750.00 | 46,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,028.00 | 45,904.48 | 47,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,725.20 | 41,314.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,422.40 | 36,723.58 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,363.00 | 20,663.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,060.00 | 16,069.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,138.00 | 47,572.08 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/02/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 36.15 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.28 | 35.28 | 35.78 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.44 | 33.44 | 33.94 | 33.44 | 33.44 | – | 33.44 | 33.44 | 33.44 | 33.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.09 | 32.09 | – | – | – | – | – | – | – | 32.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.24 |
เบนซิน 95 | 43.94 | – | – | – | 49.81 | – | 44.44 | 44.09 | – | 43.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |