เอพี เร่งขยายZoning Strategy ปั้นเมืองใหม่ครอบคลุม 11 โซน

เอพี เดินเกมรุกแนวราบ ทาวน์โฮม-บ้านแฝด ด้วยกลยุทธ์ Zoning Expansion Strategy สู่เป้าหมายสร้าง “เมืองใหม่” พร้อมโครงการกว่า 90 แห่งทั่วกรุงเทพฯปริมณฑล
ในยุคที่การเลือก “บ้าน” ไม่ได้หมายถึงแค่ที่อยู่อาศัย หากแต่เป็นการเลือก “คุณภาพชีวิต” และ “ชุมชน” ที่จะเติบโตไปพร้อมกัน เอพีในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้ยกระดับเกมธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝด ผ่านยุทธศาสตร์ “Zoning Expansion Strategy” ที่เปรียบได้กับการปูแผนที่เมืองคุณภาพลงในทุกจุดยุทธศาสตร์ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล
จากบ้าน…สู่ชุมชนเมืองใหม่
เมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้า ทาวน์โฮมและบ้านแฝด เอพี ไทยแลนด์ เผยถึงเป้าหมายใหญ่ของแผนนี้ว่า ไม่เพียงมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มบ้านแนวราบ แต่ยังต้องการต่อยอดให้ทุกโครงการของเอพี กลายเป็น “AP Community” ที่สมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ว่าจะในมิติของฟังก์ชันบ้าน การเดินทาง ความสะดวกสบาย หรือแม้กระทั่งโครงสร้างพื้นฐานและถนนที่บริษัทลงทุนเองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้พื้นที่
ปัจจุบัน เอพีครอบคลุมพื้นที่แล้วถึง 11 โซน มีกว่า 90 โครงการพร้อมอยู่ และเดินหน้าขยายต่อไปยังโซนใหม่ ‘เมืองเอก วิภาวดี–รังสิต’ บนที่ดินผืนใหญ่กว่า 137 ไร่ มั่นใจศักยภาพไม่แพ้พื้นที่ทองที่เคยพัฒนาอย่างบางนา รังสิต คลองหนึ่ง ประชาอุทิศ รามอินทรา หรือบางใหญ่ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นชุมชนเมืองที่มีชีวิตชีวา และมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รุกเปิดโครงการใหม่กว่า 6.5หมื่นล้าน
เอพีเตรียมเปิดโครงการใหม่ 42 แห่ง มูลค่ารวม 65,000 ล้านบาท ในปี 2568 โดยมีไฮไลต์สำคัญใน 2 ทำเลคือ ‘Grande Pleno วิภาวดี–รังสิต’ และ ‘บ้านกลางเมือง The Edition บางนา 2’
Grande Pleno วิภาวดี–รังสิต กับบ้านแฝด Asher Model หน้ากว้างถึง 16.4 เมตร ขนาด 224 ตร.ม. เริ่มต้น 5.49 ล้านบาท พร้อมฟังก์ชันตอบโจทย์ครอบครัวเมือง เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และทางด่วนบางพูน
บ้านกลางเมือง The Edition บางนา 2 บ้านแฝด 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น Daelyn พื้นที่ใช้สอย 307 ตร.ม. เริ่มต้น 10-14.9 ล้านบาท ใกล้เมกา บางนา พร้อมโปรโมชันยูนิตพิเศษเพียง 9.9 ล้านบาท
เป้าหมายรายได้ปี 2568 ถูกตั้งไว้ที่ 55,000 ล้านบาท และรายได้รวมจากโครงการร่วมทุน (JV) อีก 52,900 ล้านบาท ทำให้เอพีเดินหน้าเต็มกำลังกับการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยว 15 โครงการ ทาวน์โฮมและบ้านแฝด 18 โครงการ คอนโดมิเนียม 6 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 3 โครงการ โดยรวมแล้ว เอพี ไทยแลนด์ จะมีจำนวนโครงการภายใต้พอร์ตมากที่สุดถึง 223 โครงการทั่วประเทศ
จากยุทธศาสตร์สู่โครงข่ายเมืองที่จับต้องได้
“Zoning Expansion Strategy” ไม่ได้เป็นเพียงคำทางการตลาด แต่คือยุทธศาสตร์ที่เอพีใช้ “ลงมือทำจริง” สร้างเมือง สร้างชุมชน และสร้างคุณภาพชีวิต จากรากฐานที่วางไว้ในแต่ละโซน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดินทำถนน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือลงลึกถึงดีไซน์บ้านที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละพื้นที่
“เรามองว่าในทุกๆ 10 ตารางกิโลเมตรของกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะต้องมีโครงการของเราเพื่อให้ลูกค้าเลือกบ้านที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ที่สุด”
เมธากล่าวอย่างมั่นใจ พร้อมทิ้งท้ายถึงเป้าหมายสูงสุด “บ้านที่ดีต้องเชื่อมโยงกับชุมชนที่ดี และเมืองที่ดีจะเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่มีคุณภาพ”และนั่นคือสิ่งที่เอพีเชื่อว่า Zoning Expansion Strategy จะทำให้เกิดขึ้นจริง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ภาษีทรัมป์ป่วน -สศช.ปรับลดจีดีพีไทยดิ่ง รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ง่าย

ภาษีทรัมป์ป่วน -จีดีพีดำดิ่ง สศช.ประมาณการ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยทั้งปี ไม่เกิน1.8% จากเดิม 2.8% กูรูอสังหา ฯ “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์” ประเมิน รัฐบาล ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ง่าย แต่ดีกว่าไม่ทำอะไร
กรณีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทั้งปี2568 ขยายตัวเพียง 1.8% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 2.8% ซึ่งมีผลมาจากความเสี่ยง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง จากการซ้ำเติมภาษีสหรัฐอเมริกา และจะเห็นภาพการชะลอตัวที่ชัดเจนในไตรมาสที่3
ขณะไตรมาส 1 ขยายตัว 3.1%เป็นผลมาจากการเร่งการนำเข้าสินค้าจากประเทศปลายทางเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการการค้าจากนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่คงไว้ใจไม่ได้เพราะระยะข้างหน้า การค้าระหว่างประเทศจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้ารายประเทศ (Reciprocal tariff) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป
รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยไฮไลต์ นายกฯได้สั่งชะลอการแจงเงินดิจิทัล 10,000บาท ในเฟสที่3 วงเงิน1.57แสนล้านบาท สำหรับกลุ่มวัยรุ่นออกไป หนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนำวงงินดังกล่าวไปกระตุ้นการจ้างงาน เกี่ยวกับการแก้ปัญหาน้ำ ภาคขนส่ง ธุรกิจเอสเอ็มอีฯลฯ
เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับงบประมาณที่รัฐบาลต้องนำมาใช้ที่จำเป็นเร่งด่วนก่อนจากการรับมือภาษีสหรัฐฯซึ่งมาตรการเร่งด่วน พบว่ากระทรวงการคลังมอบธนาคารออมสิน ปล่อนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ ซอฟต์โลน ดอกเบี้ย 2-3% เพิ่ม อีก 1 แสนล้าน ให้กับผู้ออกตลาดสหรัฐฯ และเสริมสภาพคล่องธุรกิจ SMEs
รวมถึงการรับมือสินค้านำเข้าราคาถูกเกรดต่ำจากจีนทะลักไทย ยังไม่รวมการขยายโครงการแก้หนี้ “คุณสู้ เราช่วย” เปิดโอกาสลูกหนี้ค้างชำระ 1 วัน พักดอกเบี้ย 3 ปี หนี้ต่ำจ่าย 10% จบหนี้ทันที โดยจะเสนอคณะรัฐมาตรี(ครม.) ภายในเดือนมิถุนายนนี้
ทั้งนี้ทั้งชอฟโลนต์และโครงการคุณสู้เราช่วย เป็นมาตรการที่ภาคอสังหาริมทรัพย์สนับสนุนรวมถึงการผ่อนปรนมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ทุกระดับราคาโดยไม่จำกัดที่เพดานไม่เกิน7ล้านบาท
นายพรนริศ ชวนไชยสทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่านับตั้งแต่ไตรมาส2เป็นต้นไปเศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบภาษีทรัมป์ ขณะเดียวกันสมาคมสนับสนุนรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ผ่านสถาบันการเงิน ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย แต่ มองว่าไม่ง่าย เพราะเมื่อสถาบันการเงินเห็น จีดีพีขยายตัวต่ำ ผลกระทบภาษีทรัมป์มารอ แน่นอนว่า คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเพราะสถาบันการเงินต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ปล่อยสินเชื่อออกไปและอาจกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต
“ยอมรับว่าในสภาวการณ์เช่นนี้ มาตรการอะไรที่ออกมาแทบรับมือไม่ไหวแต่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่าไม่มี “
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20พ.ค.“อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า โดยเฉพาะโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20 พ.ค.2568ที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.05 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เรามองว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ
ขณะเดียวกัน เรายังคงเห็นแรงทยอยขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าแรงขายอาจมีแนวโน้มลดลงจากช่วงก่อนหน้าพอสมควร
นอกจากนี้ ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น ก็อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่รีบร้อนปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการผลักดันร่าง Fiscal Bill จากบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ จากพรรครีพับลิกัน โดยประเด็นดังกล่าวอาจมีความชัดเจนมากขึ้น
ก่อนถึงวันหยุด Memorial Day ในวันที่ 26 พฤษภาคม นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way Volatility ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ก็จะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้ได้ (ในทางกลับกัน หากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง)
โดยราคาทองคำอาจยังได้แรงหนุนบ้าง จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงประเด็นเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ที่อาจกลับมากดดันตลาดได้อีกครั้ง หลังรับรู้ความชัดเจนของ Fiscal Bill ล่าสุด
โดยรวมเราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจติดอยู่แถวโซนแนวรับหลัก 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังไม่สามารถอ่อนค่าลงชัดเจน จนทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่าย
โดยอาจมีโซนแนวต้านแรกแถว 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ก่อน จนกว่าจะเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน รวมถึงตลาดไร้ปัจจัยเสี่ยง พร้อมเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ซึ่งภาพดังกล่าวควรจะเห็นการปรับตัวลดลงต่อของราคาทองคำด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในกรอบ 33.03-33.20 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์
แต่เงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยคลายกังวลประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนสนับสนุนท่าทีไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะ Raphael Bostic (Atlanta Fed) ที่ให้ความเห็นว่า เฟดควรปรับลดดอกเบี้ยลงเพียง 1 ครั้ง ในปีนี้ จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าสามารถคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ ท่ามกลางแรงกดดันด้านสูงต่อแนวโน้มเงินเฟ้อจากนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลต่อประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทว่า ความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ได้กลับมาเป็นประเด็นที่กดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.09%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.13% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส
รวมถึงการบรรลุข้อตกลงทางการค้า การทหารและประเด็นอื่นๆ ระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับอังกฤษ ซึ่งเป็นการทยอยฟื้นความสัมพันธ์หลัง Brexit ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากประเด็นความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดย Moody’s
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงสู่ระดับ 4.46% หลังจากปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.50% ท่ามกลางความกังวลประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือโดย Moody’s โดยแรงซื้อ Buy on Dip บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้เป็นปัจจัยที่ช่วยชะลอการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ประเด็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลต่อประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
อนึ่ง เราคงคำแนะนำเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในระดับปัจจุบันถือว่ามีความน่าสนใจอยู่ และคงแนะนำว่า ควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้ (เน้น Buy on Dip) โดยเฉพาะในช่วงโซนสูงกว่า 4.50% หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นทดสอบโซนดังกล่าวอีกครั้ง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลต่อประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) รีบาวด์ขึ้นสู่โซน 100.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.0-100.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างสนับสนุนการไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย กอปรกับบรรยากาศในตลาดการเงินที่เริ่มทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลประเด็นสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ทยอยปรับตัวลง สู่ระดับ 3,222 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำ (Buy on Dip) ในจังหวะย่อตัว ทำให้การปรับตัวลงของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัด
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปี 2025 และเฟดอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปี 2026
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจมีการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate: LPR) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี เพื่อช่วยประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
ส่วนทางฝั่งออสเตรเลีย บรรดานักวิเคราะห์ ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.85% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจก็เผชิญแรงกดดันด้านต่ำจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ส่วนในช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันพุธที่ 21 พฤษภาคม ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลการค้า (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน ที่อาจเริ่มสะท้อนผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะติดตามการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.37 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลง (หลังแข็งค่าขยับเข้าใกล้แนว 33.00 เมื่อวาน) ตามการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วน โดยได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่ยังคงย้ำท่าทีไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.05-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกและสัญญาณเงินทุนต่างชาติ นอกจากนี้ตลาดยังรอประเมินสถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เช็คสัญญาณเตือน “โรคหลอดเลือดหัวใจ”

เช็คสัญญาณเตือน “โรคหลอดเลือดหัวใจ” : Tricks for Life
โรคหลอดเลือดหัวใจเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย สถิติล่าสุดพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุ สาเหตุสำคัญเกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้หัวใจขาดออกซิเจนและสารอาหาร จนอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตได้ในที่สุด
อันตรายของโรคนี้อยู่ที่ความเงียบ ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคจนกว่าจะมีอาการรุนแรง ทำให้การรักษาล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือน รวมถึงการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดโรค
• ภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดเสียหายและเพิ่มโอกาสในการอุดตัน
• ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิด LDL ที่สะสมในหลอดเลือด
• โรคเบาหวาน ที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
• พฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
• ความเครียดสูง และ ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรระมัดระวังและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ หากพบว่ามีอาการเข้าข่ายควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
4 สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
1. เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะออกแรงหรือเครียด บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่แขน คอ หรือขากรรไกร
2. หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้จะทำกิจกรรมเบาๆ
3. วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น หรือเป็นลม โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
4. อาการของภาวะหัวใจวาย เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ และอ่อนแรง
หากพบอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงร่วมกับมีเหงื่อออกมากผิดปกติ ควรโทรเรียกรถพยาบาลหรือรีบไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากอาจเป็นภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ผู้ที่สงสัยว่าอาจมีภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็ว ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีการตรวจวินิจฉัยต่างๆ เช่น: การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise stress test) การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiography) การฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ (Angiography)
แนวทางการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งมีหลายวิธี อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดไขมันในอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลิกสูบบุหรี่ และควบคุมความเครียด, การใช้ยา เช่น ยาลดไขมัน ยาต้านเกล็ดเลือด และยาขยายหลอดเลือด, หัตถการทางการแพทย์ อาทิ
การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวด (Stent) และ การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Bypass Surgery) ในกรณีที่มีการตีบตันรุนแรงการเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แพทย์จะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
แม้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจจะเป็นภาวะที่ร้ายแรง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ดังนี้ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนคุณภาพดี และลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง, ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
ควบคุมน้ำหนัก และหลีกเลี่ยงภาวะอ้วน โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง, เลิกสูบบุหรี่และจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อติดตามปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด
รวมถึงการจัดการความเครียดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากความเครียดสูงสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ การหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม เช่น การฝึกสมาธิ โยคะ หรือการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ จะช่วยลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ส่องเงินรางวัลปลอบใจ “หมิว พรปวีณ์” นักตบลูกขนไก่สาวไทยในศึกไทยแลนด์ โอเพ่น

จบทัวร์นาเมนต์เป็นที่เรียบร้อยสำหรับ การแข่งขันแบดมินตัน โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
โดย “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ วางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลก สามารถกรุยทางผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนเจอกับ เฉิน ยู่เฟย มือวางอันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลกจากจีน

ซึ่งรูปเกมเป็นทางด้าน นักตบลูกขนไก่แดนมังกร ที่ทำได้เหนือกว่าเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-0 เกม (21-16 และ 21-12) ทำให้ “หมิว พรปวีณ์” คว้าตำแหน่งรองแชมป์ของรายการเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ แต่ นักตบลูกขนไก่สาวไทย หยิบเงินรางวัล 18,050 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 600,000 บาท) มาครองเป็นรางวัลปลอบใจ ขณะที่ เฉิน ยู่เฟย แชมป์รับไป 35,625 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,184,000 บาท)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มิติใหม่ของ ‘Firewall’ (2)

ตอนที่แล้วผมได้อธิบายภาพรวมของไฟร์วอลล์ที่ได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้งาน AI รวมถึงประเด็นความแตกต่างระหว่าง LLMs และแอพพลิเคชันแบบเดิมกันไปแล้ว
สัปดาห์นี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องช่องโหว่ของ LLMs ที่ผู้เชี่ยวชาญได้สรุปรายการช่องโหว่ของ LLMs เพื่อช่วยในการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับโมเดลภาษา
และเช่นเดียวกันกับ web app ช่องโหว่บางอย่างสามารถจัดการได้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ พัฒนา และฝึกโมเดล ตัวอย่างเช่น Training Data Poisoning (การใส่ข้อมูลที่มีช่องโหว่ลงในชุดข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดลใหม่ และเมื่อโมเดลเปิดใช้งานก็จะเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เหล่านั้นลงไป)
ช่องโหว่ในห่วงโซ่อุปทาน และ การออกแบบปลั๊กอินที่ไม่ปลอดภัยก็เป็นภัยจากการติดตั้งซอฟต์แวร์เสริมของบุคคลที่สาม
สุดท้าย การจัดการสิทธิ์และการอนุญาตถือว่าสำคัญมากในกรณีของ Excessive Agency ที่โมเดลซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดอาจสามารถดำเนินการบางอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาตภายในระบบหรือโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรได้
LLM deployments มี 3 รูปแบบหลัก
Internal LLMs : องค์กรมีการพัฒนา LLMs เพื่อช่วยในการทำงานของพนักงาน เช่น AI assistant ที่ฝึกจากข้อมูลยอดขายและการพูดคุยกับลูกค้าเพื่อใช้ในการออกแบบข้อเสนอเฉพาะ หรือโมเดลที่ฝึกจากฐานข้อมูลภายในเพื่อให้วิศวกรใช้งาน
Public LLMs : โมเดลที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยมักจะมีเวอร์ชันให้ใช้ฟรี และได้รับการฝึกจากข้อมูลสาธารณะ เช่น GPT ของ OpenAI หรือ Claude ของ Anthropic
Product LLMs : จากมุมขององค์กร LLMs อาจเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มอบให้ลูกค้า เช่น แชท- บอทช่วยเหลือลูกค้า หรือ AI Assistant มักจะเป็นโมเดลที่โฮสต์เองและปรับแต่งให้เข้ากับข้อมูลภายใน
หากพิจารณาจากมุมมองด้านความเสี่ยง ความแตกต่างระหว่าง Product LLMs กับ Public LLMs อยู่ที่ว่า “ใคร” รับผลกระทบเมื่อเกิดการโจมตี
กล่าวคือ Public LLMs เป็นภัยต่อข้อมูล เพราะข้อมูลใดก็ตามที่ไปอยู่ในโมเดลอาจถูกเข้าถึงโดยบุคคลทั่วไป บริษัทหลายแห่งจึงแนะนำไม่ให้พนักงานใช้ข้อมูลลับใน prompt สำหรับบริการเหล่านี้
Product LLMs อาจกลายเป็นภัยต่อทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท หากมีการฝึกโมเดลด้วยข้อมูลภายใน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ไฟร์วอลล์ ที่รองรับ AI ถูกใช้งานในลักษณะเดียวกับ Web Application Firewall (WAF) แบบเดิม โดยจะทำการสแกนทุกคำขอ API ที่มี LLM prompt เพื่อตรวจจับรูปแบบและลายเซ็นที่อาจบ่งบอกถึงการโจมตี โดยสามารถติดตั้งไว้ด้านหน้าของโมเดลที่โฮสต์บนโครงสร้างพื้นฐานของผู้ให้บริการ
การป้องกันการโจมตีแบบ Volumetric – Model Denial of Service (Model DoS) คือ การโจมตีแบบ DoS เกิดจากการใช้ทรัพยากรของระบบมากเกินไป และการป้อนข้อมูลของผู้ใช้งานมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้คุณภาพการให้บริการลดลง หรือเพิ่มต้นทุนในการดำเนินการของโมเดลอย่างมีนัยสำคัญ
ทำให้การโจมตีลักษณะนี้อาจส่งผลเสียรุนแรงต่อระบบ แต่ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้ด้วยการใช้นโยบายจำกัดอัตราการร้องขอซึ่งควบคุมจำนวนคำขอในแต่ละ session ของผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้งาน Rate Limiting และ Advanced Rate Limiting เพื่อจัดการจำนวนคำขอที่อนุญาตให้เข้าถึงโมเดล โดยการตั้งอัตราคำขอสูงสุดจาก IP address หรือ API key ต่อ 1 session
Sensitive Data Detection : การเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อ LLM เปิดเผยข้อมูลลับโดยไม่ตั้งใจในคำตอบที่ส่งกลับ ทำให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต การละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัยแนวทางในการป้องกันคือการเพิ่มการตรวจสอบความถูกต้องของ prompt อย่างเข้มงวดและการระบุว่ามีข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ (PII) หลุดออกจากโมเดลหรือไม่
ตัวอย่างเช่น เมื่อโมเดลถูกฝึกด้วยฐานข้อมูลของบริษัทซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญอย่าง หมายเลขประกันสังคม, โค้ดภายในองค์กร เป็นต้น
สัปดาห์หน้า เราจะมาตามกันต่อเรื่องการตรวจจับข้อมูลสำคัญที่มีการใช้งานอยู่ 2 รูปแบบว่ามีอะไรบ้างและบทสรุปของ Firewall ที่รองรับ AI กันในตอนที่ 3 ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
10 ประโยคภาษาอังกฤษน่ารู้! เมื่อต้อง “ประชุมออนไลน์”

10 ประโยคภาษาอังกฤษน่ารู้! เมื่อต้อง “ประชุมออนไลน์”
ภาษาอังกฤษ ที่จะช่วยให้คุณประชุมออนไลน์ ได้อย่างไม่มีติดขัด
ประโยค “ประชุมออนไลน์”
ประโยคภาษาอังกฤษที่จำเป็นในการประชุมออนไลน์ มีดังต่อไปนี้
• Are we waiting for anyone else?
(อา วี เวท’ทิง ฟอร์ เอน’นีวัน เอลซฺ)
เราต้องรอใครอีกไหม
• Has Peter joined the meeting yet?
(แฮซ ปีเตอร์ จอย เดอะ มีททิง เยท)
เราต้องรอใครอีกไหม
• Are you on mute? (mute = no sound)
(อา ยู ออน มิวทฺ)
คุณปิดเสียงอยู่หรือเปล่า (ปิดเสียง = ไม่มีเสียง)
• Are you still there?
(อา ยู สทิล แธร์)
คุณยังอยู่หรือเปล่า?
• I can hear you but I can’t see you.
(ไอ แคน เฮียร์ ยู บัท ไอ คานท์ ซี ยู)
ฉันได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นหน้าคุณ
• Do you have an audio problem?
(ดู ยู แฮฟ แอน ออดีโอ พรอบเลิม)
คุณมีปัญหาเกี่ยวกับเสียงไหม?
• I am having trouble hearing you.
(ไอ แอม แฮฟวิง ทรัพเบิล เฮียริง ยู)
ฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินคุณ
• Could you speak a little bit louder?
(เคอะดฺ ยู สปีค อะ ลิตเทิล บิท ลาวเดอร์)
ช่วยพูดดังขึ้นอีกนิดได้ไหม
• Sorry, can you say that again? I can’t hear you clearly.
(ซอรี แคน ยู เซย์ แธด อะเกน ไอ คานท์ เฮีย ยู เคลียร์ลี)
ขอโทษที ช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม ฉันได้ยินไม่ชัด
• I think I may have a problem with the connection.
(ไอ ธิงค์ ไอ เมย์ แฮฟ อะ พรอบ’เลิม วิธ เดอะ คอนเนคเชิน)
ฉันน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
10 ดอกไม้กินได้ที่ทั้งสวยและประโยชน์

รวม 10 ดอกไม้กินได้ที่ทั้งสวยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านโรค มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง อาจจะได้ไอเดียสำหรับเมนูใหม่หรือตกแต่งอาหารจานโปรดให้มีคุณค่าทางอาหารมากขึ้น
10 ดอกไม้กินได้ที่ทั้งสวยและประโยชน์
- ดอกอัญชัน
ดอกไม้กินได้ที่อุดมไปด้วยแอนโทไซยานิน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและบำรุงสายตา นิยมใช้ทำเป็นน้ำสมุนไพร ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงเส้นผม และลดความเครียดได้อีกด้วย - ดอกแค
มีรสขมอ่อนๆ และอุดมไปด้วยวิตามินเอ แคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างกระดูก และบรรเทาอาการร้อนใน นิยมใส่ในแกงส้มและจิ้มน้ำพริก - ดอกขจร
มีวิตามินเอ ซี และธาตุเหล็กสูง ช่วยบำรุงเลือดและลดอาการอ่อนเพลีย นิยมผัดกับไข่ ลวกจิ้มน้ำพริก หรือใส่ในแกงเลียง รสชาติหวานนุ่มเป็นเอกลักษณ์ - ดอกโสน
ดอกสีเหลืองเล็กที่มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงผิวพรรณและช่วยชะลอวัย นิยมใช้ทำขนมดอกโสน หรือนำไปลวกจิ้มกับน้ำพริก เป็นที่นิยมในอาหารไทยพื้นบ้าน - ดอกบัวหลวง
กลีบดอกบัวและเกสรสามารถนำไปต้มดื่ม ช่วยลดความดันโลหิตและบำรุงหัวใจ มีสารแทนนินและฟลาโวนอยด์ ช่วยลดการอักเสบและเสริมสุขภาพโดยรวม - ดอกเฟื่องฟ้า
แม้จะไม่นิยมกินทั่วไป แต่สามารถใช้ดอกในปริมาณน้อยชงเป็นชา หรือประกอบเมนูสมุนไพรพื้นบ้าน ดอกเฟื่องฟ้ามีสารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ ช่วยบรรเทาอาการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน - ดอกเข็มแดง
ใช้ในแพทย์แผนไทยเพื่อรักษาอาการปวดฟันและขับปัสสาวะ มีสารต้านการอักเสบ ควรบริโภคในปริมาณจำกัด และมั่นใจว่าเป็นพันธุ์ปลอดสารพิษก่อนรับประทาน - ดอกพวงชมพู
ดอกไม้เลื้อยสีชมพูสดใส ที่มีสารฟลาโวนอยด์และแอนโทไซยานิน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ นิยมตากแห้งเพื่อชงเป็นชา ช่วยลดความดันโลหิตและเสริมระบบภูมิคุ้มกัน - ดอกเก๊กฮวย
ดอกไม้กินได้ยอดนิยมที่ชงดื่มเป็นชาสมุนไพร ดับร้อน บรรเทาอาการปวดศีรษะ และช่วยคลายเครียด ดอกเก๊กฮวยมีสารคลอโรจีนิกและลูทีโอลิน ที่ช่วยต้านแบคทีเรียและลดการอักเสบภายในร่างกาย - ดอกกล้วยไม้หวาย
บางพันธุ์ของกล้วยไม้หวายปลอดภัยในการบริโภค เช่น นำไปชุบแป้งทอดหรือใส่ในสลัด ดอกกล้วยไม้หวายมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ และต้องแน่ใจว่าเป็นพันธุ์ปลูกเพื่อบริโภคโดยเฉพาะ
ข้อควรรู้ก่อนบริโภคดอกไม้กินได้
แม้ว่าดอกไม้กินได้ จะปลอดภัยในหลายกรณี แต่ควรปลูกเองหรือเลือกซื้อจากแหล่งที่ไว้ใจได้ ควรหลีกเลี่ยงดอกไม้ที่ใช้ยาฆ่าแมลง หรือที่ปลูกเพื่อประดับเพียงอย่างเดียว เพราะอาจมีสารพิษตกค้าง
ดอกไม้กินได้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความหลากหลายให้กับมื้ออาหาร แต่ยังให้คุณประโยชน์ทางสุขภาพมากมาย เลือกให้ถูกชนิด ปรุงอย่างถูกวิธี และมั่นใจในความสะอาดเท่านี้ก็ได้ทั้งความสวย อร่อยและสุขภาพดีไปพร้อมกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/05/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,350.00 | 50,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,261.00 | 49,436.76 | 51,250.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,934.90 | 44,493.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,608.80 | 39,549.41 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,467.00 | 22,246.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,141.00 | 17,302.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,379.00 | 51,229.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/05/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |