สาระน่ารู้ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2568

อสังหาฯไร้สัญญาณฟื้น!ยอดโอนต่างชาติสะดุดไตรมาสแรก68 ‘จีน’วูบ

ไร้สัญญาณฟื้น! ยอดโอนต่างชาติสะดุด ไตรมาส1/2568 ‘จีน’วูบ7.2% ฉุดมูลค่าร่วง 19.2% ผู้ประกอบการ อสังหาฯปรับตัวหาฐานลูกค้าใหม่ ปล่อยเช่า ทดแทน

ภาวะเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกชะลอตัวต่อเนื่อง รวมทั้ง “จีน” มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ขุมทรัพย์ใหญ่ของสินค้าและบริการของไทย โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย สร้างแรงสั่นสะเทือนกดดันยอดขาย สะท้อนผ่านยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิจากต่างชาติเผชิญตัวเลขติดลบ ซึ่ง “ชาวจีน” ที่รั้งตำแหน่งผู้ซื้ออันดับหนึ่ง แม้ยังครองแชมป์แต่ยอดซื้อดิ่ง!  ขณะที่ “เมียนมา” ขยับขึ้นอันดับ 2 สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนต่างชาติในไทย สัญญาณล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากต่างชาติไตรมาสแรก ปี 2568 “ลดลง” ทั้งในเชิงจำนวนและมูลค่า

สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แม้จีนยังเป็นชาติที่โอนห้องชุดมากที่สุด แต่ยอดซื้อกลับลดลงถึง 19.2% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่กดดันและความระมัดระวังของนักลงทุนจีน  ผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีห้องชุดที่ชาวต่างชาติซื้อและโอนกรรมสิทธิ์รวม 3,919 หน่วย มูลค่ารวม 16,392 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 29.3% ของตลาดรวม ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอาจดูเล็กน้อยในเชิงปริมาณ แต่ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มชะลอตัวที่ต้องจับตา!

ดีมานด์จีนแผ่ว เมียนมาพุ่ง

จีนยังคงเป็นชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 1,481 หน่วย มูลค่า 6,117 ล้านบาท แต่เทียบกับปีก่อนลดลงถึง 19.2% ในเชิงมูลค่า และหดตัว 7.2% ในเชิงจำนวน เป็นสัญญาณชัดถึงภาวะความไม่มั่นใจของ “นักลงทุนจีน” ท่ามกลางเศรษฐกิจภายในประเทศยังอ่อนแรง ในทางกลับกัน “เมียนมา” กลับกลายเป็นผู้เล่นใหม่ที่น่าจับตา ด้วยยอดการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 12% ในจำนวนหน่วย กลายเป็นอันดับ 2 แซงหน้ารัสเซียที่เคยครองอันดับนี้อย่างมั่นคง

“แม้สถานการณ์ภายในประเทศไม่แน่นอน แต่นักลงทุนเมียนมากลับมองไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทั้งจากภัยสงครามและเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในบ้านตัวเอง”

แม้ในเชิงมูลค่า “เมียนมา” ลดลง 28.1% เหลือ 1,587 ล้านบาท แต่การเพิ่มขึ้นเชิงจำนวน สะท้อนพฤติกรรม “กระจายความเสี่ยง” ของนักลงทุนจากประเทศที่มีความไม่แน่นอนภายในสูง

ขณะที่ “รัสเซีย” ยังคงรักษาตลาดได้ แม้จำนวนหน่วยลดลง 2.4% แต่มีมูลค่าโอนเพิ่มขึ้น 6.9% มาจากการซื้อห้องชุดมูลค่าสูงในเมืองเศรษฐกิจหลัก เช่น กรุงเทพฯ และพัทยา ขณะที่ยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน และสหราชอาณาจักร ดีมานด์ขยับขึ้นบางส่วน  เช่นเดียวกับ ไต้หวันและสิงคโปร์ที่น่าสนใจ ด้วยการเติบโตของมูลค่าการโอนสูงถึง 33.9% และ 52.5% ตามลำดับ สะท้อนความเชื่อมั่นในระยะยาวต่อศักยภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

“ปรับตัว”รับโครงสร้างตลาดต่างชาติเปลี่ยน

สุนทร กล่าวว่า แม้ยังมีนักลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่ขยายตัว แต่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังเปราะบางและมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังโตต่ำ กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอ ดีเวลลอปเปอร์ไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์มองหาตลาดใหม่ เสริมแพลตฟอร์มรองรับความหลากหลายของดีมานด์ต่างชาติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน ฮ่องกง เมียนมา รัสเซีย นอกเหนือจากพึ่งพากำลังซื้อจาก “จีน” ไม่เพียงพออีกต่อไป

“การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดต่างชาติในอสังหาริมทรัพย์ไทยปีนี้ เป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์พัฒนาโครงการและกลยุทธ์ทำการตลาด เพื่อรับมือกับดีมานด์ที่ผันผวนและพฤติกรรมผู้ซื้อที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

จากก่อนหน้านี้เคยมีการขายคอนโดมิเนียมให้ลูกค้าจีนก่อนโควิด-19 ในปี 2562 ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยราว 40 ล้านคน เป็น “จีน” ถึง 11 ล้านคน ช่วงเวลานั้นขายคอนโดมิเนียมให้คนจีนประมาณ 10,000 ยูนิต แต่ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนเหลือ 5 ล้านคน คาดว่า จะขายได้ประมาณ 6,000 ยูนิต

“เฉพาะชาวจีนแผ่นดินใหญ่ซื้อคอนโดมิเนียมในไทยสูงสุดในปี 2561 จำนวน 7,916 ยูนิต และตลาดคอนโดมิเนียมเคยลดลงต่ำสุดในปี 2564 เหลือเพียงแค่ 4,867 ยูนิต ส่วนปี 2567 เหลือ 5,670 ยูนิต”

คอนโดปล่อยเช่ามาแรง

ปีณิตา ศิลปสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) เครือออริจิ้น กล่าวว่า จากข้อมูลของพรีโมเซอร์วิสฯ พบว่า เทรนด์เช่าคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะประเภทที่มีบริการเหมือนโรงแรม หรือ Service Residences กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่โรงแรมปรับราคาสูงขึ้นตามอัตราการเข้าพัก

นักท่องเที่ยวมองหาความคุ้มค่าและการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น เลือกเช่าคอนโดมิเนียมราคา 15,000-70,000 บาทต่อเดือน ตามขนาดและโลเกชัน โดยมีแนวโน้มเปลี่ยนจากสัญญาเช่าระยะยาว (6 เดือน-1 ปี) มาเป็นสัญญาระยะสั้น 1-2 เดือน

“ราคาเช่าคอนโดมิเนียมบางแห่งเริ่มต้นเพียง 20,000 บาทต่อเดือน หากเปรียบเทียบกับโรงแรมที่พัก 1 เดือนอาจต้องจ่ายมากกว่า 30,000 บาท นักท่องเที่ยวจึงเริ่มหันมามองคอนโดมิเนียมมากขึ้น”

คอนโดมิเนียม กลายเป็นทางเลือกที่ได้ทั้งความสะดวกสบายและราคาคุ้มค่าปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติถือครองสัดส่วนลูกค้าราว 30% ของพอร์ตคอนโดมิเนียมให้เช่าของบริษัท ขณะที่ 50% เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย (Expat) ซึ่งนิยมเช่าห้องใหญ่ระดับราคา 60,000-70,000 บาทต่อเดือน อีก 20% เป็นกลุ่มคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถขอสินเชื่อซื้อบ้านได้

ด้านพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมให้เช่า 10 โครงการ รวม 1,000 ยูนิต อัตราการเช่า 80-85% และมีแผนเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ ภายในสิ้นปี 2568 ในกรุงเทพฯ ชลบุรี และระยอง รวมอีก 500 ยูนิตรองรับดีมานด์ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง เทรนด์นี้ไม่เพียงกระทบโรงแรมโดยตรง แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการ “ความยืดหยุ่น คุ้มค่า เป็นส่วนตัว” มากกว่าความหรูหราจากบริการเต็มรูปแบบของโรงแรมในอดีต

  เร่งฟื้นความเชื่อมั่น“ความปลอดภัย”

สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมดีมานด์จาก “จีน” หายไป! เป็นผลมาจากความเชื่อมั่น จากกระแสข่าวความไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นหน้าที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาอีกครั้ง คาดว่าจะต้องใช้เวลา 3-4 ปีกว่าทีเดียวกว่าความเชื่อมั่นจะกลับมาเต็มที่ พร้อมกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว 

“ความท้าทายจากปัจจัยลบรอบด้าน แรงกดดันทางเศรษฐกิจ สภาพคล่อง ความไม่แน่นอนในตลาดโลก ผลจากภาษีทรัมป์ทำให้ไทยได้รับผลกระทบ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งทุกฝ่ายต้องปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ผ่านวิกฤติไปได้ พร้อมเตรียมรับกับโอกาสในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ระหว่างนี้ดีเวลลอปเปอร์ต้องถือเงินสด ลดค่าใช้จ่าย เลือกเปิดโครงการทำเลที่ดี”

แนวโน้มดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายรุกเข้ามาทำตลาด “บ้านหรู” ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น เนื่องเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมซื้อ! ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อย ส่งผลให้ซัพพลายบ้านหรูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา  ทำให้ตลาดแข่งขันรุนแรง

The Great Perfect Storm

ในมุมมองของ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้อง “ประคองตัว” ให้รอดผ่านสถานการณ์ “The Great Perfect Storm” จากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นการรักษาสภาพคล่อง รัดเข็มขัด เตรียมพร้อมรอจังหวะฟื้นตัวเมื่อเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณดีขึ้น 

“ระหว่างนี้ต้องประคับประคองตัวรับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ก่อนจบลงที่ฮาร์ดแลนด์ดิ้ง (Hard Landing) เราอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เอาตัวรอดในระยะยาวเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในปีนี้”

อย่างไรก็ตาม กรณีลูกค้าจีนชะลอการซื้อ ทางอนันดาปรับแผนด้วยการหันไปขยายฐานลูกค้าไต้หวัน ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อเข้ามาทดแทน โดยก่อนหน้านี้ได้จับมือกับพันธมิตรกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ อาทิ โธรน พร็อพเพอร์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท, ชูเซ็ง อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ในไต้หวัน และธนาคารกรุงเทพ สาขาไต้หวัน จัดโรดโชว์เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าไต้หวันเข้ามา

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อสังหาฯ เปิดเกมรุก ครึ่งปีหลัง ลุยโครงการใหม่ฝ่าวิกฤต

อสังหาฯ ครึ่งแรกปี 2568 เผชิญปัจจัยรุมเร้า ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อหดหาย เหตุภัยพิบัติ แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ยังเดินหน้าลุยเปิดโครงการใหม่ฝ่ามรสุมอสังหาฯ

ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เผชิญความเปราะบางอย่างหนักจากภาวะทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว การส่งออกชะลอ การท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวลงถึง 32.7% และเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงแรงกดดันจากนโยบายการเงินในประเทศที่ยังไม่เอื้อต่อการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะการเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ในหลายพื้นที่ปรับลดลงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดกลับไม่หยุดนิ่ง เร่งวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเน้นการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพและขยายไปยังเมืองรองและพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเจาะกลุ่มกำลังซื้อที่ยังมีศักยภาพ

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 27,440 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลางอย่าง Aspire อิสรภาพ-สเตชั่น และโครงการไฮไลต์ LIFE พระราม 4-อโศก ซึ่งมีมูลค่าโอนสูงถึง 6,500 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดไปยังเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา บางแสน เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติและผู้มีกำลังซื้อสูงในหัวเมืองใหญ่

รวมถึงใช้กลยุทธ์พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะการใช้ดีไซน์แบบ Empathy Design ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และพื้นที่ใช้สอยของผู้อยู่อาศัยจริง ทั้งยังมีจุดแข็งด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้ภาวะตลาดจะยังอ่อนแรง

ค่ายแสนสิริ เตรียมเปิดตามเป้าหมายในปีนี้คือ 29 โครงการ มูลค่ารวมราว 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ คาดว่าการเปิดตัวดังกล่าวจะช่วยผลักดันรายได้ให้เข้าเป้าหมายในปีนี้ที่ 53,000 ล้านบาท

ทั้งนี้เน้นพัฒนาในทำเลศักยภาพสูง ทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาและภูเก็ต พร้อมปรับพอร์ตสินค้าให้สัดส่วนโครงการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็น 57% จากเดิมที่อยู่ราว 35% เพื่อตอบรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อจริง

ศุภาลัย ไม่น้อยหน้า ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปีนี้เตรียมเปิดตัวถึง 42 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 36,000 ล้านบาท พร้อมใช้กลยุทธ์ “Private Tour” เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะแบบไม่เปิดทั่วไป โดยยังเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมราคาตั้งแต่ 3-7 ล้านบาท

อีกทั้งยีงมีกลยุทธ์สำคัญอยู่ที่การกระจายทำเลไปยังต่างจังหวัดมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น สุพรรณบุรี ลพบุรี สมุย และหัวหิน เพื่อเข้าถึงตลาดจริงในระดับภูมิภาคที่ยังมีความต้องการซื้ออยู่อาศัย ทั้งยังเดินหน้าลงทุนในต่างประเทศผ่าน Supalai Australia Holdings เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำจากตลาดอสังหาฯ ต่างประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ ยังปรับแผนคอนโดมิเนียมให้กลับมาเป็นหนึ่งในเรือธงหลัก โดยคาดว่าจะมียอดขายเติบโตจากปีก่อนกว่า 13%

ขณะที่ บริทาเนีย ยังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแนวราบ ยังโฟกัสที่การเติบโตในโซนกรุงเทพฯ ได้ประกาศเปิดตัว 16 โครงการแนวราบใหม่ มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท เจาะทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เช่น ราชพฤกษ์ บางบัวทอง และพุทธมณฑล โดยมองว่าโซนตะวันตกยังมีศักยภาพเติบโตจากระบบโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้  วางแผนเปิด 5-6 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง โดยเน้นจับกลุ่มระดับกลางในพื้นที่ปริมณฑล พร้อมขยายการเข้าถึงด้วยราคาที่จับต้องได้และทำเลที่แข็งแกร่งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อรักษาการเติบโตท่ามกลางการแข่งขันสูง

สำหรับ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มระดับบนในทำเลหัวเมืองใหญ่และพื้นที่ EEC อีกทั้ง ชูจุดแข็งด้านการออกแบบและการวางตำแหน่งสินค้าในกลุ่ม upper market เพื่อเจาะกลุ่ม Gen Y และกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงในระยะยาว

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้ปักธงตลาดลักชัวรี โดยเตรียมเปิดโครงการ “Perfect Masterpiece พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา” บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับสูงใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเป็นตลาดพรีเมียมที่ยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง

ในภาพรวมแล้วผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ต่างเร่งปรับแผนรับมือวิกฤตผ่านกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเร่งระบายสต็อกโครงการพร้อมอยู่ การปรับโครงสร้างสินค้าด้วยบ้านแนวราบและลักชัวรี ทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น เมืองท่องเที่ยวและ EEC และการควบคุมต้นทุนด้วยการลดการเปิดโครงการใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง

ทางด้านค่ายเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีแผนการดำเนินงานปี 2568 พัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการมูลค่า 10,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 1 โครงการมูลค่า 3,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เลื่อนตัมาจากปี 2567 ประมาณ 3โครงการ ส่วนใหญ่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 และ3 และยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ระดับราคา 1-3 ล้านบาทเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่กลุ่มเสนาฯครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต โดยเฉพาะแบรนด์คอนโดฯ Cozi ระดับราคา 1.5-2.5 ล้านบาท ที่จะเปิดตัวในปีนี้มากถึ 6 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขาย ไว้ที่15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ  LivNex  เช่าออมบ้านไว้ด้วย

แม้สถานการณ์ตลาดในปี 2568 จะยังเต็มไปด้วยความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่กลับยังไม่ปรับลดแผนการลงทุนหรือเปิดตัวโครงการใหม่ลง ทั้งยังคงยึดเป้าหมายรายได้และยอดขายไว้ในระดับเดิม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระยะยาวต่อแนวโน้มของตลาดที่จะสามารถประคับประคองตัวให้ผ่านพ้นปี 2568 ได้อย่างมีเสถียรภาพ และพร้อมปูทางสู่การฟื้นตัวในปี 2569 โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจกลับเข้าสู่จังหวะขาขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้20มิ.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลาง ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk จากแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ จากพัฒนาการของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 20มิ.ย.2568ที่ระดับ  32.70 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.77 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หรือ เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ท่ามกลาง ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองไทย

อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk จากแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะขึ้นกับพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

 โดยในกรณีที่ สถานการณ์ดังกล่าวทวีความรุนแรงและเสี่ยงลุกลาม บานปลายมากขึ้น (เช่น สหรัฐฯ ตัดสินใจเข้ามามีส่วนร่วมในการโจมตีอิหร่าน จนนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นจากฝั่งอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance)

ก็อาจทำให้ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งหากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันให้โดยรวมเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง (หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลง)

ในกลับกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว มีทิศทางที่จะทยอยคลี่คลายลงได้ และอาจเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาเจรจายุติการสู้รบ ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงบ้าง ซึ่งต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ประกอบไปด้วย โดยหากเงินดอลลาร์ทรงตัว หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำปรับตัวลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

ทั้งนี้ แม้ว่า เงินบาทจะเผชิญความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจติดโซนแนวต้าน 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทก็อาจขยับขึ้นมาแถว 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวออกจากโซนแนวรับ-แนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน

ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราพบว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน จะเกิดสัญญาณ Long USDTHB สะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ (ล่าสุด เงินบาทก็ยังไม่สามารถผ่านโซนดังกล่าวได้)

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.69-32.83 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินจะเบาบางลง

เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด Juneteenth ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า เงินบาทก็พอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้าง ตามจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญแรงกดดันจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้

ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังมีโอกาสทยอยขึ้นดอกเบี้ย (อัตราเงินเฟ้อ CPI ญี่ปุ่น เดือนพฤษภาคม ที่ออกมาในเช้าวันนี้ ก็ยังอยู่ในระดับสูงถึง 3.5%) สวนทางกับแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติม ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านด้วยเช่นกัน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์แถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ชัดเจน

แม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Juneteenth ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงราว -0.3% ของสัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ล่าสุด

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.83% กดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +1.3%

ทางด้านตลาดค่าเงิน แม้ว่าจะเป็นช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามจังหวะการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังเงินเยนญี่ปุ่นยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นล่าสุด อย่าง Core-Core CPI ก็ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-99.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดจะเบาบางลงช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ยังพอได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังล่าสุด BOE มีมติ 6-3 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25% ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า BOE ยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจจากเฟดสาขา Philadelphia

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.70-32.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ

แม้เงินบาทจะฟื้นตัวกลับมาบางส่วนในช่วงแรก แต่ลดช่วงบวกและทยอยอ่อนค่ากลับมาอีกครั้งตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงประคองจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และสัญญาณจากเฟดที่มีท่าทีระมัดระวังต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากผลของภาษีการค้า

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ  ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ของญี่ปุ่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนมิ.ย. 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ สร้างตำนานบทใหม่ จารึกชื่อมือ 1 โลกแบดมินตันชายเดี่ยว

จากเหรียญประวัติศาสตร์โอลิมปิก สู่การก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลก — เส้นทางที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นของ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ จุดกระแสความภาคภูมิใจของแฟนแบดมินตันไทยอีกครั้ง

เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการแบดมินตันไทยอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่วัย 24 ปี ที่เพิ่งจารึกชื่อเป็นคนไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลจากกีฬาแบดมินตันในโอลิมปิกเกมส์กลางปีที่แล้ว จุดกระแสแบดมินตันในไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้งและล่าสุด “วิว” ได้สร้างบันทึกหน้าสำคัญอีกครั้งให้วงการกีฬาไทย เมื่อเจ้าตัว ก้าวขึ้นครองมือ 1 ของโลก ในประเภทชายเดี่ยวอย่างสมศักดิ์ศรี จากผลงานอันร้อนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ผลงานในรายการล่าสุด คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อกุลวุฒิคว้าแชมป์ สิงคโปร์ โอเพ่น ได้แบบไม่เสียแม้แต่เกมเดียว ตั้งแต่รอบแรกถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยในรายการนี้ยังมีข่าวดีซ้อนอีกชั้นสำหรับแฟนกีฬาไทย เมื่อ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน ผงาดคว้าแชมป์ที่ 5 ร่วมกันอีกด้วย

ในรอบชิงชนะเลิศประเภทชายเดี่ยว “วิว” แสดงให้เห็นถึงฟอร์มอันดุดัน พัฒนารูปแบบการเล่นจากเดิมที่เน้นรับเหนียวแน่น มาเป็นเกมรุกที่เฉียบคมมากขึ้น พร้อมด้วยลูกเล่นและเทคนิคที่แพรวพราว ส่งผลให้ผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง

นับตั้งแต่ต้นปี 2025 “วิว” คว้าแชมป์ไปแล้ว 4 รายการ ได้แก่

  • อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2025 (ปลาย ม.ค.)
  • ชิงแชมป์เอเชีย 2025 ที่จีน (เม.ย.)
  • ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025
  • สิงคโปร์ โอเพ่น 2025

แม้จะมีช่วงหลุดฟอร์มบ้าง เช่น การตกรอบ 16 คนสุดท้ายใน ออล อิงแลนด์ 2025 และรอบ 8 คนใน สวิส โอเพ่น แต่หลังจากกลับมาแข่งในเอเชีย กุลวุฒิก็คืนฟอร์มทันที คว้าแชมป์ชิงแชมป์เอเชียได้สำเร็จ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดมินตันชายไทยคนแรกที่ได้แชมป์รายการนี้

จากนั้นเจ้าตัวเดินหน้ากวาดแชมป์อีก 2 รายการใหญ่ที่ไทยแลนด์ โอเพ่น และสิงคโปร์ โอเพ่น โดยในรอบชิงฯ ที่สิงคโปร์ยังสามารถ ย้ำแค้น ลู่ กวางซู มือ 15 ของโลกจากจีน ซึ่งเคยแพ้ให้วิวในรอบชิงฯ ชิงแชมป์เอเชียมาแล้ว

เท่ากับว่า 3 รายการล่าสุดที่กุลวุฒิลงแข่ง เจ้าตัว ชนะรวด 15 นัด คว้าแชมป์ทั้ง 3 รายการติด และในรอบตัดเชือกของสิงคโปร์ โอเพ่น ยังเอาชนะ หลิน ชุนยี่ มือ 19 โลกจากไต้หวัน 2-0 เกม ซึ่งชัยชนะดังกล่าวช่วยการันตีคะแนนสะสมให้ “วิว” แซง ฉี ยู่ฉี มือ 1 โลกชาวจีน ซึ่งตกรอบ 16 คนสุดท้ายในรายการนี้

“วิว” ซึ่งก่อนแข่งตามหลังอยู่กว่า 7,000 คะแนน พอคว้าแชมป์ก็รับแต้มเพิ่มถึง 11,000 ขณะที่หนุ่มจีนไม่สามารถป้องกันแชมป์เก่าได้ คะแนนจึงถูกหักออกตามระบบ ส่งผลให้กุลวุฒิขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568

และนี่คือการ เดินตามรอย “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ที่เคยขึ้นเป็นมือ 1 โลกฝ่ายหญิงเดี่ยวเมื่อ 21 เม.ย. 2016 จากผลงานคว้าแชมป์ระดับซูเปอร์ซีรีส์ 3 รายการติดกัน ได้แก่ อินเดีย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ โอเพ่น ในช่วงเวลาเพียง 3 สัปดาห์ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดหญิงไทยคนแรกที่ขึ้นมือ 1 โลก

ขณะเดียวกัน “วิว” ยังกลายเป็นนักแบดมินตันไทยคนที่ 6 ที่เคยขึ้นมือ 1 โลกต่อจาก

  • สุดเขต ประภากมล กับ สราลีย์ ทุ่งทองคำ (คู่ผสม)
  • รัชนก อินทนนท์ (หญิงเดี่ยว)
  • เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย (คู่ผสม)

ต่อมาในการแข่งขัน อินโดนีเซีย โอเพ่น เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 วิวมีภารกิจสำคัญคือการรักษาฟอร์มและตำแหน่งมือ 1 โลกให้ได้อย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งเจ้าตัวทำได้สำเร็จด้วยการทะลุถึงรอบรองฯ แม้จะแพ้ โจว เทียนเฉิน จากไต้หวัน แต่ผลงานเท่ากับปีที่แล้ว จึงยังรักษาคะแนนไว้ได้ครบ

ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า การขึ้นเป็นมือ 1 โลกของ “วิว” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของความทุ่มเทและพัฒนาตนเองตลอดเส้นทางอาชีพ — และด้วยวัยเพียง 24 ปี เจ้าตัวยังมีเวลาอีกมากในการเดินหน้าสร้างความสุขให้แฟนกีฬาไทย และเขียนหน้าประวัติศาสตร์ให้วงการแบดมินตันไทยอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


โรคไหลตาย สาเหตุมาจากอะไร และจะป้องกันได้อย่างไร

ไหลตาย” เป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย (พบในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่) สาเหตุมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจตั้งแต่กำเนิด ที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนเสียชีวิต ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์เพื่อวางแผนป้องกันโรค 

เมื่อหลายปีก่อนเราได้ทราบข่าวจากเพื่อนต่างสถาบันว่า เพื่อนของเพื่อนที่อยู่ในหอพักเดียวกันเสียชีวิตก่อนวันสอบเพียงคืนเดียว สาเหตุมาจากการ “ไหลตาย” เพราะนอนหลับหลังอ่านหนังสืออย่างหนักติดต่อกันหลายวัน และไม่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันสอบ และทราบว่าชีพจรไม่เต้นไปเสียเฉยๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้ยินคำว่า “ไหลตาย” และลงมือหาข้อมูลเดี๋ยวนั้นว่าไหลตายคืออะไร ใครที่เคยได้ยินแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร Sanook Health นำข้อมูลมาฝากกัน เพราะเหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวคุณในวันหนึ่งเหมือนเราก็ได้ 

ไหลตาย คืออะไร

อาการไหลตาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างกะทันหัน ทำให้เสียชีวิตในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากการที่มีลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจกะทันหัน จนทำให้เกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน หรือเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจที่มีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นการสืบทอดมาจากพันธุกรรมในครอบครัวนั่นเอง 

อาการไหลตาย เป็นอย่างไร

คนส่วนใหญ่มักพบผู้ป่วยในร่างที่เสียชีวิตแล้ว เพราะมักเกิดอาการในขณะที่กำลังนอนหลับพักผ่อน เสมือนนอนหลับแล้วจากไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ มักเป็นการเสียชีวิตอย่างฉับพลันในช่วงเวลากลางคืน

กลุ่มเสี่ยงอาการไหลตาย

อาการไหลตาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนอายุ 30-50 ปี นอกจากนี้ยังอาจเกิดกับคนที่เคยมีประวัติเกิดภาวะหัวใจเต้นระริกไม่มีการบีบตัว ทำให้ไม่มีการไหลเวียนเลือด ไม่มีการลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือภาวะกระแสไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ รวมทั้งอาการหายใจเป็นเฮือกๆ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้นหลังหัวใจหยุดเต้น คนกลุ่มนี้แม้มีชีวิตรอดจากการช่วยปั๊มหัวใจมาได้ครั้งหนึ่ง ก็ยังมีความเสี่ยงจะเกิดซ้ำอีก

นอกจากนี้ หากพบว่าเคยมีคนในครอบครัว หรือเครือญาติมีประวัติเสียชีวิตจากอาการไหลตาย รวมไปถึงเคยสังเกตตัวเองว่ามีอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ก็ถือว่ามีตวามเสี่ยงที่จะเกิดอาการไหลตายได้เช่นกัน 

ปัจจัยเสี่ยงต่ออาการไหลตาย

  • มีไข้สูง และไม่รีบรักษาให้ไข้ลดลงอย่างเร่งด่วน
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • ใช้ยานอนหลับ
  • ใช้สารเสพติด
  • ทานอาหารประเภทแป้งมากเกินไป รวมถึงอาหารรสเค็มจัด ทำให้ขาดโพแทสเซียม ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ  

วิธีป้องกันอาการไหลตาย

  1. หากทราบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็กสุขภาพ และคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่เสมอ
  2. ออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  3. งดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
  4. หากมีไข้สูง ควรรีบทานยาลดไข้ และหากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ อย่าปล่อยให้ตัวเองมีไข้ไปนานๆ
  5. ในกรณีที่ตรวจสุขภาพพบว่ามีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาให้ฝังเครื่องกระจุกหัวใจไว้ในตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 ภาษาที่เรียนรู้ไว้ได้งานดี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในโลกปัจจุบันนั้นภาษาที่ 2 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากๆในปัจจุบัน อีกทั้งภาษายังเป็นสื่อกลางหรือเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการส่งสารไปถึงผู้อื่น ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ ก็ด้วยภาษานี้แหละครับ และภาษาก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ดีที่สุดในการทำให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งภาษายังเปรียบเสมือนวัฒนธรรมอีกสิ่งหนึ่งของมนุษย์ในแต่ละชาติอีกด้วย ยิ่งเพื่อนๆสามารถสื่อสารได้มากภาษาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสในการทำงานกับองกรณ์ต่างชาติได้มากขึ้นมีโอกาสต่างๆที่มากขึ้นอาทิเช่น การติดต่อกับต่างประเทศ การมีคอนเนคชั่นกับชาวต่างชาติ สามารถเลือกอาชีพได้เยอะกว่า

วันนี้แอดมินจากเพจ Engduo Thailand จะมาบอก 5 ภาษาที่ควรเรียนรู้ไว้เป็นภาษาที่ 2 เพื่อโอกาสการก้าวหน้าในสายการทำงานในอนาคต

1.ภาษาอังกฤษ

เรามาเริ่มต้นกันที่ภาษาแรกกันเลย ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นภาษาสากลของโลกที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันทางสถาบันสอนภาษา Engduo Thailand อยากให้เพื่อนๆฝึกฝนและเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้สามารถสื่อสารได้คล่อง ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่เพื่อนๆเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ตาม แต่เราเชื่อว่ายังมีเพื่อนๆบางคนที่ยังมีความกังวลในการที่จะพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกันอยู่ บางคนอาจจะสามารถสื่อสารได้แต่ยังมีความอายที่จะพูด ซึ่งพื้นที่การเรียนการสอนของไทยนั้นจะเน้นไปที่การท่องจำคำศัพท์ และ Grammar เป็นหลักแต่ไม่มุ่งเน้นไปที่การพูดทำให้คนไทยขาดความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ

การที่เพื่อนๆจะเพิ่มโอกาสในการงาน และ เพิ่มรายได้ที่ดีขึ้นนั้น ภาษาอังกฤษยังเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เพื่อนๆควรมีติดตัวไว้ เนื่องด้วยในปัจจุบันอาชีพต่างๆมีการใช้ภาษาอังกฤษที่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็น วิศวกร, IT, Blogger, นักการตลาด หรือ Marketing ฉommunication และ อื่นๆอีกมากมาย ต่างก็มีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น  ดังนั้นถ้าเพื่อนๆสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดียังสามารถมีโอกาสในการทำอาชีพที่ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นหลักอีกด้วยเช่น แอร์โฮสเตท หรือ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน, พนักงานโรงแรม, ล่าม, ครูภาษา, มัคคุเทสก์ หรือ ไกด์ เมื่อเพื่อนๆเห็นประโยชน์มากมายของภาษาอังกฤษนี้แล้วอย่ามัวรอช้า ควรเรียนให้รู้ให้จริง และกล้าที่จะนำมาใช้เพื่ออนาคตที่ดีนะครับ

2.ภาษาจีน

อย่างที่เราทุกๆ คนทราบกันดีอยู่เเล้วว่า ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาที่ควรเรียน เเละมีความต้องการมากๆ โดยเฉพาะในการลงทุนทำธุรกิจ ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาที่คนใช้มากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะประชากรชาวจีนมีมากถึง 1,400 ล้านคน เเละประชากรจีนยังกระจายไปอยู่ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ใช่เเค่ประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้ภาษาจีน ใต้หวัน, ฮ่องกง, สิงคโปร์ เเละอีกหลายๆ ประเทศก็ใช้ภาษาจีนในการสื่อสารชีวิตประจำวันของคนในประเทศของเขาด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ภาษาจีนยังมีประโยชน์ในการสร้างโอกาสในการทำงานมากขึ้นอีกด้วย ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่ผู้ประกอบการต้องการ เเละพร้อมจ่ายค่าภาษาเพิ่มให้กับลูกจ้าง ผู้สมัครบางคนต้องไปทำการสอบวัดระดับภาษาเพื่อมายื่นรับเงินเดือนเพิ่มเติมในส่วนของภาษาที่สอบได้ การทำธุรกิจก็เช่นกัน ภาษาจีนยังเป็นอีกภาษาที่ใช้ในการติดต่อค้าขาย การที่เราสามารถพูดภาษาจีนเองได้เลยก็ช่วยให้การทำงานนั้นสะดวกง่าย เเละรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย

3.ภาษาญี่ปุ่น

อีกหนึ่งภาษาที่แอดมินอยากให้เพื่อนๆเรียนรู้ไว้นั่นก็คือภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง เพื่อนๆอาจสังเกตุได้ว่าในปัจจุบันนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมาระดมทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น สินค้าอุตสาหกรรม,ไฟฟ้า,เครื่องกล,ยานยนต์ หรือ อาหารที่มีกระจาย และ แพร่หลายอยู่ทั่วประเทศไทย ดังนั้นเมื่อพุดถึงโอกาสในการทำงานแล้วการที่เพื่อนๆสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ถือเป็นโอกาสในการเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ๆต่างๆของญี่ปุ่นอีกด้วย

ยิ่งถ้าเพื่อนๆที่จบสายวิศกรรมมานั้นการที่เพื่อนๆสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ถือเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่เพื่อนๆจะมีโอกาสหรือได้รับการคัดเลือกมาทำงานมากกว่าผู้สมัครที่จบมาในสายงานเดียวกันแต่ไม่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ เมื่อเพื่อนๆเห็นประโยชน์ต่างๆของภาษาญี่ปุ่นแล้วเพื่อนๆเตรียมปักหมุดไว้เลยว่าภาษาญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งภาษาที่เพื่อนๆควรเรียนรู้ไว้

4.ภาษาเกาหลี

ภาษาเกาหลี เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เเม้ว่าภาษาเกาหลีจะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเเพร่หลายเหมือนภาษาอื่นๆ เเต่ปัจจุบัน วัฒนธรรม ดารา นักร้อง ละครซีรีย์ ที่มาจากประเทศเกาหลีใต้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราจะเห็นภาษาเกาหลีในเเวดวง ธุรกิจ การค้า รวมถึงงานบันเทิงอย่าง คอนเสิร์ต หนัง ละคร เป็นต้น

ภาษาเกาหลีจะมีความคล้ายกับ ภาษาญี่ปุ่น ตัวอักษรเเละเสียงจะอ่านได้ไม่ยากมาก ภาษาเกาหลีถือว่าง่ายกว่าภาษาอื่นๆ เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ชื่นชอบการดูซีรีย์เกาหลีด้วยเเล้ว การเรียนภาษาเกาหลีจะไปได้เร็ว ไปได้ไกลมากๆ เลย หากว่าใครพูดเกาหลีได้ ก็จะเปิดกว้างในด้านอาชีพการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ล่าม นักเเปล ครูสอนภาษาเกาหลี เป็นต้น

5.ภาษาฝรั่งเศษ

ภาษาฝรั่งเศส เป็นอีกภาษาหนึ่งที่ทางเพจ Engduo Thailand อยากให้เรียนรู้ไว้เพราะ ภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาราชการที่ใช้กันมากกว่า 20 ประเทศ หรือรวมๆแล้วใช้กันประมาณ 5 ทวีป และเชื่อว่าในอนาคตภาษาฝรั่งเศษมีเเนวโน้มที่คนจะใช้กันไปเรื่อยๆ อย่างองค์กรใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ หรือ องค์การยูเนสโก้ ก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการทำงานด้วย

นอกจากนี้ภาษาฝรั้งเศสยังเป็นภาษาพื้นฐานในการที่เพื่อนๆ สามารถนำไปต่อยอดเรียนภาษาอื่นๆ ได้ อย่างเช่น ภาษาสเปน ภาษาอิตาลี เป็นต้น ถ้าเพื่อนๆ สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้ มันก็จะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ เพราะหลายๆ บริษัทชั้นนำของโลกใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารและการทำงาน นอกจากนี้ภาษาฝรั้งเศษยังเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรม เเละ ผลงานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ศิลปะ ภาพยนตร์ การออกแบบสถาปัตยกรรมต่าง ๆ การที่เราสามารถอ่านภาษาฝรั้งเศษออกก็จะทำให้เราเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ได้มากยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


วิธีเช็คว่าเราเคยเดินทางไหนบ้าง Google Maps บอกคุณได้

ปกติการเดินทางของแต่ละคนก็มีเรื่องราวอยู่แล้วว่าเคยไปไหน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ บางคนใช้ Google Maps ในการบอกทางอยู่ และถ้าคิดถึงเวลาเก่าๆ ก็มักจะหยิบมาดูแต่รู้หรือไม้ มีฟีเจอร์หนึ่งย้อนรำลึกถึงเวลาเก่าๆ ในการเดินทางได้ วันนี้ Sanook Hitech จะมาบอกคุณว่า Google Maps สามารถย้อนดูการเดินทางที่ผ่านมาอย่างไร

วิธีดูไทม์ไลน์ย้อนหลังของคุณ Google Maps

สำหรับแอป Google Maps บนมือถือ (Android/iOS)

  1. เปิดแอป Google Maps
  2. แตะที่ รูปโปรไฟล์ ของคุณที่มุมบนขวา
  3. เลือกเมนู “ไทม์ไลน์ของคุณ” (Your Timeline)
  4. คุณจะเห็นแผนที่และรายการสถานที่ที่คุณเคยไปในวันนี้ คุณสามารถเปลี่ยนไปดูวันอื่นๆ, เดือน, หรือปีที่ผ่านมาได้โดยใช้แท็บด้านบน

สำหรับบนคอมพิวเตอร์ (เว็บไซต์ Google Maps)

  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Google Maps
  2. คลิกที่ เมนู (สัญลักษณ์ขีด 3 เส้น) ที่มุมบนซ้าย
  3. เลือก “ไทม์ไลน์ของคุณ” (Your Timeline)
  4. หรือคุณสามารถเข้าไปที่ลิงก์นี้โดยตรง: google.com/maps/timeline

รูปแบบที่คุณเลือกได้

หลังจากที่รู้ว่าเข้าไปดูประวัติการเดินทางอย่างไรแล้ว รอบนี้เรามาดูว่าสามารถแยกการดูแบบไหนได้บ้าง

  • ดูรายวัน: สามารถเลือกดูเป็นรายวันได้ว่าไปที่ไหนมาบ้างและใช้เส้นทางไหน
  • ดูภาพรวม: ดูภาพรวมเป็นรายเดือนหรือรายปี เพื่อดูว่าเมืองหรือประเทศไหนที่คุณไปบ่อยที่สุด
  • แก้ไขข้อมูล: หากพบว่าข้อมูลสถานที่หรือเวลาไม่ถูกต้อง คุณสามารถแก้ไขหรือลบข้อมูลนั้นๆ ได้
  • จัดการประวัติตำแหน่ง: คุณสามารถเข้าไปตั้งค่าเพื่อเปิด, ปิด หรือสั่งลบประวัติตำแหน่งทั้งหมดหรือบางส่วนได้ เพื่อความเป็นส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เปิดใช้งาน “ประวัติตำแหน่ง” (Location History) ในบัญชี Google ของคุณไว้ล่วงหน้าเท่านั้น หากคุณปิดไว้ Google Maps จะไม่สามารถบันทึกข้อมูลการเดินทางของคุณได้นะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ทำความรู้จักส้มโอ ผลไม้มากประโยชน์ และข้อควรระวัง

ส้มโอมีประโยชน์เด่นทั้งรสชาติอร่อยหวานอมเปรี้ยวและคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ

ส้มโอคืออะไร

ส้มโอ (Pomelo, Citrus maxima) เป็นผลไม้ในตระกูลส้มขนาดใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกลมโต เปลือกหนา เนื้อภายในมีหลากหลายสี เช่น สีขาว เหลือง ชมพู หรือแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว กรอบฉ่ำน้ำ เป็นที่นิยมทั้งรับประทานสดและแปรรูปเป็นขนมหรือของหวาน

ประโยชน์ของส้มโอ

  • อุดมด้วยวิตามินซีสูง
    ส้มโอ ประโยชน์สำคัญคือการช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันจากวิตามินซีที่มีในปริมาณสูง ช่วยป้องกันหวัด ต้านเชื้อโรค และส่งเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
  • ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์
    ส้มโอมีสารแอนโธไซยานิน ฟลาโวนอยด์ และวิตามินซี ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังต่าง ๆ
  • บำรุงหัวใจ ลดไขมันในเลือด
    ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ควบคุมน้ำหนักและระบบขับถ่าย
    ไฟเบอร์ในส้มโอ มีประโยชน์ช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความอยากอาหาร ส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้น ลดปัญหาท้องผูก
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    ส้มโอ มีประโยชน์ในการช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล

วิธีเลือกรับประทานส้มโอให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เลือกผลที่สุกพอดี

  • เปลือกเรียบแน่น สีเขียวอมเหลือง ไม่ช้ำ
  • กดดูเนื้อในแน่น ไม่นิ่มจนเกินไป

กินสดดีที่สุด

  • กินแบบสดช่วยรักษาวิตามินซีไว้ได้มากที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการแปรรูปที่มีน้ำตาลสูง เช่น แช่อิ่มหรือเชื่อม

ปริมาณที่เหมาะสม

  • กินวันละ 1/4-1/2 ผล (ประมาณ 150-300 กรัม)
  • ควรระวังในผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากมีโพแทสเซียมค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไปอาจสะสมในร่างกายเกินความจำเป็น 

ข้อควรระวังในการกินส้มโอ

  • ประโยชน์ของส้มโอแม้มีมาก แต่ควรระวังในผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมัน (Statins) หรือยาละลายลิ่มเลือด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยากับสารในส้มโอ
  • หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคเป็นประจำ

ส้มโอมีประโยชน์ครบทุกด้าน ทั้งเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดไขมันในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ ดูแลระบบขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนัก ถือเป็นผลไม้ไทยที่ดีต่อสุขภาพและควรมีติดบ้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 20/06/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,000.0052,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,361.0050,952.7652,900.00
ทองรูปพรรณ 90%3,024.9045,857.48n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,688.8040,762.21n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,512.4522,928.74n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,176.3517,833.47n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,482.9052,800.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 20/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9533.2533.2533.7533.2533.2533.2533.2533.2533.2533.25
แก๊สโซฮอล์ 9132.8832.8833.3832.8832.8832.8832.8832.8832.8832.88
แก๊สโซฮอล์ E2031.0431.0431.5431.0431.0431.0431.0431.0431.04
แก๊สโซฮอล์ E8529.3929.3929.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.8449.5449.8449.5441.84
เบนซิน 9541.5449.5142.0441.6941.54
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า