สาระน่ารู้ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2567

สัญญาณอันตรายอสังหาฯทรุดลากยาวจี้ปลดล็อก‘แอลทีวี-เงื่อนไขขอสินเชื่อ’

  • ก้าวเข้าสู่ไตรมาส 4 ไฮซีซันประจำปี แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาทยังอยู่ในภาวะดิ่งเหว
  • เผชิญมรสุมปัจจัยลบรอบด้าน  ส่งผลให้ยอดขายและเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทั้งคอนโดมิเนียม  ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว “ร่วงยกแผง”  
  • ขณะที่ยอดเปิดตัวใหม่ นับว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปี

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากยอดขาย ยอดโอน ยังไม่ฟื้นตัว  ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยสูง  ปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า จากข้อมูลล่าสุดของ ANANDA MI พบว่าไตรมาส 3 ปี 2567 ยอดขายเชิงจำนวนเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ติดลบ 30% เทียบปีต่อปี (YoY) ติดลบ 45%

หากแยกประเภทพบว่าคอนโดมิเนียมติดลบสูงสุด 60% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 26% บ้านเดี่ยว ติดลบ 26% หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียมติดลบ 42% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 15%  บ้านเดี่ยว ติดลบ 17% ส่วนยอดขายเชิงมูลค่าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ติดลบ 28% เทียบปีต่อปี ติดลบ 39% หากแยกประเภท ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบสูงสุด 56% คอนโดมิเนียม ติดลบ 47%  บ้านเดี่ยว ติดลบ23% แต่ถ้าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียม ติดลบ 44% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 20% บ้านเดี่ยวติดลบ 16%

เปิดตัวใหม่ต่ำสุดในรอบ 10ปี

ขณะที่ตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาส 3 ปี2567 เชิงจำนวนภาพรวมเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เปิดตัวลดลง 48% เทียบปีต่อปี เปิดตัวลดลง 62%  แยกประเภทคอนโดมิเนียม เปิดตัวลดลงถึง 79% บ้านเดี่ยว ลดลง 59% และทาวน์เฮ้าส์ เปิดตัวลดลง 50%  แต่ถ้าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียมเปิดตัวลดลงถึง 74%  บ้านเดี่ยว ลดลง 31% ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 14%

ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่เชิงมูลค่าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เปิดตัวลดลง 35% เทียบปีต่อปี ลดลง 47%  แยกประเภทพบว่าคอนโดมิเนียม เปิดตัวลดลง 50% บ้านเดี่ยว ลดลง 32% แต่ทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 1% แต่หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส บ้านเดี่ยว เปิดตัวลดลง 60% ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 39%  คอนโดมิเนียม เพิ่มขึ้น 1%

“เชื่อว่าถึงจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าภาพรวมปี 2567 ตลาดจะติดลบ 20% สูงสุดในรอบ 10 ปี แม้ว่าไตรมาส 4 มีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะมีคอนโดมิเนียมที่กำลังก่อสร้างทยอยสร้างเสร็จสูงถึง 86,052 ล้านบาท เทียบไตรมาสแรก สร้างเสร็จใหม่มูลค่า 35,686 ล้านบาท ไตรมาส 2 มูลค่า 20,778 ล้านบาท และไตรมาส 3 มูลค่า 33,235 ล้านบาท หากสามารถโอนคอนโดมิเนียม 86,000 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จได้จะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ครึ่งปีแรกฟื้นตัวหลังจากผ่านเพอร์เฟกต์สตรอม”

ชงธปท.ปลดล็อก LTV กระตุ้นแรงซื้อ

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยลดภาระค่าผ่อนของคนซื้อบ้านได้ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ยังไม่พอที่จะกระตุ้นตลาด จึงอยากให้ผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV : Loan to Value) ที่บังคับให้มีเงินดาวน์ 20-30% ในการขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังที่ 2-3 อย่างน้อย 1 ปี เพื่อกระตุ้นระยะสั้นให้ภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวได้

“ไตรมาส 4 น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการใช้ทั้งเครื่องมือการเงินและการคลัง โดยรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องร่วมมือกันในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาฯ เพื่อให้เกิดการโอน จะทำให้ผู้ประกอบการมีเงินไปคืนเจ้าหนี้สถาบันการเงิน มิเช่นนั้นอาจเกิดโดมิโนเอฟเฟกต์เพราะผู้ประกอบการจะไม่มีเงินจ่ายเงินกู้ หรือมีเม็ดเงินลงทุนพัฒนาโครงการใหม่”

 วอนธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขขอสินเชื่อ

นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนได้มากโดยเฉพาะการผ่อนบ้าน ขณะเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ช่วงเศรษฐกิจดี การลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดีการขอสินเชื่อยาก ทั้งยังมีมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV) จึงเป็นเรื่องยาก 

ทั้งนี้ การกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว จากการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยทำให้การขอสินเชื่อจากธนาคารง่ายขึ้น รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการ LTV ชั่วคราวจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้นเพื่อสามารถซื้อบ้านหลังที่ 2-3 สร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบ 

“ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ กรณีเลวร้ายสุด (Worst Case) ติดลบ 10% ส่วนแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นฟื้นตัวเป็นปกติเหมือนเคย ถ้ารัฐบาลไม่สะดุดขาตัวเองปีหน้าน่าจะดีขึ้น เพราะปัจจุบันส่งออก การท่องเที่ยวดีขึ้นถือเป็นสัญญาณบวกไปถึงปี 2568”

นอกจากนี้ หากต้นปีหน้ามีการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง 0.25% ถือเป็นข่าวดี ที่น่าจะทำควบคู่ไปกับการผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมไปถึงการผ่อนปรนเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคาร

“หากมีการผ่อนปรนทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้น รวมถึงช่วยต่อยอดมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ของรัฐบาล”

อย่างไรก็ดี ปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงต้องระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ เช่น การพัฒนาโครงการใหม่ต้องเลือกทำให้ถูกที่ถูกเวลา ศึกษาข้อมูลให้ถูกต้องแม่นยำ พิจารณาทำเลนั้นๆ มีศักยภาพและดีมานด์จริง คิด วางแผน และปรึกษาธนาคารก่อนตัดสินใจซื้อที่ดิน หรือพัฒนาโครงการ 

ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน5.5หมื่นล้านช่วยได้

นายอิสระ บุญยังประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีสินเชื่อดีดีอยู่ 50,000 ล้านบาท ซึ่งไม่จำกัดราคาซื้อขาย สินเชื่อ 50,000 ล้านบาทนี้ จะออกมาแทนโฮมโลนเดิม คือราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมเป็น 100,000 ล้านบาท และมีสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ในเรื่องของการซ่อม ปรับปรุงที่อยู่อาศัย และยังมีสินเชื่อประกันสังคมอีก 10,000 ล้านบาท รวมทั้งหมดกว่า 100,000 ล้านบาท ถือว่ามีผลในการช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ได้ในช่วงปลายปีนี้

ปัจจัยสำคัญคือการที่รัฐบาลและธนาคารอาคารสงเคราะห์ขับเคลื่อนสินเชื่อออกมา ก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของธนาคารพาณิชย์อื่นๆที่จะเข้ามาแข่งขันในการให้สินเชื่อเช่นเดียวกัน แต่ภาพรวมสถาบันการเงินก็ยังคงเข้มงวดในการให้สินเชื่อซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่ยังต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียตามมา จะกระทบต่อเศรษฐกิจยิ่งขึ้น 

สำหรับ การลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในขณะนี้จะเป็นปัจจัยร่วมสนับสนุนผู้ขอสินเชื่อใหม่ และมีผลต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของผู้ประกอบการทุกธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นสัญญาณที่ดีของตลาด

 ปี 2568 แม้ตลาดอสังหาฯยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบเดิมและปัจจัยลบใหม่ อาทิ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากสงครามตะวันออกกลางส่งผลต่อต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น ราคาที่ดินปรับสูงขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่คาดว่าตลาดอสังหาฯ ปีหน้าจะดีกว่าปีนี้

โฟกัสตลาดบนทำเลศักยภาพจับคนมีเงิน

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ปี 2567 ยังไม่ฟื้นตัว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่มีสายป่านยาวหันไปพัฒนาโครงการจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อแทนตลาดกลาง-ล่าง ที่มีปัญหาถูกปฎิเสธสินเชื่อสูง

“ตลาดอสังหาฯ ราคา 10-30 ล้านบาทขึ้นไป ยังไปได้แต่ไม่หวือหวาเหมือนก่อน ผู้ประกอบการต้องเลือกพัฒนาโครการในทำเลที่มีศักยภาพและมีดีมานด์ของลูกค้ากำลังซื้อสูง อย่าง พัทยา ชลบุรี หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ ซึ่งหัวเมืองท่องเที่ยวหลักเหล่านี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยในพื้นที่ ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน และพำนักอาศัยในไทย (Expat)”

เอพีผุดแพลตฟอร์มรับซื้อ-ขายบ้านมือสอง

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ได้รุกขยายธุรกิจอสังหาฯ มือสอง  “HOMERUN”  โดยรับซื้อบ้านมือสอง และขายบ้านรีโนเวทใหม่ เพราะมองเห็นโอกาส ทั้งในมุมเจ้าของบ้านมือสองที่ไม่รู้ว่าจะสร้างมูลค่าให้กับบ้านเก่าได้อย่างไร และมุมผู้ซื้อ ที่มองหาบ้านในทำเลกรุงเทพฯ ชั้นใน ด้วยงบประมาณจำกัด เมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อบ้านมือหนึ่งมีราคาแพงขึ้นทุกปี

“ที่อยู่อาศัยมือสอง ตอบโจทย์ในเรื่องของทำเลและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่ามือหนึ่ง เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เหมือนในญี่ปุ่น ที่พาร์ตเนอร์ มิตซูบิชิ เอสเตท มีการรีโนเวททั้งที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มียอดขายที่ดี”

ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินหายาก มีจำนวนจำกัด และราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น การปรับปรุงทรัพย์สินเดิมที่มีศักยภาพและมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ในทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่และใกล้รถไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ช่วยให้คนเมืองได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยทำเลศักยภาพ ถือเป็นช่องว่างธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต

เอสซีรุกน่านน้ำใหม่สร้างรายได้ประจำ

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในโลกยุควูก้า (VUCA World) มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งโควิด สงคราม ความผันผวน สร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ดังนั้นกลุ่มบริษัทเอสซี จึงมองยุทธศาสตร์การเติบโตโดยใช้ความหลากหลาย เพื่อรับมือความผันผวน มุ่งสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอจากธุรกิจที่มีแนวโน้มขาขึ้น มีอนาคตที่สดใส 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจออฟฟิศให้เช่า ในทำเลศักยภาพ พร้อมผสานเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนไปพร้อมกัน

“ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการเติบโตของเอสซี แอสเสท มุ่งขยายทั้งเครื่องยนต์หลักธุรกิจอสังหาฯ 80% และเครื่องยนต์ใหม่ 20%  ผ่านบริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจให้หลากหลาย เป็นการเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่เกิดขึ้นในโลก”

 เสนาฯ รุกเช่าออมบ้าน

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตลาดอสังหาฯปีนี้ยากลำบาก เพราะขายได้แต่โอนไม่ได้ แม้คนซื้อยังพอมี แต่อัตราดอกเบี้ย และหนี้ครัวเรือนสูงทำให้กู้ไม่ผ่านเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นมาก จากวิจัยพบว่าจากฐานปี 2557 จนถึงปัจจุบันรายได้ประชากรเพิ่มขึ้น 12% แต่ราคาบ้านเพิ่มขึ้นถึง 67%  ส่งผลให้การเข้าถึงที่อยู่อาศัยของคนไทยยากขึ้น

ปัจจัยดังกล่าวทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่หันมาเช่าที่อยู่อาศัยเพราะการซื้ออสังหาฯ เป็นเรื่องยาก ประกอบกับภาพชัดเจนจากยอดปฎิเสธสินเชื่อสูง 70-80% เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างมาก

สำหรับ เสนาฯ ได้โครงการ RENT TO OWN หรือ เช่าออมบ้าน ให้ผู้ที่อยากได้ที่อยู่อาศัยมาเช่าแล้วค่อยซื้อหรือที่เรียกว่า “เช่าออมบ้าน” นำเงินค่าเช่ามาหักเงินต้นอยู่กับเสนาฯ 3 ปี เงินต้นถูกหัก 10% ทำให้ราคาบ้านถูกลง และกลายเป็นสินทรัพย์ ซึ่งได้ผลตอบรับดี ปัจจุบันมีจำนวน 600 ยูนิต จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,000 ยูนิต นับตั้งแต่เปิดตัวเดือน เม.ย. เริ่มจากโครงการคอนโดมิเนียม และขยับมาทำโครงการบ้านในเดือน ต.ค.นี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ศุภาลัย ไอคอน สาทรผนึกIWG ผุดFlexible Workspaceตอบโจทย์มนุษย์ไฮบริด

บุศรินทร์ รุ่งรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายอาคารสูง ได้ลงนามสัญญาแฟรนไชส์บริหารพื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมียม โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร ร่วมกับ บริษัท International Workplace Group (IWG) เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการพื้นที่ทำงานแบบ Flexible Workspace ทั้งพื้นที่สำนักงาน โคเวิร์กกิ้งสเปซ และห้องประชุม ที่ตอบโจทย์การทำงานในรูปแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเช่าสำนักงานระยะสั้นหรือระยะยาว

สำหรับโครงการ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” เป็นโครงการแบบ Luxury  Mixed – Use สร้างสรรค์อาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่ร้านค้า จำนวน 1 อาคาร ความสูง 14 ชั้น พื้นที่ประมาณ 24,063 ตารางเมตร นำเสนอประสบการณ์ที่เหนือระดับ ด้วยพื้นที่สำนักงาน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการสำนักงานที่กว้างขวางและหรูหรา 

โดยมีการจัดวางผังสำนักงานให้ยืดหยุ่น เพื่อรองรับความต้องการในการประกอบธุรกิจทุกรูปแบบ และมีพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์ สำหรับธุรกิจร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ คอฟฟี่ช็อป ร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ บนทำเลศักยภาพถนนสาทร สะดวกสบายทุกการเดินทาง อาทิ รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี รถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรี รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง รถโดยสารด่วนพิเศษ BRT สถานีสาทร และสามารถเชื่อมต่อด่านขึ้นลงทางด่วนพระราม 4 ด่านขึ้นลงทางด่วนสาทร

สำหรับผู้ที่สนใจกำลังมองหาสำนักงานออฟฟิศหรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ บนทำเลใจกลางย่านสาทร ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเมือง และการทำงานแบบไฮบริดเน้นความยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ตามความต้องการ และคำนึงถึงสวัสดิภาพของพนักงานเป็นหลัก ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานและช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถปรับใช้ได้กับองค์กรทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่

ทั้งนี้เนื่องจากธุรกิจทั่วโลกต่างตระหนักว่าพื้นที่สำนักงานที่มีความยืดหยุ่นมีข้อได้เปรียบสูง ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยดึงดูดหรือรักษาพนักงานได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค. “แข็งค่า”ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค. “แข็งค่า”ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจถูกกดดันจากแรงขายหุ้นไทย หลังดัชนี SET มีความเสี่ยงที่อาจปรับฐาน ส่วนเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้21ต.ค.2567 ที่ระดับ  33.10 บาทต่อดอลลาร์
“แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  33.16 บาทต่อดอลลาร์ 

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.08-33.19 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ซึ่งยังคงได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของทั้ง การเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง 

ส่วนเงินดอลลาร์ก็เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร หลังปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็ยังถูกกดดันจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่ลดลง รวมถึงการทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY ของผู้เล่นในตลาด ที่รอจังหวะ Buy on Dip (รอเงินเยนญี่ปุ่นมีจังหวะอ่อนค่าบ้าง)

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ก็ถูกชะลอลงบ้าง แถวโซนแนวรับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

ซึ่งเราประเมินว่า ส่วนหนึ่งก็อาจเกี่ยวกับโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบได้ หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนกลับมาใกล้ระดับช่วงสิ้นเดือนกันยายน (Brent อยู่แถวโซน 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วน WTI อยู่แถวโซน 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น แต่เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรรอติดตาม รายงานดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมรอลุ้น ผลการเลือกตั้งญี่ปุ่น และ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) เดือนตุลาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) 

รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดการเงินในช่วงนี้ได้

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของอังกฤษและยูโรโซน รวมถึงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สำรวจโดย ECB (Inflation Expectations) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ ECB

 โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 88% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ -50bps ใน 2 การประชุมที่เหลือในปีนี้ ส่วน ECB มีโอกาส 45% ที่จะเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในเดือนธันวาคม 

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของญี่ปุ่น และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคงคาดการณ์ว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ในปีหน้า 

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการเลือกตั้งสภาผู้แทน (Lower House Election) ของญี่ปุ่น ในวันอาทิตย์ 27 ตุลาคม นี้ โดยจากสถิติในอดีต เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มักจะไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างชัดเจน หลังรับรู้ผลการเลือกตั้ง (เนื่องจากส่วนใหญ่ พรรค LDP มักจะครองเสียงข้างมากในสภาได้) ยกเว้น การเลือกตั้งนั้นมีแนวโน้มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการเงิน อาทิ ในปี 2009 พรรค DPJ สามารถชนะพรรค LDP ได้ หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นราว 4% หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน ส่วนปี 2012 พรรค LDP ภายใต้อดีตนายกฯ Shinzo Abe ชนะการเลือกตั้ง นำไปสู่นโยบายเศรษฐกิจ Abenomics ทำให้เงินเยนญี่ปุ่น อ่อนค่าลง กว่า 6% หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน

 ซึ่งการเลือกตั้งสภาผู้แทนที่จะถึงนี้นั้น พรรค LDP ก็อาจยังสามารถครองเสียงข้างมากในสภา ร่วมกับพรรคพันธมิตร Komeito ตามเดิม ซึ่งอาจไม่ส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หาก พรรค LDP สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จเพียงพรรคเดียว หรือพรรคฝ่ายค้าน CDP พลิกกลับมาชนะการเลือกตั้ง ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก 

ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี จะมีการปรับลดลงหรือไม่ หลังในช่วงก่อนหน้าธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ทยอยลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลกำไรภาคอุตสาหกรรม (Industrial Profits) ของจีน ในเดือนกันยายน ว่าจะเริ่มมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้หรือไม่ 

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) และดุลการค้า (Trade Balance) เดือนกันยายน ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง +3.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้าก็อาจขยายตัวราว +5.5%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจเกินดุลเกือบ +2 พันล้านดอลลาร์ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว

 ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแรงขายสินทรัพย์ไทยดังกล่าวก็มีส่วนชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ที่ได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำพอสมควร หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำยังปรับตัวสูงขึ้นต่อ แต่เราคงมั่นใจแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท หากเงินบาทไม่ได้แข็งค่าทะลุโซน 33 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งต้องรอจับตา ทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำกับน้ำมันดิบ)

 นอกเหนือจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินบาทอาจถูกกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในส่วนแรงขายหุ้นไทย หลังดัชนี SET มีความเสี่ยงที่อาจปรับฐาน (Correction) ได้ในระยะสั้น

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility โดยแนวโน้มเงินดอลลาร์จะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนจากการเตรียมรับมือความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยเพิ่มโอกาส โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.85-33.45 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.25 บาท/ดอลลาร์ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ปลูกปัญญาทะลุชิงดำเกาะกูดคาบาน่าศึกวอลเลย์บอลอะคาเดมี่ลีก

หนุ่มนครราชสีมา ปลูกปัญญา ขามทะเลสอ ตบชนะ อาร์เอสยู วีซี 3-2 เซต ทะลุชิงไปดวล กูดคาบาน่า เอโฟร์เอส ที่เอาชนะ สโมสรพิษณุโลก วีซี 3-1 เซต

การแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล อะคาเดมี่ ลีก ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 14-21 ตุลาคม 2567 ณ ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ 20 ต.ค.67  เป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ 

ทีมชาย สโมสรวิทยาลัยนครราชสีมา ปลูกปัญญา ขามทะเลสอ ลงสนามพบกับ สโมสรอาร์เอสยู วีซี คู่นี้ต้องเล่นกันถึง 5 เซต ก่อนที่ ปลูกปัญญาจะเฉือนไป 3-2 เซต (23-25,25-17,16-25,25-17,15-11) ทะยานเข้าไปชิงชนะเลิศกับ  สโมสรเกาะกูดคาบาน่า เอโฟร์เอส ที่เอาชนะ สโมสรพิษณุโลก วีซี 3-1 เซต (25-27,27-25,25-19, 25-17)

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


เรอบ่อย หลังกินอาหาร แค่ “อาหารไม่ย่อย” หรือ “กรดไหลย้อน”

เรอบ่อย หลังกินอาหาร เป็นอาการที่ทำให้หลายคนกังวลใจว่าจะเป็นเพราะอาหารไม่ย่อย กรดเกินในกระเพาะ หรือเป็นเพราะโรคกรดไหลย้อนกันแน่

อาการเรอบ่อย เป็นสัญญาณของโรคอะไรได้บ้าง

เรอบ่อย หลังกินอาหาร อาจเกิดจากการกินอาหารเร็วเกินไป กินเยอะเกินไปจนอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้เรอบ่อย หลังกินอาหาร เสร็จอาจเป็นสัญญาณของโรค เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอย่างโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคนิ่วในถุงน้ำดี หรืออาจเสียงเป็นมะเร็งในช่องท้องอย่างมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งลำไส้ เมื่อมีอาการเรอบ่อยๆ สิ่งที่ทุกคนจะคิดถึงเป็นอย่างแรกคืออาการอาหารไม่ย่อย แต่อาการอาหารไม่ย่อยก็คล้ายกับอาการของกรดไหลย้อน เรามีวิธีสังเกตความแตกต่างดังนี้

แค่อาหารไม่ย่อยหรือกรดไหลย้อน

อาการของอาหารไม่ย่อย มีดังต่อไปนี้

  • มีอาการท้องอืด
  • รู้สึกแน่นท้อง
  • มีลมในท้อง
  • เรอบ่อย
  • อาจมีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน
  • ปวดท้องส่วนบน

แต่ถ้าเรอบ่อย คลื่นไส้ อยากอาเจียน แถมยังมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย อาจหมายถึง กรดไหลย้อน

  • แสบร้อนทรวงอก จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่
  • เรอเปรี้ยว เนื่องจากกรดในกระเพราะอาหารมีรสเปรี้ยว หรือหายใจมีกลิ่น
  • เสียงแหบ ไอเรื้อรัง หรืออาการหอบหืด เพราะกรดไหลย้อนไประคายคอหอย กล่องเสียง หรือหลอดลม
  • เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก

วิธีแก้อาการเรอบ่อย ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย

  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารไม่ย่อยมักจะมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน คือกินเยอะเกินไป กินเร็วเกินไป กินอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารไม่ตรงเวลา หรือดื่มน้ำอัดลม ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หากปรับพฤติกรรมการกินได้ก็จะช่วยทำให้อาการเรอบ่อยดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพียงอย่างเดียว เพียงแค่กินให้ช้าลง กินในปริมาณที่เหมาะสม และกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ก็จะช่วยทำให้อาการเรอบ่อย เนื่องจากอาหารไม่ย่อยดีขึ้นแล้ว
  • การใช้ยารักษา ยาที่ใช้รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ก็เช่นยาลดกรด หรือถ้าเป็นยาปฏิชีวนะก็เช่น อะม็อกซีซิลิน (Amoxicillin) และเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เป็นยาที่ช่วยในการย่อยอาหาร ข้อควรระวังคือ ไม่ควรซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์

วิธีแก้อาการเรอบ่อย ที่เกิดจากกรดไหลย้อน

  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารที่เรากินในแต่ละวันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ดังนั้นวิธีการแก้อาหารเรอบ่อยเนื่องจากกรดไหลย้อน สามารถทำได้โดยปรับนิสัยการกิน คือบอกลา อาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่หวานจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด นอกจากพฤติกรรมการกินแล้ว ยังมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ที่ถ้าเลิกสูบได้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกรดไหลย้อน และลดอาการเรอบ่อยด้วย
  • การใช้ยารักษา หากปรับพฤติกรรมการกินแล้วแต่อาการเรอบ่อยยังไม่ดีขึ้น ก็อาจใช้ยาเช่น ยาลดกรดในกลุ่มยายับยั้งฮิสตามีนชนิดที่ 2 (H2 Blockers) เช่น ไซเมทิดีน (Cimetidine) ยารักษาโรคกระเพาะอาหารฟาโมทิดีน (famotidine) และยาในกลุ่มยับยั้งโปรตอน ปั๊ม (Proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole) ข้อควรระวังคือ ไม่ควรซื้อยากรดไหลย้อนมากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจจะเป็นอันตรายจากผลข้างเคียงจากยาได้

เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ

  • กินยาลดกรด หรือยาลดอาการแสบร้อนทรวงอกมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์
  • มีอาการกรดไหลย้อนเป็นประจำ
  • อาเจียนติดต่อกันไม่หยุด
  • ปวดท้องมาก
  • เจ็บหน้าอก หายใจสั้นๆ หรือมีอาการเจ็บแขนร่วมด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มือใหม่ต้องรู้! โครงสร้าง Essay พื้นฐานเรียนรู้ โครงสร้าง Essay พื้นฐาน การเขียนเรียงความ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

โครงสร้าง Essay พื้นฐาน (How to structure an essay)

โครงสร้างเรียงความ ภาษาอังกฤษ Essay  ประกอบไปด้วยส่วนสำคัญทั้ง 4 ส่วน ต่อไปนี้

1.) Introduction (คำนำ) ประกอบด้วย

• General Information or Fact

พูดถึงข้อมูลทั่วไป หรือ ข้อเท็จจริงของปัญหาที่เราจะเขียน

• Thesis Statement

ใจความสำคัญของเรื่องราว ที่เราจะเขียนว่า ปัญหาคืออะไร? และวิธีแก้คืออะไร? อาจใช้เป็น Keyword หรือประโยคสั้น ๆ

2.) Body Paragraph 1 (เนื้อหาย่อหน้าที่ 1) ประกอบด้วย

• Topic Sentence 1

บอกว่าปัญหาข้อที่ 1 คืออะไร

• Supporting Idea

ข้อมูลที่มาสนับสนุน Topic Sentence 1 อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหตุผล และข้อเท็จจริง เช่น ข่าว ข้อมูลเชิงสถิติ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้ปัญหานั้นดูน่าเชื่อถือ

• Example

ยกตัวอย่างประกอบ

3.) Body Paragraph 2 (เนื้อหาย่อหน้าที่ 2) ประกอบด้วย

• Topic Sentence 2

บอกวิธีแก้ปัญหาข้อที่ 2

• Supporting Idea

ข้อมูลที่มาสนับสนุน Topic Sentence 2 อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหตุผล และข้อเท็จจริง เช่น ข่าว ข้อมูลเชิงสถิติ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้วิธีแก้ไขปัญหาดูน่าเชื่อถือ

• Example

ยกตัวอย่างประกอบ

4.) Conclusion (สรุป) ประกอบด้วยประกอบด้วย

• Restate Thesis Statement

ย้ำใจความสำคัญของเรื่องอีกครั้ง (นำ Thesis Statement ของ Introduction มาเขียนใหม่)

• Assuring your thoughts

ย้ำถึงปัญหา และวิธีแก้อีกครั้งเพื่อให้ผู้อ่านจดจำ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


Snapdragon 8 Elite ทุบสถิติ AnTuTu! แรงกว่า A18 Pro เกือบเท่าตัว

Qualcomm เตรียมเปิดตัวชิปเซ็ตเรือธง Snapdragon 8 Elite (ชื่อเดิม Snapdragon 8 Gen 4) อย่างเป็นทางการในวันจันทร์นี้ ล่าสุดผลทดสอบประสิทธิภาพจาก AnTuTu ของ Realme GT7 Pro รุ่นต้นแบบที่ใช้ชิปเซ็ตดังกล่าว ทำคะแนนได้สูงถึง 3,025,991 คะแนน! ทุบสถิติชิปเซ็ตมือถือทั้งหมดในปัจจุบัน

คะแนนที่หลุดออกมานี้ แสดงให้เห็นว่า Snapdragon 8 Elite แรงกว่า Apple A18 Pro (ทำคะแนนได้ราว 1.65 ล้านคะแนน) และ MediaTek Dimensity 9400 (ทำคะแนนได้ราว 2.8 ล้านคะแนน) แบบขาดลอย

Snapdragon 8 Elite ลือกันว่าจะมี 2 เวอร์ชั่น

  • เวอร์ชั่นพื้นฐาน: 2 คอร์ ความเร็วสูงสุด 4.09 GHz + 6 คอร์ ความเร็ว 2.78 GHz
  • เวอร์ชั่นพรีเมียม: 2 คอร์ ความเร็วสูงสุด 4.32 GHz + 6 คอร์ ความเร็ว 2.78 GHz

ทั้งสองเวอร์ชั่นใช้ GPU Adreno 830 และผลิตบนสถาปัตยกรรม 3nm ของ TSMC

ก่อนหน้านี้ Snapdragon 8 Elite ก็ทำคะแนนใน Geekbench ได้อย่างน่าประทับใจ บ่งชี้ว่าชิปเซ็ตรุ่นนี้มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าเดิม และจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาดสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ แต่จะได้ใช้รุ่นไหนก่อนใครคงต้องรอติตตามกันต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ใบบัวบก กับ 10 ประโยชน์ดีๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้ พร้อมวิธีทำน้ำใบบัวบก

“อกหักมาเหรอ ดื่มน้ำใบบัวบกสิ” ประโยคนี้อาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างตามบทละคร หรือในหมู่เพื่อนของเราเมื่อหลายปีก่อน แต่นอกจาก ใบบัวบก จะช่วยแก้ช้ำใจ เอ้ย ช้ำในแล้ว ใบบัวบกยังมีสรรพคุณดีๆ ที่ไม่ต้องรอให้อกหักก่อนถึงจะกินได้ด้วย

บัวบก ภาษาอังกฤษ คือ Gotu Kola หรือ Centella asiatica เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมและมีการใช้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบเอเชีย บัวบกมีชื่อเสียงในเรื่องของสรรพคุณที่หลากหลาย เช่น การช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ การคิด และการทำงานของระบบประสาท แต่ยังมีสรรพคุณอื่นๆ และผลข้างเคียงที่ผู้ใช้ควรทราบเช่นกัน

ประเภทของใบบัวบก

  1. บัวบกหัว (Stephania Erecta Craib หรือ Menisapermaceae) เป็นพืชที่มักจะขึ้นบริเวณที่มีความชื้นสูง ลักษณะเด่นคือหัวอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ทางยามากที่สุด แต่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าบัวบกใบ เนื่องจากสรรพคุณในการบำรุงร่างกายน้อยกว่า
  2. บัวบกใบ (Centella Asiatica) เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงด้านสรรพคุณทางยามากที่สุด บัวบกใบเป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นตามบริเวณที่มีความชื้น ลักษณะใบกลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ใบมีสีเขียวสด และมักถูกนำมาใช้ในการทำยา เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ประโยชน์ของใบบัวบก

  1. ใบบัวบกแก้อาการช้ำใน ลดอาการอักเสบ
  2. ใบบัวบกเสริมสร้าง และกระตุ้นการสร้างคอลาเจน และอิลาสติกให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง
  3. บำรุง และรักษาดวงตา และสายตา เพราะใบบัวบกมีวิตามินเอสูง
  4. บำรุงประสาท และสมอง เพิ่มความสามารถในการจำ ลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อม
  5. ลดความเครียด และคลายความกังวลได้
  6. แก้อาการปวด เวียนศีรษะ
  7. บรรเทาอาการเจ็บคอ ร้อนใน กระหายน้ำ
  8. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
  9. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
  10. บำรุงโลหิต รักษาภาวะโลหิตจาง

ผลข้างเคียงของบัวบก

  1. อาการแพ้ผิวหนัง: บางคนอาจมีการแพ้เมื่อใช้บัวบกทาที่ผิว ทำให้เกิดอาการผื่นแดงหรือคัน ควรทดลองใช้ในบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้ทั่วร่างกาย
  2. ปัญหาเกี่ยวกับตับ: การรับประทานบัวบกในปริมาณมาก หรือใช้เป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งานหากมีปัญหาเกี่ยวกับตับ
  3. ปฏิกิริยาต่อยา: บัวบกอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่เกี่ยวกับระบบประสาท หรือยาที่ส่งผลต่อตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งาน
  4. การใช้ในหญิงตั้งครรภ์: ควรหลีกเลี่ยงการใช้บัวบกในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อแม่และทารก
  5. ผลกระทบทางระบบย่อยอาหาร: การรับประทานบัวบกในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร

วิธีทำน้ำใบบัวบก ดื่มเองที่บ้าน

  1. นำใบบัวบกทั้งต้นมาล้างน้ำให้สะอาด
  2. หั่นต้น และใบบัวบกเป็นท่อนๆ ราว 2-3 ท่อน
  3. นำใบบัวบกมาปั่นรวมกับน้ำเปล่า โดยใส่น้ำเปล่าลงไปให้ท่วมใบบัวบก
  4. กรองเอาแต่น้ำมาดื่ม อาจปรุงรสด้วยน้ำผึ้งได้เล็กน้อยเพื่อลดความขม

วิธีดื่มน้ำใบบัวบก ที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ

ดื่มครั้งละ 120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร อาจดื่มน้ำกว่านี้ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/10/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a42,700.0042,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,766.0041,932.5643,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,489.4037,739.30n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,212.8033,546.05n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,245.0018,874.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%968.0014,674.88n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,866.0043,448.56n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/10/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.4535.4536.3535.4535.4535.4535.4535.4535.4535.45
แก๊สโซฮอล์ 9135.0835.0835.9835.0835.0835.0835.0835.0835.0835.08
แก๊สโซฮอล์ E2033.3433.3434.2433.3433.3433.3433.3433.3433.34
แก๊สโซฮอล์ E8533.0933.0933.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.0449.8449.8449.8444.04
เบนซิน 9543.6449.8144.1443.7943.64
ดีเซล32.9432.9433.4432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า