“โฮมโปร” กางแผนลงทุนปี 68 เตรียมขยายสาขา-คลังสินค้าอัตโนมัติ

“โฮมโปร” กางแผนเดินหน้าธุรกิจปี 68 ทุ่ม 8,000 ล้าน เปิดสาขาใหม่ 12 แห่ง พัฒนาคลังสินค้าอัตโนมัติรองรับ Omni-Channel ตั้งเป้ารายได้แตะ 76,000 ล้าน
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เปราะบาง “โฮมโปร” บิ๊กธุรกิจค้าปลีกสินค้าเพื่อบ้าน ยังคงเดินหน้าลงทุนเชิงรุก ด้วยงบประมาณราว 6,000-8,000 ล้านบาท ในปี 2568 เพื่อขยายสาขาใหม่ 12 แห่ง และพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติ รองรับการเติบโตของธุรกิจ Omni-Channel และความต้องการของผ็บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2568 ไว้ที่ 75,000-76,000 ล้านบาท เติบโต 4-5% จากปี 2567 ที่มีรายได้ 72,576.52 ล้านบาท แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเผชิญความท้าทาย
แม้เศรษฐกิจจะกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่โฮมโปรยังคงขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยเน้นทำเลที่มีศักยภาพและโมเดลสาขาแบบไฮบริดที่รวมโฮมโปรและเมกาโฮมไว้ในแห่งเดียว ช่วยบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โฮมโปรวางแผนเปิดสาขาใหม่ 12 แห่งในปี 2568 โดยแบ่งเป็นโฮมโปร 7 แห่ง และเมกาโฮม 5 แห่ง พร้อมเพิ่มโมเดลสาขาไฮบริด 6-8 แห่ง เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งรายย่อยและช่างมืออาชีพ รวมถึงปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัยมากขึ้น ภายในสิ้นปีนี้ โฮมโปรจะมีสาขาทั้งหมด 130 แห่ง โดยประกอบด้วยโฮมโปร 96 แห่ง, โฮมโปร เอส 5 แห่ง, เมกาโฮม 30 แห่ง และโฮมโปรในมาเลเซีย 7 แห่ง

นอกจากการขยายสาขาแล้ว บริษัทเตรียมลงทุน 1,000 ล้านบาท พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Warehouse) แห่งใหม่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนาดพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร สามารถจัดเก็บสินค้าได้ 70,000-80,000 พาเลท ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการจัดส่ง และรองรับการเติบโตของช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น
โดยศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติแห่งใหม่นี้จะช่วยลดการใช้แรงงานได้ถึง 30% และสามารถจัดส่งสินค้าไปยังสาขาและลูกค้าภายในวันเดียว ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความรวดเร็วมากขึ้น
อีกทั้ง โฮมโปรยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Omni-Channel โดยพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เชื่อมโยงกับหน้าร้านได้อย่างไร้รอยต่อ พร้อมขยาย Marketplace และเพิ่มสินค้ากว่า 10,000 รายการ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ในปี 2568 บริษัทคาดว่ายอดขายจากช่องทางออนไลน์จะอยู่ที่ 6,000-8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มียอดขาย 4,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนราว 8-9% ของรายได้รวม นอกจากนี้ โฮมโปรยังนำ Big Data มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) และเพิ่มบริการที่ช่วยเสริมความสะดวกให้กับลูกค้า เช่น บริการ Home Service ที่มีทีมช่างมากกว่า 2,600 ทีมทั่วประเทศ
เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนและปัจจัยภายนอก โฮมโปรให้ความสำคัญกับการบริหารห่วงโซ่อุปทาน กระจายแหล่งวัตถุดิบ และปรับกลยุทธ์ด้านราคาให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการพลังงานสะอาด โดยเพิ่มการติดตั้งโซล่าร์เซลล์ในสาขาต่างๆ และเดินหน้าโครงการรีไซเคิลวัสดุเก่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในระยะยาว
“โฮมโปรไม่ได้มองแค่การเติบโตระยะสั้น แต่ยังคำนึงถึงอนาคตของธุรกิจที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาสินค้า บริการ และการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม”
แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2568 อาจเผชิญกับความท้าทาย แต่โฮมโปรยังตั้งเป้ารายได้ในระยะยาวแตะ 100,000 ล้านบาทในปี 2571 โดยอาศัยกลยุทธ์หลัก ได้แก่ การขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า การพัฒนา Omni-Channel และ Marketplace รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนสินค้าภายใต้แบรนด์โฮมโปรที่มีอัตรากำไรสูงขึ้นจาก 21% เป็น 22%
บริษัทมุ่งมั่นเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกสินค้าเพื่อบ้านครบวงจร โดยเน้นการเติบโตที่มั่นคง ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า แม้สภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยนัก แต่โฮมโปรยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบ เน้นทำเลที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม Omni-Channel และ Big Data เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

การลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติ และกลยุทธ์ ESG ไม่เพียงช่วยในการบริหารต้นทุน แต่ยังสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ปูทางสู่เป้าหมายรายได้ 100,000 ล้านบาทในปี 2571 ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้โฮมโปรจะมีแผนขยายธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
แต่ความท้าทายในปี 2568 ยังต้องอาศัยปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวม กำลังซื้อของผู้บริโภค และการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเดินหน้าพัฒนาสาขา คลังสินค้าอัจฉริยะ และช่องทาง Omni-Channel ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมศักยภาพให้บริษัทเติบโตตามเป้าหมาย แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามองคือตลาดค้าปลีกสินค้าเพื่อบ้านในภาพรวมจะปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคได้รวดเร็วเพียงใด ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในยุคดิจิทัล
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบงก์ชาติ ปลดล็อก LTV ฟื้นอสังหาฯ กู้ได้100 % ทุกสัญญา ทุกระดับราคา

แบงก์ชาติ ปลดล็อก เกณฑ์ LTV โด๊ปอสังหาฯเต็มสูบ ทุกสัญญา -ทุกระดับราคากู้ได้100% ดีเดย์ ไตรมาส2 ” สุนทร สถาพร “ชี้สัญญาณบวกฟื้นฟูอสังหาฯ นับตั้งแต่ 1 พ.ค.68 ถึง 30 มิ.ย.69
การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value LTV) ของคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568ที่ผ่านมา
สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ประกอบการคนซื้อบ้าน เมื่อ แบงก์ชาติ เปิดช่องกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์เต็มสูบ โดยทุกสัญญา ทุกระดับราคาสามารถกู้สถาบันการเงินได้100% โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยหลังที่1 (สัญญาที่1) หลังที่2 หลังที่3 หลังที่4 ฯลฯ จากเดิมบ้านหลังที่1หรือสัญญาที่1 ราคาไม่เกิน10ล้านบาทกู้ได้100%เท่านั้น
สะท้อนได้จากสาระสำคัญของการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV มีดังนี้1. กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาทตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และ (2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป 2. การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
ต่างจากเกณฑ์LTV ครั้งก่อน กระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงหลังโควิด กำหนดเงื่อนไขค่อนข้างเข้มงวด โดยเปิดให้สัญญาที่1 ที่อยู่อาศัยไม่เกิน10 ล้านบาท กู้ได้เต็ม100% หรือกู้ได้เต็มหลักประกัน และกู้เพิ่มได้10%สำหรับซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน
สัญญาที่2 วางเงินดาวน์ขั้นต่ำ10% หรือกู้ได้90%หากผ่อนสัญญาที่1 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2ปี และวางดาวน์ขั้นต่ำ20% หรือกู้ได้ 80% หากผ่อนสัญญาที่1มากกว่า2ปี (เดิมกำหนดระยะเวลาผ่อน3ปี)
สัญญาที่3 วางเงินดาวน์ขั้นต่ำ30% หรือกู้ได้ 70 %กรณีที่อยู่อาศัยราคาตั้งแต่10ล้านบาทขึ้นไป สัญญาที่1วางดาวน์10 % (เดิมวางดาวน์ขั้นต่ำ20%) สัญญาที่2 วางเงินดาวน์ขั้นต่ำ20 % สัญญาที่3ขึ้นไป วางเงินดาวน์ขั้นต่ำ30% หรือกู้ได้70%
ทั้งนี้ นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การผ่อนเกณฑ์ของธปท.ดังกล่าว คาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์ นับตั้งแต่ไตรมาสที่2ของปีนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่วันที่1 พฤษภาคม2568 จนถึง กลางปี2569 (1ปี2เดือน)
นับเป็นสัญญาณที่ดี แต่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน จุดส่งต่อสำคัญ ของการมีบ้านเป็นของตนเองว่าจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อหรือไม่ แต่ประเมินว่า กลุ่มกำลังซื้อสูง ที่ต้องการซื้อบ้านตั้งแต่10ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วนถูกปฏิเสธสินเชื่อน้อยกว่า กลุ่มระดับ ไม่เกิน3ล้านบาท
แสดงว่า มาตรการ LTVดังกล่าว ช่วยขยายฐานให้กลุ่มตลาดกลาง-บน และกลุ่มระดับบน กลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เพราะมีทั้งซื้อด้วยเงินสดและผ่อนกับสถาบันการเงินและหากไตรมาส2 มาตรการ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองมีผลบังคับใช้คู่กันแล้วยิ่งช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบคูณสอง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของคนซื้อบ้านแต่ทั้งนี้เรื่องกำลังซื้อและความเข้มงวดของสถาบันการเงินเป็นสิ่งสำคัญ และสามารถชี้เป็นชี้ตายได้
“คาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก
เพราะ1)ถ้ามาตรการรัฐประกาศลดค่าจดจำนองค่าโอนภายในเดือนเมษายนและ2) เดือนพฤษภาคมนี้ผ่อนคลายแอลทีวี
3) เหลือเงื่อนไขเดียวคือธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายย่อยแค่ไหน”
นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันชะลอตัวต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน
สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับจากการหารือกับทั้งผู้ประกอบการในธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสถาบันการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) จึงเห็นควรให้ผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV)
โดยประเมินว่าการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV จะช่วยประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูงได้บ้าง จึงอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้จำกัด ขณะที่การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินมากนัก เนื่องจากในปัจจุบันภาวะการเงินตึงตัวและสถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อ
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเกณฑ์ LTV ของไทยผ่อนคลายมากอยู่แล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และการบังคับใช้เกณฑ์ LTV ยังมีความสำคัญเพื่อดูแลมาตรฐานการให้สินเชื่อของระบบสถาบันการเงิน ช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้กู้จะได้รับสินเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่จะมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21มี.ค. “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ หากรายงานยอดการส่งออก/ดุลการค้าเกินดุลกว่าคาดได้อาจเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าบ้าง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21มี.ค.2568 ที่ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ซึ่งในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรจับตา การแถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในช่วง 10.00 น. ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้แถลงข่าว ทำให้เรามองว่า การแถลงข่าวดังกล่าวอาจมีประเด็นที่น่าสนใจ
เช่น รายงานยอดการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง หรือดุลการค้าที่เกินดุลกว่าคาดได้ ซึ่งหากคาดการณ์ดังกล่าวเป็นจริง ก็อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด
เนื่องจากราคาทองคำยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน และเริ่มเสี่ยงเผชิญแรงขายเพิ่มเติมจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ซึ่งหากราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง หรืออยู่ในช่วงการพักฐาน ก็อาจกดดันให้เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ดังที่ได้เห็นในช่วงสัปดาห์นี้
โดยเราประเมินว่า เงินบาทยังพอมีโซนแนวรับแถว 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านก็อาจติดอยู่ในช่วง 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเห็นความต้องการทยอยขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้างในช่วงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.85 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.69-33.83 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
หนุนโดยการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินฝั่งยุโรป อย่างเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.50% ตามคาด ทว่า BOE ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ระดับ 2.23 แสนราย และดัชนีภาคการผลิตโดย เฟด สาขา Philadelphia ที่สูงขึ้นแตะระดับ 12.5 จุด
นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอทยอยขายเงินดอลลาร์
อีกทั้ง รายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Indicator) โดย Conference Board ก็ปรับตัวลดลง -0.3% แย่กว่าที่ตลาดคาด และทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ กดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับมาแกว่งตัวแถวโซน 3,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังในการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด เฟดได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจและย้ำว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
สอดคล้องกับคำเตือนของบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทั้ง BOE และ ECB ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.22%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.43% ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังบรรดาธนาคารกลางหลัก ไม่ว่าจะเฟด BOE และ ECB ต่างแสดงความกังวลว่า
การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ Rheinmetall -3.2%
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 4.26% แม้ว่าจะมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง สู่เข้าใกล้ระดับ 4.17% ตามภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน
ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถปรับตัวลงต่อเนื่องได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มทยอยขายทำกำไรการถือครองบอนด์ออกมาบ้าง ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวลง
อีกทั้ง ราคาน้ำมันดิบก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของสกุลเงินฝั่งยุโรป และแรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งถูกตอกย้ำด้วยรายงานดัชนีชี้นำ (Leading Indicator) ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด
ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 103.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.7-104.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึง สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ร้อนแรงขึ้น อีกทั้งจังหวะย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์ขึ้น กลับสู่โซน 3,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งไทย เรามองว่า ควรติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports and Imports) ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้แถลงข่าว ทำให้น่าติดตามว่า อาจมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศและแนวโน้มในอนาคตในการแถลงข่าวครั้งนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.80-33.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกตามแรงขายเพื่อทำกำไร สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากสัญญาณไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยของเฟด (แม้จะมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงมาในการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมาก็ตาม) ขณะที่ตลาดรอติดตามประเด็นเกี่ยวกับ tariff ของสหรัฐฯ และตัวเลขเงินเฟ้อ PCE/Core PCE ในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.65-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนก.พ. ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าสำคัญ และสถานการณ์เงินหยวน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พี่น้องตระกูล “ฉันทะ” ทะลุรอบก่อนรองฯ เทนนิสไอทีเอฟเวิลด์ทัวร์

“โอเว่น” ธนเพชร ฉันทะ นักเทนนิสไทย พลิกชนะ โดมินิค ปาลัน มือวาง 6 จากเช็ก 2-1 เซต ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ และ “ออมสิน” อัญชิสา ฉันทะ ผ่านเข้ารอบเช่นกัน
การแข่งขันเทนนิสนานาชาติ M15 รายการ ไอทีเอฟ เมนส์ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์ (2) ชิงเงินรางวัลรวม 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 513,300 บาท และ W15 รายการ ไอทีเอฟ วีเมนส์ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์ (1) ชิงเงินรางวัลรวม 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 513,300 บาท รวม 2 รายการอยู่ที่ 1,026,600 บาท ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อ 20 มี.ค. 2568 เป็นการแข่งขันรอบเมนดรอว์วันที่สาม
“ออมสิน” อัญชิสา ฉันทะ นักเทนนิสสาวไทยวัย 22 ปี เจ้าของเหรียญเงินหญิงเดี่ยว กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 กรุยทางสู่การแข่งขันรอบต่อไปได้สำเร็จ หลังจากลงแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง (16 คน) และปราบฟอร์มฮอตของ เรนะ โกโตะ ดาวรุ่งของญี่ปุ่นวัย 17 ปี มือ 36 เยาวชนโลก ซึ่งใช้สิทธิ์ท็อป 100 เยาวชนโลกเข้ามาร่วมการแข่งขัน โดยแมตช์นี้ อัญชิสา เอาชนะได้ 2-0 เซต 6-4 และ 6-2
อัญชิสา ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งจะพบกับ ดาเรีย เฟรย์แมน นักเทนนิสจากไซปรัส วัย 22 ปี มือ 466 ของโลก และเป็นมือวางอันดับ 4 ของรายการ สำหรับ อัญชิสา นั้น ก่อนหน้านี้ได้หยุดการแข่งขันไป เนื่องจากพักรักษาไหล่ซ้าย ทำให้ไม่มีอันดับโลกในปัจจุบัน และในรายการนี้ได้ไวลด์การ์ดหรือสิทธิพิเศษเข้าร่วมการแข่งขัน
ด้าน “โอเว่น” ธนเพชร ฉันทะ พี่ชายของ “ออมสิน” อัญชิสา ก็ทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง ในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว ซึ่งในรอบสอง (16 คน) ได้พลิกสถานการณ์จากที่แพ้เซตแรกให้แก่ โดมินิค ปาลัน นักเทนนิสจากเช็ก มือ 615 ของโลก และมือวางอันดับ 6 ของรายการ กลับมาแซงเอาชนะได้สำเร็จ สรุป ธนเพชร ชนะ 2-1 เซต ด้วยสกอร์ 4-6, 6-4 และ 6-1 ธนเพชร มือ 712 ของโลก และยังเป็นนักเทนนิสทีมชาติไทยชุดสู้ศึกเดวิสคัพ 2025 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ ปีเตอร์ บาร์ บีริยูคอฟ นักเทนนิส มือ 360 ของโลก ซึ่งเป็นมือวางอันดับ 1 ของรายการ
นอกจากนี้ยังมีอีกหนุ่มไทยที่เล่นได้ยอดเยี่ยมคือ “แมงปอ” ภวิชญ์ สอนหลักทรัพย์ มือ 833 ของโลก ซึ่งออกแรงหวดชนิดหืดจับก่อนเอาชนะ เอ็ม ริฟกี ฟิตริอาดี มือ 1225 จากอินโดนีเซีย ซึ่งเข้ามาจากรอบคัดเลือก ได้ 2-0 เซต 7-6 ไทเบรก 7-0 และ 6-3 ภวิชญ์ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้เช่นกัน
ส่วนผลการแข่งขันของนักเทนนิสไทยรายอื่นๆ มีดังนี้ ชายเดี่ยว รอบสอง วิชยา ตรงเจริญชัยกุล แพ้ ยูริ ดซาวาเกียน (2-ยูเครน) 3-6, 6-3 และ 3-6, หญิงเดี่ยว รอบสอง กมลวรรณ ยอดเพ็ชร แพ้ แบ็ค ดายอน (1-เกาหลีใต้) 0-6, 5-7, พัชรินทร์ ชีพชาญเดช แพ้ จอย เดอ ซูว์ (เนเธอร์แลนด์) 2-6, 6-2 และ 4-6, พัณณิน โควาพิทักษ์เทศ แพ้ ดาเรีย เฟรย์แมน (4-ไซปรัส) 2-6, 2-6, ทรรศพร นาคหล่อ (วาง 3) แพ้ อลิซา คัมเมล 2-5 Ret. (เจ็บหลัง)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
โทษของบุหรี่ไฟฟ้า 5 ข้อ รู้ก่อนควรสูบเข้าปอดมีอะไรบ้างเช็กด่วน

โทษของบุหรี่ไฟฟ้า 5 ข้อ รู้ก่อนควรสูบเข้าปอดมีอะไรบ้างเช็กที่นี่ ขณะที่ กระทรวงศึกษาธิการ เร่งมาตราการป้องกันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 เดือนพฤษภาคม
จากกรณีที่ “บุหรี่ไฟฟ้า” แพร่ระบาดในโรงเรียน ไม่เพียงเท่านั้นรัฐบาลได้เร่งปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าที่ผิดกฎหมายขณะที่ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า เน้นการป้องกัน การเข้าถึง และการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ในสถานศึกษา รวมถึงสถานที่ทำงาน ในพื้นที่บริเวณส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ โดยจะเริ่มมาตรการป้องกัน “บุหรี่ไฟฟ้า” โดยจะร่วมมาตรการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ในเดือนพฤษภาคม นี้
อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า
อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีมาก เนื่องจากสารพิษในบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย เกิดปัญหาในการหายใจ เสี่ยงต่อการติดบุหรี่ ตัวเครื่องอาจเกิดการระเบิด และที่สำคัญ ในปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียสุขภาพแล้วยังเสี่ยงต่อโทษทางกฎหมายด้วย
บุหรี่ไฟฟ้า (E-Cigarette) หรือพอด (Vape Pod) เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ความร้อนช่วยระเหยน้ำยา (E-Liquid หรือ E-Juice) ให้กลายเป็นควันไอน้ำแทนการใช้ไฟเผายาสูบในมวนบุหรี่ธรรมดา โดยในน้ำยามักมีส่วนผสมของสารพิษหลากชนิด เช่น นิโคติน โพรพิลีนไกลคอล กลีเซอรีน สารแต่งกลิ่นและรส สารก่อโรคมะเร็ง ฝุ่น PM 2.5 รวมถึงสารโลหะหนักอย่างดีบุก ตะกั่ว หรือแคดเมียมด้วย

โทษของบุหรี่ไฟฟ้า 5 ข้อ
สำหรับ 5 สารพิษอันตรายในบุหรี่ไฟฟ้า มีดังนี้
1.นิโคติน
- ทำให้เซลล์สมองอักเสบ ยิ่งในคนอายุต่ำกว่า 25 ปี กระทบต่อการพัฒนาการของสมอง
2.ฟอร์มาลดีไฮด์
- ทำร้ายเยื่อบุทางเดินหายใจ และ เซลล์เยื่อบุทั่วร่างกาย เสี่ยงเกิดมะเร็งหากได้รับต่อเนื่อง
3.โพรโพลีนไกลคอน
- ทำลายชั้นของเหลวบนผิวดวงตา ทำให้จอประสาทตาเสื่อม
4.กลีเซอลีน
- เมื่อเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้วิงเวียน คลื่นไส้
5.สารหนู
- หากได้รับปริมาณมาก ส่งผลค่อ การแข็งตัวของเลือดเสี่ยงภาวะ เลือดไหลไม่หยุด.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบบฝึกหัด Present Simple :ประโยคและการตั้งคำถาม

Present Simple เป็นรูปประโยคที่พื้นฐานและสำคัญที่สุดที่คนเรียนภาษาอังกฤษจำเป็นต้องเรียน มันคือ tense ที่ใช้เพื่อบอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเราเอง แสดงความต้องการและแบ่งปันความคิดเห็น การจะเข้าใจภาษาอังกฤษและเอาตัวรอดได้ นี่คือ tense จำเป็นที่ทุกคนต้องเรียนรู้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องโฟกัสเรื่อง Present Simple ในช่วงเลเวลแรกๆ ของคอร์สเรียนที่ Wall Street English นี่คือรายละเอียดที่จะช่วยในการสร้างประโยค Present Simple และเมื่อไหร่ที่ควรใช้
เราจะสร้างประโยค Simple Present ได้อย่างไร?
การสร้างประโยค Simple Present ในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่ายเพราะ นอกเหนือจาก verb to be ที่เป็นข้อยกเว้น verb ที่เหลือจะใช้ในแค่ 2 รูปเท่านั้น ตัวอย่างเช่น verb to look เราจะใช้กริยา look ตามด้านล่างนี้

อย่างที่ได้เห็น กรณีเดียวที่จะต้องแก้ verb คือกรณีที่ประธานของประโยคเป็นเอกพจน์บุรุษที่สาม (he/she/it) โดยการเติม –s การเติม –s สำหรับประธานตัวนี้ ในบางกรณี ต้องเปลี่ยนเป็น –es ซึ่งจะส่งผลให้การออกเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

วิธีการสร้างเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะเติม don’t และ doesn’t

สำหรับการทำเป็นประโยคคำถาม เราจะเติม do หรือ does

เมื่อไหร่ที่เราควรใช้ Present Simple
Simple Present สามารถใช้ได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธี คุณจะได้เรียนรู้ไปทีละนิดตามหลักสูตร นี่คือภาพรวมของวิธีการใช้ Simple Present แต่ละแบบพร้อมกับตัวอย่าง
a. เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเวลานาน
- We live in Boston.
- He works for the Post Office.
- Do they have any children?
- She manages the marketing department.
b. เพื่ออธิบายเกี่ยวกับความจริงที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
- Bees make honey.
- Water boils at 100°C.
- Mount Everest is the highest mountain in the world.
- We use trees to make paper.
c. เพื่ออธิบายเกี่ยวกับกิจวัตรและนิสัย
- You go swimming twice a week.
- I don’t often play video games.
- Does she work every Saturday?
- We sometimes eat out on Sunday evenings.
d. เพื่ออธิบายเกี่ยวกับความชอบและความคิดเห็น
- We love going to concerts.
- He thinks living here is too expensive and I agree.
- They believe in their leader and trust him completely.
- I like reading, especially historical novels.
e. เพื่อพูดถึงเวลาสำหรับการเดินทางในอนาคต การประชุมหรือเหตุการณ์
- Our train leaves at 3pm.
- The match starts at 8:30pm.
- When does the meeting begin?
- We land in Dusseldorf at 9:15.
f. ใช้ร่วมกับคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเวลา อย่าง when, before, after, และ until
- We’ll start when the other guests arrive.
- You can send the goods after we receive the payment.
- I can’t leave until I finish this project.
- Before we leave let’s check we have everything we need.
การสร้างประโยคคำถามในรูป Simple Present
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไม่กี่ภาษาในโลกที่เราสามารถเติมคำ (do หรือ does) เพื่อสร้างประโยคคำถาม ในฐานะที่เป็นนักเรียน คุณจำเป็นต้องฝึกใช้ให้มากที่สุดเพื่อที่จะสามารถจำจนนำไปใช้ได้ เวลาที่เราใช้ศัพท์ในการตั้งคำถามอย่าง where, when, what และอื่นๆ คำเหล่านี้จะต้องวางอยู่ก่อน do/does

นี่คือตัวอย่าง
- Where do you work?
- What does he do?
- How do they come here?
- When do we start?
- Why do they play football so late?
- What does she like doing at the weekend?
- Where do you go to the cinema?
- When do we leave?
- How does Hans get to the office?
จำไว้ว่า เวลาที่เราใช้ do/does เราสามารถใช้ได้กับทุก verb ยกเว้น verb to be การจะสร้างเป็นประโยคคำถามโดยมี verb to be เราต้องสลับที่ประธานกับ verb

ตัวอย่างเช่น
- Are you well?
- Where are the kids?
- What time is it?
- Is Shona sick?
- Am I late?
- When is the lesson?
- Why are we here?
นี่คือบทสนทนาที่มีตัวอย่างการใช้ Simple Present ในหลายๆ แบบ
- “Hi! Are you new here?”
- “Yes I am.”
- “What do you do?”
“I work in the accounts department. What about you?” - “I supervise the customer service department. We deal with phone calls and emails.”
- “Do you get a lot of calls?”
- “Yes. Most customers prefer to speak to someone to solve the issue quickly.”
- “And where do you live? Near here?”
- “Yes, just 10 minutes away. I usually come on foot. And you?”
- “I live outside the city and take the train every day.”
- “Are the trains usually on time?”
- “They’re not bad, they sometimes have a short delay.”
- “Listen, do you play football? Our company tournament starts next week if you’re interested in taking part.”
- “Yes, I love football and I’d love to play! Thanks!”
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ปิดไฟ 1 ชั่วโมง 22 มี.ค.68 ลดโลกร้อน เช็คเวลา Earth Hour เริ่มต้นจนจบ

รัฐบาลชวนคนไทย ร่วมกิจกรรม 60+ Earth Hour ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เสาร์ 22 มี.ค. นี้ ร่วมแสดงพลังลดโลกร้อนร่วมกับคน 190 ประเทศ ทั่วโลก เช็ครายละเอียดเวลา เริ่มต้น-สิ้นสุดการนับ
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเชิญชวนประชาชนไทยร่วมแสดงพลังในกิจกรรมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน หรือ 60+ Earth Hour ในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 พร้อมกับผู้คนอีกหลายล้านคนจาก 190 ประเทศ 7,000 เมืองทั่วโลก
โครงการ “60+ Earth Hour” เป็นกิจกรรมระดับนานาชาติที่ริเริ่มโดย กองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ในปี 2550 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และการอนุรักษ์พลังงานในระดับโลก ผ่านการปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมงในทุก ๆ ปี
“การรณรงค์ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงพลังของคนทั้งประเทศและคนทั่วโลก ที่ร่วมใจกันประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน” นายอนุกูล ระบุ
5 แลนด์มาร์คปิดไฟ กทม.
กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ขอความร่วมมือปิดไฟเชิงสัญลักษณ์ใน 5 สถานที่สำคัญ ได้แก่
- วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) พระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
- วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เขตบางกอกใหญ่
- เสาชิงช้า เขตพระนคร
- สะพานพระราม 8 เขตบางพลัด
- ภูเขาทอง (วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร) เขตป้อมปราบฯ
รวมทั้งสำนักงานเขต 50 เขต ร่วมกับภาคีเครือข่าย ผู้ประกอบการ เจ้าของอาคาร/สถานที่ในพื้นที่เขต
ระยะเวลาเริ่มนับปิดไฟ 1 ชม.
- เริ่มตั้งแต่เวลา 20:30 – 21:30 น.
สำหรับในปี 2567 ที่ผ่านมา กิจกรรมได้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 เมื่อนำผลไปเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2567 พบว่า สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ 24.65 เมกะวัตต์ ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 11 ตัน และลดค่าไฟฟ้าลงได้ 130,182 บาท และเทียบเท่าการเดินทางด้วยเครื่องบิน กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ จำนวน 92 เที่ยวบิน หรือเทียบเท่าการใช้รถยนต์ดีเซล 66,000 กิโลเมตร หรือเทียบเท่าการปิดไฟ 49,500 ครัวเรือน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อ่านไม่ผิด! วิจัยใหม่ย้ำ “มะม่วงสุก” คุมน้ำตาล-ต้านเบาหวาน-ดีต่อหัวใจ ต้องกินแบบใด?

การศึกษาพบ มะม่วงสุกช่วยในเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลและสุขภาพหัวใจ แต่ต้องกินในปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน?
การกินมะม่วงสุกทุกวัน อาจช่วยป้องกันไม่ให้คนเป็นเบาหวาน ตามผลการวิจัยใหม่ซึ่งถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” โดยการศึกษาจากอเมริกาพบว่า การกินมะม่วงสุก 2 ถ้วย (ประมาณ 100 แคลอรี่) ทุกวัน อาจช่วยลดระดับอินซูลินในเลือดและปรับปรุงความไวต่ออินซูลินในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
การศึกษานี้จัดทำขึ้นที่ Illinois Institute of Technology โดยมีผู้เข้าร่วมการทดลอง 48 คน อายุระหว่าง 20-60 ปี ทีมวิจัยกล่าวว่า ผลการศึกษาของพวกเขาที่เผยแพร่ในวารสาร Nutrients ย้ำถึงวิธีการเลือกอาหารที่ง่ายๆ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2
นักวิจัยได้ศึกษาการกินมะม่วงสุก เทียบกับอาหารควบคุมที่มีแคลอรี่เท่ากัน ซึ่งคือ “ไอซ์อิตาเลียน” หรือขนมหวานแช่แข็งที่คล้ายกับซอร์เบต์ ซึ่งส่งผลต่อการอักเสบและความไวต่ออินซูลินในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน และมีการอักเสบเรื้อรังในระดับต่ำโดยมะม่วงสุกที่ใช้เป็นพันธุ์เคนท์และคีตต์ ซึ่งนอกจากการกินมะม่วงสุกแล้ว ผู้เข้าร่วมยังได้รับคำแนะนำให้รักษารูปแบบการกินและวิถีชีวิตปกติ
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินมะม่วงสุกมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในภาวะต้านอินซูลิน อีกทั้งการทำงานของเซลล์เบตา (การทำงานของตับอ่อนในการผลิต และปล่อยอินซูลินเพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือด) ก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
หลังจากผ่านไป 4 สัปดาห์ ผู้ที่กินมะม่วงสุกยังมีระดับอินซูลินที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อทำการทดสอบความทนทานต่อกลูโคสทางปาก (OGTT) เมื่อเปรียบเทียบกับตอนเริ่มการศึกษา ขณะที่กลุ่มควบคุมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ศาสตราจารย์อินดิกา เอดิริซิงเฮ ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษา กล่าวว่า “การจัดการระดับน้ำตาลในเลือดไม่ใช่แค่การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่มันเกี่ยวกับการปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน”
“การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มมะม่วงสุกลงในอาหารสามารถเป็นวิธีที่ง่ายและดีสำหรับคนที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน ในการสนับสนุนการทำงานของอินซูลินที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 2”
เขายังกล่าวด้วยว่า ในกลุ่มคนที่กินมะม่วงสุก แม้จะกินอาหารที่มีแคลอรี่เท่ากัน แต่สัดส่วนของร่างกายยังคงคงที่ ในขณะที่กลุ่มควบคุมมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่มีนัยสำคัญ และจากการศึกษาต่อไปยังพบว่า ตัวชี้วัดการอักเสบและระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองกลุ่มในตอนท้ายของการศึกษา ซึ่งทำให้มะม่วงสุกเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพหัวใจสำหรับขนมหวานที่มีแคลอรี่เท่ากัน
“การปรับปรุงความไวต่ออินซูลินในกลุ่มที่กินมะม่วงสุก โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในน้ำหนักตัว ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตามองซึ่งตรงข้ามกับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับน้ำตาลธรรมชาติในมะม่วงสุก และผลกระทบต่อภาวะอ้วนและเบาหวาน ผลการศึกษานี้สนับสนุนการวิจัยก่อนหน้านี้ที่แสดงว่า การกินมะม่วงสุกไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และแม้ว่ากลไกที่แน่นอนยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่การบริโภคมะม่วงสุกอาจช่วยปรับปรุงสถานะของสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด” ศจ.เอดิริซิงเฮ กล่าว
เขายังกล่าวว่า ผลการศึกษานี้ย้ำถึงความสำคัญของการกินผลไม้สด โดยเฉพาะมะม่วงสุก ในการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การจัดการน้ำหนักตัว และสุขภาพโดยรวม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/03/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 48,450.00 | 48,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,138.00 | 47,572.08 | 49,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,824.20 | 42,814.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,510.40 | 38,057.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,412.00 | 21,405.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,098.00 | 16,645.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,252.00 | 49,300.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/03/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.65 | 34.65 | 35.15 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.28 | 34.28 | 34.78 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | – | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 30.79 | 30.79 | – | – | – | – | – | – | – | 30.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.24 |
เบนซิน 95 | 42.94 | – | – | – | 49.81 | – | 43.44 | 43.09 | – | 42.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |