สาระน่ารู้ประจำวันที่ 21 สิงหาคม 2568

ส่องกระแสอสังหาฯ Re-Development มาแรง พลิกโกดัง–ที่ดินเล็กกลางกรุง

อสังหาฯ กทม. เปลี่ยนทิศสู่ “รีดีเวลอปเมนต์” มาแรง เน้นรีโนเวตตึกเก่า–พัฒนาที่ดินแปลงเล็ก ย่านตลาดน้อย อารีย์ เยาวราชมาแรง The NEXT Real เปิดหลักสูตร ReDev หนุนความรู้

แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครเริ่มเปลี่ยนทิศทางจากการขยายตัวออกสู่พื้นที่ชานเมือง หันกลับมาให้ความสนใจกับการ “รีดีเวลลอปเมนต์” หรือการพัฒนาพื้นที่เก่าในเขตเมืองใหม่ โดยเฉพาะในย่านตลาดน้อย อารีย์ เจริญกรุง ทรงวาด และเยาวราช

ดร.จิตติศักดิ์ ธรรมาภรณ์พิลาศ รองศาสตราจารย์ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ปัจจุบันเกิดกระแส “Reverse Trend” ในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่หันจากการขยายตัวออกนอกเมือง กลับมาสู่การ Re-Development ในเขตเมือง

“Redevelopment ไม่ใช่เพียงการฟื้นฟูอาคาร แต่คือการฟื้นฟูบริบทของเมืองให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และชุมชน” ดร.จิตติศักดิ์ อธิบาย “เราจะเห็นโกดังเก่าถูกเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ โรงแรมบูติก หรือคาเฟ่ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำ ให้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้และคุณค่าใหม่”

อีกทั้งชี้ให้เห็นว่า เทรนด์รีดีเวลลอปเมนต์เป็นแนวทางที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศใช้มานาน และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะในยุคที่ที่ดินเปล่าหายากและราคาสูงขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ในไทยที่การขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยเริ่มออกไปสู่ทำเลที่ผู้บริโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เริ่มตามไปไม่ทัน

อย่างไรก็ดี การก้าวเข้าสู่ตลาดรีดีเวลลอปเมนต์จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจหลายอย่าง ทั้งเข้าใจเมือง เข้าใจผู้คน และเข้าใจบริบท เพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการที่เกิดคุณค่าและเพิ่มมูลค่าได้อย่างยั่งยืน

นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา Co-Founder & Director หลักสูตร The NEXT Real หลักสูตรสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กล่าวว่า ในอดีตตลาด Redevelopment หรือ ReDev ซึ่งเป็นการนำเอาอาคารเก่ามาปรับปรุงให้เกิดมูลค่าใหม่และการนำที่ดินแปลงเล็กที่ถูกมองข้ามมาพัฒนาสร้างมูลค่าใหม่ เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เติบโตอย่างรวดเร็วเท่าปัจจุบัน

“การเข้าใจวิธีคิดแบบ ReDev จึงเป็นโอกาสสำหรับเจ้าของที่ดิน (Landlord) และนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์” นายบริสุทธิ์ กล่าว

เขายังกล่าวเสริมว่า ผู้ที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดรีดีเวลลอปเมนต์จำเป็นต้องเข้าใจศาสตร์และศิลป์ที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง ได้แก่ 1.ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเมือง 2.กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3.ความเข้าใจทำเล 4.มุมมองด้านงานศิลปะและดีไซน์ และ 5.ความเข้าใจงานรีโนเวท

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว The NEXT Real จึงได้พัฒนาหลักสูตรใหม่ “ReDev” รวบรวมผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในหลากหลายด้าน รวมถึงผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ในตลาดนี้ มาร่วมมอบองค์ความรู้ให้แก่ Landlord นักลงทุนรุ่นใหม่ และผู้สนใจก้าวเข้าสู่ตลาดนี้

“เราตั้งใจให้หลักสูตรนี้เป็นพื้นที่สร้างระบบนิเวศน์ หรือ Ecosystem ที่รวบรวมคนที่เกี่ยวข้องกับคนในวงการ ReDev ไว้ด้วยกัน” นายบริสุทธิ์ อธิบาย

หลักสูตรดังกล่าวมีเป้าหมายครอบคลุมผู้เข้าร่วมหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ Developer รุ่นใหม่ เจ้าของทรัพย์สิน สถาปนิก นักวางผังเมือง นักลงทุน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไปจนถึงผู้สนใจการฟื้นฟูเมืองและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน

หลักสูตร ReDev มีวิทยากรที่น่าสนใจหลายท่าน อาทิ คุณภฤศธร สกุลไทย (อู๋) Senior Partner จาก PIA Interior, คุณวศิน มหาพล (หิน) เจ้าของเพจ Theroommaker กูรูรีโนเวทบ้านและตึกแถวตัวจริง, คุณไอริณรัฐ ประสงค์ชัยกุล (เจิน) Designer ผู้นำทีมรีโนเวทตึกเก่า 120 ปี สู่ Restaurant POTONG และคุณ Point of View (วิว) เจ้าของช่อง Youtube ที่มีผู้ติดตาม 3.65 ล้านคน โดยหลักสูตรจะเริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึง 16 กันยายนนี้ และเริ่มเปิดเรียนในเดือนตุลาคมนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ผ่ารายได้อสังหาฯ ครึ่งปีเกินคาด! เน้นโฟกัสตลาดเฉพาะกลุ่ม

อสังหาฯ ไทยครึ่งปี 68 เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่หลายบริษัทโชว์ผลประกอบการเกินคาด เน้นเดินเกมตลาดเฉพาะกลุ่ม สร้างรายได้-กำไรเติบโต พร้อมปักหมุดกลยุทธ์ใหม่ครึ่งปีหลัง

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 เผชิญความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายรายยังคงสามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าพอใจ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและวางกลยุทธ์ที่แม่นยำเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบนที่มีกำลังซื้อสูง

พฤกษา โฮลดิ้ง พร้อมลุยตลาดกลาง-บน ผสานเฮลท์แคร์

บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 ด้วยรายได้รวม 6,944 ล้านบาท โดย นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงสถานะทางการเงินที่มั่นคงด้วยอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.32 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ใช้กว่า 9,100 ล้านบาท สำหรับทิศทางครึ่งปีหลัง พฤกษาฯ มุ่งมั่นในกลยุทธ์ “The Strategic Rebound” เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการปรับพอร์ตสู่ตลาดระดับกลางถึงบน การผสานพลังธุรกิจในเครือ และการต่อยอดโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น โซลูชันเช่าซื้อ “พฤกษา พาส” และธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัยแบรนด์ “ไอเพลิน”

ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ กล่าวว่า กลุ่มเรียลเอสเตทมีรายได้ 5,172 ล้านบาท โดยทำยอดขายรวม 5,400 ล้านบาทในครึ่งปีแรก จากการเปิดตัว 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นตลาดกลางถึงบน โดยเฉพาะความสำเร็จในการขายโครงการ “แชปเตอร์ เจริญกรุง–ริเวอร์ไซด์” ที่ทำยอดขายได้ถึง 733 ล้านบาท และเตรียมเปิดตัวโครงการระดับลักชัวรีอีก 2 แห่งในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือ บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด ก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน นายแพทย์ นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ระบุว่า รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,044 ล้านบาท และมีกำไร EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเป็น 88 ล้านบาท จากการเปิดศูนย์สุขภาพเฉพาะทางและขยายบริการสุขภาพถึงบ้าน รวมถึงการลงทุนพัฒนาโรงพยาบาลใหม่อีก 2 แห่ง เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสุขภาพเชิงรุก

ออริจิ้น-แอสเซทไวส์ ตุนแบ็คล็อกแน่น พร้อมลุยตลาดภูเก็ต

ด้านบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีรายได้รวม 3,270 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 319 ล้านบาท นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ระบุว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์รวมกว่า 3,610 ล้านบาท และมียอดขายสะสมครึ่งปีแรกแตะ 14,049 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าหมายทั้งปี พร้อมโชว์ยอด Backlog ในมือกว่า 43,336 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึง 5 ปี นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังโรงแรมและคลังสินค้า โดยได้ขายหุ้นโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ทำให้มีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นกว่า 800 ล้านบาท

ในส่วนของ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ เผยว่า บริษัทฯ ทำรายได้รวมครึ่งปีแรก 3,633 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายครึ่งปีแรกสูงถึง 12,957 ล้านบาท คิดเป็น 66% ของเป้าทั้งปี โดยปัจจัยความสำเร็จมาจากการทยอยโอนโครงการที่สร้างเสร็จใหม่ รวมถึงโครงการเรือธงอย่าง “เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา” นอกจากนี้ ASW ยังมี Backlog ที่แข็งแกร่งถึง 32,779 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 2570 สำหรับครึ่งปีหลัง ASW เตรียมบุกธุรกิจโรงแรมและการบริการในจังหวัดภูเก็ต เพื่อเพิ่มรายได้ประจำ พร้อมเปิดตัวบีชคลับ “The Salute” และโรงแรม “voco Phuket Bangtao”

เสนาฯ ชูกลยุทธ์เข้าถึงง่าย แก้ปัญหาการเงิน

อีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญในตลาดอย่าง บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ก็แสดงศักยภาพในการเติบโต โดยมีรายได้รวมครึ่งปีแรก 2,640 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิ 301 ล้านบาท คิดเป็น 11% ของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 37% จากปีก่อนหน้า โดยนางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฯ เปิดเผยว่า แม้กำลังซื้อจะชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาอสังหาฯ ให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่าน 3 โซลูชันหลัก รวมถึงนวัตกรรมทางการเงินอย่าง “LivNex เช่าออมบ้าน” ที่ช่วยให้ผู้เช่าสามารถสะสมเงินดาวน์เพื่อเป็นเจ้าของบ้านได้ในอนาคต รวมถึงบริการที่ปรึกษาทางการเงิน “เงินสดใจดี” ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการเฉพาะ นอกจากนี้ SENA ยังตอกย้ำวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยการเตรียมชำระคืนหุ้นกู้และออกหุ้นกู้ชุดใหม่ พร้อมตุนยอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในมือกว่า 7,453 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

พรีโมฯ บริการเกี่ยวเนื่องอสังหาฯเติบโต

ไม่เพียงแต่ธรุกิจอสังหาฯโดยตรง แต่ผู้ให้บริการเกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯอย่าง บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568 มีรายได้ 433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% และกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสก่อน นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นกลยุทธ์ “Focus On Core” และแบ่งโครงสร้างองค์กรออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ Brokerage, Living, และ Engineering เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความสามารถในการแข่งขันในตลาด สำหรับครึ่งปีหลัง PRI มีแผนขยายธุรกิจบริหารการขายและการบริหารนิติบุคคลโครงการไปยังจังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวและดีมานด์ของชาวต่างชาติ

เมื่อประมวลภาพรวม พบว่าบรรดาดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ต่างหันมาสร้าง “กลยุทธ์เฉพาะกลุ่ม” ไม่ว่าจะเป็นการโฟกัสตลาดกลาง-บน การรุกตลาดต่างชาติ การบุกภูเก็ต หรือการเชื่อมโยงอสังหาฯ เข้ากับธุรกิจเฮลท์แคร์และบริการครบวงจร ทั้งหมดสะท้อนว่าแม้ตลาดอสังหาฯ ไทยยังเผชิญแรงท้าทาย แต่การมุ่งเจาะตลาดที่มีกำลังซื้อจริงและสร้างโมเดลรายได้ใหม่ กำลังกลายเป็น “เข็มทิศ” สำคัญในการพาธุรกิจฝ่าแรงกดดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ส.ค.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.57 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ก่อนรับรู้ถ้อยแถลงของเฟด ขณะที่เงินดอลล่าร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนขณะที่ตลาดในประเทศรอติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้21ส.ค. 2568 ที่ระดับ  32.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.54 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังพอมีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง ในช่วงก่อนรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนา Jackson Hole Symposium (จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 21.00 น. ของคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย) หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึงข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ออกมาสดใส ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ้าง

ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติมได้ ทว่าข้อมูลดังกล่าวอาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้เล่นในตลาดปักใจเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 2 ครั้ง ในปีนี้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด

รวมถึง รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ถึงจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญขนาดนั้น

โดยจากการประเมินสถิติการเคลื่อนไหวของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในช่วง 24 ชั่วโมง ข้างหน้านั้น เรามองว่า หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง เงินบาทก็อาจอ่อนค่าลงเล็กน้อย ทดสอบโซนแนวต้าน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

แต่สุดท้ายก็อาจยังติดโซนแนวต้าน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ ก็อาจหนุนให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสเข้าใกล้โซนแนวรับถัดไป 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ ราคาทองคำสามารถรีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่องได้

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.75 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบแคบ (แกว่งตัวในกรอบ 32.48-32.58 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

ทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึง ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทั้งนี้ เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันบ้าง เช่นเดียวกับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามความกังวลของผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่อการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดโดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ

หลังล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้ Lisa Cook (หนึ่งใน Board of Governor ของเฟด และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด) ลาออกจากตำแหน่ง

จากประเด็นให้ข้อมูลเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสิทธิพิเศษของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยโดยสำนักงานการเงินเพื่อการเคหะของรัฐบาลสหรัฐฯ (FHFA) ทั้งนี้ ทาง Lisa Cook ได้ออกมาปฏิเสธประเด็นดังกล่าวและพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการในการตรวจสอบ อีกทั้งย้ำจุดยืนที่จะดำรงตำแหน่ง Board of Governor ของเฟดต่อไป

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI หลังหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ อาทิ Walmart ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองหุ้นสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ส่งผลให้ S&P500 ปิดตลาด -0.24%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.23% โดยบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทว่าประเด็นดังกล่าวยังคงกดดัน บรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร-การบิน ซึ่งปรับตัวขึ้นร้อนแรงในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ Nestle +3.6% และ Unilever +3.3%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเผชิญแรงกดดันบ้าง จากความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเรียกร้องให้ Lisa Cook หนึ่งใน Board of Governor ของเฟด

(และคณะกรรมการ FOMC) ลาออกจากประเด็นให้ข้อมูลเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสิทธิพิเศษของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ทว่า ประเด็นดังกล่าวยังไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้โซน 4.30%

โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ในระยะสั้น

โดย เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ยังพอรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง หลังบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว

 อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด ก่อนที่จะปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญต่อไป ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง

ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็เป็นไปอย่างจำกัด กดดันโดยจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถว 3,380-3,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนสิงหาคม ของสหรัฐฯ ยูโรโซน และอังกฤษ

 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อมุมมองของบรรดาผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก

ทั้ง เฟด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด Jackson Hole Symposium

นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ ดัชนีภาวะธุรกิจโดยเฟดสาขา Philadelphia และข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ (Existing Home Sales) เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกของสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 32.52-32.54 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่ากว่าแนว 32.50 ขณะที่ตลาดในประเทศรอติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ  ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก   ข้อมูล PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.  

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


มีทีมไหนบ้าง? ทำเนียบแชมป์ในประวัติศาสตร์ “วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก”

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2025 เตรียมเปิดฉากอย่างเป็นทางการในสุดสัปดาห์นี้

โดยครั้งนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของจำนวนทีมที่เข้าร่วมแข่งขันจากเดิม 24 ทีม เพิ่มมาเป็น 32 ทีม และกระจายแข่งขันกัน 4 จังหวัดใหญ่ในประเทศไทย ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดภูเก็ต, จังหวัดนครราชสีมา และ กรุงเทพมหานคร

ก่อนจะเริ่มทัวรนาเมนต์ เราไปดูทำเนียบแชมป์โลกที่ผ่านมากัน ซึ่ง สหภาพโซเวียต ครองความเป็นหนึ่งในช่วงยุคแรกกวาดแชมป์ไปได้มากที่สุดถึง 5 สมัย ขณะที่ ญี่ปุ่น และ คิวบา คว้าแชมป์โลก 3 สมัยเท่ากัน

ทำเนียบแชมป์วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก

  • ปี 1952 : สหภาพโซเวียต
  • ปี 1956 : สหภาพโซเวียต
  • ปี 1960 : สหภาพโซเวียต
  • ปี 1962 : ญี่ปุ่น
  • ปี 1967 : ญี่ปุ่น
  • ปี 1970 : สหภาพโซเวียต
  • ปี 1974 : ญี่ปุ่น
  • ปี 1978 : คิวบา
  • ปี 1982 : จีน
  • ปี 1986 : จีน
  • ปี 1990 : สหภาพโซเวียต
  • ปี 1994 : คิวบา
  • ปี 1998 : คิวบา
  • ปี 2002 : อิตาลี
  • ปี 2006 : รัสเซีย
  • ปี 2010 : รัสเซีย
  • ปี 2014 : สหรัฐอเมริกา
  • ปี 2018 : เซอร์เบีย
  • ปี 2022 : เซอร์เบีย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ไตอาจทำงานหนัก โดยที่เราไม่รู้ตัว เช็กสัญญาณพร้อมวิธีบำรุงไตให้แข็งแรง

ไต เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียและควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย แต่หลายครั้งไตต้องทำงานหนักโดยที่เราไม่รู้ตัว การสังเกตอาการผิดปกติและดูแลไตตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงโรคไตได้

หน้าที่สำคัญของไต

  • กรองของเสียและสารพิษออกจากเลือด
  • ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
  • ผลิตฮอร์โมนควบคุมความดันโลหิต
  • สร้างเม็ดเลือดแดง
  • รักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย

สัญญาณว่าไตกำลังทำงานหนัก

  1. ปัสสาวะผิดปกติ – ปริมาณน้อยลง ปัสสาวะบ่อยกลางคืน หรือมีฟองมาก
  2. บวม – บวมที่ใบหน้า มือ เท้า หรือข้อเท้า เนื่องจากร่างกายกักเก็บน้ำ
  3. ความดันโลหิตสูง – ไตทำงานผิดปกติส่งผลต่อการควบคุมความดัน
  4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย – เกิดจากไตสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อย ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
  5. ปวดเอวหรือหลังส่วนล่าง – อาจเป็นสัญญาณของนิ่วหรือการติดเชื้อที่ไต
  6. ผิวแห้ง คัน – เกิดจากของเสียคั่งในร่างกาย

ปัจจัยที่ทำให้ไตทำงานหนัก

  • การกินเค็มหรืออาหารโซเดียมสูง
  • ดื่มน้ำน้อยเกินไป
  • ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่
  • ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
  • เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

วิธีบำรุงไตให้แข็งแรง

ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดเค็ม ลดอาหารแปรรูปและโซเดียมสูง
  • กินผักและผลไม้สดให้เพียงพอ
  • เลือกโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ แต่ไม่กินเกินความจำเป็น

ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

  • ดื่มน้ำสะอาด 6–8 แก้วต่อวัน (หรือปรับตามคำแนะนำแพทย์)
  • หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำหวาน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดัน และระดับน้ำตาลในเลือด

ตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ

  • ตรวจการทำงานของไตโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันสูง

ไต ทำหน้าที่สำคัญต่อสุขภาพโดยรวม และสามารถเสื่อมลงได้อย่างเงียบ ๆ การสังเกตสัญญาณเตือน เช่น ปัสสาวะผิดปกติ บวม เหนื่อยง่าย รวมถึงการปรับพฤติกรรมการกิน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพไตอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้ไตต้องทำงานหนัก และคงความแข็งแรงไปได้นาน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) หนุนพัฒนาห้องปฏิบัติการคุณภาพ ชี้เป้าควรมี 1 หมื่นแห่งใน 10  ปี

กรมวิทยาศาสตร์บริการ หรือ วศ.  เดินหน้าส่งเสริมห้องปฏิบัติการคุณภาพ ชี้ไทยควรมีไม่น้อยกว่า 1 หมื่นแห่งใน10 ปี หากต้องการโตแบบก้าวกระโดดต้องผลักดันกฎหมายและกองทุนฯ

ขณะนี้ไทยมีเพียง 1 พันแห่ง เพิ่ม 10- 20 แห่งต่อปี ย้ำกลไกที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ด้วยข้อจำกัดงบประมาณภาครัฐ แนะผลักดันกฎหมายส่งเสริมคุณภาพห้องปฏิบัติการ และกองทุน หากต้องการเติบโตอย่างก้าวกระโดด  

ดร.พจมาน ท่าจีน  รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน วศ. ได้ปรับบทบาทและภารกิจให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายห้องปฏิบัติการให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล 

เพื่อรองรับการเติบโตของการแข่งขันในภาคธุรกิจและคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งหากห้องปฏิบัติการขาดคุณภาพ ผลการวัดไม่ถูกต้องจะกระทบต่อคุณภาพสินค้า

ทั้งนี้ วศ. พยายามส่งเสริมให้เกิดห้องปฏิบัติการที่มีคุณภาพของประเทศไทย  ซึ่งปัจจุบันควรจะต้องมีถึง10,000 แห่ง  แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีประมาณ 1,000 แห่งเท่านั้น  โดยในแต่ละปีจะมีห้องปฏิบัติการก่อตั้งขึ้นใหม่ประมาณ 10-20 แห่ง

ซึ่งการเติบโตในลักษณะดังกล่าวโดยปล่อยให้ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนเติบโตกันเอง อาจจะ ไม่ทันต่อสถานการณ์ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของห้องปฏิบัติการ เพื่อทำให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ที่ผ่านมากรมวิทย์ฯ บริการ  มีกลไกหลาย ๆ ด้านในการส่งเสริมศักยภาพห้องปฏิบัติการ ทั้งการจัดฝึกอบรม  ให้ความรู้ บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  เป็นที่ปรึกษา ตั้งเครือข่ายห้องปฏิบัติการในประเทศ  บริการตรวจสอบความสามารถ 

หรือทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ และมีการรับรองคุณภาพของห้องปฏิบัติการ ทั้งมาตรฐานการยอมรับความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์บริการ (DSS Recognized Laboratory) และการรับรองความสามารถของห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล

การรับรองเหล่านี้สามารถนำไปใช้ยืนยันความสามารถของห้องปฏิบัติการกับหน่วยงานกำกับดูแลในด้านต่าง ๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานอาหารและเกษตรแห่งชาติ (มกอช.) หรือสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

“หากประเทศไทยต้องการที่จะเพิ่มห้องปฏิบัติการคุณภาพอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้มีถึง 10,000 แห่ง จะต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปี   ซึ่งการจะเพิ่มขึ้นถึงปีละ 1,000  แห่งนั้น  กลไกการส่งเสริมปกติอาจจะไม่เพียงพอ  

กรมวิทย์ฯ บริการ จึงอยากจะผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณภาพห้องปฏิบัติการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง และการจัดตั้งกองทุนเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมให้เกิดห้องปฏิบัติการมาตรฐานได้อย่างรวดเร็ว  ตอบโจทย์ปัญหาข้อจำกัดของงบประมาณภาครัฐที่ขณะนี้สามารถสนับสนุนห้องปฏิบัติการได้เพียงปีละ10-20 แห่งเท่านั้น ”

ดร.พจมาน กล่าวอีกว่า  ความท้าทายของห้องปฏิบัติการในประเทศไทยในขณะนี้  คือ ความต้องการด้านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพสินค้าที่มีมากขึ้น  โดยเฉพาะด้านการส่งออก ซึ่งจำเป็นต้องติดอาวุธให้กับคุณภาพสินค้าของประเทศไทย หากไม่ได้คุณภาพ และเป็นมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ จะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

ขณะเดียวกันตลาดในประเทศจะเป็นเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค มีการสุ่มตรวจมาตรฐานของสินค้าต่าง ๆ  ซึ่งจำเป็นต้องใช้กลไกของห้องปฏิบัติการ 

โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมวิทย์ฯบริการ ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อที่จะช่วยกันส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายหน่วยตรวจสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศให้มากขึ้น  

อย่างไรก็ดี เพื่อให้ความรู้ทางวิชาการ  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  โดยศูนย์ทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ สถาบันพัฒนามาตรฐานและตรวจสอบรับรอง  ได้จัดสัมมนา เรื่อง “แนวทางการจัดทำความใช้ได้ของการวัดเพื่อส่งเสริมศักยภาพห้องปฏิบัติการ” ขึ้น เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ภายในงาน “ อว.แฟร์ 2568” 

โดยมีเจ้าหน้าที่จากห้องปฏิบัติการทั่วประเทศ     เข้าร่วมกว่า 200 คน  การสัมมนาฯ ดังกล่าวเป็นการให้ความรู้ทางวิชาการ  อ้างอิงตามมาตรฐาน ISO/ IEC 17025 และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสาร “ความใช้ได้ของการวัด”  ที่กรมวิทย์ ฯ บริการ จัดทำขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญคือ “ 7 ขั้นตอนเพื่อนำไปสู่ความใช้ได้ของการวัด”

พร้อมยกตัวอย่างการใช้งานให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าใจและเชื่อมั่นในระบบมาตรฐานการวัด สามารถควบคุมกระบวนการวัดเพื่อให้นำไปสู่ความใช้ได้ของผลการวัด และทำให้ลูกค้ามั่นใจถึงความถูกต้องของผลการวัดที่ได้จากห้องปฏิบัติการ.

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


100 คําศัพท์ภาษาอังกฤษร่างกาย (Body Part)

English Vocabulary – Body Parts

วันนี้เราจะมาเรียนภาษาอังกฤษในเรื่องใกล้ตัวมากๆ ค่ะ ครั้งที่แล้ว เราได้เรียน คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาหาร กันไปแล้ว ครั้งนี้ เรามาเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติมในเรื่องของ คําศัพท์ร่างกาย กันต่อค่ะ

อวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ จะประกอบไปด้วย อวัยวะภายใน และอวัยวะภายนอก เอ๊ะ! แต่เพื่อนๆ ทราบกันไหมคะ อวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายเรานั้นเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรบ้าง? มาเรียนรู้ไปพร้อมกันเลยจ้า

คําศัพท์ภาษาอังกฤษร่างกาย (English Vocabulary – Body Parts)

คําศัพท์หมวดร่างกาย ภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น คำศัพท์อวัยวะภายใน และ คำศัพท์อวัยวะภายนอก ดังต่อไปนี้

คําศัพท์ภาษาอังกฤษร่างกาย (ภายนอก)

  1. body แปลว่า ร่างกาย
  2. head แปลว่า ศรีษะ
  3. eye แปลว่า ตา
  4. ear แปลว่า หู
  5. shoulder แปลว่า บ่า,ไหล่
  6. elbow แปลว่า ข้อศอก
  7. hand แปลว่า มือ
  8. thigh แปลว่า ต้นขา
  9. leg แปลว่า ขา
  10. toenail แปลว่า เล็บเท้า
  11. toe แปลว่า นิ้วเท้า
  12. palm แปลว่า ฝ่ามือ
  13. arm แปลว่า แขน
  14. mouth แปลว่า ปาก
  15. chest แปลว่า หน้าอก
  16. abdomen แปลว่า ส่วนท้อง
  17. navel แปลว่า สะดือ
  18. knee แปลว่า หัวเข่า
  19. foot แปลว่า เท้า
  20. eyelid แปลว่า เปลือกตา
  21. armpit แปลว่า รักแร้
  22. armpit hair แปลว่า ขนรักแร้
  23. forehead แปลว่า หน้าผาก
  24. eyelash แปลว่า ขนตา
  25. nose แปลว่า จมูก
  26. hair แปลว่า ผม
  27. eyebrow แปลว่า คิ้ว
  28. cheek แปลว่า แก้ม
  29. neck แปลว่า คอ
  30. chin แปลว่า คาง

31. Adam’s apple แปลว่า ลูกกระเดือก
32. gum แปลว่า เหงือก
33. tooth แปลว่า ฟัน
34. lip แปลว่า ริมฝีปาก
35. teeth แปลว่า ฟัน(หลายซี่)
36. earlobe แปลว่า ติ่งหู
37. index finger แปลว่า นิ้วชี้
38. tongue แปลว่า ลิ้น
39. thumb แปลว่า นิ้วหัวแม่มือ
40. little finger แปลว่า นิ้วก้อย
41. finger แปลว่า นิ้วมือ
42. ring finger แปลว่า นิ้วนาง
43. bone แปลว่า กระดูก
44. wrist แปลว่า ข้อมือ
45. calf แปลว่า น่อง
46. back แปลว่า หลัง
47. hip แปลว่า สะโพก
48. ankle แปลว่า ข้อเท้า
49. foot sole แปลว่า ฝ่าเท้า
50. heel แปลว่า ส้นเท้า
51. bottom แปลว่า ก้น

คําศัพท์ภาษาอังกฤษร่างกาย (ภายใน)

52. internal แปลว่า ภายใน
53. organ แปลว่า อวัยวะ
54. internal organ แปลว่า อวัยวะภายในร่างกาย
55. brain แปลว่า สมอง
56. larynx แปลว่า กล่องเสียง
57. collarbone แปลว่า กระดูกไหปล้าร้า
58. windpipe แปลว่า หลอดลม
59. gullet แปลว่า หลอดอาหาร
60. thyroid gland แปลว่า ต่อมไทรอยด์
61. blood แปลว่า เลือด
62. artery แปลว่า เส้นเลือดแดง
63. vein แปลว่า เส้นเลือดดำ
64. capillary แปลว่า เส้นเลือดฝอย
65. heart แปลว่า หัวใจ
66. liver แปลว่า ตับ
67. pancreas แปลว่า ตับอ่อน
68. lung แปลว่า ปอด
69. spleen แปลว่า ม้าม
70. kidney แปลว่า ไต
71. spinal cord แปลว่า ไขสันหลัง
72. gall bladder แปลว่า ถุงน้ำดี
73. cecum แปลว่า ลำไส้ใหญ่ตอนต้น
74. large intestine แปลว่า ลำไส้ใหญ่
75. duodenum แปลว่า ลำไส้เล็กส่วนบน
76. small intestine แปลว่า ลำไส้เล็ก
77. stomach แปลว่า กระเพาะอาหาร
78. tendon แปลว่า เส้นเอ็น
79. skull แปลว่ากระโหลกศรีษะ
80. cerebrum แปลว่า สมองใหญ่

81. adrenal gland แปลว่า ต่อมหมวกไต
82. pituitary gland แปลว่า ต่อมใต้สมอง
83. rib แปลว่า ซี่โครง
84. pelvis แปลว่า กระดูกเชิงกราน
85. nerve แปลว่า เส้นประสาท
86. muscle แปลว่า กล้อมเนื้อ
87. nervous system แปลว่า ระบบประสาท
88. skeleton แปลว่า โครงกระดูก
89. diaphragm แปลว่า กะบังลม
90. appendix แปลว่า ไส้ติ่ง
91. bladder แปลว่า กระเพราะปัสสาวะ
92. sexual organ แปลว่า อวัยวะเพศ
93. anus แปลว่า ทวารหนัก
94. uterus แปลว่า มดลูก
95. ovary แปลว่า รังไข่
96. vagina แปลว่า ช่องคลอด
97. vulva แปลว่า ปากช่องคลอด
98. penis แปลว่า องคชาต
99. scrotum แปลว่า ถุงอันฑะ
100. prostate แปลว่า ต่อมลูกหมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


มีประโยชน์กว่าที่คิด! 7 เหตุผลที่ควรกินกีวี่ให้มากขึ้น

นี่คือ 7 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรเพิ่มกีวี่ลงไปในเมนูประจำวัน

1. กีวี่อุดมไปด้วยไฟเบอร์

ไฟเบอร์ในกีวี่ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ทำให้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจลดลง นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติและลดอาการท้องผูกได้ด้วย

2. กีวี่ช่วยย่อยอาหาร

งานวิจัยพบว่ากีวี่ช่วยย่อยโปรตีนได้ เพราะมีเอนไซม์ชื่อ แอกทินิดิน (Actinidin) ที่ช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีนได้ดี หากคุณกินมื้อที่หนักไปด้วยเนื้อสัตว์ ลองปิดท้ายด้วยกีวี่หนึ่งผล เพื่อช่วยลดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด

3. กีวี่ช่วยให้อิ่มนาน

ไฟเบอร์ในกีวี่ทำให้รู้สึกอิ่มนาน เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้กลูโคสถูกดูดซึมช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และลดความอยากอาหาร

4. กีวี่เป็นผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ

กีวี่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) เพียง 52 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ (ต่ำกว่า 55) จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือใครก็ตามที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

5. กีวี่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

สารต้านอนุมูลอิสระในกีวี่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง เพราะสามารถต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ในร่างกายได้ แถมยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้นด้วย

6. กีวี่ช่วยให้นอนหลับสบาย

กีวี่มีสาร เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยปรับคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น หากกินกีวี่ก่อนนอนประมาณ 1 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับง่าย หลับลึก และตื่นเช้ามาแบบสดชื่น

7. กีวี่เต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ

กีวี่เพียงหนึ่งผล ให้วิตามินซีถึง 64 มก. (ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน), แมกนีเซียม 12 มก. (ช่วยบำรุงกระดูก), และโพแทสเซียม 215 มก. (ช่วยควบคุมความดันโลหิต) นอกจากนี้ยังมีวิตามินเค โฟเลต และลูทีน ทั้งหมดนี้ในพลังงานแค่ประมาณ 40 แคลอรี เท่านั้น!

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/08/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,400.0051,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,323.0050,376.6852,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,990.7045,339.01n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,658.4040,301.34n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,495.3522,669.51n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,163.0517,631.84n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,443.5252,203.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/08/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9540.8449.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า