สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567

REIC เปิดราคาที่ดิน6 จังหวัด กทม.-ปริมณฑล ราคาพุ่ง นครปฐม บูมสุด ปี68 ขยับอีก

REIC เปิด ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา 6จังหวัดกทม.-ปริมณฑล นครปฐมบูมสุด ส่งสัญญาณภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว คาดการณ์แนวโน้มราคาปรับขึ้นอีกในปี 2568

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพ – ปริมณฑล ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 พบว่า จากการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา (ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีขนาดที่ดินตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป)ในพื้นที่กรุงเทพ – ปริมณฑลรวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม

มีค่าดัชนีเท่ากับ 391.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY)ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา5ปีย้อนหลังในช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น

แม้จะยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19แต่เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาซื้อที่ดินสำหรับการลงทุนก่อสร้างโครงการจัดสรรตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น เห็นได้จากราคาที่ดินในหลายพื้นที่ขยับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพด้านการลงทุน รวมถึงพื้นที่ปริมณฑลที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาทางหลวงระหว่างเมือง

อาทิ โซนจังหวัดนครปฐม เพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 22.7 โซนอำเภอเมืองปทุมธานีลาดหลุมแก้ว สามโคก จังหวัดปทุมธานี เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 โซนตลิ่งชัน บางแค ภาษีเจริญ หนองแขม ทวีวัฒนา ธนบุรีคลองสาน บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 โซนเขตจตุจักร ห้วยขวาง ยานนาวา วัฒนา คลองเตย พญาไท บางคอแหลม ป้อมปราบศัตรูพ่าย บางซื่อ ดินแดง ราชเทวี และบางรัก หรือ กรุงเทพชั้นใน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 และโซนจังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9

หากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น ตามการคาดการณ์ของกระทรวงการคลังว่า จะขยายตัวมากกว่า 3% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล อาทิ มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ0.01%และการจัดทำสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของธอส.ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

ปัญหาหนี้ครัวเรือนลดลง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม หากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะเร่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า
เนื่องจากยังเป็นในช่วงเวลาที่ราคาที่ดินชะลอการปรับขึ้นราคาก่อนจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตต่อไป 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ราคาที่ดิน กทม.- ปริมณฑลพุ่งดันราคาบ้าน – คอนโด ปี 68 ขยับขึ้น

REIC เผยรถไฟฟ้าหนุนดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาใน กทม.- ปริมณฑลปรับสูงขึ้นส่งสัญญาณภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว คาดการณ์แนวโน้มราคาบ้าน – คอนโดมิเนียม ปี 2568 ขยับขึ้น

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 พบว่า จากการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่า ก่อนการพัฒนา (ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีขนาดที่ดินตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป)ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม มีค่าดัชนีเท่ากับ 391.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

   ซึ่งถือว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา 5 ปีย้อนหลังในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ COVID-19 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น แม้จะยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติ COVID-19 แต่เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาซื้อที่ดินสำหรับการลงทุนก่อสร้างโครงการจัดสรรตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น เห็นได้จากราคาที่ดินในหลายพื้นที่ขยับเพิ่มสูงขึ้น 

ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพด้านการลงทุน รวมถึงพื้นที่ปริมณฑลที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาทางหลวงระหว่างเมือง อาทิ โซนจังหวัดนครปฐม เพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 22.7 โซนอำเภอเมืองปทุมธานี ลาดหลุมแก้ว สามโคก จังหวัดปทุมธานี เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 โซนตลิ่งชัน บางแค ภาษีเจริญ หนองแขม ทวีวัฒนา ธนบุรี คลองสาน บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 โซนเขตจตุจักร ห้วยขวาง ยานนาวา วัฒนา คลองเตย พญาไท บางคอแหลม ป้อมปราบศัตรูพ่าย บางซื่อ ดินแดง ราชเทวี และบางรัก หรือ กรุงเทพชั้นใน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 และโซนจังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9

REIC จึงคาดการณ์ว่า ราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ หรือเริ่มเปิดให้บริการใหม่ เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นทำเลที่ยังมีความต้องการในด้านที่อยู่อาศัย และใช้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ และหากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น ตามการคาดการณ์ของกระทรวงการคลังว่า จะขยายตัวมากกว่า 3%

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล อาทิ มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองเหลือ 0.01% และการจัดทำสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของ ธอส. ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปัญหาหนี้ครัวเรือนลดลง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม หากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะเร่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าเนื่องจากยังเป็นในช่วงเวลาที่ราคาที่ดินชะลอการปรับขึ้นราคา ก่อนจะปรับเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตต่อไป  

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22พ.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22พ.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทั้งแนวโน้มเงินดอลลาร์ โฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศ แม้เริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทย

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22พ.ย. 2567 ที่ระดับ  34.75 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.66 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา อาจกดดันให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ได้

ทว่า เงินบาทอาจยังไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวไปได้ไกลนัก ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways

 อีกทั้ง เราเริ่มเห็นการทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าก็ยังคงอยู่

ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ (ยกเว้นธนาคารกลางญี่ปุ่น) รวมถึงแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศ อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) หลังเงินเยนญี่ปุ่นเริ่มทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาทในช่วงนี้

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดยเฉพาะในส่วนของรายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ โดยเรามองว่า ในกรณีที่ดัชนี PMI ของสหรัฐฯ นั้นออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง แต่อาจไม่มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้รับรู้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่อาจน้อยกว่า Dot Plot เดือนกันยายน ไปมากแล้ว

แต่หากดัชนี PMI ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจกดดันทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้พอสมควร โดยในกรณีดังกล่าว อาจเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.85 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 34.61-34.77 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงราว 22.30 น. ตามเวลาประเทศไทย หนุนโดยแรงขายสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP)

หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า ECB มีโอกาสที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้พอสมควร ขณะที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน นอกจากนี้ สกุลเงินฝั่งยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ซึ่งความกังวลดังกล่าว กอปรกับความต้องการใช้พลังงานในช่วงฤดูหนาวก็มีส่วนหนุนให้ราคาแก๊สธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น และเป็นอีกปัจจัยที่กดดันสกุลเงินยุโรป อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน

หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ยังคงปรับตัวขึ้นต่อบ้าง สู่โซน 2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ในช่วงที่ตลาดกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน นอกจากนี้ ความต้องการถือเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ย้ำว่า BOJ จะประเมินข้อมูลรอบด้าน

โดยเฉพาะผลกระทบต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจากความผันผวนของค่าเงิน ในการดำเนินนโยบายการเงิน ได้ช่วยหนุนเงินเยนญี่ปุ่นและชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้บ้าง

(อนึ่ง ในช่วงเช้าของวันนี้ เงินเยนญี่ปุ่นได้แข็งค่าขึ้นสู่โซน 154 เยนต่อดอลลาร์ หลังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของญี่ปุ่น อยู่ที่ระดับ 2.3% สูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงมองว่า BOJ มีโอกาสราว 63% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้)  

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นของหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่ยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของ Nvidia +0.5% ที่แม้จะโตชะลอลง แต่ก็ยังมีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดีอยู่

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากแรงขาย Alphabet -4.7% หลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ต้องการให้ Google ยุติการผูดขาดธุรกิจค้นหาออนไลน์ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้นเพียง +0.03% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.53%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.41% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +2.4% ที่ได้อานิสงส์จากความหวังต่อแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการของ Nvidia

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธุรกิจอาวุธสงคราม  ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 4.40% แม้ว่าจะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด

ทว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกจำกัดโดย ทั้งแรงซื้อ Buy on Dip รวมถึงความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว (เน้น Buy on Dip) เนื่องจาก Risk-Reward ของการถือครองบอนด์ระยะยาวยังมีความน่าสนใจ

เมื่อประเมินจากผลตอบแทนรวม (Total Return) โดยเฉพาะในกรณีที่ บอนด์ยีลด์ระยะยาวอาจปรับตัวขึ้นหรือลง +/-50bps ซึ่งน้อยกว่าการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เพื่อถึงจุด Break-Even

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดคงเชื่อว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ได้มากกว่า เฟด

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD และการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 107 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.4-107.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงร้อนแรงอยู่นั้น ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,690-2,700 ดอลลาร์

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายนของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะทยอยรับรู้จากฝั่งญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ไปจนถึงสหรัฐฯ โดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวอาจสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

และอาจมีผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักได้ นอกจากนี้ ในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนตุลาคม ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก พร้อมทั้งติดตาม สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงร้อนแรงอยู่ในช่วงนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“วิว กุลวุฒิ” ลิ่วรอบ 8 คนแบดมินตันไชน่า ชนมือ1โลก พร้อมตีตั๋วเวิลด์ทัวร์ไฟนอลส์

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมืออันดับ 5 ของโลก โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ตบชนะ หวัง ซื่อเหว่ย จากไต้หวัน 2 เกมรวด ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย แบดมินตัน ไชน่า มาสเตอร์ส 2024 พร้อมได้สิทธิ์ไปลุยรายการใหญ่ส่งท้ายปีอย่างเวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ แน่นอนแล้ว

การแข่งขันแบดมินตันรายการ หลี่หนิง ไชน่า มาสเตอร์ส 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1,150,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 40,250,000 บาท ที่เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบสอง

ประเภทชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลก พบกับ หวัง ซื่อเหว่ย มืออันดับ 25 ของโลกจากไต้หวัน

เกมแรก ในช่วงต้นยังเปิดเกมแลกกันอย่างดุเดือด จนกระทั่ง วิว กุลวุฒิ จับจังหวะเกมได้ค่อยๆทำแต้มหนีไปเรื่อยจนมาปิดเกมแรกได้ที่ 21-16 จากนั้นในเกมที่สอง วิว กุลวุฒิ ได้เปรียบเรื่องสภาพร่างกายที่สดกว่า เล่นได้ออย่างง่ายขึ้นและเปิดเกมบุกใส่มากขึ้นจนมาปิดแมตช์เอาชนะไปได้ที่ 21-17 ทำให้เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด

วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายจะเข้าไปพบกับ ฉี ยู่ฉี มืออันดับ 1 ของโลกจากจีนที่ “วิว” เพิ่งเอาชนะมาในรอบ 8 คนสุดท้าย ในโอลิมปิกเกมส์ 2024 พร้อมทั้งการันตีไปเล่นแบดมินตันรายการส่งท้ายปีอย่าง เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2024 ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ แน่นอนแล้ว

ด้าน ประเภทคู่ผสม รอบสอง “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 171 ของโลก แพ้ หยาง โปซวน กับ หวู หลิงฟาง คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 14 ของโลกจากไต้หวัน ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 23-21 , 12-21 และ 18-21

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“ปากเบี้ยว-หน้าเบี้ยวครึ่งซีก” สัญญาณอันตรายโรคระบบประสาท

กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา แนะหากอ่อนแรง บริเวณใบหน้าครึ่งซีก ใบหน้าเบี้ยว หลับตาไม่สนิท ปากเบี้ยว มีน้ำไหลที่มุมปาก และอาจพูดไม่ชัด การรับรสที่ลิ้นผิดปกติ ปวดศีรษะ หูอื้อข้างเดียวหรือ 2 ข้าง ดื่มน้ำลำบากพูดไม่ชัด เป็นผลมาจาก เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ผิดปกติ

ปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy)

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy) คือภาวะที่กล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือเกิดอัมพาตชั่วขณะ โดยมีสาเหตุมาจากการอักเสบของเส้นประสาทบนใบหน้า โดยยังไม่สามารถทราบสาเหตุของอาการอักเสบของเส้นประสาทได้แน่ชัด แต่อาจมีแนวโน้มมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดภาวะปากเบี้ยว ได้แก่ โรคงูสวัส เป็นต้น ส่งผลให้หน้าเบี้ยวครึ่งซีก เป็นผลมาจากเส้นประสาทใบหน้าหรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งอยู่ตรงใบหน้าแต่ละข้างทำหน้าที่รองรับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น ยิ้ม ทำหน้าบึ้ง หรือหลับตา รวมทั้งรับรสจากลิ้นและส่งต่อไปยังสมองเกิดการอักเสบส่งผลต่อการรับรส การผลิตน้ำตา และต่อมน้ำลาย 

กลุ่มเสี่ยงอาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy)

ปากเบี้ยวถือเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นทันที และมักจะเกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการปากเบี้ยว เช่น หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ที่อายุครรภ์มาก หรือหลังคลอดภายใน 1 สัปดาห์ ผู้ป่วย ที่เป็นโรคเบาหวานติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ป่วยเป็นไข้หวัด

อาการของ Bell’s palsy

แพทย์หญิงทัศนีย์ ตันติฤทธิ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า  ผู้ป่วยจะมีอาการดังต่อไปนี้

  1. กล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณใบหน้าครึ่งซีก ทำให้หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว 
  2. หลับตาไม่สนิท 
  3. มีน้ำไหลที่มุมปาก
  4. อาจพูดไม่ชัด 
  5. การรับรสที่ลิ้นผิดปกติ 
  6. ปวดศีรษะ 
  7. หูได้ยินเสียงดังขึ้นข้างเดียว 
  8. ดื่มน้ำลำบาก 

ดังนั้นผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่อมีอาการเพื่อรีบรักษา ซึ่งการรักษา อาการปากเบี้ยว ประกอบด้วยการรักษาด้วยยา ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม 

การรักษาอาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy)

การรักษาอาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy) แบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ 

  • การรักษาทางกายภาพบำบัด เช่น กระตุ้นเส้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้า หรือนวดใบหน้า ช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อตึงเกร็ง 
  • การผ่าตัด 

การป้องกันอาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy)

อาการปากเบี้ยวหรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ยังไม่มีวิธีการป้องกันที่ชัดเจน เนื่องจากสาเหตุเกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทใบหน้าที่มักจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และรุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายภายในระยะเวลาเป็นสัปดาห์ถึงเดือน แต่จะมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่อาจกลับเป็นปกติต่ำกว่าหรือใช้ระยะเวลานานกว่า เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เริ่มแล้ว METALEX 2024 โชว์เครื่องจักรกล-เทคโนโลยีโลหการ กว่า 3,000 แบรนด์ ที่ไบเทค

“METALEX 2024” เครื่องจักรกล และเทคโนโลยีโลหการรุ่นใหม่กว่า 3,000 แบรนด์ โชว์ที่ไบเทค บางนา พร้อมคาดว่าปีนี้เงินสะพัดในงานไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท

นางวราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้าแห่งอาเซียน เปิดเผยว่า ตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ยังเป็น 1 ใน 5 ผลิตภัณฑ์นำเข้ามากสุดในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ โดยมีมูลค่าการนำเข้าสูงถึง 512,491.23 ล้านบาท ซึ่งหลายอุตสาหกรรมยังมีความต้องการใช้โลหะอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักที่จะยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ ประกอบกับหลายอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทางการตลาดที่เปลี่ยนไปด้วยการพัฒนาความสามารถของเครื่องจักรและการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยงานให้มากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจะสามารถหาข้อมูลทั้งหมดนี้ได้ในงาน METALEX 2024

งาน METALEX 2024 มหกรรมเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีโลหการของอาเซียน สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปใช้พัฒนาธุรกิจของตนเอง เพื่อให้ตอบโจทย์ที่ซับซ้อนในโลกยุคปัจจุบัน การจัดงานในปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 38 ภายใต้แนวคิด “The Masterpiece” หรือ “ผลงานชิ้นเอก” นำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่เป็นผลงานชิ้นเอก กว่า 3,000 แบรนด์ จาก 50 ประเทศ 21 พาวิลเลียนนานาชาติ จาก 8 ประเทศและเขตปกครองพิเศษ ได้แก่ เกาหลีใต้ เยอรมนี จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สิงคโปร์ อิตาลี และอินเดีย ที่จะมาช่วยยกระดับการผลิต ให้นักอุตสาหกรรมได้สร้างผลงานชิ้นเอกให้กับธุรกิจตน คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่น้อยกว่า 100,000 คน และมีมูลค่าการลงทุนที่เกิดขึ้นในการเจรจาธุรกิจในงาน มากกว่า 7,000 ล้านบาท

สำหรับไฮไลต์ที่น่าสนใจของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาจัดแสดงในปีนี้ มีหลายรายการ ที่เป็นการเปิดตัวครั้งแรกของโลก ครั้งแรกของอาเซียน และครั้งแรกของประเทศไทย อาทิ

  • เครื่องจักรกล BROTHER SPEEDIO S500Xd2 ที่ YAMAZEN (THAILAND) นำมาเปิดตัวครั้งแรกในไทยในงานนี้ เครื่องจักร CNC รุ่นใหม่ รวมทุกฟังก์ชันการตัดเฉือน พร้อมความเร็วและความแม่นยำสูง รองรับงานหนักและตอบโจทย์การผลิตหลากหลายรูปแบบ ช่วยลดเวลาการทำงานและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี Blue Technology ช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน เหมาะสำหรับทุกอุตสาหกรรมที่ต้องการความเร็วและคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต 
  • เครื่องพับระบบเซอร์โวไฟฟ้าแบบเปลี่ยนแม่พิมพ์อัตโนมัติ เครื่องแปรรูปโลหะแผ่น AMADA / EGB-6020ATCe ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้คนและสิ่งแวดล้อม เปิดตัวครั้งแรกในอาเซียน ด้วยฟังก์ชันที่ช่วยสนับสนุนผู้ใช้งานและระบบขับเคลื่อนเซอร์โวรุ่นใหม่ ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ลง 20% ลดการใช้น้ำมันลง 90% ลดค่าบำรุงรักษา ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยเซอร์โวมอเตอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเครื่องพับ ระบบเปลี่ยนแม่พิมพ์อัตโนมัติที่เป็นเอกลักษณ์ของอะมะดะ มีขนาดเล็กลงแต่สามารถใส่แม่พิมพ์ได้เพิ่มขึ้นอีก 30%
  • เครื่องเชื่อม LT GROUP / LT-2000W เครื่องเชื่อมเลเซอร์เครื่องเดียวที่ใช้งานได้สองแบบ แบบถือด้วยมือและการเชื่อมด้วยหุ่นยนต์ ขนาด เพาเวอร์ เลเซอร์ 1.5kw 2kw 3kw สามารถสลับได้อย่างรวดเร็วผ่านการควบคุมการสลับเพียงปุ่มเดียว เปิดตัวครั้งแรกในไทย
  • ทูลส์ NACHI / Burrless Series จาก NACHI TECHNOLOGY (THAILAND) ช่วยยับยั้งและลดการเกิดเศษครีบที่ชิ้นงานให้เหลือน้อยที่สุด ประเมินประสิทธิภาพหลังการใช้งานได้ทันที ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี AquaREVO และเทคโนโลยี SG ให้ประสิทธิภาพสูงและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
  • เปิดตัวครั้งแรกในโลกกับ KEYENCE / LM-X series เครื่องมือตรวจวัดแบบดิจิทัลที่รวมการวัด 3 รูปแบบไว้ในเครื่องเดียว ทั้งกล้องวัดไดเมนชัน เลเซอร์วัดความสูง หรือหัวโพรบเพื่อวัดงาน 3 มิติ ไม่คลาดเคลื่อน วัดพร้อมกันถึง 1,000 ชิ้นงาน สูงสุดถึง 5,000 ตำแหน่ง ช่วยลดต้นทุนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
  • เปิดตัวครั้งแรกในไทยกับหุ่นยนต์ FANUC / CRX-10iA/L Paint หุ่นยนต์โคบอทสำหรับงานพ่นสี Explosion Proof “CRX-10iA/L Paint” ใช้งานง่าย มีคำสั่งสำหรับงานพ่นสี เหมาะสำหรับการพ่นสีแบบ Powder (สีฝุ่น), Liquid (สีเนื้อเหลว) และ Coating (การเคลือบ)
  • เปิดตัวครั้งแรกในไทย กับ SAKURA Cable ระบบอัตโนมัติสำหรับโรงงาน สายเคเบิลภายในหุ่นยนต์และเครื่องจักรที่ทนทานต่อการเคลื่อนไหว ยืดหยุ่นและทนทานเป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการติดตั้งในส่วนที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ได้รับมาตรฐาน UL listed สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก

นอกจากการจัดแสดงเทคโนโลยีและเครื่องจักรรุ่นใหม่ๆ แล้ว ภายในงานยังมีการจัดสัมมนา มากกว่า 50 หัวข้อ มีวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมบรรยายมากถึง 130 คน ได้แก่

  • EV Tech Forum สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และ RX Tradex ร่วมกันจัดขึ้นในหัวข้อ “ยานยนต์ไฟฟ้ามุ่งสู่ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ : การปฏิวัตินวัตกรรมที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับยานยนต์แห่งอนาคต” พร้อมการแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต” โดยดร. ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วยวิทยากรจากหน่วยงานชั้นนำ ดำเนินรายการโดยต้อม จากช่อง YouTube iMoD Official ที่มีผู้ติดตามด้านการรีวิวรถยนต์ไฟฟ้า และ Gadget เทคโนโลยีกว่าหกแสนคน
  • AI Forum การประยุกต์ใช้เอไอในภาคอุตสาหกรรม จัดโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC/สวทช.) และ RX Tradex ในหัวข้อ “ก้าวสู่ Smart Factory : พลิกโฉมธุรกิจด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” โดยเหล่าวิทยากรนักวิจัยแนวหน้าของสวทช. กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งตัวแทนจากหน่วยงานดิจิทัลเทคโนโลยีและเอไอที่มาร่วมให้ความรู้ผ่านความชำนาญการเฉพาะด้านของตนเอง
  • The 12th Metallurgy Forum จัดโดย กลุ่มอุตสาหกรรมอลูมิเนียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ RX Tradex ในหัวข้อ “อลูมิเนียมไทย สร้างเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน” เพื่อรณรงค์ความเข้าใจเกี่ยวกับกระแสความยั่งยืน และมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)
  • METALEX The Nexus การประชุมทางวิชาการและกิจกรรมเวิร์กช็อปเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการในยุคแห่งวิศวกรรมอัจฉริยะ กิจกรรมใหม่ในงาน METALEX ที่จะจัดขึ้นตลอดทั้ง 4 วัน เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้ผู้ผลิตทั้งในด้านการเขียนโปรแกรมสั่งงานในโรงงานยุคใหม่, การจัดแสดง Factory Automation Showcase, การแนะนำการแข่งขัน Koma Taisen การแข่งขันด้านสุดยอดวิศวกรรมของโลก (การแข่งขันหมุนลูกข่างเหล็ก) โดยสมาคมโคมะแห่งประเทศไทย ซึ่งจะกลับมาจัดในประเทศไทยอีกครั้งในงานเมทัลเล็กซ์ 2025, เวิร์กช็อปเทคโนโลยี 3D Printing ที่สนับสนุนโดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทยและบริษัท บี แอนด์ บราเธอร์ จำกัด รวมถึงการสัมมนาในหัวข้อด้านวิศวกรรมอื่นๆ และการสาธิตหลักการทำงานแบบ “Smart Monozukuri” ของญี่ปุ่น
  • Thailand Industrial Conference ครั้งแรกของประเทศไทย กับการประชุมทางวิชาการ โดยความร่วมมือกับอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และอีก 8 สถาบันเครือข่ายของมูลนิธิ เพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรม พร้อมฟังปาฐกถาพิเศษจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 

งาน METALEX 2024 จัดขึ้น ณ ฮอลล์ 98-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค จะมีขึ้นไปจนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.00-18.00 น. ผู้สนใจเข้าชมงานสามารถลงทะเบียนหน้างานฟรีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและดูรายละเอียดของงานได้ ที่นี่ เนื่องจากเป็นงานเจรจาธุรกิจ จึงขอความร่วมมือผู้ชมงานแต่งกายสุภาพ และภายในงานมีเครื่องจักรขนาดใหญ่และอาจมีประกายไฟจากการสาธิตการใช้งาน จึงสงวนสิทธิ์ไม่อนุญาตให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าชมงาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2686-7222 หรือ E-mail contactcenter@rxtradex.com

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ความแตกต่าง Adjective ลงท้ายด้วย -ed และ -ing

ทุกคนอาจคุ้นเคยกับการเห็นคำกริยา (verb) ต่าง ๆ ในรูปแบบที่ลงท้ายด้วย -ed ใน Past Simple Tense และ -ing ใน Present Continuous Tense เสียส่วนใหญ่ แต่ในความจริงแล้วไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะคำเหล่านี้สามารถใช้เป็นคำคุณศัพท์ในการบ่งบอกถึงความรู้สึกและลักษณะของนามนั้น ๆ ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น เรามาค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจไปกับ Adjective ลงท้ายด้วย -ed และ -ing เพื่อนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องกันดีกว่า

ความแตกต่างของ Adjective ลงท้ายด้วย -ed และ -ing

1. Present Participle (-ing)

สำหรับความแตกต่างของ Adjective ลงท้ายด้วย -ed และ -ing นั้นง่าย ๆ สั้น ๆ โดยดูจากตัวที่ลงท้าย หาก adjective ที่ลงท้ายด้วย -ing จะบ่งบอกถึงลักษณะของนามนั้น ๆ ที่เรียกว่า Present Participle หรือสิ่งนั้นน่า …. ว่าเป็นอย่างไร

โครงสร้าง: ประโยค ….. คำนาม + linking verbs คำคุณศัพท์ -ing หรือ คำคุณศัพท์ + คำนาม -ing

ยกตัวอย่างเช่น

  1. Have you seen that boring film?

เธอเคยดูหนังน่าเบื่อเรื่องนั้นหรือเปล่า

  1. The ancient arts are quite interesting.

ศิลปะสมัยโบราณก็เป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ

  1. He was an amazing soccer player who could beat anyone in his day.

เขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สามารถเอาชนะใครก็ได้ในยุคสมัยที่เขาเล่น

  1. Both teams in the field wear the same colors, which make everything confusing.

ทั้งสองทีมในสนามสวมชุดสีเดียวกัน จึงทำให้เกิดความน่าสับสนขึ้นได้เลย

  1. Coming up next, some surprising news about the recession in the country.

ต่อไปนี้เป็นข่าวที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศ

2. Past Participle (-ed)

หากเป็นในมุมของการเติม -ed ไว้ท้ายคำแล้ว เราจำทริคเล็ก ๆ ไว้เพียงบอกความรู้สึกของนามนั้น ๆ ไม่ได้บ่งบอกถึงลักษณะของนามเหมือนกับ Present Participle (-ing) หรือสิ่งนั้น หรือ คน ๆ นั้นรู้สึก …. แต่ถ้าหากจะให้ชัดเจนมากขึ้น ให้เติมสิ่งที่บ่งบอกถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น ๆ เข้าไปด้วย

โครงสร้าง: ประโยค ….. คำนาม + linking verbs + คำคุณศัพท์ -ed  หรือ คำคุณศัพท์ + คำนาม -ed

ยกตัวอย่างเช่น

  1. I am bored with this game so bad.

ฉันน่ะรู้สึกเบื่อเกมนี้จะแย่ละ

  1. All the listeners were all greatly interested in the lecture.

ผู้ฟังทุกคนดูมีความรู้สึกสนใจในการบรรยายเป็นอย่างมาก

  1. feel amazed that he can remember me on that date.

ฉันรู้สึกทึ่งมากที่เขาจำฉันได้จากเดตครั้งนั้น

  1. We are confused about what we will do next for this project.

พวกเรารู้สึกสับสนว่า เราจะต้องทำอะไรกับโครงการนี้ต่อไป

  1. am not surprised he shouted at you because all you did are wrong!

ฉันไม่แปลกใจเลยที่เขาตะโกนใส่คุณ เพราะสิ่งที่คุณลงไปทั้งหมดนั้นมันผิด !

Note: Linking Verbs คือ คำกริยาแท้ที่เป็นกริยาเชื่อมในรูป v. to.be, seem, become, feel, make, look, smell, taste, remain และอื่น ๆ ที่จะให้ความรู้สึกที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง ทำให้เชื่อมถึงความรู้สึกที่ตามมาด้วยเช่นกัน แต่ว่าจะใช้สำหรับ Tense หรือกาลไหน ก็อย่าลืมตรวจสอบการผันของแต่ละคำกันด้วยนะ

วิธีตรวจเช็กคำคุณศัพท์ทั้งสองแบบเพื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง

การตรวจเช็กคำคุณศัพท์ทั้งสองแบบนั้นไม่ยาก เพียงแค่เราจำรูปแบบ -ed และ -ing ให้ได้ก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว -ed บ่งบอกความรู้สึก ส่วน -ing บอกถึงลักษณะของนามนั้น ๆ

สิ่งที่เราต้องทำบ่อย ๆ คือการทำแบบฝึกหัดจากการเขียนและอ่านบ่อย ๆ ถึงจะเข้าใจเอง โดยเราสามารถแยกคำคุณศัพท์ หรือ Adjective ที่พบบ่อยได้ดังนี้

-ed ความรู้สึกความหมาย-ing ลักษณะความหมาย
Annoyedรู้สึกรำคาญAnnoyingน่ารำคาญ
Amazedรู้สึกทึ่งAmazingน่าทึ่ง
Boredรู้สึกเบื่อBoringน่าเบื่อ
Confusedรู้สึกสับสนConfusingน่าสับสน
Chilledรู้สึกชิลChillingน่าชิล, กินบรรยากาศ
Disgustedรู้สึกขยะแขยงDisgustingน่าขยะแขยง
Disappointedรู้สึกผิดหวังDisappointingน่าผิดหวัง
Excitedรู้สึกตื่นเต้นExcitingน่าตื่นเต้น
Exhaustedรู้สึกเหนื่อยล้าExhaustingน่าเหนื่อยล้า
Frustratedรู้สึกหงุดหงิด, กระวนกระวายFrustratingน่าหงุดหงิด, น่ากระวนกระวาย
Frightenedรู้สึกกลัว, หวาดกลัวFrighteningน่ากลัว, น่าหวาดกลัว
Interestedรู้สึกสนใจInterestingน่าสนใจ
Irritatedรู้สึกหงุดหงิดIrritatingน่าหงุดหงิด
Overwhelmedรู้สึกตื้นตัน, อบอุ่นใจOverwhelmingน่าตื้นตัน, อบอุ่นใจ
Relaxedรู้สึกผ่อนคลายRelaxingน่าผ่อนคลาย
Surprisedรู้สึกประหลาดใจSurprisingน่าประหลาดใจ
Tiredรู้สึกเหนื่อยTiringน่าเหนื่อยหน่าย
Terrifiedรู้สึกขนลุกขนพองTerrifyingน่ากลัว, น่าขนลุก

ตัวอย่างประโยคเทียบ (บางตัวที่ลงท้าย –ing อาจเป็นนาม หรือ คำขยายกรรม)

หลังจากที่ได้รู้จักกับ Present Participle (-ing) และ Past Participle (-ed) กันมาพอสมควรแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นตัวอย่างประโยคเทียบคำต่าง ๆ ที่เราได้มาจากตารางกัน! อีกทั้งยังมีการเปรียบเทียบ -ed และ -ing ที่ทำหน้าที่ขยายคำนามด้านหลัง หรือ ด้านหน้า รวมถึงการใช้อื่น ๆ ที่อยู่ในรูปประโยคดังนี้

  • Present Continuous (S + v. to.be+ Ving)
  • Passive Voice (S + v. to.be + V3)
  • และกริยาในรูปประโยคของ Tense ทั่วไป
  1. Annoy
  • Mary was annoyed with him so much.

แมรี่รู้สึกรำคาญเขามาก

  • Her most annoying habit was eating with her mouth open.

นิสัยที่น่ารำคาญที่สุดของเธอคือการกินอาหารโดยไม่ปิดปาก

  • They are annoying me by making some noise. (Present Continuous)

พวกเขากำลังทำให้ฉันรำคาญด้วยการส่งเสียง

  1. Exhaust
  • am really exhausted as I did an intense workout at the gym this morning.

ฉันรู้สึกเหนื่อยมากจริง ๆ เนื่องจากฉันได้ออกกำลังกายหนักมากที่ยิมเมื่อเช้านี้

  • The drive back home was long and tiring.

การขับรถกลับบ้านเป็นเวลานานและเหนื่อยกินแรงเป็นอย่างมาก

  • She must have been exhausted by that long flight to Australia.

เธอคงจะหมดแรงจากการเดินทางด้วยเครื่องบินอันยาวนานไปยังออสเตรเลีย (Passive Voice)

  1. Frighten

My boyfriend is frightened of dogs.

แฟนหนุ่มของฉันเขากลัวหมาน่ะ

It was a very frightening experience and they were very courageous at that time.

มันเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวมากและพวกเขาก็มีความกล้าหาญมาก ณ ตอนนั้น

You frightened the life out of me!

เธอทำให้ฉันกลัวจนหัวใจแทบจะวายน่ะ! (Past Simple)

  1. Overwhelm

They were overwhelmed and cried by farewell messages.

พวกเขารู้สึกตื้นตันใจและร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นข้อความส่งท้าย

The overwhelming majority of those present were in favor of the plan.

ผู้ที่เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแผนดังกล่าว

Her neighbor’s kindness is overwhelming her.

  • ความมีน้ำใจของเพื่อนบ้านทำให้เธอตื้นตันใจ (Present Continuous)
  1. Relax

We have a great time here and feel relaxed.

เรามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมากที่นี่ แถมรู้สึกผ่อนคลายอีกต่างหาก

massage is relaxing with a ton of benefits for your body.

การนวดเป็นสิ่งที่น่าผ่อนคลายที่มาพร้อมกับประโยชน์มากมายต่อร่างกายของคุณ

After work hours, she relaxed with a cup of tea and the newspaper.

หลังจากชั่วโมงทำงาน เธอก็จะผ่อนคลายไปกับชาสักถ้วยและหนังสือพิมพ์สักเล่ม (Past Simple)

  1. Tire

The children were tired after the running around the camp.

เด็ก ๆ รู้สึกเหนื่อยหลังจากการวิ่งเล่นรอบค่าย

We have had a tiring day to talk with our customers.

เราเหนื่อยมากกับการพูดคุยกับลูกค้าของเรา

My boss made me work an extra day, so I was tired by the workloads a lot. (Passive Voice)

เจ้านายให้ฉันทำงานเพิ่มอีกหนึ่งวัน ดังนั้นฉันจึงเหนื่อยกับปริมาณงานที่ได้รับมาก ๆ

  1. Terrify

He gets terrified seeing the horrifying phantom.

เขาเกิดความหวาดกลัวเมื่อเห็นผีที่น่ากลัวนั้น

The movie-goers screamed and hid their faces while watching the terrifying film at the theater.

ผู้ชมภาพยนตร์กรีดร้องและเอามือปิดหน้าขณะชมภาพยนตร์สยองขวัญในโรงภาพยนตร์

Terrifying is to cause (someone) to be extremely afraid.

การทำให้หวาดกลัว คือ ทำให้ (ใครบางคน) รู้สึกกลัวมากเป็นอย่างมาก (ทำหน้าที่ประธานและนามของประโยค)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


10 อาหารซิงค์ หรือสังกะสีอัดแน่น กินแล้วเฮลตี้ ดูแลสุขภาพองค์รวม

สังกะสี หรือ Zinc (ซิงค์) เป็นแร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์กว่า 300 ชนิด มีบทบาทสำคัญในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การเผาผลาญอาหาร การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ร่างกายของเราไม่สามารถเก็บสะสมสังกะสีได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับสังกะสีในปริมาณที่เพียงพอทุกวัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) แนะนำให้ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป รับประทานสังกะสี 11 มิลลิกรัม (มก.) ต่อวัน และผู้หญิงในช่วงอายุเดียวกัน รับประทาน 8 มก. ต่อวัน สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับ 11 มก. ต่อวัน และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับ 12 มก. ต่อวัน

อาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี ได้แก่ เนื้อสัตว์ หอย และผลิตภัณฑ์จากนม นอกจากนี้ ยังสามารถได้รับสังกะสีในปริมาณปานกลางจากพืชบางชนิดอีกด้วย และต่อไปนี้คือ 10 อาหารแหล่งสังกะสีชั้นยอด

1.เนื้อสัตว์

เนื้อแดงถือเป็นแหล่งสังกะสีที่ดีมาก แต่เนื้อสัตว์ทุกประเภทล้วนมีสังกะสี ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะ หรือเนื้อหมู เนื้อวัวบดดิบ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) มีสังกะสี 4.79 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 44% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 60% ของ DV สำหรับผู้หญิง (4)

นอกจากนี้เนื้อวัวบดดิบ 100 กรัม ยังให้พลังงาน 176 แคลอรี่ โปรตีน 20 กรัม ไขมัน 10 กรัม และยังเป็นแหล่งสำคัญของสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น เหล็ก วิตามินบี และครีเอทีน อย่างไรก็ตามการบริโภคเนื้อแดงมากเกินไป โดยเฉพาะเนื้อแปรรูป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด

แต่หากคุณลดการบริโภคเนื้อแปรรูปให้น้อยที่สุด และรับประทานเนื้อแดงที่ไม่ผ่านการแปรรูปเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีผัก ผลไม้ และไฟเบอร์สูง ก็ไม่น่าเป็นห่วง

2.หอย

หอยเป็นแหล่งสังกะสีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีแคลอรี่ต่ำ โดยเฉพาะหอยนางรม ซึ่งมีปริมาณสังกะสีสูงมาก หอยนางรมขนาดกลาง 6 ตัว ให้สังกะสี 33 มิลลิกรัม คิดเป็น 300% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 413% สำหรับผู้หญิง

หอยชนิดอื่น ๆ มีปริมาณสังกะสีน้อยกว่าหอยนางรม แต่ก็ยังเป็นแหล่งสังกะสีที่ดี ปูอลาสก้าคิงแครบ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) มีสังกะสี 7.62 มิลลิกรัม คิดเป็น 69% ของ DV สำหรับผู้ชาย และ 95% สำหรับผู้หญิง หอยขนาดเล็ก เช่น กุ้งและหอยแมลงภู่ ก็เป็นแหล่งสังกะสีที่ดีเช่นกัน โดยทั้งสองชนิดมีสังกะสีประมาณ 15% ของ DV สำหรับผู้ชาย และประมาณ 20% สำหรับผู้หญิง ในปริมาณ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)

หากคุณกำลังตั้งครรภ์ ควรปรุงหอยให้สุกก่อนรับประทาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ

3.พืชตระกูลถั่ว

พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล และถั่วชนิดต่าง ๆ มีสังกะสีในปริมาณมาก โดยเฉพาะถั่วเลนทิลสุก 100 กรัม (3.5 ออนซ์) มีสังกะสี 12% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 16% สำหรับผู้หญิง

อย่างไรก็ตาม พืชตระกูลถั่วยังมีไฟเตต ซึ่งเป็นสารต้านสารอาหารที่ยับยั้งการดูดซึมสังกะสีและแร่ธาตุอื่น ๆ ทำให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีจากพืชตระกูลถั่วได้ไม่ดีเท่าจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น พืชตระกูลถัวยังคงเป็นแหล่งสังกะสำคัญสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีเยี่ยม สามารถนำไปปรุงเป็นซุป สตูว์ หรือสลัดได้ง่าย ๆ

การปรุงอาหารด้วยความร้อน การงอก การแช่ หรือการหมักพืชตระกูลถั่วและแหล่งสังกะสีจากพืชอื่น ๆ สามารถเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุได้

4.เมล็ดพืช

เมล็ดพืชเป็นอาหารที่มีสารอาหารสูงและสามารถช่วยเพิ่มปริมาณสังกะสีในอาหารของคุณได้ ตัวอย่างเช่น เมล็ดกัญชา 3 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม) มีสังกะสี 27% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 37% สำหรับผู้หญิง

เมล็ดพืชอื่น ๆ ที่มีสังกะสีในปริมาณมาก ได้แก่ เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตง และเมล็ดงา นอกจากจะช่วยเพิ่มปริมาณสังกะสีแล้ว เมล็ดพืชยังมีไฟเบอร์ ไขมันดี วิตามิน และแร่ธาตุอื่น ๆ การรับประทานเมล็ดพืชเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่สมดุลยังเชื่อมโยงกับประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น การลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล

เพื่อเพิ่มปริมาณเมล็ดพืชในอาหารของคุณ ลองเติมลงในสลัด ซุป โยเกิร์ต หรืออาหารอื่น ๆ

5.ถั่วและเมล็ดพืช

ถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดสน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และอัลมอนด์ สามารถช่วยเพิ่มปริมาณสังกะสีในอาหารของคุณได้ ถั่วลิสง แม้จะเป็นพืชตระกูลถั่ว แต่ก็ให้สังกะสีเช่นกัน ถั่วและเมล็ดพืชมีไฟเบอร์ ไขมันดี และวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ หลายชนิด

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณกำลังมองหาถั่วที่มีสังกะสีสูง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ออนซ์ (28.35 กรัม) มีสังกะสี 15% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 21% สำหรับผู้หญิง ถั่วและเมล็ดพืชอาจช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคบางชนิด เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่รับประทานถั่วและเมล็ดพืชมักจะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่รับประทาน ดังนั้นจึงอาจมีประโยชน์ต่ออายุยืนของคุณ

6.ผลิตภัณฑ์จากนม

ผลิตภัณฑ์จากนมให้สารอาหารมากมาย รวมถึงสังกะสี โดยเฉพาะชีสและนม ซึ่งเป็นแหล่งสังกะสีที่มีชีวปฏิสัมพันธ์สูง หมายความว่าร่างกายสามารถดูดซึมสังกะสีจากอาหารเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น ชีสเชดดาร์แข็ง 1 ออนซ์ (28 กรัม) มีสังกะสี 10% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 13% สำหรับผู้หญิง ส่วนนมวัว 1 ถ้วย (244 กรัม) มีสังกะสี 9% ของ DV สำหรับผู้ชาย และ 13% สำหรับผู้หญิง

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์จากนมยังให้สารอาหารสำคัญอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยบำรุงกระดูก เช่น โปรตีน แคลเซียม และวิตามินดี

7.ไข่

ไข่มีสังกะสีในปริมาณปานกลาง และสามารถช่วยให้คุณได้รับสังกะสีตามปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันได้ ตัวอย่างเช่น ไข่ไก่ขนาดใหญ่ 1 ฟอง มีสังกะสี 5% ของปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 7% สำหรับผู้หญิง

นอกจากนี้ไข่ไก่ขนาดใหญ่ 1 ฟอง ยังให้พลังงาน 77.5 แคลอรี่ โปรตีน 6.3 กรัม ไขมันดี 5.3 กรัม และวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย เช่น วิตามินบี ซีลีเนียม และโคลีน ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วน นอกจากโปรตีนและไขมันดีแล้ว ไข่ยังเป็นแหล่งสังกะสีที่ดีอีกด้วย การรับประทานไข่เป็นประจำจึงเป็นวิธีง่ายๆ ในการเพิ่มปริมาณสังกะสีในร่างกาย

8.ธัญพืชไม่ขัดสี

ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวสาลี ควินัว ข้าว และข้าวโอ๊ต มีสังกะสีอยู่บ้าง เช่นเดียวกับพืชตระกูลถั่ว ธัญพืชก็มีไฟเตต ซึ่งจะจับกับสังกะสีและลดการดูดซึม ธัญพืชไม่ขัดสีมีไฟเตตมากกว่าธัญพืชขัดสี จึงอาจให้สังกะสีได้น้อยกว่า แต่ธัญพืชไม่ขัดสีมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าอย่างแน่นอน

9.ผักบางชนิด

โดยทั่วไป ผลไม้และผักไม่ใช่แหล่งสังกะสีที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามผักบางชนิดมีปริมาณสังกะสีในระดับปานกลาง และสามารถช่วยตอบสนองความต้องการสังกะสีประจำวันของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่ทานเนื้อสัตว์ ตัวอย่างเช่น มันฝรั่งขนาดใหญ่ 1 ลูก มีสังกะสี 1.08 มิลลิกรัม คิดเป็น 10% ของปริมาณแนะนำต่อวัน (DV) สำหรับผู้ชาย และ 14% สำหรับผู้หญิง ส่วนมันเทศขนาดใหญ่ 1 ลูก มีสังกะสี 0.576 มิลลิกรัม คิดเป็น 5% ของ DV สำหรับผู้ชาย และ 7% สำหรับผู้หญิง

ผักชนิดอื่นๆ เช่น คะน้าและถั่วฝักยาว มีปริมาณสังกะสิน้อยกว่า โดยผักทั้งสองชนิด 100 กรัม (3.5 ออนซ์) มีสังกะสีประมาณ 2.5% ของ DV สำหรับผู้ชาย และเกือบ 3.5% สำหรับผู้หญิง แม้ว่าผักจะมีปริมาณสังกะสีไม่มาก แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญของอาหาร การรับประทานอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบหลัก เชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง

10.ช็อกโกแลตดำ

ช็อกโกแลตดำ 100 กรัม (ประมาณ 3.5 ออนซ์) ที่มีปริมาณโกโก้ 70-85% จะมีสังกะสีประมาณ 3.31 มิลลิกรัม คิดเป็น 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันสำหรับผู้ชาย และ 41% สำหรับผู้หญิง อย่างไรก็ตามช็อกโกแลตดำ 100 กรัม ยังมีน้ำตาลถึง 24 กรัม และให้พลังงานสูงถึง 598 แคลอรี่ ดังนั้นจึงถือเป็นอาหารที่มีแคลอรี่สูง

แม้ว่าช็อกโกแลตดำจะมีสารอาหารอื่นๆ เพิ่มเติม แต่ก็ไม่ควรถือเป็นแหล่งอาหารหลักสำหรับการได้รับสังกะสี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/11/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a44,150.0044,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,860.0043,357.6044,750.00
ทองรูปพรรณ 90%2,574.0039,021.84n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,288.0034,686.08n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,287.0019,510.92n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,001.0015,175.16n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,964.0044,934.24n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/11/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.9535.9536.5535.9535.9535.9535.9535.9535.9535.95
แก๊สโซฮอล์ 9135.5835.5836.1835.5835.5835.5835.5835.5835.5835.58
แก๊สโซฮอล์ E2033.8433.8434.4433.8433.8433.8433.8433.8433.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.5933.5933.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.5449.8449.8449.8444.54
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า