สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 เมษายน 2568

ตลาดบ้านมือสองบูม อานิสงส์2เด้ง แผ่นดินไหว-“ลดค่าโอน-จดจำนอง”

ตลาดบ้านมือสอง บูม อานิสงส์2เด้ง หลัง เด้นแรก แผ่นดินไหว เห็น ชัด สภาพ บ้าน-คอนโด ร้าวไม่ร้าว เด้งสอง มาตรการรัฐหนุน “ลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองลดค่าใช้จ่าย แบงก์ปล่อยกู้ง่ายกว่า บ้านใหม่ เมียนมา สนซื้อที่อยู่อาศัยไทยเหตุ แผ่นดินไหว ไทยรุนแรงน้อยกว่า              

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี2568 มีความท้าทายอย่างมากนอกจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กำลังซื้อหายไปจากตลาด สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อแล้ว ยังมีเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงความปั่นป่วนของนโยบายกำแพงภาษี รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เข้ามาซํ้าเติมเป็นเหตุผลให้ผู้ประกอบการต่างชะลอลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลงและดูท่าทีอย่างเข้มข้นกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า รวมถึงเร่งระบายสต๊อกที่มีให้มากที่สุด 

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พบว่า จำนวนหน่วยเหลือขายในกรุงเทพ มหานคร และปริมณฑล (ข้อมูล ณ ไตรมาส4 ปี 2567) ที่อยู่อาศัยที่เสนอขายรวม 229,182 หน่วย เพิ่มขึ้น 7% และมูลค่า 1,394,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.1%

เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในจำนวนนี้ มีหน่วยเหลือขายสูงถึง 215,800 หน่วย เพิ่มขึ้น 10.2% มูลค่า 1,313,487 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นทุกระดับราคา คาดใช้เวลาในการขาย 49 เดือน

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสองมีตัวแปรสำคัญที่มีมาตรการรัฐเข้ามาสนับสนุน ทั้ง การผ่อนผันเกณฑ์ LTV (Loan to value ratio) จากธนาคารแห่งประเทศไทยกู้ได้100% ทุกราคาทุกสัญญารวมถึง มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01%  ซึ่งประเมินว่าน่าจะช่วยลดความตึงมือของผู้ประกอบการลงได้บ้างสำหรับบ้านใหม่

ที่น่าจับตา และมีแนวโน้มที่ไปได้ดี คือตลาดบ้านมือสอง มีความได้เปรียบค่อนข้างมาก ผู้บริโภคมักให้ความนิยม โดยเห็นข้อเปรียบเทียบทั้งทำเลที่สามารถเลือกได้ ใกล้แหล่งงาน ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับบ้านใหม่ ในทำเลเดียวกัน และขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกัน

สำหรับเรื่องของความมั่นคงแข็งแรงไม่ต้องพูดถึงหลังผ่านเหตุแผ่นดินไหวผู้บริโภคจะให้ความสำคัญ เป็นอันดับต้นๆ แม้ราคาอาจสูง แต่ความปลอดภัยโครงสร้างอาคารเปลือกวัสดุพื้นผิวภายนอกแข็งแรง จะเป็นโจทย์ในการตัดสินใจซื้อที่สำคัญได้รับการสนับสนุนจากมาตรการรัฐเช่นเดียวกัน

มากไปกว่านั้นสถาบันการเงินตัดสินใจปล่อยสินเชื่อได้ง่ายกว่าเพราะได้เห็นสภาพบ้านที่แท้จริงมากกว่าการประเมินโครงการใหม่  และเมื่อย้อนดูตัวเลข  ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สะท้อนตลาดบ้านมือสอง ( ข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 ) มีประกาศขายถึง 140,725 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 718,436 ล้านบาท

โดย 10 จังหวัดที่มีประกาศขายมากสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร  จำนวน 42,377 หน่วย คิดเป็น 30.1% มูลค่า 386,191 ล้านบาท คิดเป็น 53.8%  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท

ขณะตัวเลขตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบใน 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมาพบการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยบ้านมือสองได้รับความนิยมสูงถึง 71% ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 52% ของมูลค่าการโอนรวม สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ปัจจัยสำคัญมาจากราคาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโดยบ้านมือสองมีราคาเฉลี่ยเพียง 2.16 ล้านบาท ในขณะที่บ้านสร้างใหม่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4.87 ล้านบาท หรือแพงกว่าถึง 2.3 เท่า ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองมีสัดส่วนสูงถึง 71% ของยอดโอนทั้งหมด

นายประวิทย์ อนุศิริ นายกสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าตลาดบ้านมือสอง เติบโตมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนเกิดสถานการณ์โควิดจนถึงปัจจุบันซึ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหว  สำหรับสาเหตุที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ เพราะ สินค้าเปลี่ยนมือไม่นาน สภาพใกล้เคียงกับคุณภาพบ้านใหม่แต่ราคาถูกกว่าค่อนข้างมากต่อรองราคาได้ สามารถเลือกทำเลในเมืองใกล้แหล่งงานได้  

ขณะบ้านใหม่ ราคาจะสูงกว่า ทำเลไกลกว่าที่สำคัญเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวล่าสุดจะเห็นร่องรอยสภาพได้ชัดเจนกว่า ว่าอาคารดังกล่าว ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหนที่สำคัญสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อได้ง่ายกว่าบ้านใหม่เพราะผู้ซื้อและผู้ขายสามารถต่อรองราคากันได้ มีเงินก้อนวางดาวน์  รวมถึงสถาบันการเงินเองได้เห็นสภาพทรัพย์ที่ชัดเจนมากกว่าโครงการใหม่

 “ตลาดบ้านมือสองได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากราคาถูกกว่า ตัดสินใจซื้อได้เลยโดยไม่ต้องรอ ผู้บริโภคได้เห็นสภาพทรัพย์ก่อนตัดสินใจซื้อนอกจากนี้สถาบันการเงินปล่อยง่ายกว่า จากการเห็นสภาพจริง”

ทั้งนี้การขายบ้านมือสองจะเน้นคัดเลือกทรัพย์มาจากทรัพย์สินรอการขายหรือ NPA ของสถาบันการเงินที่ประเมินว่าจะขายได้ และทำเลที่มีศักยภาพทั้งกรุงเทพฯและจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั้งแนวราบและแนวสูง โดยมี ตัวแทนขายผ่านการอบรมของสมาคมฯ เจาะตลาดทั้งไทยและต่างชาติ  ทั้งนี้กลุ่มของต่างชาติที่ติดต่อเข้ามาค่อนข้างมาก คือ เมียนมา ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และการสู้รบที่ต้องการย้ายมาอยู่อาศัยยังประเทศไทย และมองหาคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่มองว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่น้อยกว่า  

นายประวิทย์ อธิบายต่อว่าปัจจุบันตัวเลขในตลาดแต่ละปี มีที่อยู่อาศัย ประมาณ 1.2 ล้านหน่วย  ซึ่งมือหนึ่งประมาณ 4 แสนหน่วยนอกนั้นจะเป็นบ้านมือสอง  นอกจากนี้ตลาดบ้านมือสอง ยังได้อานิสงส์จากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนลดจดจำนอง ปีที่ผ่านมาสำหรับ บ้านราคาไม่เกิน  7 ล้านบาท

ซึ่งช่วยลดภาระผู้บริโภคได้มากจากที่ต้องจ่ายค่าโอน 140,000 บาท เหลือ 700 บาท ค่าจดจำนองจาก 70,000 บาท เหลือ 700 บาท รวมแล้วเสียค่าใช้จ่ายเพียง 1,400 บาท สำหรับบ้านราคา 7 ล้านบาท และปีนี้เช่นเดียวกัน เมื่อมีมาตรการลดค่าโอนจดจำนองเข้ามาช่วยจะช่วยให้ตลาดนี้เติบโตมากขึ้น โดยประเมินว่า บ้านมือสองเติบโตเฉลี่ยปีละ 30%

อย่างไรก็ตาม บ้านมือสอง มีทั้งบ้านแนวราบและ คอนโดมิเนียม ซึ่งมองว่า หลังจากแผ่นดินไหวน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเพราะ คอนโดมิเนียม หลายแห่งไม่ได้รับกระทบจากแผ่นดินไหว ยังได้รับความนิยม โดยเฉพาะทำเลใจกลางเมือง

“ช่วงแผ่นดินไหว ยอมรับว่าบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ได้รับความนิยม แต่ระยะยาวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ  ขณะ จำนวนหน่วยที่ ผู้บริโภคเลือกและตัดสินใจซื้ออยู่ระดับราคาเฉลี่ย 2 ล้านบาทซึ่งมีทั้งอยู่อาศัยเองและนักลงทุน”

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนว่า ตลาดบ้านมือสองเติบโตอย่างมากซึ่งเป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้บริโภค และยังได้รับอานิสงส์จากมาตรการรัฐที่จะบังคับใช้ รวมถึงกลุ่มลูกค้าจากเมียนมาที่ต้องการเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในไทยทั้งบ้านมือหนึ่งและมือสอง หลังจากได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ราชกิจจาฯ ประกาศ ลดค่าโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01%มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ 22 เม.ย.68

ราชกิจจาฯ ออกประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง กู้ซื้อบ้าน-คอนโด เหลือ 0.01% เริ่มมีผลบังคับใช้วันนี้ 22 เม.ย.ถึง 30 มิ.ย. 2569 เพื่อประคองตลาดอสังหาฯ

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินกรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

โดยที่เป็นการสมควรบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศอาศัยอำนาจตามความในข้อ 1 (7) (ช) แห่งกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับอาคารชุด พ.ศ 2553

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินในการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยหรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว สำหรับผู้ซื้อออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกินเจ็ดล้านบาทเป็นพิเศษ

โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน ร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง

สำหรับกรณีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวบ้านแฝด และบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว ซึ่งมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกินเจ็ดล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกินเจ็ดล้านบาท

ทั้งนี้สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย

ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2569 ประกาศ ณ วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22เม.ย.“อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 33.24 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22เม.ย.2568ที่ระดับ 33.24 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.09 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22เม.ย.2568ที่ระดับ  33.24 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.09 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม

และมีแนวโน้มแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นมาบ้าง ตามการปรับสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หากราคาทองคำเผชิญแรงขายมากขึ้น หลังทำจุดสูงสุดใหม่ โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off0 ทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจต้องการเพิ่มสภาพคล่อง

และเลือกที่จะขายทำกำไรทองคำออกมาได้ คล้ายกับช่วงตลาดปั่นป่วนจากความกังวลมาตรการภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงพอสมควร พร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ เรามีความกังวลว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาทองคำ กับเงินบาทอาจเปลี่ยนแปลงไป จากพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด เพราะหากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ อาจจะด้วยสาเหตุที่ทยอยขายทำกำไรไปช่วงก่อนหน้าแล้ว

กอปรกับความกังวลว่าราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้นต่อ (Fear of Missing Out: FOMO) ก็อาจทำให้ ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ (ซึ่งจะต่างจากที่ปกติ ผู้เล่นในตลาด มักจะรอจังหวะราคาทองคำย่อตัวลง ในการทยอยเข้าซื้อ หรือ เน้น Buy on Dip)

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าไม่ยาก จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้ง บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็อาจยิ่งกดดันให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนทยอยขายสินทรัพย์ไทย อย่าง หุ้นไทย เพิ่มเติมได้

ทั้งนี้ เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยโซนแนวต้านจะติดอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนรวรับยังคงอยู่ในช่วง 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.40 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.04-33.26 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้น ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

รวมถึงแรงขายทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ซึ่งกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และเงินยูโร (EUR) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง (อย่างไรก็ดี ปริมาณธุรกรรมในตลาดถือว่าน้อยลงจากช่วงปกติ

เนื่องจากเป็นวันหยุด Easter ของตลาดการเงินยุโรป) ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุดแสดงความต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ย ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด ดิ่งลง -2.36%

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) แต่ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ยังคงถูกสั่นคลอน จากความกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยล่าสุด

อย่าง ความเสี่ยงการเข้าแทรกแซงเฟด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น สู่ระดับ 4.40% อนึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพียงแต่ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการขายทำกำไรสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ซึ่งส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และบรรดาสกุลเงินหลักอย่าง เงินยูโร (EUR) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง

ทว่า การรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังขาดความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นสู่โซน 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.9-98.5 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินและความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ปรับตัวสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) สู่โซน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงที่การดำเนินงานของเฟด อาจถูกแทรกแซงจากการเมืองสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดล่าสุด ยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาส 73% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยราว 4 ครั้ง ในปีนี้ ส่วน ECB มีโอกาสราว 55% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีนี้

และนอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ อย่าง Tesla (รับรู้รายงานผลประกอบการช่วง After Close)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.18-33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับมาบางส่วนตามแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่น (หลังเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ) อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทยังน่าจะเป็นไปอย่างจำกัดเนื่องจากยังมีสัญญาณเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร

ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังอ่อนแอท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากสงครามการค้า และประเด็นความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานเฟด 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.15-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายประเทศ และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วอลเลย์บอลหญิงไทย ปิดฉากสวย! ตบ V-League All-Stars 3-1 คว้าชัยสองวันติด ศึก ALL STAR SUPER MATCH 2025

ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดใหญ่ โชว์ฟอร์มแกร่ง เอาชนะ V-League All-Stars 3-1 เซต ปิดฉากศึก KOREA-THAILAND WOMEN’S ALL STAR SUPER MATCH 2025 ได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าชัย 2 วันติดต่อกันทั้งทีมชุดใหญ่และเยาวชน ก่อนลุย VNL 2025

วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เอาชนะ V-League All-Stars 3-1 เซต คว้าชัยสองนัดรวดในศึก ALL STAR SUPER MATCH 2025 ที่เกาหลีใต้ เตรียมสู้ศึก VNL 2025 มิ.ย.นี้ 

ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดใหญ่ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่ตบเอาชนะทีม V-League All-Stars จากเกาหลีใต้ 3-1 เซต (25-20, 25-23, 17-25, 31-29) ในการแข่งขัน KOREA-THAILAND WOMEN’S PRO VOLLEYBALL ALL STAR SUPER MATCH 2025 ที่เมืองฮวาซอง จังหวัดคยองกี ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2568

ชัยชนะในแมตช์นี้ ทำให้ทัพนักตบสาวไทยคว้าชัย 2 วันติดต่อกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทีมเยาวชนหญิงทีมชาติไทยก็ประเดิมเอาชนะทีมเยาวชน V-League ไปได้ด้วยสกอร์ 3-1 เซตเช่นกัน

ผู้เล่นตัวจริงของทีมไทยในเกมนี้ ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชอ็อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ประกอบด้วย:

  • “โมเม” ธนัชชา สุขสด (กัปตันทีม)
  • “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง
  • “เตย” หัตถยา บำรุงสุข
  • “นุกนิก” ณัฏฐณิชา ใจแสน
  • “เฟิร์น” วริศรา สีทาเลิศ
  • “ดาว” กัตติกา แก้วพิน
  • “เอย” กัลยรัตน์ คำวงษ์ (ลิเบอโร)

สรุปการแข่งขันแต่ละเซต:

  • เซต 1: ทีมไทยเริ่มต้นได้อย่างร้อนแรง เปิดเกมนำห่าง 7-1 และคุมจังหวะได้ตลอดจนปิดเซต 25-20
  • เซต 2: เกมสูสีขึ้นในช่วงท้าย แต่สาวไทยยังคงความนิ่ง และปิดเซตด้วยคะแนน 25-23
  • เซต 3: เกาหลีใต้แก้เกมมาได้ดี ใช้บอลหนักและเกมเสิร์ฟสร้างความกดดัน ก่อนปิดเซตไปด้วยสกอร์ 25-17
  • เซต 4: เกมเดือดถึงช่วงท้าย ทั้งสองทีมผลัดกันขึ้นนำก่อนที่ทีมไทยจะปิดแมตช์ด้วยแต้มสุดมัน 31-29 คว้าชัย 3-1 เซต

ชัยชนะครั้งนี้สร้างความมั่นใจให้กับนักตบสาวไทยทั้งในรุ่นเยาวชนและชุดใหญ่ ก่อนเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเก็บตัวฝึกซ้อม เพื่อสู้ศึกใหญ่รายการต่อไปอย่าง FIVB Women’s Volleyball Nations League 2025 ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 4 มิถุนายนนี้

โปรแกรมแข่งขัน VNL 2025 ของทีมชาติไทย:

📌 สัปดาห์ที่ 1 – ปักกิ่ง, จีน (กลุ่ม 3)

  • 4 มิ.ย. เวลา 15:00 น. : ไทย vs โปแลนด์
  • 5 มิ.ย. เวลา 15:00 น. : ไทย vs เบลเยียม
  • 6 มิ.ย. เวลา 18:30 น. : ไทย vs ตุรกี
  • 8 มิ.ย. เวลา 15:00 น. : ไทย vs ฝรั่งเศส

📌 สัปดาห์ที่ 2 – ฮ่องกง (กลุ่ม 5)

  • 18 มิ.ย. เวลา 16:00 น. : ไทย vs ญี่ปุ่น
  • 19 มิ.ย. เวลา 16:30 น. : ไทย vs อิตาลี
  • 21 มิ.ย. เวลา 15:30 น. : ไทย vs เช็ก
  • 22 มิ.ย. เวลา 12:00 น. : ไทย vs บัลแกเรีย

📌 สัปดาห์ที่ 3 – อาร์ลิงตัน, สหรัฐฯ (กลุ่ม 8)

  • 10 ก.ค. เวลา 07:30 น. : ไทย vs สหรัฐฯ
  • 11 ก.ค. เวลา 04:00 น. : ไทย vs เยอรมนี
  • 12 ก.ค. เวลา 04:00 น. : ไทย vs โดมินิกัน
  • 14 ก.ค. เวลา 03:00 น. : ไทย vs แคนาดา

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


9 สัญญาณเตือนระบบไหลเวียนโลหิตติดขัด

ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดี หรือโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (PAD) มักมีสาเหตุจากการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือดแดง เมื่อเวลาผ่านไป การสะสมนี้สามารถทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวหรือตีบแคบลง ขัดขวางการไหลเวียนของโลหิตที่อุดมด้วยออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีสามารถนำไปสู่อาการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อส่วนปลายของร่างกายและส่วนอื่นๆ ได้

9 สัญญาณเตือนระบบไหลเวียนโลหิตติดขัด

1.อาการปวดเกร็ง

อาการที่พบได้บ่อยที่สุดอย่างหนึ่งของภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีคือ อาการปวดเกร็งหรือปวดกล้ามเนื้อขณะเคลื่อนไหว และทุเลาลงเมื่อพัก อาการนี้เรียกว่า “ภาวะปวดเมื่อยขณะเดิน” เกิดขึ้นเนื่องจากการไหลเวียนของโลหิตในหลอดเลือดแดงลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนล่างของร่างกาย

2.อาการชา อ่อนแรง และบวม

ผู้ที่มีภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีบางรายอาจมีอาการชา อ่อนแรง หรือบวม อันเนื่องมาจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว เนื่องจากคราบพลัคมีความแข็ง ทำให้หลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นน้อยลงและตีบแคบลง ส่งผลให้การนำพาโลหิตที่อุดมด้วยออกซิเจนและสารอาหารไปทั่วร่างกายลดลง

3.อาการอ่อนเพลียและรู้สึกเย็น

ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณส่วนปลาย เช่น มือหรือเท้า การขาดแคลนโลหิตที่อุดมด้วยออกซิเจนและสารอาหารจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี สามารถทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเร็วกว่าปกติและก่อให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย การไหลเวียนของโลหิตที่ลดลงหมายถึงโลหิตที่มีอุณหภูมิร่างกายเดินทางไปทั่วร่างกายน้อยลง ทำให้บริเวณที่มีเลือดไหลเวียนน้อยรู้สึกเย็น

4.การเปลี่ยนแปลงของสีผิว

ผู้ที่มีภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เนื่องจากการขาดแคลนโลหิตที่อุดมด้วยออกซิเจนในบางส่วนของร่างกาย เมื่อการไหลเวียนโลหิตแย่ลง การไหลเวียนของโลหิตและออกซิเจนจะลดลง ทำให้ผิวหนังเปลี่ยนสีและมักปรากฏเป็นสีซีด สีน้ำเงินคล้ำ หรือสีเทา

5.เล็บเปราะและผมร่วง

ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีสามารถขัดขวางไม่ให้รูขุมขนและฐานเล็บได้รับโลหิตที่จำเป็นต่อการคงความแข็งแรง ผู้ที่มีภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีอาจมีอาการผมร่วงและเล็บเปราะ

6.อาการเจ็บหน้าอก

ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีสามารถส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก อันเนื่องมาจากการบีบรัดของกล้ามเนื้อหัวใจ หากการไหลเวียนโลหิตบกพร่องอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้

7.การทำงานของสมองบกพร่อง

เนื่องจากภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดแดงทั่วทั้งร่างกาย จึงเป็นไปได้ที่การไหลเวียนของโลหิตไปยังสมองจะลดลง การไหลเวียนของโลหิตที่ลดลงสามารถทำให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานของสมอง และทำให้การรับรู้ช้าลง ในกรณีที่รุนแรงที่สุด ภาวะไหลเวียนโลหิตไปยังสมองไม่ดีอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง

8.ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีสามารถส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นด่านป้องกันหลักของร่างกายต่อการติดเชื้อ ไม่สามารถถูกลำเลียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะทำงานได้น้อยลง

9.การขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ

ภาวะไหลเวียนโลหิตไม่ดีสามารถทำให้เกิดภาวะขาดเลือดในลำไส้ อาการของภาวะขาดเลือดในลำไส้ ได้แก่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกทางทวารหนัก และท้องเสีย ภาวะขาดเลือดในลำไส้เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และควรได้รับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อว.เปิดตัว Medical AI Data Platform ใช้ AI ช่วยคัดกรองโรครวดเร็ว

  • Medical AI Data Platform ก่อตั้งขึ้นและขับเคลื่อนให้เกิด แนวคิด “ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้” เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์ข้อมูลทางการแพทย์อย่างมีธรรมาภิบาล 
  • รวบรวมภาพทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ มีสมาชิกเข้าร่วมขับเคลื่อนรวม 6 หน่วยงาน 
  • เชิญชวนโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ร่วมแบ่งปันข้อมูลและระบุโจทย์ที่สำคัญ และนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมพัฒนาโมเดล AI ที่ใช้ได้จริง 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคสาธารณสุข

โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวถึงนโยบาย อว. for AI และเป็นสักขีพยานในการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ ประกอบด้วย                  กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium

ภายในงานมีการ เปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” อย่างเป็นทางการ ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศข้อมูลที่เข้มแข็ง รองรับการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์เพื่อคนไทย

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า “กระทรวง อว. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านนโยบาย ‘อว. for AI’ ซึ่งมุ่งสร้างระบบนิเวศ AI ที่ครบวงจร

การแพทย์เป็นเป้าหมายสำคัญที่ AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำ รวดเร็ว และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ

การสนับสนุนการจัดตั้ง Medical AI Consortium ผ่านทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เพื่อพัฒนา Medical AI Data Platform ถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของประเทศ

แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงคลังข้อมูล แต่ยังประกอบด้วยเครื่องมือที่พัฒนาโดย สวทช. ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยและแพทย์สามารถพัฒนานวัตกรรม AI ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นภารกิจสำคัญในการสร้างรากฐาน AI การแพทย์ที่มั่นคงของประเทศ

จึงขอเชิญชวนโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ร่วมแบ่งปันข้อมูลและระบุโจทย์ที่สำคัญ และนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมพัฒนาโมเดล AI ที่ใช้ได้จริง เพื่อร่วมกันยกระดับสาธารณสุขไทยให้ก้าวทันโลก และใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีพันธกิจในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ Medical AI Consortium

แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ ที่พัฒนาขึ้นนี้ คือ ตัวอย่างของการ   บูรณาการความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและ AI ของ สวทช. เข้ากับความรู้ทางการแพทย์จากพันธมิตร เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ตัวอย่างของเทคโนโลยีอย่าง RadiiView และ NomadML ที่พัฒนาโดยนักวิจัยเนคเทค สวทช. จะช่วยปลดล็อกให้นักวิจัยและแพทย์ไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ได้เอง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนำไปสู่ AI ทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์บริบทของประเทศไทยอย่างแท้จริง

แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่สนับสนุนกระบวนการพัฒนา AI ทางการแพทย์ของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ครบวงจร และปลอดภัยตามมาตรฐานคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ครอบคลุม 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1.ส่วนบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) รองรับการรวบรวม จัดเก็บ จัดทำรายการข้อมูลภาพทางการแพทย์อย่างปลอดภัยและเป็นระบบ มีการกำกับดูแลสิทธิ์การเข้าถึงตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูล

นอกจากนี้ นักวิจัยเนคเทค สวทช. ยังพัฒนา RadiiView ซอฟต์แวร์และคลาวด์แอปพลิเคชันสำหรับการกำกับข้อมูลภาพทางการแพทย์ (Annotation) ที่มีเครื่องมือช่วยให้แพทย์ระบุลักษณะสำคัญบนภาพได้อย่างแม่นยำ เพื่อสร้างชุดข้อมูล

2.ส่วนพัฒนาและฝึกสอน AI (AI Modeling) ผ่านแพลตฟอร์ม NomadML ที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาโมเดลได้โดย ไม่ต้องเขียนโค้ดโปรแกรมที่ซับซ้อน

เพียงนำชุดข้อมูลที่กำกับแล้วจาก RadiiView มาใช้บนแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับทรัพยากรประมวลผลสมรรถนะสูงอย่าง LANTA Supercomputer ของ สวทช. เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาโมเดล

3.ส่วนบริการ AI (AI Service Deployment) มุ่งเน้นการนำโมเดล AI ที่ผ่านการพัฒนาและตรวจสอบประสิทธิภาพแล้ว ไปสู่การใช้งานจริงในระบบบริการสุขภาพ โดยอาจให้บริการผ่าน National AI Service Platform เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง

แพลตฟอร์มดังกล่าว ได้รวบรวมภาพทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ โรคทรวงอก, มะเร็งเต้านม (ภาพแมมโมแกรม), โรคตา (ภาพจอประสาทตา), โรคในช่องท้อง (ภาพอัลตราซาวด์), โรคผิวหนัง, โรคหลอดเลือดสมอง (ภาพ CT/MRI), และโรคกระดูกพรุน (ภาพ BMD/VFA)

พร้อมทั้งพัฒนาโมเดล AI ต้นแบบแล้ว 2 บริการ ซึ่งมีศักยภาพในการช่วยแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย และขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพ

ปัจจุบัน Medical AI Consortium มีสมาชิกเข้าร่วมขับเคลื่อนรวม 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการแพทย์,           คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,                 คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์, คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ม.นวมินทราธิราช

อย่างไรก็ดี สวทช. และพันธมิตร เชื่อมั่นว่าความร่วมมือและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลกลางทางการแพทย์นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งสร้างนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ที่ใช้งานได้จริงในวงกว้าง

จึงขอเชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ สถาบันการศึกษา นักวิจัย และภาคเอกชน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้ เพื่อขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขไทยให้ก้าวหน้าต่อไป

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ตัวอย่าง AI ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ บริษัทสตาร์ตอัป เริ่มพัฒนาการใช้ AI เพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest  X-ray) ทางการแพทย์และสร้างรายงานทางการแพทย์

เพื่อใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของภาพเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อขยายผลการให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศิริราช  ปิยมหาราชการุณย์ และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก รวมทั้งโรงพยาบาลอื่น ๆ ในราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อโปรแกรม AI มาจากต่างประเทศ ช่วยลดงบประมาณค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลในประเทศไทย

ล่าสุดเทคโนโลยีเพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest  X-ray)  ได้ผ่านมาตรฐานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขแล้ว

และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กำลังพัฒนาไปยังโรคอื่น ๆ ซึ่งในอนาคตมีแผนจะดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง AI สำหรับใช้ในโรงพยาบาลนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป

อย่างไรก็ตาม Medical AI Consortium เป็นเครือข่ายสำคัญที่จะเป็นโอกาสให้ประเทศไทยดึง DATA มาร่วมแบ่งเป็นข้อมูลในการทำงานด้านการแพทย์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ AI เรียนรู้ข้อมูลได้ฉลาดและแม่นยำมากขึ้น  

ด้าน นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกภาคส่วน

รวมถึงในวงการแพทย์ โดย AI ได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลรักษาทางการแพทย์ ทั้งในด้านการวินิจฉัย การรักษา และการบริหารจัดการระบบสุขภาพ

ในประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานกว่า 6 ล้านคน ราว 15–20% เสี่ยงภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา แต่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางเพียง 250 คน

จากข้อจำกัดดังกล่าว ได้มีการศึกษาทดลองการใช้ AI ใน 13 เขตสุขภาพจากบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรคจอประสาทตา พบว่า การตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์มีความไว (sensitivity) อยู่ที่ร้อยละ 74 และมีความแม่นยำ (specificity) สูงถึงร้อยละ 98

ขณะที่การตรวจโดยใช้ AI ให้ผลความไวที่สูงกว่ามาก คือประมาณร้อยละ 97 และมีความแม่นยำอยู่ที่ร้อยละ 96 ทำให้เห็นว่าระดับความแม่นยำจะใกล้เคียงกัน แต่ AI มีความสามารถในการตรวจคัดกรองโรคได้รวดเร็วและมีความไวสูงกว่า

“การนำ AI มาใช้ในการคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาสามารถช่วยลดระยะเวลาการรอคอยในการเข้ารับการตรวจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของประชาชน

และทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการมองเห็นและความพิการในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ทั้งนี้การพัฒนา AI สำหรับการแพทย์จำเป็นต้องใช้ข้อมูลภาพทางการแพทย์คุณภาพสูงปริมาณมาก ซึ่งที่ผ่านมามีความท้าทายในการรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

Medical AI Consortium จึงก่อตั้งขึ้นและขับเคลื่อนให้เกิด แนวคิด “ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้” เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์ข้อมูลทางการแพทย์อย่างมีธรรมาภิบาล

โดยมีแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ที่พัฒนาขึ้นโดย เนคเทค สวทช. เป็นแพลตฟอร์มกลางดิจิทัล ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ บริหารจัดการ และให้บริการข้อมูลแก่สมาชิกในเครือข่ายและคนทั่วไป ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลและมาตรฐานคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC).

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน มีประโยคไหนต้องติดปาก ไว้รับมือทุกสถานการณ์

การสื่อสารเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เนื่องจากคนเราจำเป็นต้องพูดคุย สร้างปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันตลอดเวลา อาทิ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แบ่งปันความสุขทุกข์ ตลอดจนไถ่ถามเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาในรูปแบบใหม่ ๆ จากบุคคลรอบข้าง ด้วยเหตุนี้ การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จึงเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะหลีกเลี่ยงไม่สื่อสารกับผู้อื่นได้ เราจึงยกตัวอย่างมาให้เพื่อนๆกัน ซึ่งเป็นประโยคที่เราได้ใช้ในทุกวัน ได้แก่

1. ทักทาย ผูกมิตร กับผู้คนทั่วไป

2. ถามเส้นทางการสัญจรไปไหนมาไหน

3. พูดคุยเรื่องสุขภาพทั่วไป กับคนรอบข้าง หรือเมื่อตัวเองเจ็บป่วยในต่างแดน

4. พูดคุยเรื่องอาหารในชีวิตประจำวัน (สั่งอาหาร – สอบถามเรื่องเมนู)

ทว่าในกรณีที่เราจำเป็นต้องพูดคุยในชีวิตประจำวันเป็นประโยคภาษาอังกฤษ อาจทำให้ใครหลายคนกังวลและสูญเสียความมั่นใจ จนนำมาซึ่งอาการคิดประโยคที่ต้องใช้สื่อสารไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง วันนี้เราจึงรวบรวมประโยค การสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ตามแต่ละสถานการณ์มาแบ่งปัน เพื่อฝึกฝน หรือนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้คล่องแคล่วติดปากมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีประโยคใดและสถานการณ์ใดบ้างนั้น เราจะนำเสนอเป็นแต่ละสถานการณ์ โดยเริ่มจาก

1. ทักทาย ผูกมิตร กับผู้คนทั่วไป

แน่นอนว่าในการผูกมิตรสัมพันธ์หรือการพูดคุยกับผู้คนทั่วไป การกล่าวคำทักทายเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่เราจำเป็นต้องสื่อสารออกมาให้ดีก่อนเสมอ เพราะไม่ว่าจะสื่อสารกับชาติใด การทักทายก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่าเป็นการเริ่มต้นบทสนทนาที่ดี

ยกตัวอย่างประโยคการทักทายกับคนทั่วไป

  1. Hello, my name is … (สวัสดี ฉันชื่อ …)
  2. Good morning, how are you? (สวัสดีตอนเช้า คุณสบายดีไหม?)
  3. Good night. (ราตรีสวัสดิ์)
  4. Good afternoon. (สวัสดียามบ่าย)
  5. What’s up? (สบายดีรึเปล่า?) ประโยคนี้ใช้กับเพื่อนสนิทเท่านั้น
  6. Nice to meet you. (ยินดีที่ได้รู้จัก)
  7. I really appreciate … (ฉันรู้สึกขอบคุณเรื่อง ….)
  8. Thanks so much. (ขอบคุณมาก ๆ)
  9. I’m good. (ฉันสบายดี)
  10. Not bad. (ก็ดีนะ)

2. ถามเส้นทางการสัญจรไปไหนมาไหน

ทุกครั้งที่เราต้องออกเดินทางไกล ไม่ว่าจะเพื่อท่องเที่ยวหรือทำงาน การสื่อสารให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายเป็นส่วนประกอบสำคัญที่จะช่วยให้การเดินทางของเราไปถึงที่หมายได้ถูกต้องรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างประโยคการสอบถามการเดินทาง

  1. What time does the plane depart? (เครื่องบินจะออกกี่โมง?)
  2. Where do I check-in? (ฉันจะตรวจเอกสารเดินทางได้ที่ไหน?)
  3. Where is the nearest train station? (สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?)
  4. Where can I get a taxi? (ฉันสามารถเรียกแท็กซี่ได้ที่ไหน?)
  5. What’s the free luggage allowance? (ให้น้ำหนักสัมภาระฟรีกี่กิโลกรัม?)
  6. I have missed my flight. Could you help me please? (ฉันตกเครี่อง คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม?)
  7. Can I have a window/aisle seat? (ฉันขอที่นั่งริมหน้าต่าง/ติดทางเดิน ได้หรือไม่?)
  8. I’m lost. Help me please (ฉันหลงทาง ช่วยฉันด้วยนะ)
  9. Have a good trip. (เที่ยวให้สนุกนะ)
  10. Where’s the toilet? (ห้องน้ำอยู่ทางไหนหรือครับ/คะ?)

3. พูดคุยเรื่องสุขภาพทั่วไป กับคนรอบข้าง หรือเมื่อตัวเองเจ็บป่วยในต่างแดน

อาการเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในกรณีที่เราต้องเดินทางไกลหรืออยู่ในต่างแดน การพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราจำเป็นต้องสื่อสารให้ได้ชัดเจนและคล่องแคล่วอยู่เสมอ

ยกตัวอย่างประโยคคำถามเช่น

  1. Are you alright? (คุณสบายดีหรือเปล่า?)
  2. What’s the matter? (เป็นอะไร?)
  3. What’s the matter with you? (เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณ?)
  4. What are your symptoms? (อาการของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?)
  5. Do you have a headache? (คุณปวดศีรษะไหม?)
  6. Do you have a fever/high temperature? (ตัวคุณร้อนหรือไข้ขึ้นหรือไม่?)
  7. How do you feel now? (ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร?)
  8. How have you been keeping? (คุณเป็นอย่างไรบ้าง?) ใช้ถามเกี่ยวกับสุขภาพ
  9. Are you feeling any better? (คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?)
  10. How is everything with your health? (สุขภาพของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?)

สำหรับคำตอบที่นิยมใช้โดยทั่วไป คือ

  • I’m fine. (ฉันสบายดี)
  • I feel sick. (ฉันรู้สึกป่วย)
  • Not so good. (ไม่ดีเลย)
  • Not very well. (ไม่ดีเลย)
  • I don’t feel well. (ฉันรู้สึกไม่ดี)
  • I’m sick. (ฉันป่วย)
  • I’m in bad shape. (ฉันรู้สึกแย่)

4. พูดคุยเรื่องอาหารในชีวิตประจำวัน (สั่งอาหาร – สอบถามเรื่องเมนู)

การสอบถามเกี่ยวกับเรื่องเมนูอาหารในประโยคภาษาอังกฤษ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนปวดหัว เนื่องจากเมื่อถึงเวลาต้องใช้จริงมักจะนึกประโยคที่ต้องพูดในร้านอาหารไม่ออก ซึ่งประโยคดังต่อไปนี้สามารถช่วยคุณได้

ยกตัวอย่างประโยคการพูดคุยเรื่องอาหาร

  1. Do you have any tables available? (มีโต๊ะว่างไหมครับ/ค่ะ?)
  2. Can I make a reservation for 7 people at 8 p.m.? (ขอจองโต๊ะสำหรับ 7 คน ตอน 8 โมงค่ะ?)
  3. Can I see the menu please? (ขอดูเมนูด้วยครับ/ค่ะ?)
  4. What are your specials today? (เมนูพิเศษวันนี้มีอะไรบ้างครับ/คะ?)
  5. What do you recommend? (มีเมนูแนะนำไหมครับ/คะ?)
  6. How much is …? (อันนี้ราคาเท่าไหร่ …?)
  7. I would like to have … (ผม/ฉันขอ …)
  8. Excuse me. Can you please clean up the table? (ขอโทษครับ/ค่ะ ช่วยเช็ดโต๊ะให้หน่อยได้ไหมครับ/คะ?)
  9. Could I see the dessert menu? (ขอดูเมนูขนมหวานหน่อยได้ไหม?)
  10. I am a vegetarian. (ผม/ฉัน กินอาหารมังสวิรัติครับ/ค่ะ)
  11. This is delicious. (จานนี้อร่อยมาก)
  12. Excuse me, but I didn’t order this. (ขอโทษครับ/คะ ผม/ฉันไม่ได้สั่งอาหารจานนี้)
  13. Excuse me. Can I have a napkin please? (ขอโทษครับ/ค่ะ ขอกระดาษเช็ดปากหน่อยได้ไหมครับ/คะ?)
  14. Excuse me. Can I have sharing plates? (ขอโทษครับ/ค่ะ ขอจานแบ่งหน่อยได้ไหมครับ/คะ?)
  15. Take away please. (ช่วยห่อกลับบ้านได้ไหมครับ/คะ)
  16. Bill please? (เก็บเงินด้วยครับ/ค่ะ?)
  17. I’ll pay in cash. (ฉันจะจ่ายเงินสด)
  18. Pay separately. (จ่ายแยกกัน)
  19. Can we have the receipt please? (ขอใบเสร็จได้ไหมครับ/คะ?)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว “1 เครื่องดื่มสีแดง” ที่ช่วยเปิดหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอล!

รู้หรือไม่? วิจัยชี้ “น้ำทับทิม” ช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และลดความดันโลหิต

งานวิจัยล่าสุดเปิดเผยว่า “น้ำทับทิม” เครื่องดื่มสีแดงสด ไม่เพียงแค่รสชาติดี แต่ยังอัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ต่อหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจ หรือภาวะคอเลสเตอรอลสูง

นักวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยลดความเสียหายของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และอาจช่วยป้องกันการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง

ศาสตราจารย์ไมเคิล อาวิราม ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวเคมีจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอิสราเอล (Technion) พบว่า สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมสามารถลดการเกิดออกซิเดชันของคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การอุดตันของหลอดเลือด

นอกจากนี้ งานวิจัยในวารสาร Clinical Nutrition รายงานว่า ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำต่อเนื่องหนึ่งปี มีความหนาของผนังหลอดเลือดแดงคาโรติด (carotid artery) ลดลงถึง 30% ขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้ดื่มกลับมีความหนาเพิ่มขึ้น 9% อีกทั้งยังพบว่า ความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง 12% หลังดื่มน้ำทับทิมหนึ่งปี

สรรพคุณเหล่านี้เชื่อมโยงกับสารโพลีฟีนอล (polyphenols) ในทับทิม ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผนังหลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด

ข้อมูลในวารสาร Pharmacological Research ปี 2017 ที่ศึกษาจาก 8 การทดลอง ยังระบุว่า น้ำทับทิมช่วยลดความดันโลหิตทั้งค่าซิสโตลิกและไดแอสโตลิก โดยไม่ขึ้นกับปริมาณที่บริโภค

อย่างไรก็ดี แม้ผลการศึกษาโดยรวมจะชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของน้ำทับทิม แต่ก็ยังมีงานวิจัยบางฉบับ เช่น รีวิวในปี 2019 ของ Complementary Therapies in Medicine ที่วิเคราะห์ 17 การทดลอง และไม่พบผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดระดับคอเลสเตอรอล โดยนักวิจัยระบุว่า การออกแบบงานวิจัยและปริมาณการบริโภคทับทิมที่ไม่สม่ำเสมออาจมีผลต่อความแม่นยำ

ทำไมทับทิมถึงดีต่อสุขภาพ?

ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น แทนนิน ฟลาโวนอยด์ และแอนโทไซยานิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบป้องกันความเสียหายของเซลล์ และอาจลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด รวมทั้งประโยชน์อื่นๆ ได้แก่

– ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด

– ลดความดันโลหิต

– บรรเทาการอักเสบในร่างกาย

– อาจช่วยเพิ่มความอึดในการออกกำลังกาย และช่วยฟื้นฟูหลังออกกำลังกาย

– มีไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร

– อาจมีส่วนช่วยเรื่องความจำและการทำงานของสมอง

ทั้งนี้ แม้ทับทิมจะมีประโยชน์มาก แต่ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ หรือกำลังใช้ยาควบคุมความดันหรือคอเลสเตอรอล ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคเป็นประจำ เนื่องจากน้ำทับทิมอาจรบกวนการทำงานของตับในการสลายยา เช่น ยาสแตติน และยังอาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน

อีกทั้งน้ำทับทิมมีน้ำตาลตามธรรมชาติ ซึ่งหากบริโภคมากเกินไป อาจส่งผลต่อปริมาณแคลอรีโดยรวม และลดคุณประโยชน์ต่อหัวใจได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/04/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a54,550.0054,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,534.0053,575.4455,450.00
ทองรูปพรรณ 90%3,180.6048,217.90n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,827.2042,860.35n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,590.0024,108.95n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,237.0018,751.40n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,662.0055,518.59n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/04/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.8532.8533.3532.8532.8532.8532.8532.8532.8532.85
แก๊สโซฮอล์ 9132.4832.4832.9832.4832.4832.4832.4832.4832.4832.48
แก๊สโซฮอล์ E2030.6430.6431.1430.6430.6430.6430.6430.6430.64
แก๊สโซฮอล์ E8528.9928.9928.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.4448.8449.8448.8441.44
เบนซิน 9541.1448.8141.6441.2941.14
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า