‘ทำเลฮอต’ อาคารสำนักงาน ‘สีลม-สาทร-พระราม4’ ฟื้นแรง ค่าเช่าพุ่ง

ไนท์แฟรงค์ เผยอาคารสำนักงานทำเล “สีลม-สาทร-พระราม 4 ฟื้นค่าเช่าและอัตราการเช่าพุ่ง ขณะที่ย่านพหลโยธิน–วิภาวดีอัตราการเช่าลดลง ส่วนทำเลบางนาอัตราการเช่าพุ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับพื้นที่นอกCBD
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนระดับโลก แต่ “ตลาดสำนักงาน” ในกรุงเทพฯ กลับมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เริ่มกลับมาคึกคักจากแรงขับเคลื่อนของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับตัว ขณะเดียวกัน ย่านนอก CBD ก็เร่งเกมปรับตัว ปรับสมดุลระหว่าง “ค่าเช่า” กับ “ความคุ้มค่า” เพื่อช่วงชิงดีมานด์จากลูกค้าที่ต้องการทางเลือกใหม่เพื่อการบริหารต้นทุนระยะยาว
ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ หุ้นส่วนและกรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่าในไตรมาส 1 ปี 2568 ค่าเช่าขอเสนอในพื้นที่ CBD เฉลี่ยขยับขึ้น 0.2% จากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 966 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ขณะที่อัตราการเช่าเพิ่มขึ้น 0.7% สู่ระดับ 77% นับเป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่ภาคธุรกิจแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อพื้นที่ “ทำเลทอง” ใจกลางเมือง แม้ต้องแลกกับต้นทุนที่สูงขึ้น!

โดย ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม พบการปรับขึ้นของค่าเช่า 0.4% สู่ระดับ 971 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน มีอัตราการเช่าพุ่งสูงสุด 1.9% มาอยู่ที่ 76% สะท้อนว่าทำเลที่มีความหลากหลายทั้งด้านการขนส่งและภาพลักษณ์องค์กร ยังคงดึงดูดบริษัทชั้นนำได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ย่านเพลินจิต-ชิดลม-วิทยุ และ ย่านนานา-อโศก-พร้อมพงษ์ ค่าเช่าขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย 0.1-0.2% มาอยู่ที่ 1,091 และ 944 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนตามลำดับ แต่กลับเห็นอัตราการเช่าที่ลดลงเล็กน้อย 0.5 % ทั้ง 2 พื้นที่ สะท้อนถึงการเริ่ม “เลือก” ของผู้เช่าที่ต้องการสมดุลระหว่าง “ทำเล-ราคา-ฟังก์ชันการใช้งาน”
นอก CBDจุดขายคือความคุ้มค่า
ด้านนอกเขต CBD ที่เคยถูกมองว่าเป็น “ทางเลือก” สำหรับบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ในวันนี้กลายเป็น “สนามแข่งขันใหม่” ของตลาดสำนักงาน โดยค่าเช่าเฉลี่ยปรับขึ้นเล็กน้อย 0.2% สู่ 670 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ขณะที่อัตราการเช่าทรงตัวที่ 79%
ย่านเพชรบุรี-พระราม 9-รัชดาภิเษก ยังคงแข็งแกร่งทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.2% อยู่ที่ 729 บาท และอัตราการเช่าขยับขึ้นเล็กน้อยที่ 80% สะท้อนความนิยมในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (New CBD)
ในทางกลับกัน ย่านพหลโยธิน-วิภาวดี แม้ค่าเช่าปรับขึ้น 0.3% มาอยู่ที่ 683 บาท แต่กลับเห็นอัตราการเช่า”ลดลง” 0.3% เหลือ 78% บ่งชี้ถึงการรอจังหวะของดีมานด์ในพื้นที่ที่ยังต้องการแรงหนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม
แต่ที่โดดเด่นที่สุด คือ ย่านบางนา-ศรีนครินทร์ ซึ่งอัตราการเช่าพุ่งสูงสุดในบรรดาพื้นที่นอก CBD โดยเพิ่มขึ้น 1.4 % สู่ระดับ 71% สวนทางกับฐานค่าเช่าที่ต่ำเพียง 620 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน การเติบโตนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ “รอบนอก” ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ยังต้องการต้นทุนที่ควบคุมได้
จุดเปลี่ยนของเกมเช่า ไม่ได้มีแค่ “ทำเล”
การเคลื่อนไหวของอัตราค่าเช่าและการดูดซับพื้นที่เช่าในแต่ละโซน สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ย่าน” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ขึ้นอยู่กับ “คุณค่า” ที่แต่ละพื้นที่สามารถมอบให้กับผู้เช่าได้ ทั้งในแง่ต้นทุน การเดินทาง ความยืดหยุ่น และความน่าเชื่อถือของผู้พัฒนา
ท่ามกลางการแข่งขันที่เริ่มกลับมาร้อนแรง ผู้เล่นในตลาดนี้จำเป็นต้องมองให้ลึกกว่าราคา และคิดให้ไกลกว่าพื้นที่ว่าง เพราะในตลาดที่ผู้เช่ามีอำนาจต่อรองสูงขึ้น ฉะนั้น “คุณภาพและบริการ” จะกลายเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของเกมธุรกิจเช่าพื้นที่ในยุคต่อจากนี้ไป
อย่างไรก็ตามปี 2568 ถือเป็น “ปีทอง” ของซัพพลายใหม่ เพราะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมากถึง 835,000 ตารางเมตร และคาดว่าจะมีพื้นที่ใหม่เข้าสู่ตลาดสูงถึง 524,000 ตารางเมตร ภายในปีนี้ โครงการน่าจับตามอง เช่น The Central พหลโยธิน ที่พัฒนาโดยเซ็นทรัลพัฒนา ที่น่าสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับคู่แข่ง โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ยกระดับอาคารให้สอดคล้องกับความต้องการใหม่ของผู้เช่า
ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ จากตลาดที่เคยวัดกันด้วย ราคาและทำเล สู่ตลาดที่วัดกันด้วย ความสามารถในการดูแลลูกค้าและการบริหารความเสี่ยง เพราะในโลกที่ไม่แน่นอน “ความเชื่อมั่น” คือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของอาคารสำนักงานในวันนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯ รับมือรายได้ ‘คอนโด-บ้าน’ วูบ รุกหนักน่านน้ำใหม่ คลังสินค้าฯ’

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงถาโถมภาคอสังหาริมทรัพย์รอบด้าน ธุรกิจหลัก “บ้าน” และ “คอนโดมิเนียม” ยอดขายชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่น่านน้ำใหม่
คลังสินค้า โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเป็นทางรอดที่มั่นคงและยั่งยืนกว่า นับเป็นการเปลี่ยนผ่านที่อาจกลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย
โดยในอดีต เราอาจมอง “อสังหาริมทรัพย์” หมายถึงบ้านจัดสรรหรูริมทางด่วน หรือคอนโดสูงระฟ้าใจกลางเมือง…แต่วันนี้ผู้เล่นในวงการ นี้กำลังวางหมากบนกระดานใหม่! อย่างพื้นที่โรงงาน คลังสินค้า และนิคมอุตสาหกรรม เมื่ออสังหาริมทรัพย์เพื่อขายไม่ตอบโจทย์การเติบโตอีกต่อไป!
สัญญาณเริ่มดังขึ้นตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จะเปลี่ยนโลกในปี 2563 ตลาดบ้าน-คอนโด “ซบเซา” ลงอย่างต่อเนื่องจากกำลังซื้อที่ “หดตัวแรง” ขณะที่ประชากรวัยทำงานเริ่ม “ลดลง” อีกทั้งเน้น “เช่า” อยู่อาศัยมากกว่าแบกภาระหนี้สินระยะยาวจากการ “ซื้อ”

ดังนั้น สิ่งที่ตามมาคือการ “กระจายความเสี่ยง” ของบรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เริ่มมองหาธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) ในระยะยาว ที่ไม่ใช่แค่ขายครั้งเดียวจบ
คลังสินค้า-โรงงาน-นิคมฯ น่านน้ำแห่งโอกาส
สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาคุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาด “อาคารคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า” กลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่หลายบริษัทมุ่งไป อานิสงส์จากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้ง B2C (Business-to-Customer) หรือการทำธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการกับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไปโดยตรง และ B2B (Business-to-Business) หรือการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปตลอดกาล
ข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ชี้ว่า พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าในไทยมีมากกว่า 6.5 ล้านตร.ม. มีอัตราการเช่ารวมราว 82% แม้จะยังไม่แตะจุดสูงสุด แต่ก็เป็นตลาดที่เติบโตอย่างมั่นคงเฉลี่ย 12-16% ต่อปี
จับตาผู้เล่นตัวจริงในเกมนี้
สำหรับ “ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” ครองแชมป์ตลาดด้วยส่วนแบ่ง 24% ของคลังสินค้าให้เช่าทั้งประเทศ ขณะที่ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” หากนับรวมทั้งบริษัทแม่และ REIT ที่เกี่ยวข้อง ถือว่ามีพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ามากที่สุด!
ด้าน “แสนสิริ” ร่วมทุนกับ “มั่นคงเคหะการ” พัฒนาโปรเจกต์ขนาดใหญ่ในวังน้อย ส่วน “เอสซี แอสเสท” จับมือ “Tokyo Tatemono” ตั้งเป้าขยายพื้นที่คลังสินค้าถึง 1 ล้าน ตร.ม. ค่าย “ออริจิ้น + JWD” รุกตลาดโลจิสติกส์ พร้อม โตคิว แลนด์ เอเชีย ในโครงการขนาดใหญ่ “พฤกษา + CapitaLand” ตั้งกองทุนโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค มูลค่าเริ่มต้น 10,000 ล้านบาท
Self-Storage โอกาสใหม่ในเมืองใหญ่
ขณะเดียวกัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางรายเริ่มลงสนามในธุรกิจ “ห้องเก็บของให้เช่า” (Self-Storage) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่อยู่ในคอนโดขนาดเล็ก เช่น เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดคลังสินค้า และห้องเก็บของให้เช่า ในสุขุมวิท-บางนา
ขณะที่ เซ็นทรัลพัฒนา + JWD จับมือพัฒนาห้องเก็บของให้เช่า พื้นที่กว่า 13,000 ตร.ม. ในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวภูเก็ต
นิคมอุตสาหกรรมเกมยาวที่ต้องใช้ใจและเงิน
เมื่อคลังสินค้า คือ โอกาสระยะกลาง และนิคมอุตสาหกรรม คือ เดิมพันระยะยาว เช่น สิงห์ เอสเตท กับโครงการนิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง พื้นที่กว่า 1,700 ไร่ ล่าสุดมั่นคงเคหะการ ผนึก บีทีเอส กรุ๊ป เตรียมพัฒนานิคมอุตสาหกรรม บางปะกง ขนาด 1,000 ไร่ ผู้เล่นเหล่านี้ไม่ได้มองแค่ค่าเช่า แต่เล็งไปถึงการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ (REIT) เพื่อ “หมุนทุน-ต่อยอด-ถือครองรายได้” ในแบบที่โครงการบ้านและคอนโดทำไม่ได้ !
หาก “บ้าน” เคยเป็นพระเอกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานนับ 10 ปี วันนี้พระเอกใหม่อาจอยู่ในร่างของ โกดัง โลจิสติกส์ หรือห้องเก็บของเล็กๆ กลางเมือง และนี่อาจเป็นยุคสมัยใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่นิยามคำว่า “พื้นที่” ใหม่หมดจด ไม่ใช่แค่สำหรับอยู่อาศัย…แต่เพื่อรองรับเศรษฐกิจแห่งอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้22 พ.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยเฉพาะความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐ กดดันให้ผู้เล่นในตลาดเลือกขายสินทรัพย์สหรัฐออกมา หนุนความต้องการถือทองคำและเงินเยนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ กดดันให้เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเนื่อง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22พ.ค.2568ที่ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่อาจแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนการแข็งค่าสุดของปี 2025 นี้ ได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะในจังหวะที่ผู้เล่นในตลาดต่างมีความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างเลือกที่จะขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ออกมา ส่งผลให้เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ความกังวลดังกล่าวก็ยิ่งหนุนความต้องการถือครองทองคำ รวมถึงเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงนี้ จนกว่า ประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ จะทยอยคลี่คลายลง
ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ เมื่อตลาดรับรู้ความชัดเจนของ “Fiscal Bill” ที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ ของพรรครีพับลิกัน กำลังร่างและพยายามผลักดันให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ อยู่ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของประเด็นดังกล่าว ก่อนวันหยุด Memorial Day 26 พฤษภาคม นี้
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ อาจยังพอได้แรงหนุนบ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในช่วงนี้ ออกมาดีกว่าคาดและไม่ได้สะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชัดเจน
ทำให้อย่างน้อยเงินดอลลาร์จะยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และความกังวลต่อความเสี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือความเสี่ยงการเกิด Stagflation (เศรษฐกิจชะลอลงหนัก แต่อัตราเงินเฟ้อสูง) ที่ทยอยลดลงบ้าง
นอกจากนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way Volatility ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้แนวโน้มราคาทองคำควรเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในจังหวะที่ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน
ทั้งนี้ หากเงินบาทไม่ได้แข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน เราประเมินว่า อาจเริ่มผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเพิ่มสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ได้
ทว่า เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทจะสามารถกลับมาทยอยอ่อนค่าลงได้ชัดเจน หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.55-32.85 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.65-32.84 บาทต่อดอลลาร์) ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ
ดังจะเห็นได้จาก แรงขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล คล้ายกับช่วงตลาดกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังเผชิญการประกาศภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในช่วงก่อนหน้า
โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับบรรดาบอนด์ยีลด์ 10 ปี ของประเทศเศรษฐกิจหลัก กลับไม่ได้ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการทยอยปรับตัวขึ้นบ้างของราคาทองคำ
โดยผู้เล่นในตลาดต่างยังคงต้องการถือทองคำอยู่ในช่วงนี้ ท่ามกลางความกังวลต่อประเด็นเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกัน การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด
อาทิ การปรับลดสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่า) หลังเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงชัดเจน ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าวได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.60%
กดดันให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ ต่างปรับตัวลงแรง อาทิ Tesla -2.7%, Apple -2.3% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด ดิ่งลง -1.61%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.04% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH -2.2%, Hermes -2.1% หลังทาง Chanel ได้รายงานยอดขายลดลง
ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ฝั่งยุโรป รวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร
ในส่วนตลาดบอนด์ ความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่โซน 4.60% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอจับตาท่าทีของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ว่าจะสามารถผลักดันร่าง “Fiscal Bill” ได้สำเร็จหรือไม่ และมีรายละเอียดอย่างไร
ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว Sideways ไปก่อนได้ โดย เราคงคำแนะนำเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในระดับปัจจุบันถือว่ามีความน่าสนใจอยู่ แม้ว่าในระยะสั้นอาจเผชิญแรงกดดันจากประเด็นงบประมาณและเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเราคงแนะนำว่า ควรรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้ (เน้น Buy on Dip) โดยเฉพาะในช่วงโซนสูงกว่า 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นบ้าง แต่เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวก็สะท้อนจากการเคลื่อนไหวสวนทางกันชัดเจนของส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก
กับเงินดอลลาร์ (ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY) หรือแม้กระทั่ง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ทยอยแข็งค่าขึ้น แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรก็ตาม โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.3-99.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) จะพอได้แรงหนุนจากทั้งภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ทว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็เผชิญแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวขึ้น แต่ยังคงติดโซนแนวต้านแถวระดับ 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคม ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก
ซึ่งอาจสะท้อนผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยรายงานดังกล่าวจะเริ่มจากฝั่งยูโรโซน ในช่วงราว 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ต่อด้วยรายงานดัชนี PMI จากฝั่งอังกฤษในช่วง 15.30 น. และรายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ในช่วง 20.45 น.
นอกจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ข้อมูลตลาดบ้าน เป็นต้น
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันศุกร์ 23 พฤษภาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 65% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 25bps ในปีนี้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ความคืบหน้าของการร่าง “Fiscal Bill” ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ พรรครีพับลิกัน การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 32.62-32.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.55 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสวนทาง Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังอ่อนแอต่อเนื่อง ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยกดดันเพิ่มเติมจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของฐานะการคลังและปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ หลังมีความพยายามเดินหน้าร่างกฎหมายปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลของสหรัฐฯ ซึ่ง ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์พยายามผลักดันให้ผ่านสภาคองเกรส นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกก็เพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าด้วยเข่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.55-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สถานะฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สถานการณ์การเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนพ.ค. ของยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์และยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วอลเลย์บอลหญิงไทย สร้าง “3 สถิติใหม่” ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งเนชันส์ลีก 2025

แม้การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก (VNL) 2025 จะยังไม่เริ่มต้น แต่ทีมชาติไทยก็ทำสถิติใหม่ได้น่าสนใจถึง 3 รายการ
ซึ่งการแข่งขันปีนี้จะเริ่มระหว่างวันที่ 4 มิถุนายน – 27 กรกฎาคม 2568 และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเก็บคะแนนอันดับโลก เพื่อชิงสิทธิ์ไปโอลิมปิกเกมส์ที่ลอสแอนเจลิส
โดย 3 สถิติใหม่ที่ไทยสร้างก่อนเริ่ม VNL 2025 มีดังนี้
1. อายุเฉลี่ยผู้เล่นลดลงเหลือ 22.9 ปี
จากเดิม 27.2 ปี ในปีที่ผ่านมา ปีนี้ลดลงเหลือ 22.9 ปี เป็นอันดับ 4 ของทีมที่อายุน้อยที่สุดในรายการ สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ โดย โค้ชอ๊อด (เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร) ดึงผู้เล่นดาวรุ่งจากทีม U19 และ U21 ขึ้นมาเสริมทีมหลัก วางเป้าหมายระยะยาวสู่โอลิมปิก 2028
2. ส่วนสูงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 177.1 ซม.
จากเดิม 173.4 ซม. ปีนี้นักกีฬารุ่นใหม่ของไทยมีความสูงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เช่น
– “แคบหมู” สุภาวดี พันวิลัย (หัวเสา) สูง 186 ซม.
– “ปาย” นภัสสร พุ่มนิล (บีหลัง) สูงถึง 192 ซม.
การที่มีค่าเฉลี่ยความสูงมากขึ้น แน่นอนว่าจะช่วยให้ทีมไทยสามารถรับมือกับคู่แข่งที่มีความสูงมากกว่าได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
3. คนไทยอาจไม่ได้ดูถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวี
แม้วอลเลย์บอลจะเป็นกีฬามหาชนของไทย แต่ปีนี้อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ไม่มีช่องทีวีใดซื้อลิขสิทธิ์ VNL 2025
นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ยังไม่มีสถานีใดตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ เนื่องจากราคาสูง ทำให้แฟนๆอาจต้องชมผ่านแพลตฟอร์ม Volleyball World (VBTV) แทน
ทั้งนี้ สมาคมยังพยายามหาทางเจรจาให้แฟนไทยได้รับชมง่ายขึ้น แต่ขณะนี้กำลังโฟกัสกับการเตรียมเป็นเจ้าภาพ วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน 2568

VNL 2025 เปลี่ยนรูปแบบใหม่ ทีมเพิ่มเป็น 18 ชาติ
การแข่งขันปีนี้มีการปรับรูปแบบใหม่จากเดิม โดย เพิ่มจำนวนทีมจาก 16 เป็น 18 ทีม แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 รอบ คือ
รอบแรก (Preliminary Phase):
– ทีมทั้ง 18 จะถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม ลงเล่นทีมละ 12 นัดในช่วงเวลา 3 สัปดาห์
รอบสุดท้าย (Final Round):
– ทีมที่มีผลงานดีที่สุด 8 ทีม (รวมเจ้าภาพ) จะผ่านเข้ารอบสุดท้าย
ทีมที่เข้าร่วมปีนี้ ได้แก่ เบลเยียม, บราซิล, บัลแกเรีย, แคนาดา, จีน, เช็กเกีย, สาธารณรัฐโดมินิกัน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, เซอร์เบีย, ไทย, ตุรกี และ สหรัฐอเมริกา
โดย ทัพลูกยางสาวไทย จะลงสนามนัดแรกพบกับ โปแลนด์ จากนั้นจะเจอกับ เบลเยียม, ตุรกี และ ฝรั่งเศส ตามลำดับ สามารถรับชมได้ผ่าน VBTV แพลตฟอร์มสตรีมมิงทางการของ FIVB
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไอไม่หยุดทำไงดี? รวม 10 วิธีบรรเทาอาการไอ ให้หายเร็วที่สุด

ไอไม่หยุด เป็นหวัด เป็นหอบหืด คอแห้ง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นโรคกรดไหลย้อน ภูมิแพ้ สูบบุหรี่ วัณโรค หลอดลมโป่งพอง ไปจนถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้เรามี อาการไอ ทั้งไอแห้ง ไอแบบมีเสมหะ หรือไอเรื้อรัง แต่ไม่ว่าจะไอแบบไหน ก็สร้างความรำคาญให้กับเราได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน จนบางครั้งไอจนหน้าดำหน้าแดง แถมไอในที่สาธารณะอย่างบนรถโดยสารก็กลัวคนจะมองค้อน Sanook Health เข้าใจคุณดี จึงขอแนะนำ วิธีบรรเทาอาการไอให้ลดลงโดยเร็วที่สุด ทั้งง่าย และได้ผลแน่นอน
10 วิธีบรรเทาอาการไอให้หายเร็วที่สุด
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น
เริ่มต้นง่ายๆ กับการดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากขึ้น ใครที่มีเสมหะในคอ น้ำก็จะช่วยละลายเสมหะให้น้อยลงได้ ส่วนใครที่มีอาการไอแห้งๆ น้ำก็จะช่วยให้ความชุ่มชื้นในลำคอได้ ทำให้มีอาการระคายเคืองภายในคอลดลงเช่นกัน - ดื่มน้ำอุ่น
หากเลือกที่จะดื่มน้ำให้มากขึ้นแล้ว ควรเลือกดื่มน้ำอุ่นแทนการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นจะช่วยละลายเสมหะ และให้ความชุ่มชื้นภายในลำคอได้ดีกว่าน้ำเย็น นอกจากนี้ยังสามารถเลือกดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาวระหว่างวันได้เช่นกัน - อาบน้ำอุ่น
ข้างในอุ่นแล้ว ข้างนอกก็ต้องอุ่นด้วย การอาบน้ำอุ่นนอกจากจะช่วยลดน้ำมูกได้แล้ว ยังดีต่อร่างกายของคนที่เป็นหวัด และภูมิแพ้อีกด้วย - อมยาแก้ไอ
อย่าคิดว่าอาการไอจะหายไปได้เองง่ายๆ หากมีอาการไอจนตัวงอ ไอจนเพื่อนข้างๆ รำคาญ ควรรีบหายาแก้ไอมาอมด่วนๆ เพราะในยาแก้ไอจะมีส่วนประกอบที่จะช่วยลดอาการระคายเคืองภายในลำคอได้ - ใช้เครื่องทำความชื้นในอากาศ
บ้านไหนที่เปิดเครื่องปรับอากาศนอน ตกกลางคืนอากาศอาจจะแห้งจนทำให้อาการไอแย่หนักไปกว่าเดิม แม้ว่าอากาศในบ้านเราจะค่อนข้างร้อนชื้นอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการระคายเคืองคออยู่แล้ว อากาศแห้งๆ เย็นๆ จะยิ่งทำให้อาการไอเป็นหนักกว่าเดิม และอาจมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย ดังนั้นหากใช้เครื่องทำความชื้นภายในห้องนอน ก็จะช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองคอได้
Note: เครื่องทำความชื้น เป็นเครื่องที่เสียบปลั๊กแล้วมีไอน้ำพุ่งออกมา สามารถเพิ่มความชื้นในอากาศภายในห้องได้ (โรงพยาบาลบางแห่งจะมีเครื่องเพิ่มความชื้นในห้องผู้ป่วย) จะกลิ่นหอมๆ หรือไม่มีกลิ่นก็ได้ แล้วแต่คนชอบ แต่หากเลือกกลิ่นที่ช่วยให้หลับดี เช่น กลิ่นดอกคาโมมายด์ กลิ่นลาเวนเดอร์ ก็จะช่วยให้เรานอนหลับง่าย พักผ่อนได้เต็มที่ไปด้วย
- งดสูบบุหรี่
ใครที่สูบบุหรี่ควรงดการสูบบุหรี่ในช่วงที่มีอาการไอเด็ดขาด เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ระคายเคืองคอมากยิ่งขึ้น และยังอาจทำให้มีเสมหะมากขึ้นได้อีกด้วย (แต่อยากจะแนะนำให้เลิกสูบบุหรี่ไปเลยจะดีกว่า เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคหลอดลมโป่งพอง และโรคอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย)
หากคุณไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่ ก็ควรอยู่ให้ไกลห่างจากผู้ที่สูบบุหรี่ หรือกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ด้วยเช่นกัน - งดใช้น้ำหอม สเปรย์ต่างๆ
ส่วนประกอบของน้ำหอม และสเปรย์ต่างๆ (รวมถึงสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ) การทำให้โพรงจมูกมีอาการระคายเคืองได้ และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเสมหะเพิ่มมากขึ้น หรือไอเรื้อรังได้ - หลีกเลี่ยงฝุ่น ควันต่างๆ
นอกจากน้ำหอม และสเปรย์แล้ว อากาศรอบตัวอย่างอากาศแห้งๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงาน ฝุ่นควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ ควันจากการทำอาหาร มลพิษทางอากาศเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในโพรงจมูก และลำคอได้ ดังนั้นขณะที่มีอาการไอ ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองจากมลพิษทางอากาศเหล่านี้ด้วย - นอนพักผ่อนให้มากขึ้น
ส่วนใหญ่แล้ว อาการไอที่แย่ลงเรื่อยๆ หรือหายช้า เป็นเพราะร่างกายไม่มีเวลาที่จะซ่อมแซมตัวเอง เพราะเราใช้ร่างกายของเราหนักเกินไปจนพักผ่อนน้อยนั่นเอง ดังนั้นหากรู้ตัวว่าป่วย ไอหนักมาก ควรรีบเข้านอนแต่หัววันตั้งแต่อากาศยังไม่เย็นมากจนเกินไป และพักผ่อนให้เพียงพอ - พบแพทย์
ทางสุดท้ายที่จะเพิ่งได้ คือการพบหมอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะอาการไอที่เราเป็นมานาน ทำทุกอย่างแล้วก็ไม่หาย อาจจะไม่ใช่อาการไอธรรมดาๆ โดยอาการไออาจจะเป็นเพียงอาการเบื้องต้น ที่เป็นสัญญาณเตือนถึงโรคอันตรายอื่นๆ ได้ ดังนั้นการพบแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับใครก็ตามที่อาการไอไม่ดีขึ้นเลยภายใน 1-2 สัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อะไรใหม่ในงาน Google I/O 2025 เปิดตัวหลายสิ่ง รวมถึง Flow ยกระดับการสร้างวิดีโอ

Google I/O 2025 ที่ผ่านมาสร้างความตื่นเต้นอย่างมากในวงการเทคโนโลยี ด้วยการประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ที่เน้นไปที่ AI เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนา Gemini 2.5 ทั้งรุ่น Pro และ Flash รวมถึงการเปิดตัวเครื่องมือสร้างสรรค์ภาพและวิดีโอ AI อย่าง Imagen 4 และ Veo 3 ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ไฮไลท์สำคัญคือการเผยโฉม Flow เครื่องมือสร้างภาพยนตร์ AI โดยเฉพาะ ที่รวมพลังของ Imagen, Veo และโมเดล Gemini เพื่อสร้างสรรค์ฉากภาพยนตร์จากข้อความง่ายๆ
Gemini 2.5: ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และปลอดภัยยิ่งขึ้น

Gemini 2.5 มาพร้อมการรองรับภาษาที่หลากหลายขึ้นถึง 24 ภาษา พร้อมฟีเจอร์ Text-to-Speech และเสียงที่แสดงอารมณ์ได้ Google เคลมว่ามีการปรับปรุงความสามารถด้านการให้เหตุผล, การทำงานแบบ Multimodality, การเขียนโค้ด และการประมวลผล Long Context สำหรับทั้งโมเดล Flash และ Pro
สำหรับโมเดล Gemini 2.5 Pro มีการอัปเดตครั้งใหญ่คือการเพิ่มโหมด Deep Think สำหรับงานคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ดที่ซับซ้อนสูง ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วง “ทดลอง” และจะเปิดให้ผู้ทดสอบที่ได้รับเลือกใช้งานในเร็วๆ นี้ Google ระบุว่า Deep Think สามารถพิจารณาหลายสมมติฐานก่อนที่จะตอบสนอง
และ Gemini 2.5 Pro ยังคงเป็นผู้นำในเกณฑ์มาตรฐาน WebDev Arena และ LMArena โดยนำเสนอเครื่องมือที่ได้รับการปรับปรุงสำหรับการเขียนโค้ดและการสร้างเว็บแอปพลิเคชัน พร้อมหน้าต่าง Token สูงสุดถึง 1 ล้านสำหรับความเข้าใจใน Long Context นอกจากนี้ Gemini 2.5 ยังปรับปรุงความปลอดภัยจากการโจมตีแบบ Indirect Prompt Injections อีกด้วย
Gemini 2.5 Flash เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปทดลองใช้งานในแอป Gemini แล้ว ส่วนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ และ Gemini 2.5 Pro จะตามมาในไม่ช้า
Imagen 4 และ Veo 3: ยกระดับการสร้างสรรค์ภาพและวิดีโอด้วย AI
Imagen 4 สามารถสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงสุดถึง 2K ได้แล้ว Google อ้างว่ามีการปรับปรุงความแม่นยำของข้อความในบัตร, โปสเตอร์ และคอมมิคที่สร้างขึ้น Imagen 4 พร้อมใช้งานแล้วตั้งแต่วันนี้ในแอป Gemini, Google Workspace, Whisk และ Vertex AI
Veo 3 คือโมเดลวิดีโอ AI ล่าสุดของ Google ที่ได้รับการปรับปรุงการจดจำข้อความจากพรอมต์ (Text-to-Video) สามารถสร้างวิดีโอพร้อมเสียงบทสนทนาของตัวละคร และเสียงพื้นหลังได้ Veo 3 เปิดให้ใช้งานแล้วตั้งแต่วันนี้สำหรับสมาชิก Google AI Ultra ในสหรัฐฯ และผู้ใช้ระดับองค์กรของ Vertex AI
ส่วน Veo 2 กำลังจะได้รับฟังก์ชันการเคลื่อนไหวของกล้อง, การเพิ่มและลบวัตถุ ผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มรูปภาพเพื่อควบคุมสไตล์และใช้ฟังก์ชัน Outpainting เพื่อขยายเฟรมออกไปนอกขอบเขตเดิม
Flow ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด
Flow คือเครื่องมือสร้างภาพยนตร์ AI ใหม่ของ Google ที่รวมความสามารถของโมเดล Veo, Imagen และ Lyria เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างฉากภาพยนตร์ที่มีรายละเอียดสมจริงยิ่งขึ้น Google เคลมว่า Flow สามารถช่วยให้นักเล่าเรื่องสร้างคลิปภาพยนตร์ที่โดดเด่นในด้านฟิสิกส์และความสมจริง ผู้ใช้สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้อง, มุม และมุมมองต่างๆ ได้ รวมถึงสามารถแก้ไขและขยายวิดีโอที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ได้ Flow พร้อมใช้งานแล้วสำหรับสมาชิก Google AI Pro และ Ultra ในสหรัฐฯ
การประกาศเหล่านี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Google ในการเป็นผู้นำด้าน AI และการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อขยายขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ของมนุษย์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รวมคำศัพท์ “ฤดูฝน” ภาษาอังกฤษ รู้ไว้ใช้ได้ทุกสถานการณ์

ชวนมารู้จักคำศัพท์หน้าฝน ฤดูกาลที่มีทั้งคนโปรดปรานและคนที่ไม่อยากให้มาถึง แบบเอาไปใช้ต่อได้!
ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ฤดูฝน ของไทยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่มีลมมรสุมตะวันตำเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมร้อนชื้น พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย ปกคลุมประเทศไทยร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านบริเวณใต้ของประเทศไทย จะเลื่อนมาถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีฝนตกชุกชื้น เดือนที่มีฝนตกมากที่สุดคือ เดือนสิงหาคม
ช่วงหน้าฝนแบบนี้เลยอยากจะชวนทุกคนมารู้จักคำศัพท์ภาษาอังกฤษของตระกูล “ฝน” กันค่ะ
Rainy – wet season ฤดูฝน
Showery : ฝนตกโปรยปราย
Rainy : ฝนตก
Drizzly : ปรอยๆ
Rain shadow : เขตเงาฝน,มีฝนตกน้อย
Rainbow : สายรุ้ง
Rainy season : ฤดูฝน
Thunder : ฟ้าร้อง
Thunderstorm : พายุฝนฟ้าคะนอง
Dew : น้ำค้าง
Downpour : ฝนตกหนักมาก
Flood : น้ำท่วม
Humid : ชื้น
Isolated rain : ฝนตกบางพื้นที่
Light rain : น้ำฝนเล็กน้อย
Thunderbolt : ฟ้าผ่า
Moderate rain : น้ำฝนปานกลาง
Widely scattered rain : ฝนตกกระจาย
Widespread rain : ฝนตกทั่วไป
Damp : ฝนจางๆ ที่ทำให้เปียกเล็กน้อย
Shower : ฝนตกเป็นระยะๆ
Rain : ฝนตก
Downpour : ฝนที่ตกอย่างหนัก
Pour : ฝนตกหนัก
Torrential rain : ฝนตกหนักมาก
Flood : น้ำท่วม
Idiom สำนวน เกี่ยวกับฝน)
It is spitting. : (ฝนปรอย เม็ดเล็ก ๆ)
It is drizzling. : (ฝนปรอย)
It is bucketing down. : (ฝนตกหนัก)
It is pouring down/rain. : (ฝนตกหนัก)
It is lashing. : (ฝนตกหนัก)
It is raining on and off. : (ฝนตกเป็นพัก ๆ เดี๋ยวตก เดี๋ยวหยุด)
It’s raining cats and dogs. : เป็นสำนวนหมายถึง ฝนตกหนักมาก เหมือนฟ้ารั่ว
คำศัพท์พยากรณ์อากาศ
temperature : อุณหภูมิ
Degrees Fahrenheit : องศาฟาเรนไฮต์
Degrees Celsius : องศาเซลเซียส
Degrees Centigrade : องศาเซนติเกรด
Hot : ร้อน
Warm : อบอุ่น
Cool : เย็น
Chilly : เยือกเย็น
Cold : หนาว
Freezing : จุดเยือกแข็ง
Below freezing : ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
Five (degree) below (zero) : -5 องศาฟาเรนไฮต์
Minus twenty (degrees) : -20 องศาเซนเซียส
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
9 เครื่องดื่มช่วยเบิร์นไขมันช่วงเช้า ยาดีจากธรรมชาติ ปลอดภัย ไม่ทำลายสุขภาพ

ใครที่กำลังมองหาวิธีบูสต์การเผาผลาญไขมัน ตั้งแต่เช้าตรู่แบบไม่ต้องพึ่งยาหรืออาหารเสริมให้วุ่นวาย บอกเลยว่ามาถูกที่แล้ว! วันนี้เรามีสูตรเครื่องดื่มสูตรธรรมชาติ ที่จะช่วยปลุกระบบเผาผลาญของสาว ๆ ให้ทำงานเต็มที่ พร้อมเบิร์นไขมันส่วนเกินแบบปลอดภัย ได้ผลดี แถมยังทำง่าย อร่อยสดชื่นอีกด้วย กลายเป็นเคล็ดลับหุ่นเฟิร์ม เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาดูกันว่ามีเครื่องดื่มอะไรบ้างที่เราต้องรีบไปชงดื่มตอนเช้ากัน!
เครื่องดื่มช่วยเบิร์นไขมันช่วงเช้า
- น้ำเปล่าผสมมะนาว เริ่มต้นวันใหม่ด้วยเครื่องดื่มสุดเบสิก แต่ทรงพลังอย่างน้ำเปล่าผสมมะนาว เพียงแค่บีบน้ำมะนาวสดครึ่งลูกลงในน้ำเปล่าอุณหภูมิห้อง 1 แก้ว ดื่มทันทีหลังตื่นนอน เครื่องดื่มนี้จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้เริ่มต้นทำงาน ช่วยลดอาการบวมน้ำ และยังช่วยดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกายแบบเบา ๆ อีกด้วย
- ชาเขียวร้อน ชาเขียวร้อน เครื่องดื่มยอดฮิตของคนรักสุขภาพ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า EGCG สูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกาย แถมยังมีคาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะ ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมลุยวันใหม่ แต่ควรเลือกดื่มชาเขียวสดแบบไม่ใส่น้ำตาล
- กาแฟดำ สำหรับสาว ๆ ที่ขาดกาแฟไม่ได้ กาแฟดำเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการช่วยเบิร์นไขมัน เพราะคาเฟอีนในกาแฟจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มอัตราการเผาผลาญ และช่วยให้ร่างกายดึงไขมันสะสมออกมาใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้น แต่ก็ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เกิน 1-2 แก้วต่อวัน และควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาลหรือครีมเทียม
- น้ำขิง น้ำขิง เครื่องดื่มสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการหวัดแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นและเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ลองฝานขิงแก่เป็นแว่น ๆ ต้มกับน้ำ เติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติ แนะนำให้จิบอุ่น ๆ ตอนเช้า
- น้ำแอปเปิลไซเดอร์วินีการ์เจือจาง น้ำแอปเปิลไซเดอร์วินีการ์ อีกหนึ่งเครื่องดื่มฮิตที่ช่วยในการลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลองผสมน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มก่อนอาหารเช้า จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและลดความอยากอาหารได้ดี
- ชาอบเชย ชาอบเชย เครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ นอกจากจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังมีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่าอบเชยอาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก ลองนำผงอบเชยเล็กน้อยมาชงกับน้ำร้อน หรือจะใส่แท่งอบเชยลงในชาเขียว จะช่วยเพิ่มประโยชน์มากขึ้น
- น้ำเกรปฟรุต น้ำเกรปฟรุต มีสารบางชนิดที่อาจช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ แต่ก็ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ และต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานยาบางชนิด เพราะอาจมีปฏิกิริยากับยาได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่ม หากมีโรคประจำตัวหรือทานยาอยู่
- น้ำแตงกวาผสมมิ้นต์ น้ำแตงกวาผสมมิ้นต์ เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น แถมยังมีแคลอรี่ต่ำ และช่วยลดอาการบวมน้ำได้ ลองปั่นแตงกวาและใบมิ้นต์เล็กน้อยกับน้ำเย็น กรองเอาแต่น้ำ ดื่มตอนเช้าจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นและลดอาการตัวบวมได้ดี
- น้ำมะพร้าว น้ำมะพร้าว เป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่มีอิเล็กโทรไลต์สูง ช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกาย หลังออกกำลังกายตอนเช้า แถมยังมีแคลอรี่ต่ำและมีน้ำตาลน้อยกว่าเครื่องดื่มเกลือแร่ทั่วไป
การบูสต์ระบบเผาผลาญไขมันตั้งแต่เช้า ทำได้ง่าย ๆ ด้วยเครื่องดื่มจากธรรมชาติเหล่านี้ ลองเลือกเครื่องดื่มที่ชอบแล้วนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันดูนะคะ ควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าหุ่นสวย สุขภาพดี ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/05/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,450.00 | 51,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,333.00 | 50,528.28 | 52,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,999.70 | 45,475.45 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,666.40 | 40,422.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,500.00 | 22,737.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,167.00 | 17,684.90 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,454.00 | 52,360.91 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/05/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.55 | 32.55 | 33.05 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.18 | 32.18 | 32.68 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.34 | 30.34 | 30.84 | 30.34 | 30.34 | – | 30.34 | 30.34 | 30.34 | 30.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 40.84 | – | – | – | 48.81 | – | 41.34 | 40.99 | – | 40.84 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |