สาระน่ารู้ประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2568

แสนสิริ อินไซต์ แนวราบพุ่งแรง ดีมานด์ Young Successor และ Investor

คนรุ่นใหม่ไม่ได้มอง “บ้าน” แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็น “ทรัพย์สินทางเลือก”แสนสิริเผยอินไซต์กลุ่มลูกค้าใหม่ Young Successor และ Investorขับเคลื่อนดีมานด์บ้านแนวราบ

อาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในโลกที่ความแน่นอนแทบไม่มีอยู่จริง…การครอบครอง “บ้านแนวราบระดับบน” กำลังกลายเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืนโดยเฉพาะในมุมมองของผู้ซื้อรุ่นใหม่อย่าง Young Successor และ นักลงทุนรุ่นใหม่ (New Gen Investor)ที่กำลังเปลี่ยนบริบทของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน

“เรากำลังเห็นคนอายุ 25 ปี ตัดสินใจซื้อบ้าน 15 ล้าน…เพราะเขาไม่ได้มองว่าบ้านคือภาระแต่คือการลงทุนในคุณภาพชีวิตและมูลค่าทรัพย์สินระยะยาว”

คนรุ่นใหม่ขึ้นแท่นเจ้าของบ้านราคา8-25 ล้าน

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดแนวราบเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อกลุ่มลูกค้าใหม่กลายเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของเซกเมนต์ “บ้านระดับบน”
โดยเฉพาะ Young Successor  ทายาทธุรกิจ, Content Creator, Influencer และผู้ประกอบการวัยต้น 30  หรือ Investor รุ่นใหม่  ผู้มองเห็นโอกาสสร้างผลตอบแทนจากบ้านระดับบน ผ่านการปล่อยเช่าแก่กลุ่มผู้บริหาร ครอบครัวอินเตอร์ หรือลูกค้าต่างชาติคุณภาพสูง

จากเดิมที่บ้านหลังใหญ่ถูกมองว่าเป็นสินค้าสำหรับ “คนพร้อมแล้ว” วันนี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคนรุ่นใหม่ที่ “คิดเป็น” และ “กล้าเริ่ม” เร็วขึ้น

Communityพื้นที่ความมั่นคงของคนรุ่นใหม่

เมื่อดีมานด์ชัดเจน แสนสิริจึงขยายการพัฒนาโครงการแนวราบไปยังโซนที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านการเดินทาง ความครบครันของไลฟ์สไตล์ และความสงบในการอยู่อาศัยหนึ่งในไฮไลต์ของปีนี้คือ “Sansiri Chatuchot Community” แลนด์มาร์คใหม่ย่านจตุโชติที่เพิ่งเปิดตัว 2 โครงการหลัก ได้แก่

บุราสิริ จตุโชติ ราคาเริ่ม 13.99–25 ล้านบาท เป็นบ้านสไตล์รีสอร์ต โดดเด่นด้วย Double Volume และฟังก์ชันรองรับครอบครัวใหญ่ สราญสิริ จตุโชติ ราคาเริ่ม 8.59–15 ล้านบาทเป็นบ้านสไตล์ Urban Farmhouse ฟังก์ชันครบ จอดรถได้ 3 คัน มีห้องนอนชั้นล่าง ตอบโจทย์ทั้งอยู่เองและปล่อยเช่า

ทั้ง2โครงการได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามตั้งแต่รอบพรีเซลล์สะท้อนดีมานด์บ้านแนวราบที่ยังคง “แข็งแกร่ง” ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย

 บ้าน = การกระจายความเสี่ยงของพอร์ต

ในยุคที่ตลาดทุนผันผวนสูง อสังหาริมทรัพย์กำลังกลับมาเป็น “เครื่องมือสร้างความมั่นคง”โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่มองบ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในระยะยาว สร้างรายได้ผ่านค่าเช่าที่สม่ำเสมอ ปลอดภัยกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นในภาวะเศรษฐกิจผันผวน  

โดยเฉพาะทำเลใกล้สนามบิน โรงเรียนนานาชาติ หรือศูนย์กลางธุรกิจจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการลงทุน เช่นเดียวกับโซน “จตุโชติ – รามอินทรา – วัชรพล” ที่วันนี้ไม่ได้เป็นเพียงทำเลพักอาศัย แต่กำลังกลายเป็น “พื้นที่ลงทุนที่เติบโตเร็ว”

 Demand-driven Product Development

เบื้องหลังความสำเร็จของแสนสิริในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาที่สามารถสร้างยอดขายแนวราบกว่า 16,000 ล้านบาทเกิดจากการพัฒนาโปรดักต์ที่ขับเคลื่อนด้วย “ความต้องการของลูกค้าจริง” มากกว่าการคาดเดาเทรนด์ โดยมีโครงการเด่นที่ประสบความสำเร็จ อาทิ 

  • บุราสิริ จตุโชติ
  • สราญสิริ เกาะแก้ว รีทรีต
  • เศรษฐสิริ เกาะแก้ว รีทรีต (ภูเก็ต) ที่ทำยอดขาย 700 ล้านบาทใน 48 ชั่วโมง
  • รวมถึงโครงการแนวราบที่ Sold Out แล้วกว่า 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 18,600 ล้านบาท

จากบ้าน สู่การสร้าง “ทุนชีวิต” สำหรับคนรุ่นใหม่

แสนสิริไม่ได้พัฒนาแค่โครงการที่อยู่อาศัยแต่กำลังสร้าง “แพลตฟอร์มของชีวิต” สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มองไกลกว่าการมีบ้านเพราะในวันที่ความไม่แน่นอนคือเรื่องปกติ การลงทุนในบ้านที่ดี คือการลงทุนในชีวิตที่มั่นคง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“ชาญอิสสระ” เปิด 3 โปรเจกต์หรู พลิกโฉมที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ

ชาญอิสสระลุยตลาดอัลตร้าลักชัวรี่ชูแนวคิด Wellness Living จับมือ BDMS สร้างมาตรฐานใหม่การใช้ชีวิต เปิด 3 โปรเจกต์พลิกโฉมที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ

นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ว่ายังคงมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 2 ทำเลศักยภาพหลักอย่างกรุงเทพกรีฑา และ ภูเก็ต

สะท้อนความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงในทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตและการลงทุน โดยกรุงเทพกรีฑา ปัจจุบันได้รับการยกระดับให้เป็นหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยชั้นนำของกรุงเทพฯ ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งทางด่วนมอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้าสาย สีเหลือง และโครงการเชื่อมต่อเมืองฝั่งตะวันออก ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็น Luxury Residential Hub หลักของกรุงเทพ

ขณะที่ภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกของนักลงทุนและผู้ซื้อระดับบน โดยเฉพาะคนไทย กลุ่มต่างชาติจากรัสเซีย จีน ยุโรป มิดเดิลอีสต์ และสิงคโปร์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และจากข้อมูลระบุว่าความต้องการครอบครองบ้านพูลวิลล่าในภูเก็ตเพิ่มขึ้นกว่า 30%

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในทำเลทองอย่าง บางเทา – ลากูน่า – เชิงทะเล เพราะเป็นพื้นที่ที่มีชายหาดสวยงาม มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ตั้งของโครงการระดับหรูมากมาย เช่น วิลล่าหรู แบรนด์เรสซิเดนซ์ โรงแรมหรู สนามกอล์ฟ และคอมเพล็กซ์มิกซ์ยูส นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมไลฟ์สไตล์หลากหลาย ทั้งกีฬาทางน้ำ ร้านอาหารชั้นเลิศ และบีชคลับที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้พำนักระยะยาว  

“ชาญอิสสระมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่มาอย่างยาวนาน เรามีผลงานที่ประสบความสำเร็จหลายโครงการทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ในกรุงเทพและต่างจังหวัดโดยเฉพาะในภูเก็ต ศรีพันวา เป็นแลนด์มาร์กระดับไอคอนิกของระเทศไทย”

ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงความเข้าใจในดีมานด์ของตลาดระดับบนและเมื่อมองเห็นศักยภาพของทำเล บางเทา–เชิงทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านโลเคชั่น มีลากูน วิวทิวเขาที่สวยงาม และไลฟ์สไตล์ระดับโลก เราจึงพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างแท้จริง

นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า จากภาพรวมของอสังหาฯ ทั้งโซนกรุงเทพกรีฑาและภูเก็ต ที่มีแนวโน้มที่ดีและกำลังซื้อต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ชาญอิสสระ จึงเตรียมเปิด 3 บิ๊กโปรเจ็กต์ใหม่ พร้อมเดินหน้าจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์

ประกอบด้วย ทำเลกรุงเทพกรีฑา  2 โครงการมูลค่ากว่า 4,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ อิสสระเรสซิเดนซ์ พระราม 9 – กรุงเทพกรีฑา เรสซิเดนซ์ระดับอัลตราลักชัวรี่บนที่ดิน 19 ไร่ จำนวนเพียง 23 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 806 -1,229 ตร.ม.ขนาดที่ดิน 142 – 271 ตร.ว.จำนวน 5 – 6 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 85 ล้านบาท

โครงการบ้านอิสสระ พระราม 9 – กรุงเทพกรีฑาบ้านเดี่ยวระดับ Luxury บนที่ดิน 21 ไร่ จำนวน 68 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 283 – 466 ตร.ม.ขนาดที่ดิน 62 – 155 ตร.ว. จำนวน 3 – 4 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการนี้ได้รับการออกแบบโดย บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49)  

ขณะที่ในส่วนของโซนภูเก็ต พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ในทำเลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภูเก็ตตอนนี้อย่างบางเทา – เชิงทะเล โครงการศรีพันวา ลากูน  เป็นโครงการ Mixed – use บนที่ดิน  62 ไร่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,300  ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท อิสสระนพร จำกัด (ISN)

โดยเฟสแรกจะดำเนินการก่อสร้างในส่วนของ Sri panwa Lagoon Residence ประกอบด้วย Sri Panwa Lagoon Waterfront Pool Villa ลักซ์ชัวรี่พูลวิลล่า สุด Exclusive จำนวน 20 หลัง ติดริมลากูน วิลล่า 3 – 6 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  268.24 – 964.22  ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว  ราคาเริ่มต้นที่ 43.8 – 182 ล้านบาท  และ Sri Panwa Lagoon Multi – flex  House จำนวน 14 หลัง ออกแบบเป็น Multi-function สามารถใช้เป็นที่พักอาศัย ร้านค้า หรือปรับให้เป็นสำนักงานของบริษัท รูปแบบเป็นอาคาร 3 ชั้น ติดถนนใหญ่    

ที่กว้างถึง 20 เมตร ยังซึมซับธรรมชาติของวิวลากูนและวิวทิวภูเขา ราคาเริ่มต้น  39.8 – 72.8 ล้านบาท ออกแบบงานสถาปัตยกรรม โดยบริษัท แฮบบิต้า จำกัด ผู้ออกแบบโครงการศรีพันวา ภูเก็ต

นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด มหาชน เปิดเผยว่า จากการที่ชาญอิสสระได้ร่วมมือกับ BDMS Wellness Clinic X Sri panwa Phuket เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งถือเป็นโมเดลความร่วมมือของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจด้านสุขภาพ 

“เราจึงต่อยอดด้วยการนำองค์ความรู้ด้าน Wellness โดยมี BDMS Wellness Clinic มาเป็นที่ปรึกษาในการออกแบบบ้านให้ถูกสุขลักษณะ และดูแลสุขภาพกายใจ ตามวิสัยทัศน์ Issara Living Vision เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ”

นี่คือการพลิกโฉมแนวคิดการอยู่อาศัยของไทย ให้ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว การได้ทำงานร่วมกับ BDMS Wellness Clinic อย่างใกล้ชิด เพื่อออกแบบฟังก์ชันให้สอดคล้องกับหลักการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ให้บ้านทุกหลังช่วยเสริมสมดุลชีวิตของผู้อยู่อาศัยทั้งกายและใจ จะทำให้ลูกค้าของเราได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบครบวงจร ทั้งพักผ่อน สุขภาพ และการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22 ต.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 32.89 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าบ้าง ขณะดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22ต.ค.“อ่อนค่าลง”ที่ระดับ  32.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.78 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

โดยโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น อีกครั้ง หลังราคาทองคำปรับตัวลงรุนแรงในช่วงคืนที่ผ่านมา สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงและเสี่ยงที่จะเห็นการปรับตัวแรงของราคาทองคำได้เป็นระยะๆ

ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้พอสมควร (Beta หรือ Sensitivity ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินบาท ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงจะอยู่ที่ราว 0.2)

อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูง ทำให้ตราบใดที่ประเด็นความเสี่ยงซึ่งกดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ความกังวลต่อสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯ ใหญ่ ไม่ได้คลี่คลายลงอย่างชัดเจน เรามองว่า ราคาทองคำก็อาจพอมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นได้บ้าง (ตามลักษณะของภาวะผันผวนสูง) ซึ่งอาจมาจากทั้งแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

รวมถึง การปิดสถานะหรือปรับลดสถานะ Short ทองคำ (มองราคาทองคำลดลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยหากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

นอกจากนี้ เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไป หากราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่อง โดยเราเริ่มเห็นแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งควรจับตาแรงซื้อบอนด์ระยะยาวของไทย จากบรรดานักลงทุนต่างชาติ หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาพอสมควร

สวนทางกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงอายุ 10 ปี โดยเรารประเมินว่า ระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไทย เหนือโซน 1.75% ก็ถือว่าเป็นระดับที่ Fairly Valued หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.25% ได้

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก และผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือปิดสถานะ/ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว ทำให้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ง่ายนัก

ส่วนเงินดอลลาร์ก็อาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน

และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Up ทะลุโซนแนวต้าน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ (แกว่งตัวในกรอบ 32.73-32.91 บาทต่อดอลลาร์)

กดดันโดยการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ (ได้แรงหนุนบ้างจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น ตอบรับข่าว Sanae Takaichi ชนะโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น) ที่มาพร้อมกับ การปรับฐานอย่างรุนแรงของราคาทองคำ (XAUUSD)

โดยราคาทองคำดิ่งลงกว่า -5% ในช่วงคืนที่ผ่านมา เข้าใกล้โซน 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวรุนแรงของราคาทองคำดังกล่าวก็สะท้อนถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดด้วยเช่นกัน ทั้งในฝั่ง Long ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น) ที่ขายทำกำไรสถานะดังกล่าว หรือบางส่วนก็อาจถูก Stop Loss

ส่วนฝั่ง Short ทองคำ (มองราคาทองคำปรับตัวลดลง) ก็อาจทยอยเพิ่มสถานะดังกล่าวโดยเฉพาะหลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ทำให้กราฟราคาทองคำรายชั่วโมงอาจเข้ารูปแบบ Double Tops สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ รวมถึงรอติดตามสถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

อย่างไรก็ดี รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็ยังคงออกมาสดใส อาทิ 3M +7.7%, Coca-Cola +4.1% ก็พอช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้าง ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.003% ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average +0.47%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.21% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบรรดาหุ้นฝรั่งเศส ตอบรับความเสี่ยงการเมืองฝรั่งเศสที่ทยอยคลี่คลายลง

ขณะเดียวกันผลประกอบการของบรรดาหุ้นฝรั่งเศส โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมก็ทยอยออกมาสดใส ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังราคาแร่โลหะ ทั้งราคาทองคำ เงิน และทองแดง ต่างปรับตัวลงหนัก

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down สู่ระดับ 3.96% โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อีกทั้ง ในช่วงนี้ ก็จะเข้าสู่ช่วงรับรู้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงต่อต่ำกว่าระดับ 4.00% อีกครั้ง

แต่เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อาจปรับเปลี่ยนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ หากผู้เล่นในตลาดได้ทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือ พัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง

เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Up หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลัง Sanae Takaichi ชนะการโหวตเลือกเป็นนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่น ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังต่อการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ลงบ้าง

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สู่โซน 98.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.0 จุด) 

ในส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาด กอปรกับการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นทั้งฝั่ง Long และ Short ทองคำ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ดิ่งลงหนัก -5% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย สู่โซน 4,060-4,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกันยายน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า BI อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กดดันมือหนึ่งโลก! อันดับโลกล่าสุด “วิว กุลวุฒิ” นักตบลูกขนไก่ไทยเก็บแต้มต่อเนื่อง

“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย กลับมาไต่อันดับโลกอีกครั้ง จากการประกาศอันดับคะแนนล่าสุดของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF)

โดย นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ที่ทะลุเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย ในศึกเดนมาร์ก โอเพ่น 2025 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สามารถเก็บคะแนนสะสมเพิ่มได้ 6,050 แต้ม

ซึ่งจากผลงานดังกล่าวทำให้ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ สามารถเก็บคะแนนสะสมโลกเพิ่มเป็น 95,879 คะแนน ขยับแซง แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น ขึ้นมาเป็นมือ 2 ของโลกทันที

พร้อมกันนี้ยังทำแต้มไล่ตาม ฉี ยู่ฉี นักแบดมินตันมือ 1 โลกจากจีน ที่มี 112,047 คะแนน เหลือเพียง 16,168 แต้ม และยังเหลือรายการให้ลงเล่นในฤดูกาลนี้อีก 6 รายการ

อันดับโลกของ สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ประเภทชายเดี่ยว

1. ฉี ยู่ฉี (จีน) 112,047 คะแนน
2. กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (ไทย) 95,879 คะแนน
3. แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น (เดนมาร์ก) 92,113 คะแนน
4. หลี่ ชื่อเฟิง (จีน) 84,228 คะแนน
5. โจนาธาน คริสตี้ (อินโดนีเซีย) 81,344 คะแนน
6. โจว เทียน เฉิน (ไต้หวัน) 80,619 คะแนน
7. อเล็กซ์ ลาเนียร์ (ฝรั่งเศส) 70,511 คะแนน
8. คริสโต โปปอฟ (ฝรั่งเศส) 68,340 คะแนน
9. โลห์ เคียนยิว (สิงคโปร์) 65,709 คะแนน
10. โคได นาราโอกะ (ญี่ปุ่น) 65,094 คะแนน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘ปตท.-ที.แมน’รุกโพรไบโอติก ลุยตลาดป้องกันไขมันพอกตับ

  • อินโนบิก (เอเชีย) ในกลุ่ม ปตท. ร่วมมือกับ ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล นำงานวิจัยโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยมาพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์
  • ผลิตภัณฑ์มุ่งเน้นคุณสมบัติเฉพาะในการช่วยป้องกันและลดภาวะไขมันพอกตับ โดยใช้โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ที่เหมาะกับคนไทย
  • ตั้งเป้าเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีความเสี่ยง เช่น กลุ่มนักดื่ม และผู้ที่รับประทานอาหารไขมันหรือแป้งสูง
  • มีแผนวางจำหน่ายในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายในไตรมาส 2 ปี 2569 และเตรียมพัฒนาเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นยาความเสี่ยงต่ำในอนาคต

บริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ Life Science ของ กลุ่ม ปตท. ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด(มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านเฮลธ์แคร์มาถึง 50 ปี ในการนำโพรไบโอติกพันธุ์ไทย 2 สายพันธุ์ จากงานวิจัยเข้าสู่เชิงพาณิชย์ มุ่งเน้นฟังก์ชันเฉพาะในการลดไขมันพอกตับ โดยมีแผนเปิดตัวเป็นเสริมอาหารภายในไตรมาส 2 ของปีหน้า และเตรียมพร้อมสำหรับการอัปเกรดเป็นยาความเสี่ยงต่ำในอนาคต

เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2568 ที่อาคาร 2 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) สำนักงานใหญ่ บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด(มหาชน) และบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากโพรไบโอติก” โดยดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างบริษัท อินโนบิก(เอเชีย) กับ บริษัท ที.แมน เพื่อนำนวัตกรรมโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยที่พัฒนาขึ้นสู่สเกลเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อการป้องกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจในการทำให้อายุจริง( life span) และอายุด้านสุขภาพ(health span) ของคนไทยดีขึ้น

ผลักดันวิจัยสู่เชิงพาณิชย์

การพัฒนาผลิตภัณฑ์โพรไบโอติก ถือเป็นการ up local innovation จากการที่อินโนบิกร่วมมือกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นคู่ร่วมพัฒนา เพื่อนำเชื้อ หรือ ตัวโพรไบโอติกที่ดีมาต่อยอด สิ่งสำคัญคือการทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถไปสู่ commercial scale ได้ โดยที่ตัวโพรไบโอติกต้องมีอายุอยู่ได้นานขึ้นและยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งความร่วมมือกับบริษัทที.แมนในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากที.แมน เป็นผู้ผลิตและบริษัทจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมาถึง 50 ปี การเป็นพันธมิตรทำให้สามารถดึงความเก่งของทุกคนมาใช้ร่วมกัน โดยเป้าหมายคือการนำ โพรไบโอติกสายพันธุ์ดี ๆ ที่มาจากคนไทย ไปสู่มือของผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง

“การดำเนินงานของบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) เน้นที่ การป้องกัน ไม่ใช่การรักษา เพื่อทำให้คนไทยไม่เป็นโรค ต้องการให้คนไทยเข้าถึงสิ่งที่ดี ๆเพื่อมีชีวิตดีๆ เข้าถึงงานวิจัยที่ดี ๆ ให้งานวิจัยดีๆนั้นตอบโจทย์เศรษฐกิจของประเทศ” ดร.บุรณิน กล่าว

โพรไบโอติกมุ่งเรื่องไขมันพอกตับ

ด้าน ดร.ณัฐ อธิวิทวัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้นำงานวิจัยที่ดีมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ (commercialize) ให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ตรงกับกระแสความสนใจในปัจจุบัน ซึ่งผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องโพรไบโอติกอย่างมาก โดยผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการใช้ โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ ในเรื่องของไขมันพอกตับโดยเฉพาะ ถือเป็นฟังก์ชันที่นอกเหนือไปจากการปรับสมดุลทางเดินอาหารและลำไส้ที่คนทั่วไปรู้จักและรับรู้อยู่แล้ว

“โพรไบโอติกภายใต้ความร่วมมือกันนี้เป็นสายพันธุ์ไทย มีความเหมาะสมกับคนไทยมากกว่าสายพันธุ์ที่นำเข้า เนื่องจากมาจากเชื้อในประเทศ สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและอาหารไทย อีกทั้งยัง ทนทานต่ออุณหภูมิในเขตร้อนได้ดีกว่า ทำให้โพรไบโอติกมีชีวิตอยู่ได้นาน” ดร.ณัฐ กล่าว

วางเป้าอัปเกรดเป็นยาความเสี่ยงต่ำ

ดร.ณัฐ กล่าวด้วยว่า ในระยะแรกจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเสริมอาหาร ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาสูตรร่วมกับ วว. เพื่อที่ในอนาคตจะนำไปสู่การขึ้นทะเบียนเป็นยาความเสี่ยงต่ำ สำหรับไขมันพอกตับ เนื่องจากการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทราบว่าปัจจุบันมีโมโนกราฟ(monograph)สำหรับการขึ้นทะเบียนเป็นยาความเสี่ยงต่ำ

“เทรนด์โพรไบโอติกกำลังมา และเป็นสิ่งที่แพทย์หลายท่านเริ่มสั่งจ่าย ซึ่งโพรไบโอติกไม่ได้เป็นเพียงสารเคมี แต่เป็นสิ่งที่มาจากธรรมชาติ ช่วยทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีขึ้น โอกาสที่ตลาดจะเติบโตยังมีอยู่สูงมาก และงานวิจัยปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า โพรไบโอติกสามารถขยายผลไปได้หลากหลายฟังก์ชัน ไม่ใช่แค่ลำไส้และสมองเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ผิว สุขภาพผู้หญิง ภูมิคุ้มกัน สิว และเส้นผม เพราะการดูดซึมที่ดีจากลำไส้เล็กจะทำให้เลือดดีและไปเลี้ยงส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้” ดร.ณัฐ กล่าว

เจาะกลุ่มนักดื่ม-ปัญหาไขมัน

ขณะที่ ภก.ประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเกี่ยวกับไขมันพอกตับนี้ มองเห็นโอกาสการขับเคลื่อนเชิงพาณิชย์ เนื่องจากคนมีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังช่วงโควิด ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายหลักจึงเป็นกลุ่มนักดื่ม (drinker) หรือสายปาร์ตี้ รวมถึง กลุ่มที่มีปัญหาจากการกิน เช่น การรับประทานอาหารประเภททอด หรืออาหารที่มีแป้งสูง ซึ่งทำให้เกิดภาวะโรคอ้วนและไขมันพอกตับได้

“ในตลาดปัจจุบัน โพรไบโอติกที่มุ่งเน้นเรื่องไขมันพอกตับโดยตรงยังไม่เคยเห็น ถือเป็น innovation ที่ตรงกับเกณฑ์ของบริษัทที่พยายามหานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (innovative product) เพื่อช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน” ภก.ประพล กล่าว

วางตลาดภายใน Q2 ปี 69

ภก.ประพล กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นจะขึ้นทะเบียน อย.เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คาดว่าในไตรมาส 1 หรือภายในไตรมาส 2 ปี 2569 จะสามารถวางตลาดได้ เนื่องจากกระบวนการขึ้นทะเบียนกับ อย. ในรูปแบบเสริมอาหารมีความสมบูรณ์และสามารถดำเนินการได้เลย ส่วนการอัปเกรดเป็นยาความเสี่ยงต่ำ จะต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลความคงตัว (Stability) และเตรียมเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนกับ อย. อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ไมโครซอฟท์ เตือนภัยไซเบอร์ยุค AI พุ่ง แนะองค์กรตั้งรับด้วย Security Copilot

  • ไมโครซอฟท์เตือนว่า AI เป็นดาบสองคมที่ทำให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงขึ้น โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ได้รับผลกระทบสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
  • รูปแบบการโจมตีที่น่ากังวลในยุค AI ได้แก่ มัลแวร์ที่สามารถเขียนโค้ดตัวเองใหม่ การขโมยรหัสผ่านซึ่งยังเป็นจุดอ่อนหลัก และการหลอกลวงทางสังคมโดยใช้ AI ปลอมแปลงตัวตน
  • ไมโครซอฟท์แนะนำให้องค์กรใช้ Security Copilot ซึ่งเป็น AI ช่วยตรวจจับและรับมือภัยคุกคามโดยอัตโนมัติ ควบคู่กับการใช้ระบบยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ที่ Generative AI กำลังเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของการทำงาน การสื่อสาร และการสร้างสรรค์ ไมโครซอฟท์ออกมาเตือนว่า “พลังของ AI” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพขององค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นดาบสองคมที่เปิดโอกาสให้มิจฉาชีพไซเบอร์ใช้เป็นอาวุธเพิ่มความซับซ้อนและประสิทธิภาพของการโจมตีเช่นกัน

ข้อมูลจาก รายงาน Digital Defense Report 2025 ของไมโครซอฟท์ ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก และ อันดับ 11 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้านจำนวนองค์กรที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ คิดเป็นสัดส่วนราว 4% ของเหยื่อทั้งหมดในภูมิภาค

สะท้อนว่าภัยคุกคามไซเบอร์ได้กลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่ทุกองค์กรต้องตระหนัก แม้จะยังตามหลังประเทศเป้าหมายหลักอย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร หรืออิสราเอล แต่แนวโน้มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าไทยกำลังตกอยู่ในวงจรภัยไซเบอร์ระดับโลกอย่างชัดเจน

หนึ่งในรูปแบบการโจมตีที่ยังคงรุนแรงและแพร่หลายคือ การขโมยรหัสผ่าน ซึ่งไมโครซอฟท์พบว่า กว่า 97% ของการโจมตีทั่วโลกมี “รหัสผ่าน” เป็นจุดอ่อนหลัก หรือเกิดขึ้นมากกว่า 7,000 ครั้งต่อวินาที แม้เทคโนโลยีการโจมตีจะล้ำหน้าเพียงใด “รหัสผ่าน” ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ไม่หวังดี

ไมโครซอฟท์จึงแนะนำให้ทุกองค์กรหันมาใช้ระบบยืนยันตัวตนหลายชั้น (Multi-Factor Authentication: MFA) ไม่ว่าจะเป็น SMS, แอป Authenticator หรือระบบยืนยันแบบไบโอเมตริกซ์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แม้รหัสผ่านจะรั่วไหลก็ตาม

ในขณะเดียวกัน ยุคของ มัลแวร์ฝัง Generative AI ได้ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ เนื่องจากมัลแวร์ประเภทนี้สามารถ “เขียนโค้ดใหม่” เพื่อเปลี่ยนวิธีการโจมตีให้เข้ากับระบบเป้าหมายโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องพึ่งคำสั่งจากมนุษย์อีกต่อไป ทำให้กระบวนการโจมตีมีความเร็วและยืดหยุ่นสูง ไมโครซอฟท์จึงเสนอแนวทางการป้องกันผ่านโซลูชัน Security Copilot เครื่องมือ AI เพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตอบสนองต่อเหตุผิดปกติแบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยได้ถึง 30% ต่อเคส หรือเฉลี่ย 2.7 ชั่วโมงต่อวัน พร้อมเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจวางแผนรับมือภัยไซเบอร์ในอนาคต

อีกหนึ่งภัยเงียบที่กำลังขยายตัวคือ Advanced Persistent Threats (APT) หรือการแทรกซึมเข้าไปในระบบองค์กรอย่างแนบเนียน โดยยังไม่ลงมือสร้างความเสียหายให้เห็นในทันที การใช้ AI เพื่อสแกนหาสัญญาณผิดปกติแบบเชิงลึกจึงเป็นทางรอดสำคัญ เพราะสามารถตรวจจับพฤติกรรมของผู้บุกรุก วิเคราะห์เส้นทางการแทรกซึม และอุดช่องโหว่ก่อนเกิดการโจมตีซ้ำ

นอกจากภัยเทคนิคแล้ว ไมโครซอฟท์ยังเตือนถึง ภัยทางสังคมในยุค AI ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การหลอกลวงโดยใช้ AI ปลอมเสียงหรือใบหน้าคนรู้จัก การปลอมตัวเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือสร้างข่าวปลอมจำนวนมากในโลกออนไลน์เพื่อชักจูงความเชื่อของผู้คน วิธีป้องกันที่เรียบง่ายแต่ได้ผลคือ “การตรวจสอบแหล่งที่มา” และ “การยืนยันตัวตนของผู้ติดต่อ” ก่อนส่งข้อมูลสำคัญหรือทำธุรกรรมใด ๆ

รายงานยังแนะให้ผู้ใช้งาน AI ทุกคนรู้เท่าทันเทคโนโลยี โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นก่อนนำไปใช้งานจริง เนื่องจากผลลัพธ์จาก Generative AI อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่อ้างอิงข้อเท็จจริง การตรวจสอบแหล่งข้อมูล รวมถึงการรายงานข้อผิดพลาดกลับไปยังผู้ให้บริการ เช่น การกด “Bad Response” บน Copilot จะช่วยให้ระบบเรียนรู้และลดความเสี่ยงในระยะยาว

เพื่อยกระดับการป้องกันในระดับโครงสร้าง ไมโครซอฟท์ได้เดินหน้าโครงการ Secure Future Initiative (SFI) ซึ่งเป็นนโยบายหลักด้านความปลอดภัยทั่วโลก โดยกำหนดให้ทุกผลิตภัณฑ์และบริการของไมโครซอฟท์ต้อง “ออกแบบโดยมีความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญ” พร้อมตั้งค่ามาตรฐานความปลอดภัยไว้ล่วงหน้า (Secure by Default) มีระบบเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อแจ้งเตือนภัยให้ลูกค้าทันต่อสถานการณ์

SFI ยังเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกและแนวทางแก้ไขให้สาธารณะเมื่อเหตุภัยถูกยับยั้ง เพื่อให้ระบบนิเวศดิจิทัลทั่วโลกสามารถเรียนรู้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกันได้ ซึ่งสะท้อนแนวคิดของไมโครซอฟท์ที่เชื่อว่า “ทุกนวัตกรรมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย”

รายงานยังแนะให้ผู้ใช้งาน AI ทุกคนรู้เท่าทันเทคโนโลยี โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นก่อนนำไปใช้งานจริง เนื่องจากผลลัพธ์จาก Generative AI อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่อ้างอิงข้อเท็จจริง การตรวจสอบแหล่งข้อมูล รวมถึงการรายงานข้อผิดพลาดกลับไปยังผู้ให้บริการ เช่น การกด “Bad Response” บน Copilot จะช่วยให้ระบบเรียนรู้และลดความเสี่ยงในระยะยาว

เพื่อยกระดับการป้องกันในระดับโครงสร้าง ไมโครซอฟท์ได้เดินหน้าโครงการ Secure Future Initiative (SFI) ซึ่งเป็นนโยบายหลักด้านความปลอดภัยทั่วโลก โดยกำหนดให้ทุกผลิตภัณฑ์และบริการของไมโครซอฟท์ต้อง “ออกแบบโดยมีความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญ” พร้อมตั้งค่ามาตรฐานความปลอดภัยไว้ล่วงหน้า (Secure by Default) มีระบบเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อแจ้งเตือนภัยให้ลูกค้าทันต่อสถานการณ์

SFI ยังเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกและแนวทางแก้ไขให้สาธารณะเมื่อเหตุภัยถูกยับยั้ง เพื่อให้ระบบนิเวศดิจิทัลทั่วโลกสามารถเรียนรู้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกันได้ ซึ่งสะท้อนแนวคิดของไมโครซอฟท์ที่เชื่อว่า “ทุกนวัตกรรมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


20 ประโยคภาษาอังกฤษในห้องเรียน “เมื่อคุณไม่เข้าใจ”

ประโยคภาษาอังกฤษในห้องเรียน ที่ใช้บ่อย

รวมประโยคภาษาอังกฤษ ที่คนเรียนภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องรู้

ประโยคภาษาอังกฤษในห้องเรียน (English Classroom Phrases)

การเรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนเริ่มต้น ในบางครั้งอาจมีบางเรื่องที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจ มีข้อสงสัย  ในสิ่งที่ครูกำลังสอนและอธิบาย แต่ไม่กล้าถาม ไม่มั่นใจ หรืออาจจะไม่รู้ว่า ควรพูดคำถามเป็นภาษาอังกฤษอย่างไร?

วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ รวมประโยคภาษาอังกฤษในห้องเรียน ที่จำเป็น เพื่อให้คุณนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ที่โรงเรียนได้ โดยมีประโยคขออนุญาต แสดงความเห็น และถามคำถาม ในห้องเรียน มาให้นำไปปรับใช้กัน รับรองว่าเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษอย่างแน่นอนค่ะ

ประโยคภาษาอังกฤษ เมื่อมาสาย, ขาดเรียน

ในแต่ละวันอาจเกิดเหตุสุดวิสัย Accident ทำให้เราอาจมาช้า หรือ เข้าเรียนสาย การกล่าวขอโทษนับเป็นมารยาทที่น่ารัก โดยเราสามารถพูดเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ด้วยประโยคเหล่านี้

ตัวอย่างประโยค

• I’m sorry I am late.
ขอโทษที่มาสาย ครับ / ค่ะ
• Can I come in?
ผม / หนู เข้าไปได้ไหมครับ / คะ?
• I didn’t come to school yesterday.
เมื่อวานไม่ได้มาโรงเรียน ครับ / ค่ะ
• Sorry, I missed the last class.
ขอโทษค่ะ ครั้งที่แล้วไม่ได้มาเรียน ครับ / ค่ะ
• I’m going to miss the next class.
ครั้งหน้ามาเรียนไม่ได้ ครับ / ค่ะ
• Nobody is absent today.
วันนี้ไม่มีคนขาดเรียน ครับ / ค่ะ
• Peter is absent today.
วันนี้ Peter ขาดเรียน ครับ / ค่ะ

ประโยคขอให้ครูพูดซ้ำอีกครั้ง, อธิบายอีกครั้ง

ตัวอย่างประโยค

• Can you repeat that again, please?
ครูช่วยพูดซ้ำอีกครั้งได้ไหม ครับ / คะ?
• Can you speak slower, please?
ครูช่วยพูดช้ากว่านี้อีกหน่อยได้ไหม ครับ / คะ?
• I did not catch what you said.
ผม / หนู ฟังที่ครูพูดไม่ทัน ค่ะ / ครับ
• Can you speak a bit slower, please?
ช่วยพูดให้ช้าลงหน่อยได้ไหม คะ / ครับ?

ประโยคคำถาม เมื่อไม่เข้าใจ

เมื่อคุณไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ครูพูด คุณสามารถใช้ประโยคคำถามเหล่านี้ เพื่อให้คุณครู พูดอธิบายกับคุณให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งคำนามออกเป็นแบบนับได้และนับไม่ได้ (Countable and Uncountable) โดยคำนามที่นับได้นั้นจะมีได้ทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ (เช่น a man, two men) แต่คำนามนับไม่ได้นั้นจะเป็นได้แค่คำนามเอกพจน์เท่านั้น (water, a glass of water)

ตัวอย่างประโยค

• Excuse me, can I talk to you for a minute?
ขออนุญาติ ครับ / ค่ะ, ผม / หนู ขอคุยกับครูหน่อยได้ไหม ครับ / คะ ?
• I have a question.
มีคำถามครับ / ค่ะ
• How do you pronounce this word?
คำนี้ออกเสียงอย่างไร ครับ / คะ?
• How should I pronounce “…”?
ผม / หนู ควรออกเสียง “ …” อย่างไร ครับ / คะ?
• I didn’t understand today’s lesson.
ผม / หนู ไม่เข้าใจบทเรียนของวันนี้ ครับ / ค่ะ
• How do you spell “…”?
คำนี้ “…” สะกดยังไง ครับ / คะ?
• What does UK stand for?
UK ย่อมาจากอะไร ครับ / คะ?
• Would you give us an example?
ช่วยยกตัวอย่างให้หน่อยได้ไหม ครับ / คะ?
• Could you explain a little bit more about that?
ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหม ครับ / คะ?
•Does this word have another meaning?
คำนี้มีความหมายอื่นอีกไหม ครับ / คะ?
• What is the difference between “a” and “b”?
อะไรคือความแตกต่างระหว่าง“ a” และ“ b” ครับ / คะ?
• I don’t understand the homework.
ผม / หนู ไม่เข้าใจการบ้าน ครับ / ค่ะ
• When is the homework due?
การบ้านต้องส่งเมื่อไหร่ ครับ / คะ?
• I haven’t finished my homework yet. Can I hand it in later?
ผม / หนู ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ขอส่งตามไปทีหลังได้ไหมครับ / คะ ?
• I don’t understand how to do this exercise.
ผม / หนู ไม่เข้าใจว่าแบบฝึกหัดนี้ทำยังไง?
• I still don’t understand.
ผม / หนู ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ประโยคภาษาอังกฤษ ขออนุญาต ลุกออกจากที่นั่ง

ตัวอย่างประโยค

• Can I go to the restroom?
ผม / หนู ไปห้องน้ำได้ไหม ครับ / คะ?
• Can I change seats?
ผม / หนู สามารถเปลี่ยนที่นั่งได้หรือไม่ ครับ / คะ?
• Can I open the window?
ขออนุญาตเปิดหน้าต่างได้ไหม ครับ / คะ?
• I feel sick. May I go to the medical room?
ผม / หนู รู้สึกไม่สบาย ขออนุญาตไปห้องพยาบาลได้ไหม ครับ / คะ ?
• I have a headache. May I go to the medical room?
ผม / หนู รู้สึกปวดหัว ขออนุญาตไปห้องพยาบาลได้ไหม ครับ / คะ?
• I can’t see the board.
ผม / หนู มองกระดานไม่เห็น ครับ / ค่ะ
• Let me help you clean the board.
ให้ ผม / หนู ช่วยลบกระดาน นะครับ / นะคะ

ประโยคภาษาอังกฤษ การแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน

ตัวอย่างประโยค

• I wonder…
สงสัยว่า…
• I agree with … because…
เห็นด้วยกับ… เพราะ…
• I disagree with… because…
ไม่เห็นด้วยกับ… เพราะ…
• I can relate to that because…
รู้สึกเข้าใจหรือมีส่วนร่วมต่อเรื่องดังกล่าว เพราะ…
• That Idea connects to…
แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ…
•I’d like to add…
อยากจะเพิ่มเติมในส่วนของ…
• I see… differently now because…
มอง… ต่างออกไปจากเดิมในเวลานี้ เพราะว่า…
• What you said made me think…
สิ่งที่อาจารย์พูดทำให้ คิดได้ว่า…

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


รู้จัก “น้ำช่อดอกมะพร้าว” ประโยชน์ต่อสุขภาพ ความหวานล้ำค่าจากธรรมชาติ

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและมองหาวัตถุดิบจากธรรมชาติมากขึ้น “น้ำช่อดอกมะพร้าว” ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มและสารให้ความหวานทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยรสชาติหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น ทำให้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องดื่มเพื่อความสดชื่น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีอีกด้วย

น้ำช่อดอกมะพร้าวคืออะไร?

น้ำช่อดอกมะพร้าว คือ น้ำหวานบริสุทธิ์ที่ได้จากการรองเก็บน้ำหวานจาก “จั่นมะพร้าว” หรือ “งวงมะพร้าว” ซึ่งเป็นช่อดอกอ่อนของต้นมะพร้าว ก่อนที่ดอกจะได้รับการผสมเกสรและพัฒนาไปเป็นผลมะพร้าว น้ำหวานที่ได้จะมีลักษณะใส มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และรสชาติหวานละมุนจากธรรมชาติอย่างแท้จริง ชาวสวนมะพร้าวจะบรรจงใช้มีดปาดปลายจั่นทีละน้อย เพื่อให้น้ำหวานค่อยๆ หยดลงสู่ภาชนะที่รองรับไว้ ซึ่งเป็นกรรมวิธีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

น้ำช่อดอกมะพร้าวที่เก็บได้สดใหม่นี้ สามารถดื่มได้ทันที หรือที่นิยมเรียกกันว่า “น้ำตาลสด” แต่หากนำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ก็จะกลายเป็น “น้ำตาลมะพร้าว” ในรูปแบบต่างๆ ทั้งน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลผงที่ใช้ปรุงอาหารกันอย่างแพร่หลาย

น้ำช่อดอกมะพร้าว ประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ

สิ่งที่ทำให้น้ำช่อดอกมะพร้าวแตกต่างจากน้ำตาลทรายขาวทั่วไป คือ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด อีกทั้งยังมีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index: GI) ต่ำ ซึ่งหมายความว่าเมื่อบริโภคเข้าไป จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จึงเป็นมิตรต่อสุขภาพมากกว่า

คุณประโยชน์หลักของน้ำช่อดอกมะพร้าว:

  • ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI): เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวาน (ในปริมาณที่เหมาะสม) และผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ เนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงของภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • อุดมด้วยแร่ธาตุ: เป็นแหล่งของโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็ก ทองแดง และแมกนีเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ
  • กระตุ้นระบบย่อยอาหาร: ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และปรับสมดุลของระบบขับถ่าย
  • ให้ความสดชื่นและพลังงาน: ด้วยความหวานจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย

การนำไปใช้และผลิตภัณฑ์แปรรูป

น้ำช่อดอกมะพร้าวสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่การบริโภคสดๆ ไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ

  • เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ: นิยมดื่มแบบแช่เย็นเพื่อเพิ่มความสดชื่น หรือผสมกับเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น กาแฟ ชา หรือสมูทตี้ เพื่อเพิ่มความหวานหอมอย่างเป็นธรรมชาติ
  • สารให้ความหวานในการปรุงอาหาร: สามารถใช้แทนน้ำตาลทรายในการปรุงอาหารคาวหวานได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด หรือใช้เป็นส่วนผสมในขนมอบและของหวานต่างๆ
  • ผลิตภัณฑ์แปรรูป: มีการนำน้ำช่อดอกมะพร้าวไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากมาย เช่น น้ำหวานดอกมะพร้าวชนิดเข้มข้น (ไซรัป) น้ำส้มสายชูหมัก (Coconut Cider Vinegar) และน้ำตาลมะพร้าวออร์แกนิก

แม้ว่าน้ำช่อดอกมะพร้าวจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ยังคงเป็นสารให้ความหวานชนิดหนึ่งที่มีแคลอรี่ ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ป่วยเบาหวาน ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ และควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

น้ำช่อดอกมะพร้าวนับเป็นของขวัญล้ำค่าจากธรรมชาติ ที่ไม่เพียงแต่มอบความหวานอร่อย แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มองหาวิถีชีวิตที่สมดุลและยั่งยืน การเลือกบริโภคน้ำช่อดอกมะพร้าวจึงไม่ใช่แค่การเติมความหวานให้กับชีวิต แต่คือการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร่างกายของเรา

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 22/10/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a64,150.0064,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,147.0062,868.5265,050.00
ทองรูปพรรณ 90%3,732.3056,581.67n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,317.6050,294.82n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,866.1528,290.83n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,451.4522,003.98n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,297.4165,148.74n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 22/10/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.3531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.1429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า