ส่องกลยุทธ์การปรับตัวอสังหาฯปี68เน้นยืดหยุ่น-ร่วมทุนลดความเสี่ยง
ส่องกลยุทธ์อสังหาฯปี68 ดีเวลลอปเปอร์ พลิกเกมรับมือต้นทุนเพิ่มท่ามกลางกำลังซื้ออ่อนแอ ชูแนวคิด’ยืดหยุ่นและปรับตัวเร็ว’ เพื่อรับมือกับความท้าทายทั้งในประเทศและต่างประเทศหันมาร่วมทุนพันธมิตรลดความเสี่ยง
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยในปี 2567 ไม่เกิน 3% และ ปี 2568 มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก! ซึ่งทิศทางการปรับขึ้นก็คงไม่แตกต่างจาก ปี 2567 และมีผลให้ราคาที่อยู่อาศัยใน ปี 2568 เพิ่มขึ้น 5% – 7% แต่ผู้ประกอบการอาจจะยังขายในราคาเดิมหรือในราคาที่อยู่บนต้นทุนเดิมเพื่อปิดการขายเร็วขึ้นโดยเฉพาะในโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์
การเปิดขายโครงการใหม่ใน ปี 2567 น่าจะต่ำกว่าปี 2566 ราว25% – 30% ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์”ลดลง”มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการต่อเนื่องไปถึง ปี 2568 ด้วย เพราะทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจรวมไปถึงปัจจัยลบทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และโลกลดลงสร้างผลกระทบใน”เชิงลบ”ให้กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย แม้ว่านโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะส่งผลดีให้กับประเทศไทยในเรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศ และจำนวนของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แต่นโยบายบางอย่างจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติใน ปี 2568 น่าจะกลับไปในระดับใกล้เคียงกับช่วงปี 2562 อีกครั้งหรืออาจจะมากกว่า 40 ล้านคน!เพราะอิทธิพลของสื่อโซเชียล และการประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ดังนั้น ธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะ”ขยายตัว” และเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวดีขึ้นกว่าปี2567
” ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องของความขัดแย้งในระดับภูมิภาคหรือระดับโลกในปี 2568 การลงทุนจากต่างประเทศรวมไปถึงการเข้ามาของชาวต่างชาติในปี 2568 จะมากขึ้นจากแรงกดดันนโยบายใหม่ของสหรัฐอเมริกา และเพื่อรองรับการขยายตัวของอาเซียนในอนาคต ความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในประเทศไทยจะมากขึ้นตามด้วย ทั้งแบบซื้อเพื่อการอยู่อาศัย และซื้อเพื่อการลงทุน”
สุรเชษฐ คาดว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 อาจจะไม่ได้ดีกว่าปีนี้แบบชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะดีขึ้น แม้ว่าปัจจัยลบต่างๆ ยังมีอยู่ แต่ด้วยความต้องการที่อยู่อาศัยของคนไทยรวมไปถึงชาวต่างชาติยังคงมี และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้น ถ้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้นรวมไปถึงนโยบายการปรับหนี้ครัวเรือนของรัฐบาลได้ผลสัดส่วนของหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยลดลงจะช่วย”ลด”แรงกดดันในการพิจารณาสินเชื่อธนาคารสำหรับที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น การเปิดขายโครงการใหม่ในปี 2568อาจจะอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างจากปี2567 เพราะมีหลายโครงการเลื่อนการเปิด
ทั้งนี้เนื่องจากผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับการปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่สร้างเสร็จแล้วมากกว่าการเปิดขายโครงการใหม่เหมือนในช่วงปี 2566 – 2567 การเปิดขายโครงการใหม่จะมีความ”ยืดหยุ่น”และปรับเปลี่ยนได้ตลอดนโยบายการตลาดจะเน้นที่การทำการตลาดระยะยาว เน้นเปิดขายโครงการในทุกระดับราคาไม่เน้นที่กลุ่มของระดับราคาใดเป็นพิเศษ แต่ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการด้วย การซื้อที่ดินขนาดใหญ่แล้วทยอยพัฒนาหรือเปิดขายโครงการไปเรื่อยๆ จะยังคงเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการเลือกใช้ต่อเนื่อง
โครงการบ้านจัดสรรยังคงเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจมากเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมอาจจะมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตลอดรายไตรมาส ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ บ้านหรูราคาแพงยังเป็นรูปแบบโครงการที่จะออกมาสร้างความตื่นเต้นและน่าสนใจให้กับตลาดอสังหาฯอีกในปี 2568 และคงเหลือผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้บริโภคได้
การร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติจะยังคงมีให้เห็นต่อเนื่องโดยเฉพาะผู้ประกอบการหรือนักลงทุนจากญี่ปุ่นที่ให้ความสนใจกับตลาดประเทศไทยมากเป็นพิเศษ การขยายธุรกิจของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยไปยังธุรกิจอื่นๆที่สามารถสร้างรายได้ได้ต่อเนื่องและในระยะยาวมากกว่าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
อย่างเดียว
โดยอาจมี”แผนสำรอง”เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวด้วยการพัฒนาโครงการหลายประเภทเพื่อให้มีรายได้หลายช่องทางเท่าเป็นการ”ลดความเสี่ยง”ที่เกิดขึ้นทำให้รายได้รวมของบริษัทไม่ลดลงหรือลดลงไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจากปี2568 อาจจะเป็นอีกปีที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัวหรือมีการขยายตัวไม่แตกต่างจากปี2567
“ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในระนาบหรือทิศทางเดียวกันที่ไม่แตกต่างจากภาวะเศรษฐกิจ แต่อาจจะได้อานิสงส์จากการขายให้กับชาวต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นพอสมควร”
แต่สุดท้ายแล้วปัจจัยภายนอกจากต่างประเทศมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหรือสร้าง”ปัจจัยลบหรือปัจจัยบวก”ให้กับเศรษฐกิจทั้งเรื่องของการลงทุน การท่องเที่ยว และการเข้ามาของชาวต่างชาติในประเทศไทย ท่ามกลางปัจจัยลบภายในประเทศที่ยังคงมีความอ่อนไหวกำลังซื้อ การเมืองที่อาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
3 เมกะเทรนด์พัฒนาอสังหาฯปี68 สุขภาวะที่ดี อารยสถาปัตย์ เทคโนโลยีรักษ์โลก
LWS เปิด 3 เมกะเทรนด์การพัฒนาอสังหาฯปี68 สุขภาวะที่ดี -อารยสถาปัตย์ -เทคโนโลยีรักษ์โลก รองรับกลุ่มผู้อยู่อาศัยทุกเจเนอเรชันจากการปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของโลกที่หลายประเทศก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ว่า เป็นปีของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบมีนัยสำคัญที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก ส่งผลต่อการอยู่อาศัยของประชากรประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับกฏหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 – 2569 และปี 2568 จะเป็นการขับเคลื่อน Thailand Taxonomy ในระยะที่สอง
ซึ่งภาคอสังหาฯ และการก่อสร้างเป็นภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มนี้ ผนวกกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของโลกที่หลายประเทศก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งองค์การสหประชาชาติคาดว่าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คือมีสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุ(อายุเกิน 60 ปี) เกิน 20% ของจำนวนประชากรของประเทศในปี 2573 โดยปัจจุบันประชากรสูงอายุของไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 18.3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเร็ว และมีผลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ที่สร้างฉากทัศฯใหม่ในการใช้ชีวิตของผู้คน ทั้งด้านการทำงานและความเป็นอยู่ รวมไปถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน และคาดว่าจะต่อเนื่องไปในปี 2568 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจและการเมืองของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าว LWS ได้เปิด 3 เมกะเทรนด์สำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2568 ประกอบด้วย การพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขภาวะที่ดี (Well-Topia), การออกแบบเพื่อคนทุกวัย(Universal Design)หรืออารยสถาปัตย์ และการออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Technology & Environment)
การพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขภาวะที่ดี (Well-Topia)
เป็นแนวทางในการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาวะที่ดี ทั้งการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่ดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงการสร้างชุมชน (Community) เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยรวมกันของคนทุกวัย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ประกอบด้วย พื้นที่สีเขียวที่เพียงพอ, สวนขนาดเล็ก (Pocket Park), พื้นที่พักผ่อนของผู้สูงวัย (Senior Playground), ใกล้แหล่งร้านค้าสะดวกต่อการเดินทาง, มี AI ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในเส้นทางการเดิน และมีบริการทางการแพทย์ที่รอบด้าน รวมไปถึงการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่ทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเทคโนโลยี แบบ 24 ชั่วโมงใน 7 วัน และออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์กับคนทุกเพศและทุกวัย
การออกแบบสำหรับคนทุกวัยเพื่อความยั่งยืนในการอยู่อาศัย (Universal Design for Sustainable living)
ปัจจุบันความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น ผนวกกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้แนวทางการออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบเพื่อคน
ทุกเพศและทุกวัย เช่น การสร้างป่าในเมือง (Urban Forest),อาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม,แหล่งพลังงานสะอาด และกลยุทธ์การลดขยะ การเกษตรในเมือง และสวนชุมชนจะกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น รวมถึงการนำธรรมชาติเข้ามาในพื้นที่อยู่อาศัย ในขณะเดียวกัน พื้นที่ใช้งานในแต่ละพื้นที่ต้องมีความยืดหยุ่น และหลากหลาย (Multifunctional Spaces) เช่น
ห้องทำงานปรับเป็นห้องนอนได้ หรือพื้นที่กลางแจ้งที่สามารถใช้เป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ รวมไปถึงความยืดหยุ่นทางด้านเวลาใช้งานด้วย เช่น Fitness 24 ชั่วโมง, Co-Working 24 ชั่วโมง รวมไปถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยง
การออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Technology & Environment)
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวมในภาวะที่ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนสู่การเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำตามข้อตกลงปารีส หรือ COP 21 ที่ลงนามร่วมกัน 197 ประเทศในปี 2558 – 2559 เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาในปี 2570 ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2568 ผู้ประกอบการอสังหาฯจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงการออกแบบ การเลือกวัสดุ การก่อสร้าง รวมไปถึงการอยู่อาศัยที่ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงการลดปริมาณขยะในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงาน การนำเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานมาใช้ในพื้นที่อาคาร เช่น การนำเทคโนโลยี Solar Cell มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว, ติดตั้งจุด EV Charger มีจุดคัดแยกขยะ เป็นต้น
ทั้งนี้จากการสำรวจของ LWS ในเดือนตุลาคม 2567 โดยมีจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 670 คน พบว่า ผู้สนใจซื้ออาคารชุดให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งเป็น 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้มีการคัดแยกขยะ ถัดมา 32% ต้องการให้โครงการใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Cell เข้ามาทดแทนการไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลาง
นอกจากนี้ยังพบว่าสัดส่วนความต้องการเทคโนโลยีภายในที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้สูงอายุมีมากถึง 70% อาทิ Home Automation, ระบบแจ้งเตือน, ระบบกล้อง ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาฯได้มีความใส่ใจตั้งแต่การออกแบบด้วย Universal Design มีเทคโนโลยี IoT ภายในที่อยู่อาศัย รวมถึงงานบริการ เช่น รถรับ-ส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง, ดูแลผู้สูงอายุ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 34.29 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีฮอกาสทยอยแข็งค่าบ้าง หากเงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเยนและราคาทองคำควรระวังความผันผวนในช่วงปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง ในสัปดาห์สุดท้ายของปี
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23 ธ.ค. 2567 ที่ระดับ 34.29 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 34.17-34.47 บาทต่อดอลลาร์)
หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ที่ระดับ 2.4% และ 2.8% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนธันวาคม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาวจากรายงานเดียวกันนั้น ก็ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นราว +30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 2,620-2,630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลงหนักของราคาทองคำ หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยชัดเจน
ทว่า เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อบอนด์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ แรงขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาด รวมถึงการพลิกกลับมาย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์
สำหรับสัปดาห์นี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง ในสัปดาห์สุดท้ายของปี อนึ่ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มากนัก
ทว่าธีมหลักของตลาดยังคงเป็นการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก
เช่น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของอังกฤษ รวมถึง ข้อมูลตลาดแรงงานและยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ยังมีความน่าสนใจอยู่ ส่วนฝั่งไทย ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – สัปดาห์นี้อาจมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
พร้อมทั้งรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ว่าจะมีความแตกต่างจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) หรือไม่
หลังล่าสุด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในเดือนธันวาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 74.0 จุด ทว่าก็น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวังไว้เล็กน้อย
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาสที่ 3 เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
▪ฝั่งเอเชีย – ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของญี่ปุ่น อาทิ ข้อมูลตลาดแรงงาน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะในส่วนของดุลการค้า (Trade Balance)
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะหากเงินดอลลาร์ สามารถทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมานั้น ไม่ได้ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจมีการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ตามธีม US Exceptionalism ออกมาบ้าง (ในปีนี้ เงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นกว่า +6%)
นอกจากนี้ เรามองว่า ราคาทองคำมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นต่อได้บ้าง แต่อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอจังหวะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำ ที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นในปีนี้
ส่วน ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เราคาดว่า อาจเริ่มเห็นการทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง หรือ อย่างน้อยแรงขายสินทรัพย์ไทยก็ควรจะลดลงจากช่วงสัปดาห์ก่อนๆ พอสมควร ลดแรงกดดันต่อเงินบาทได้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ทิศทางเงินดอลลาร์มีแนวโน้มย่อตัวลงได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัวใน Sideways โดยต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมถึงจับตาการเคลื่อนไหวของบรรดาสกุลเงินหลัก อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เนื่องจากในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จะมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เป็นต้น
ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวยังคงสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ก็อาจช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินเยนญี่ปุ่นได้บ้าง
นอกจากนี้ ในเชิงเทคนิคัล เงินเยนญี่ปุ่น (USDJPY) ก็มีโอกาสย่อตัวลงบ้าง หรืออย่างน้อยแกว่งตัว Sideways เช่นเดียวกับฝั่งดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY)
เรามองว่า ในเชิงเทคนิคัล ดัชนีเงินดอลลาร์ก็มีโอกาสย่อตัวลงบ้าง ตามสัญญาณ Bearish Divergence บน RSI, MACD Forest ใน Time Frame รายวัน รวมถึงโอกาสเกิดทั้ง Double Tops และ Bearish Engulfing ในกราฟแท่งเทียนรายวัน
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.00-34.50 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.40 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สองพี่น้อง “มูนา-อันนา” สอยแชมป์ประเภทหญิงคู่แบดมินตันปทท.
“อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด โชว์ฟอร์มสมราคาหญิงคู่มือท็อปของโลก ตบชนะ ณปภากร ตุงคะสถาน กับ หทัยทิพย์ มิจาด ชนะ ปทิดา ศรีสวัสดิ์ กับ ฮัซวานีย์ โมมินทร์ คู่รุ่นน้อง 2-0 เกม
การแข่งขันแบดมินตัน โตโยต้า ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2567 หรือ ศึกชิงแชมป์ประเทศไทย 2567 ชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเงินรางวัลรวม 1,084,000 บาท ที่เวสต์เกตฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต เมื่อ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล, รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูถัมภ์, ยุธยา จีนหีต ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), ไพรัช ธัญญเจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ สุรเดช สนธิอรุณทัต ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด โยเน็กซ์ประเทศไทย บริษัท ฟาร์อีสท์สเปเชียลลิตี้ จำกัด ร่วมชมการแข่งขันและมอบรางวัลด้วย
สำหรับแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ทั้ง 5 ประเภท ดาวเด่นดีกรีทีมชาติไทย ทั้ง “แครอท” พรพิชชา ในประเภทหญิงเดี่ยว และสองพี่น้อง “มูนา-อันนา” ในประเภทหญิงคู่ ต่างไม่พลาดแชมป์ในรายการนี้ โดยผลแข่งขันทั้งหมดมีดังนี้ ประเภทชายคู่ รอบชิงชนะเลิศ “ทีม” วรพล ทองสง่า กับ “โอ๊ต” เฉลิมพล เจริญกิจอมร ชนะ “มาร์ค” ตนุภัทร วิริยางกูร กับ “ปริ้นซ์” วีรภัทร ภาคจรุง 2-0 เกม 21-16, 21-8, ประเภทหญิงเดี่ยว “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ ชนะ “ไอดิน” ลลิตา สัตยธาดากูล 2-0 เกม 21-12, 21-13
ประเภทคู่ผสม “มิกซ์” รัชพล มรรคศศิธร กับ “หว่าหวา” นัทธมน ไล้สวน ชนะ “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ 2-0 เกม 22-20, 21-17, ประเภทหญิงคู่ “อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด ชนะ ณปภากร ตุงคะสถาน กับ หทัยทิพย์ มิจาด ชนะ ปทิดา ศรีสวัสดิ์ กับ ฮัซวานีย์ โมมินทร์ 2-0 เกม 21-10, 21-10 และประเภทชายเดี่ยว “อัปเปอร์” วงศ์ทรัพย์ วงศ์ทรัพย์อินทร์ ชนะ ภูริธัช อารีย์ ชนะ 2-1 เกม 21-13, 11-21, 21-14
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
7 สัญญาณเตือนล่วงหน้าก่อนหัวใจวาย รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้
7 สัญญาณเตือนล่วงหน้าก่อนหัวใจวาย รู้ไว้ก่อนสายเกินแก้
คุณทราบหรือไม่ว่าการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเกิดจากโรคหัวใจวาย! ด้วยวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียดและอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เราบริโภคบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคนี้แพร่หลายและอันตรายมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าการดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพและลดระดับความเครียดในชีวิตจะช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันและอาจช่วยชีวิตคุณได้ คือการรู้จัก สัญญาณเตือนของหัวใจวายล่วงหน้า 1 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์
นี่คือ 7 สัญญาณที่คุณต้องระวัง อย่ามองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญ
1. เท้าบวมผิดปกติ
หากคุณมีภาวะหัวใจล้มเหลว ช่องล่างของหัวใจอาจสูญเสียความสามารถในการสูบฉีดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เลือดคั่งอยู่ที่ขา ข้อเท้า และเท้า ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ
2. อ่อนเพลียผิดปกติ
เมื่อหลอดเลือดแดงแคบลง หัวใจจะได้รับเลือดน้อยลง ส่งผลให้ต้องทำงานหนักขึ้น ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าและง่วงซึมอยู่ตลอดเวลา
3. หายใจติดขัด
เมื่อหัวใจได้รับเลือดน้อยลง ปอดก็จะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เนื่องจากระบบทั้งสองทำงานร่วมกัน หากคุณเริ่มมีปัญหาในการหายใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณว่าอาการหัวใจวายใกล้เข้ามาแล้ว
4. อ่อนแรงเฉียบพลัน
เมื่อหลอดเลือดแดงตีบตัน เลือดอาจไม่สามารถไหลเวียนได้ดีพอ ทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้รับสารอาหารและออกซิเจนที่ต้องการ ส่งผลให้คุณรู้สึกอ่อนแรงจนล้มลงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
5. เวียนหัวและเหงื่อเย็น
การไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติยังทำให้สมองได้รับเลือดน้อยลง อาการนี้อันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะเริ่มต้นด้วยการเวียนศีรษะและเหงื่อออกเย็น ซึ่งไม่ควรเพิกเฉยเด็ดขาด
6. แน่นหน้าอก
ผู้ที่เริ่มมีอาการหัวใจวายมักรู้สึกไม่สบายบริเวณหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บเล็กน้อยหรือความรู้สึกกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดหัวใจวาย
7. อาการคล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
หลายคนที่กำลังจะเกิดหัวใจวายรายงานว่ามีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดโดยไม่มีสาเหตุ เช่น มีไข้ ตัวหนาว หรือรู้สึกเหมือนเป็นหวัดก่อนเกิดเหตุการณ์ไม่กี่วัน
วิธีป้องกันและรับมือ
หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด การสังเกตและรู้เท่าทันสัญญาณเตือนล่วงหน้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันหัวใจวาย
ดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการใช้ชีวิตอย่างยืนยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
AMD ประเทศไทยเอาจริง! รู้จัก 3 ขุมพลัง AI จาก AMD เสริมแกร่งวันนี้ยันปีหน้า
“AMD ประเทศไทย” ส่ง 3 ขุมพลังประมวลผล AI เสริมแกร่งทุกภาคส่วน ตั้งแต่ Data Center ถึง “AI PC” ระดับองค์กร ปูทางเทคโนโลยี AI ให้ทรงพลังในอนาคต
ส่งท้ายปีจนโลกของ AI PC สั่นสะเทือน เมื่อ AMD ประเทศไทย ได้พัฒนาหน่วยประมวลผลสำหรับ AI และได้เปิดตัวไปในงาน “Unleashing Performance, Advancing AI” เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จากวันนั้นจนวันนี้ AMD ประเทศไทย มีหน่วยประมวลผลระดับ Commercial ที่พร้อมให้บริการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ครอบคลุมทั้ง CPU, GPU สำหรับ Data Center และ AI PC ระดับองค์กร ที่น่าสนใจและน่าพูดถึงถึง 3 รุ่น ได้แก่ 5th Gen AMD EPYC, AMD Instinct MI325X และ AMD Ryzen AI Pro 300 Series ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการผลักดันเทคโนโลยี AI ในประเทศไทย
KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที จะพาไปรู้จักทั้ง 3 ขุมพลังจาก AMD ที่จะทำให้อนาคตของ AI PC รวมถึงอุตสาหกรรม AI แข็งแกร่งถึงขีดสุด!
5th Gen AMD EPYC “Turin” CPU: ขุมพลังสำหรับ Data Center ยุค AI
5th Gen AMD EPYC “Turin” คือ CPU สำหรับ Data Center ที่ AMD เคลมว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการพลังประมวลผลสูง ประหยัดพื้นที่ ค่าซอฟต์แวร์ และค่าไฟฟ้า ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 5 ขนาด 3 นาโนเมตรและ 4 นาโนเมตร รองรับสูงสุดถึง 192 Core 384 Thread เหมาะสำหรับการประมวลผล Cloud และ AI ระดับองค์กร
ศศิประภา สุธีรภัทร Country Lead Consumer & Commercial บริษัท AMD ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า AMD EPYC เหมาะสำหรับผู้ให้บริการ Cloud Service Provider โดย “Turin” 5th Gen AMD EPYC เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะที่ “Genoa” 4th Gen AMD EPYC เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่าด้านต้นทุน ซึ่ง 5th Gen AMD EPYC “Turin” นับเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพต่อ Core ดีที่สุดในปัจจุบัน ด้วย 1 CCD ที่มีถึง 16 Core และรองรับ 12 CCD พร้อม Cache L3 ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการรัน Workload อันหนักหน่วง
AMD Instinct MI325X GPU: เร่งเครื่อง Generative AI ใน Data Center
AMD Instinct MI325X GPU เป็น Data Center GPU ใหม่ล่าสุดที่ AMD ประเทศไทย สร้างมาเพื่อรองรับความต้องการ AI Workload ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
AMD Instinct MI325X เป็นตัวที่พัฒนาต่อยอดจาก AMD Instinct MI300 ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2023 ด้วยสถาปัตยกรรม AMD CDNA 3 รองรับการสร้างสรรค์งาน AI หลากหลายรูปแบบ เช่น Conversational AI, AI Agent หรือแชทบอท ช่วยสร้างสรรค์เนื้อหาหรือสรุปข้อมูล รองรับทั้งกระบวนการ Training และ Inference อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ AMD ยังมีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้า (2025) จะเปิดตัว AMD MI350 Series ที่ใช้สถาปัตยกรรม AMD CDNA 4 ซึ่งเร็วกว่า AMD CDNA 3 ถึงราว 35 เท่า และมี Roadmap พัฒนา AMD Instinct ไปจนถึงปี 2026 กับรุ่น AMD Instinct MI400 Series แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ AMD ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่อง
AMD Ryzen AI PRO 300 Series: พลัง AI สู่ AI PC ระดับองค์กร
AMD Ryzen AI PRO 300 Series ได้รับการสร้างสรรค์เพื่อรองรับ Copilot+ PC สำหรับ Enterprise AI PC ระดับองค์กร ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 5 และ AMD RDNA 3.5 ทำให้มี NPU ที่ประมวลผล AI ได้รวดเร็วถึง 50-55 TOPS ซึ่งเป็นชิป x86 CPU ในตลาดปัจจุบันที่ผ่านมาตรฐาน Copilot+ PC ของ Microsoft รองรับการใช้งานซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันบน Windows ได้อย่างราบรื่น
นอกจากประสิทธิภาพอันทรงพลังแล้ว AMD Ryzen AI PRO 300 ยังเน้นเรื่องความปลอดภัย ด้วย Microsoft Pluton Security ภายใน CPU ที่อัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ ซึ่งแตกต่างจาก TPM ที่อาจมีช่องโหว่ ทำให้เสริมความปลอดภัยของอุปกรณ์และลด Attack Surface ได้
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่มนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ AMD ในการผลักดันเทคโนโลยี AI ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ Data Center ขนาดใหญ่ ไปจนถึงอุปกรณ์พกพาอย่าง AI PC ระดับองค์กร เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะวันนี้หรือในวันข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรรู้ คำศัพท์และประโยคที่ใช้ในการทำงาน
การทำงานในทุกอาชีพต่างก็ต้องมีโอกาสพบปะกับชาวต่างชาติ หรือต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด การฟัง การอ่าน การเขียน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีโอกาสที่จะให้บริการหรือติดต่อกับต่างชาติ วันนี้จึงขอแนะนำคำศัพท์และตัวอย่างประโยคที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมักจะใช้ในการทำงาน ที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริง เพื่อให้การบริการและการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติเป็นไปอย่างราบรื่น
ตัวอย่างคำศัพท์
ตัวอย่างคำศัพท์ที่จะพบบ่อย ๆ ในโรงพยาบาลหรือการทำงานของแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้แก่
- Gown คือ เสื้อคลุมยาว
- Emergency Room คือ ห้องฉุกเฉิน
- Intensive Care Unit (ICU Room) คือ ห้องผู้ป่วยหนัก
- Patient คือ ผู้ป่วยหรือคนไข้
- Medicine คือ ยา
- Prescription คือ ใบสั่งยา
- wheelchair คือ เก้าอี้รถเข็น
- pulse คือ อัตราการเต้นของหัวใจ
- inflatable cuff คือ ที่วัดความดัน
- Stethoscope คือ หูฟังของแพทย์
- cotton wool คือ สำลี
- bandage คือ ผ้าพันแผล
- operating room คือ ห้องผ่าตัด
- Sprains คือ ข้อแพลง
- Blood pressure คือ ความดันโลหิต
- Stop bleed คือ ห้ามเลือด
- Treatment คือ การรักษา
- Diagnosis คือ วินิจฉัย
- Transfer คือ การย้ายผู้ป่วย
- Dressing คือ การทำแผล
- Infection คือ การติดเชื้อ
- Pain คือ ความปวด
- Sick คือ ป่วย
- Side effect คือ ผลข้างเคียง
- Weak คือ อ่อนเพลีย
- Pharmacy คือ ห้องจ่ายยา
- Ward คือ ตึกผู้ป่วย
- Blood tests คือ ตรวจเลือด
- Pressure measuring คือ วัดความดัน
- Shot คือ การฉีดยา
ตัวอย่างประโยค
ลองมาดูตัวอย่างประโยคที่แพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือผู้ป่วย ผู้รับบริการจะใช้สนทนาระหว่างกันบ้าง อาจแบ่งเป็นกรณีต่าง ๆ ดังนี้
กรณีผู้ป่วย เมื่อต้องการมาหาหมอ อาจจะสื่อสารว่า
1) ฉันอยากจะมาพบแพทย์ ให้พูดว่า “I would like to see a doctor”
2) ฉันรู้สึกไม่สบาย พูดว่า “I am still not feeling well”
3) ฉันรู้สึกปวดศีรษะ พูดว่า
“I have a headache” หรืออาการอื่น ๆ ก็เริ่มต้นด้วย I have และตามด้วยอาการ เช่น runny nose คือ น้ำมูกไหล cough คือ ไอ epistaxis คือ เลือดกำเดาไหล phlegm คือ เสมหะ sore throat คือ เจ็บคอ เป็นต้น
การเล่าถึงสถานการณ์อื่น ๆ เช่น
4) ฉันรู้สึกคิดมาก ให้พูดว่า “I have a lot on my mind”
5) ฉันรับประทานอาหารมื้อเช้ามากไปหน่อย ทำให้ปวดท้อง พูดว่า “I ate too much last breakfast, so I have a stomachache
6) ฉันอาเจียนและเข้าห้องน้ำหลายครั้ง พูดว่า “I have vomited and had to go the restroom several times.”
7) ฉันรู้สึกเจ็บมาก พูดว่า “I feel a lot of pain.”
8) ฉันรู้สึกดีขึ้น พูดว่า “I feel better” รวมทั้งบทสนทนาอื่น ๆ เช่น
9) ฉันอยากจะขอคำแนะนำจากคุณหมอ พูดว่า “Can I ask for some advice from you?”
10) ขอบคุณมากค่ะ/ครับ ฉันจะทำตามคำแนะนำ พูดว่า “Thank you very much. I will follow/take your advice”
ตัวอย่างการใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มักมีบทสนทนาที่พบได้บ่อยคือ
1) คุณมีอาการอย่างไร และเริ่มมีอาการเมื่อไร ให้พูดว่า What is the matter? หรือ “What symptoms do you have?” หรือ “How have you been doing?” หรือ “What seems to be the trouble?” and when did it start?
2) คุณอาเจียนก่อนมาโรงพยาบาลหรือไม่ ให้พูดว่า “Have you vomited before coming here?”
3) คุณต้องเก็บตัวอย่างอุจาระตรวจที่ห้องแลป พูดว่า “You have to check your stools at the laboratory room”
4) ไม่มีอาการร้ายแรง ฉันจะจ่ายยาเพื่อให้อาการดีขึ้น และแนะนำให้คุณปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร พูดว่า “It is nothing serious. I will give you some medicine, and I advise you to change your eating habits.”
5) คุณสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ พูดว่า “Do you smoke or drink alcohol?”
6) คุณรับประทานเนื้อสัตว์บ่อยแค่ไหน พูดว่า “How often do you eat meat?”
7) คุณพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ นอนวันละกี่ชั่วโมง พูดว่า “Do you get enough rest? How many hours per day do you sleep?”
8) ฉันจับบริเวณนี้แล้วปวดหรือไม่ และเจ็บมานานเท่าไรแล้ว พูดว่า “Does it hurt when I touch this area? And how long has it been hurting?”
9) ถ้ายังรู้สึกเจ็บอยู่ ให้มาพบหมออีกครั้ง พูดว่า “If the pain persists, please come to visit me again”
10) คุณมีอาการไข้/อาการต่าง ๆ หรือไม่ พูดว่า “Do you have a fever/symptoms?”
11) คุณรับประทานยาอะไรอยู่หรือเปล่า เช่น ยาปฏิชีวนะ พูดว่า “Have you been taking any medicines? such as antibiotics”
12) คุณต้องเข้ารับการผ่าตัด พูดว่า “You must have surgery.”
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
8 อาหารต้านหวัดหน้าหนาวที่สาว ๆ ไม่ควรพลาด! แถมดูแลสุขภาพได้เยี่ยม
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาว สาว ๆ หลายคนอาจรู้สึกกังวลเรื่องสุขภาพที่อาจอ่อนแอลงได้ง่าย ๆ เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงต่อโรคหวัดที่สูงขึ้น ดังนั้นมาดู 8 อาหารอาหารที่ช่วยต้านหวัด พร้อมเสริมสุขภาพให้แข็งแรงที่ทุกคนไม่ควรพลาดกัน
8 อาหารอาหารที่ช่วยต้านหวัด
1.เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน
เครื่องเทศอย่างขิง กระเทียม พริกไทย หรือพริกขี้หนู เป็นตัวช่วยที่ดีในหน้าหนาว เพราะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย แถมยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลองเติมขิงลงในชาหรือใส่กระเทียมในเมนูโปรดให้มากขึ้น รับรองว่าได้ทั้งความอร่อยและสุขภาพดี
2.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
โยเกิร์ตไม่ได้ดีแค่ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย เลือกแบบรสธรรมชาติหรือเติมผลไม้สดเข้าไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร เป็นอาหารว่างที่ทั้งอร่อยและได้สุขภาพ
3.ผักใบเขียว
ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า หรือผักกาดหอม อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการทำลายของสารพิษ
4.เนื้อปลาทะเล
ปลาแซลมอน ทูน่า หรือปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งของโอเมก้า-3 และโปรตีนที่สำคัญในการเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้อีกด้วย
5.ดาร์กช็อกโกแลต
ของหวานที่สาว ๆ หลงรักอย่างดาร์กช็อกโกแลต ไม่ได้แค่ช่วยทำให้รู้สึกดีเท่านั้น แต่ยังมีฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เลือกดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้ 70% ขึ้นไป เพื่อให้ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์เน้น ๆ
6.ถั่วและธัญพืช
ถั่วอัลมอนด์ วอลนัท หรือเมล็ดเจีย อุดมไปด้วยวิตามินอีและสังกะสีที่ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย เหมาะกับเป็นอาหารว่างในยามบ่ายได้อีกด้วย
7.ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
ผลไม้เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี หรือมะขามป้อม รวมถึงผักอย่างพริกหวานและบรอกโคลี ล้วนเต็มไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8.ไวน์แดง
ไวน์แดงที่ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม อุดมไปด้วยสารเรสเวอราทรอล(Resveratrol) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน จิบแค่วันละแก้ว ก็เพียงพอที่จะช่วยดูแลสุขภาพได้แล้ว
เพราะสุขภาพดี เริ่มได้ง่าย ๆ จากอาหารที่คุณเลือก อย่าลืมเลือกอาหารทั้งหมดนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน รับรองได้เลยว่าหน้าหนาวก็ไม่ต้องกลัวหนาวจากโรคหวัดกันอีกแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/12/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,500.00 | 42,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,753.00 | 41,735.48 | 43,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,477.70 | 37,561.93 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,202.40 | 33,388.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,239.00 | 18,783.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 964.00 | 14,614.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,853.00 | 43,251.48 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.25 | 36.25 | 36.75 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.88 | 35.88 | 36.38 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.14 | 34.14 | 34.64 | 34.14 | 34.14 | – | 34.14 | 34.14 | 34.14 | 34.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.89 | 33.89 | – | – | – | – | – | – | – | 33.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.84 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.84 |
เบนซิน 95 | 44.54 | – | – | – | 49.81 | – | 45.04 | 44.69 | – | 44.54 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 31.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |