สาระน่ารู้ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2566

อสังหาฯผวาหุ้นกู้โดมิโนปี67เร่งกำเงินสด-เสริมสภาพคล่อง

อสังหาฯปี67ยังคงเผชิญกับปัจจัยลบ หนึ่งในนั้นเอฟเฟกต์จากหุ้นกู้ส่งผลให้เชื่อมั่นของผู้ลงทุนลดลง!จึงเร่งกำเงินสดเพื่อเสริมสภาพคล่องไว้รองรับหวั่นเกิดโดมิโน เสนาฯผนึกฮันคิว ฮันชินตั้งบริษัทร่วมทุน อนันดาจัดเคลียร์แรนซ์เซลกำเงินสดรับมือวิกฤติหุ้นกู้ในปีหน้า

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่าภาพรวมอสังหาฯในปี 2567 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจากได้รับปัจจัยบวกจากการมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เริ่มมีมาตรการระยะสั้นออกมาช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน เช่น ลดค่าไฟ แต่ยังขาดมาตรการระยะกลางและยาวที่เข้ามาช่วยในการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาฯเป็นปัจจัยสี่ แต่อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรจะมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี เท่ากับเศรษฐดี เพราะช่วงเศรษฐดีไม่จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรมากระตุ้นคนก็ซื้อบ้าน เพราะทุกคนอยากมีบ้านเป็นของตนเอง  ดังนั้นต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว 

ทั้งนี้ เนื่องจากยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่ควบคุมไม่ได้ ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นของสหรัฐอเมริกา อัตราแลกเปลี่ยน สงครามในตะวันออกกลางรวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง หลังมีหุ้นกู้จำนวนหนึ่งผิดนัดชำระหนี้  ทำให้การเสนอขายหุ้นกู้ใหม่ ( Roll Over )หุ้นกู้เดิมมีความยากลำบากมากขึ้น หากเกิดปัญหาลุกลามอาจเป็นโดมิโนเอฟเฟกต์ ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการให้เงินกู้เพื่อพัฒนาโครงการมากยิ่งขึ้น

ในฐานะผู้ประกอบการจึงต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยการร่วมมือกับ “ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป” กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่นตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการรวมกัน จากเดิมที่ตั้งบริษัทละโครงการ เพื่อเป็นการบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะทำการโอนทรัพย์สินจากโครงการร่วมทุนในแต่ละโครงการที่พัฒนาโครงการร่วมกันมาอยู่ภายใต้บริษัทร่วมทุนใหม่เพียงบริษัทเดียว ซึ่งมีจำนวน 40-50 โครงการคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนของแต่ละบริษัทจำนวน6,000 ล้านบาท 

“ช่วง6 เดือนจากนี้ ผู้ประกอบการต้องระวังเรื่องของกระแสเงินสดให้ดี เนื่องจากการขอสินเชื่อในรูปแบบ Project Lone จะยากขึ้นเพราะธนาคารกังวลหนี้เสียขณะที่ตลาดหุ้นกู้ขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ” เกษรา กล่าว

สอดคล้องกับประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯในปีหน้ายังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ บริษัทจึงได้เตรียมความพร้อมด้านกระแสเงินสด ที่มาจากการโอนกรรมสิทธิ์  รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นลดราคาในไตรมาส4  ภายใต้แคมเปญ “ANANDA DADDY CLEARANCE SALE” แด๊ดดี้ สั่งลด “แด๊ด…สั่งลด! ลดตัวพ่อลดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”  มูลค่า 7,337 ล้านบาท  เฉลี่ยราคา 3 ล้านบาทต่อยูนิต  จากจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ 29,200 ยูนิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดใจกลางเมืองแนวรถไฟฟ้า

  “การทำแคมเปญช่วงนี้ส่วนหนึ่งเพราะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเท่าตัวในเวลาไม่ถึงปี ทำให้เราต้องลดหนี้ลง และตลาดหุ้นกู้เริ่มไม่ดึงดูดใจเพราะคนขาดความมั่นใจในการซื้อบอนด์ใหม่ทั้งอุตสาหกรรมในประเทศโดยไปกระจุกตัวอยู่ที่รายใหญ่ที่มีเรต A เท่านั้นเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นกู้ในปีหน้า จึงต้องเตรียมกระแสเงินสดไว้รองรับการจ่ายหุ้นกู้ เพราะการยอดรอดในยุคนี้คือการมีกระแสเงินสด “

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เสนาฯแก้เกมราคาที่ดินพุ่งกำลังซื้อหดผุดคอนโดแทนทาวน์เฮ้าส์โซนรามอินทรา

ห้วงเวลานี้ปัจจัยลบการพัฒนาโครงการอสังหาฯหนีไม่พ้นราคาที่ดินพุ่งขึ้นสวนทางกับกำลังซื้อลดลง! เสนาฯ พลิกกลยุทธ์แก้เกมผุดคอนโดแทนทาวน์เฮ้าส์ในย่านรามอินทรานำร่องเพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า จากราคาที่ดินแพงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนราคาการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพิ่มขึ้น รวมทั้งการที่ดอกเบี้ยขึ้นทุกๆ1% มีผลต่อราคาขาย9% สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง หรือโตไม่ทันราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลใจกลางเมือง ดังนั้นทางเสนาฯ จึงปรับกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ด้วยการพัฒนาโครงการคอนโดระดับราคา1ล้านต้นๆออกมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า แทนเป็นทาวน์เฮ้าส์ย่านรามอินทราในปีหน้า

ทั้งนี้เนื่องจากต้นทุนราคาที่ดินสูงขึ้นทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์ในราคา2-3ล้านบาทไม่ได้อีกต่อไปต้องขยับขึ้น4-5ล้าน ซึ่งในแต่ละทำเลไม่เท่ากันดังนั้นการพัฒนาโครงการคอนโดจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กำลังซื้อผู้บริโภค ประกอบกับการเติบโตของทำเลโซนรามอินทราที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น  การคมนาคมที่มีรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่จะเปิดให้บริการ และเป็นโซนที่เชื่อมต่อถนนสายหลักและสายรองที่สำคัญ รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อมอย่างห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลและสถานศึกษาทำให้รามอินทรากลายเป็นทำเลที่น่าสนใจทั้งในปัจจุบันและอนาคต 
 

“จุดเด่นของโครงการมีทั้งเรื่องทำเลและห้องซึ่งมีขนาดและราคาที่คุ้มค่า เพราะลูกค้าจะได้ห้องไซส์ใหญ่ในราคาไซส์เล็ก เริ่มต้นกว่า 1.ล้านบาท อยู่ระหว่างการหาซื้อที่ดินเพิ่มเติมคาดว่า จะมี3โครงการในโซนรามอินทรา” 

ขณะเดียวกันบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ที่มีระดับราคากว่า 100,000 บาทต่อตร.ม.เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและต้องการคอนโดติดรถไฟฟ้าออกมานำตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม

ทั้งนี้เนื่องจากดีมานด์ของตลาดคอนโดเริ่มกลับมาแล้ว หลังจากหยุดชะงักไปช่วงเกิดโควิด-19  โดยบริษัทสนใจที่ขยายตลาดในทำเลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง /ลาดพร้าวและรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ได้รับอานิงส์จากราคาที่ลดลงเหลือ 20 บาท ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตคนอยู่นี้เปลี่ยนไปไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศ

นอกจากนี้ ในไตรมาส4/2566 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม9,000 ล้านบาท ประกอบกับด้วยโครงการ นิช ไพรด์ เอกมัย ในทำเลเอกมัย,นิช โมโน ทำเลบางโพ และ เฟล็กซี่ ทำเลเจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายในปี 2566 ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขายแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 24ต.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.30 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแนวโน้มผันผวนตามทิศทางเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ควรจับตาทิศทางเงินหยวนจีน หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อปัญหาหนี้ภาคอสังหาฯ-ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 24ต.ค. 2566ที่ระดับ  36.30 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.52 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่านับตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ที่เป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 36.28-36.54 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 5.00% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการในวันนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนได้

สัปดาห์ที่ผ่านมา ภาวะสงครามยังคงช่วยหนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้น แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯจะพุ่งขึ้นแรงกว่า +30bps

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอจับตา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ผลการประชุม ECB และรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน พร้อมระวังความผันผวนจากภาวะสงคราม

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ฝั่งสหรัฐฯ – แม้ว่าสถานการณ์สงครามยังมีความไม่แน่นอนและเสี่ยงที่จะบานปลายมากขึ้น ทว่าในสัปดาห์นี้ เรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะให้ความสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟดมากขึ้น ผ่านการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3

ที่ล่าสุด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวกว่า +4.1%q/q, เทียบรายปี (GDPNow โดย Atlanta Fed ประเมิน +5.4%) อย่างไรก็ดี แม้ว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 อาจขยายตัวได้แข็งแกร่ง ทว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอลงมากขึ้นในไตรมาส 4

สะท้อนจาก รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Manufacturing and Services PMIs) เดือนตุลาคม ที่อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่ระดับต่ำกว่า 50 จุด สะท้อนถึงภาวะหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการ อนึ่ง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดและสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง

ก็อาจยิ่งทำให้ ผู้เล่นในตลาดกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและแนวโน้มเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงมากขึ้น โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยราว 35% ในต้นปีหน้า ก่อนที่จะเริ่มลดดอกเบี้ยลงในช่วงเดือนมิถุนายนปีหน้า (ลดดอกเบี้ยทั้งหมดราว -75bps)

นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ควรจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยในสัปดาห์นี้จะมีการรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ อาทิ Amazon, Alphabet, Meta และ Microsoft ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ

▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของยูโรโซน อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนตุลาคมที่จะต่ำกว่าระดับ 50 จุด อย่างต่อเนื่อง และจากภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนที่ไม่สดใสนัก

กอปรกับแนวโน้มการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อยูโรโซน ทำให้เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วที่ระดับ 4.00% (Deposit Facility Rate) ทั้งนี้ ควรจับตาถ้อยแถลงของประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ในอนาคต

▪ฝั่งเอเชีย – ตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม โดยนักวิเคราะห์มองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงได้แรงหนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องในภาคการบริการที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการผลิตอาจยังคงหดตัวอยู่ ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า

ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังคงสดใส กอปรกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด (Core-Core CPI) ล่าสุด ซึ่งยังคงสูงกว่า 4% อาจเพิ่มโอกาสให้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ ซึ่งต้องจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOJ โดยเฉพาะผู้ว่าฯ BOJ

▪ฝั่งไทย – ตลาดมองว่า ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกันยายน อาจหดตัวราว -2%y/y ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อน รวมถึงภาพเศรษฐกิจคู่ค้าที่ยังคงชะลอตัวอยู่ อย่างไรก็ดี ยอดการนำเข้า (Imports) ก็อาจหดตัวราว -5.6%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจเกินดุลได้ราว 900 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ แม้การส่งออกจะยังคงหดตัวอยู่ ทว่า จากผลสำรวจบรรดานักวิเคราะห์ในการประชุม Monetary Policy Forum โดยธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การส่งออกอาจเริ่มทรงตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ก่อนจะกลับมาขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า มีแนวโน้มผันผวนไปตามทิศทางเงินดอลลาร์ ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจลดลงบ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดนเฉพาะบริษัทเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางเงินหยวนจีน หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อปัญหาหนี้ภาคอสังหาฯ แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนล่าสุดจะออกมาดีกว่าคาดก็ตาม แต่ตลาดกลับยังไม่ได้ตอบรับในเชิงบวก

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้ความเสี่ยงสงครามยังไม่ได้ลดลงชัดเจน ทว่าเงินดอลลาร์อาจผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มนโยบายการเงินเฟด โดยเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อ หากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใสและแข็งแกร่งกว่าคาด

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงนี้ ตลาดการเงินยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน สถานการณ์สงครามที่ยังคงร้อนแรงอยู่ รวมถึงปัญหาหนี้ภาคอสังหาฯ ของจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย

อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.00-36.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.40 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 36.13-36.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.22 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 36.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้น เช่นเดียวกับเงินหยวนและสกุลเงินเอเชียในภาพรวม ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ (บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปีกลับมาปรับตัวลง

หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีที่ 5.021%) ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามสถานการณ์ในอิสราเอลและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้เบื้องต้นที่ 36.10-36.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนก.ย. ของไทย สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางสกุลเงินเอเชีย สถานการณ์ในอิสราเอล และดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนต.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษและสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วัดกันที่คะแนนดิบ! “ขวัญสุดา” โค่นเบอร์ 1 โลก ซิวทองเทควันโด เอเชียนพาราเกมส์

การแข่งขัน เทควันโด เอเชียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ที่ ศูนย์กีฬาเซียวซาน กัวลี่ เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2566  

ในประเภทหญิง รุ่น K44-47 กก. ขวัญสุดา พวงกิจจา จอมเตะพาราไทย ดีกรีเหรียญทองแดง พาราลิมปิกเกมส์ 2020 ลงไล่ล่าเหรียญทอง

โดยในรอบแรก ขวัญสุดา ได้บายผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศ แบบไม่ต้องออกแรงพบกับ  ดีรอย มัรยัม อับดุลเลาะห์พัวร์ จากอิหร่าน ก่อนที่ ขวัญสุดา จะอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่าทำแต้มเอาชนะ สาวอิหร่านไปได้ 7-4 คะแนน พร้อมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปลุ้นเหรียญทองที่ 3 ให้กับทัพพาราไทย

จากนั้นในรอบชิงชนะเลิศ ขวัญสุดา โคจรมาพบกับ ซิโยดาคอฟ อิซาโคว่า มือ 1 โลก จากอุซเบกิสถาน โดยเกมนี้ ขวัญสุดา ยังคงโชว์ฟอร์มได้สมราคมดีกรีเหรียญทองแดงพาราลิมปิกออกอาวุธสู้กับ สาวอุซเบฯ อย่างสนุก จนแต้มมาเสมอกัน 2-2

ทำให้ต้องต่อเวลาซัดนันเดธอีก 1 นาที เพื่อหาผู้ชนะ แต่ทว่าในช่วงซัดนันเดธไม่มีใครทำคะแนนเพิ่มได้ ก่อนที่กรรมการจะรวบคะแนนดิบให้ ขวัญสุดา ที่ออกอาวุธมากว่าเฉือนเอาชนะ สาวอุซเบฯ ไปได้แบบหวุดหวิด คว้าเหรียญทองที่ 4 ให้ทัพพาราไทย ได้สำเร็จ

หลังแข่งขัน ขวัญสุดา เผยว่า พยายามเล่นแบบรัดกุม เพราะเขามือ 1 โลก และเราก็รู้สึกเกรงในสถิติของเขาด้วย เอาจริงๆ ไม่มั่นใจว่าจะชนะได้ แต่หันมาหาโค้ชแล้วโค้ชบอกทำได้ ก็คือได้ ถือว่าเกินเป้าหมาย ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้ขนาดนี้ จากนี้ก็จะตั้งใจซ้อมมากกว่านี้ เชื่อฟังโค้ชมากขึ้นไปอีก เพื่อพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ต่อไป

ขณะที่ รุ่น K44-58 กก.ชาย ธันวา แก่นคำ จอมเตะหนุ่มพาราไทย ในรอบแรกลงดวลกับ ซันจาเบค มุคโตรอฟ จากอุซเบกิสถาน ทว่า ธันวา ไม่สามารถต้านทานความแข็งแร่งจอมเตะอุซเบฯ ได้ทำให้แพ้ 12-28 คะแนน

แต่ทว่า ธันวา ยังโชคดีได้ไปลุ้นในรอบแก้ตัว ดวลกับ คิม แทมิน จากเกาหลีใต้ และ ธันวา ก็แก้ตัวสำเร็จเอาชนะ นักเทควันโดหนุ่มเกาหลี ไปได้ 45-29  คะแนน ผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงเหรียญทองแดงได้สำเร็จ และ  ธันวา แก่นคำ ก็ไม่ทำให้แฟนกีฬาชาวไทยผิดหวังไล่ออกอาวุธทำแต้มเฉือนเอาชนะ เนสซันเบค ไอเดอร์เบคอฟ คาซัคสถาน ไปได้แบบหวุดหวิด 13-9 คะแนน คว้าเหรียญทองแดงมาครองได้แบบสุดเซอร์ไพรส์​

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เตือนอันตราย ไม่ล้างแอร์นานๆ หวั่นเสี่ยง “ปอดอักเสบ”

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยแอร์มีความชื้น ทั้งตัวแอร์และท่อของแอร์ที่ก่อให้เกิด การเจริญเติบโตของเชื้อโรค แนะควรล้างแอร์เป็นประจำ เพราะหากได้รับเชื้อสะสมเป็นเวลานานอาจเสี่ยงเกิดโรคปอดอักเสบ

นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงหน้าร้อน หลายคนต้องเปิดแอร์เพื่อคลายความร้อนในเวลากลางวันและกลางคืน อาทิ ที่ทำงาน ที่บ้าน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ซึ่งอาจแฝงไปด้วยภัยร้าย เพราะในแอร์มีความชื้นทั้งตัวแอร์และท่อของแอร์ที่ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสหรือเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียลิจิโอเนลลานิวโมฟิวลา ซึ่งหากหายใจเอาฝอยละอองน้ำที่มีเชื้อนี้ปนเปื้อนเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยลักษณะอาการมี 2แบบคือ แบบปอดอักเสบรุนแรง มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น เรียกว่าโรคลิเจียนแนร์ และแบบที่มีลักษณะคล้ายไข้หวัดใหญ่ เรียกไข้ปอน ตีแอกหรือปอนเตียก

นายแพทย์วชิระ กล่าวต่อว่า แอร์แบบระบบรวม ควรเปิดน้ำทิ้งจากหอหล่อเย็นให้แห้งเมื่อไม่ได้ใช้ ทำความสะอาดขัดถูคราบไคลตะกอน เติมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดหอหล่อเย็นอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อเดือน ไม่ให้มีตะไคร่เกาะ ทำลายเชื้อโดยใส่คลอรีนให้มีความเข้มข้น 10 ppm (10 ส่วนในล้านส่วน) เข้าท่อที่ไปหอผึ่งเย็นให้ทั่วถึงทั้งระบบไม่น้อยกว่า 3-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นรักษาระดับคลอรีนให้ความเข้มข้นไม่น้อยกว่า 0.2 ppm (0.2 ส่วนในล้านส่วน)

แอร์ในห้องพักต้องทำความสะอาด ถาดรองน้ำที่หยดจากท่อคอยส์เย็นทุก 1-2 สัปดาห์ ไม่ให้มีตะไคร่เกาะหรือใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ของคน ตามมาตรฐานประกาศกรมอนามัย เรื่อง ข้อปฏิบัติการควบคุมเชื้อลิจิโอเนลลาในหอผึ่งของอาคารในประเทศไทย และสำหรับแอร์ที่ใช้ตามบ้านเรือนเมื่อเปิดแอร์ควรสังเกตว่าอากาศที่ออกมาจากแอร์มีกลิ่นเหม็นหรือมีกลิ่นอับหรือไม่ หากมีกลิ่น ในเบื้องต้นควรล้างทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศที่อยู่ในแอร์ด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หากล้างทำความสะอาดแล้วกลิ่นไม่หาย ควรเรียกช่างเพื่อทำความสะอาดแบบเต็มระบบ

ทั้งนี้ การล้างทำความสะอาดแอร์ควรทำเป็นประจำ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน หากเป็นแผ่นกรองอากาศควรล้างด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคแล้วใช้น้ำฉีดแรงๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่นให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออกอย่างน้อยเดือนละครั้ง และควรล้างแอร์แบบเต็มระบบอย่างน้อย ปีละ1ครั้งเช่นเดียวกัน แต่หากใช้เป็นประจำทุกวัน ควรล้างทำความสะอาดประมาณ 6เดือนต่อครั้ง เพราะนอกจากจะช่วยลดเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในแอร์แล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“Wake Up” กับ “Get Up” ต่างกันยังไง?

มาดูกันที่คำแรก “Wake Up”

  • “Wake Up”  คำนึ้แปลว่า “ตื่นนอน” เวลาที่เราลืมตาขึ้นมาจากการนอนหลับ เช่น

Kate wakes up every morning when she hears her alarm.
เคทตื่นนอนทุกเช้าเวลาได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ( เคทเป็นเด็กดี๊ดีเนอะ555 )

  • ” to wake (someone) up”  แปลว่า “การปลุก” ให้ _____ ตื่น  เช่น

Mom always wakes Jack up for school.
แม่ปลุกแจ็คให้ไปโรงเรียนตลอด

แล้ว “Get Up” ล่ะ ??

“Get Up” แปลว่า “ลุก” หรือเวลาที่เราลุกจากเตียงนั่นเอง เช่น

Peter gets up from his bed and goes straight to the bathroom.
ปีเตอร์ลุกจากเตียงแล้วตรงดิ่งไปยังห้องน้ำเลย (สงสัยปวดชิ้งฉ่อง-_-)

นอกจากจะใช้ตอนตื่นนอน “Get Up” ยังใช้เวลาที่เราลุกขึ้นจากการที่ต่างๆ เช่น ลุกจากเตียง ลุกจากพื้น ลุกจากเสื่อ เช่น

Hey Ken, you are sitting on my chair. Get up dude!
เฮ้ย ไอ่เคน! แกนั่งเก้าอี้ชั้นอยู่นะ ลุกเลยย !

ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th


ธนาคารดังเปิด “7 วิธีปกป้องมือถือ” ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือมิจฉาชีพ

เรามาถึงยุคที่แทบทุกครัวเรือนมีสมาร์ตโฟนใช้กันแล้ว และสิ่งนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคมที่ให้ทั้งประโยชน์ หรือให้โทษกับผู้ใช้งานก็ได้ โดยเฉพาะภัยจากมิจฉาชีพที่ไม่จำเป็นต้องเผยตัวให้ใครเห็น แค่มาผ่านเสียง หรือข้อความทางโทรศัพท์ ก็สามารถหลอกดึงเงินจากบัญชีเราไปได้แล้ว

แต่หากเรารู้จักเสริมเกราะป้องกันตนเอง และปรับพฤติกรรมการใช้งานมือถือควบคู่กันไป ตาม 7 ข้อนี้ ก็จะช่วยลดความสูญเสียจากภัยออนไลน์ต่าง ๆ ได้มากทีเดียว

1. ไม่ดัดแปลงระบบปฏิบัติการของสมาร์ตโฟน หรือที่เรียกกันว่า เจลเบรค (Jailbreak) เพราะจะเป็นการเปิดให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึงระบบต่าง ๆ บนเครื่องของเราได้ง่ายขึ้น แม้การดัดแปลงอุปกรณ์อาจจะทำให้สามารถใช้ลูกเล่น หรือทำอะไรกับระบบของตัวเครื่องได้มากขึ้น แต่ผลที่ตามมาอาจได้ไม่คุ้มเสีย ที่สำคัญการเจลเบรกยังทำให้การรับประกันสิ้นสุดลงด้วย หากมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะไม่สามารถเคลมหรือเรียกร้องสิทธิ์ต่าง ๆ ตามเงื่อนไขของผู้ผลิตสินค้าได้

2.  ตั้งรหัสเข้าเครื่องให้คาดเดายาก ไม่ตั้งรหัสเดียวเข้าได้ทุกแอป ไม่อิงกับวัน เดือน ปี เกิด หรือตัวเลขที่เชื่อมโยงกับตัวเรา เช่น บ้านเลขที่ เบอร์โทร เป็นต้น และอย่าให้ใครรู้รหัสเข้าเครื่องโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะในขณะใช้งาน การกดรหัสต้องระวังคนหรือกล้องวงจรปิดในบริเวณที่กำลังใช้งานด้วย ซึ่งการเข้ารหัสผ่านทาง Face ID หรือลายนิ้วมือ ก็ช่วยป้องกันการแอบดูได้เช่นกัน

3. ไม่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi สาธารณะ เพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ เพราะสัญญาณนั้น อาจเป็นกับดักที่มิจฉาชีพสร้างไว้เพื่อดักฟัง หรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว และรหัสผ่านต่าง ๆ บนอุปกรณ์สื่อสารของเราก็เป็นได้

4. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน จาก Official Store เท่านั้น เช่น  iPhone, iPad เป็นระบบปฏิบัติการ iOS ก็ควรดาวน์โหลดแอปจาก App Store ส่วนใครที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ก็ควรจะดาวน์โหลดจาก Google Play Store เป็นต้น ที่สำคัญ แม้จะเป็นแอปที่อยู่ใน Official Store หากไม่รู้ว่ามีไว้ใช้งานอะไร ก็อาจถูกมิจฉาชีพหลอกให้ดาวน์โหลด เพื่อใช้ประโยชน์จากแอปจริงมาทำเรื่องไม่ดี เช่น ใช้ประโยชน์จากแอปที่สามารถขอสิทธิ์เข้าไปแก้ไขอุปกรณ์ใช้งานต่าง ๆ ได้จากระยะไกล มาหลอกให้เรากดให้สิทธิ์ เพื่อเข้าไปควบคุมมือถือแล้วโอนเงินออกไปจากบัญชี เป็นต้น

5. หาแอปพลิเคชันมาช่วยกรองเบอร์สุ่มเสี่ยง เช่น แอปพลิเคชัน Whoscall โดยสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก App Store หรือ Play Store  และสังเกตชื่อบริษัทผู้พัฒนา ซึ่งจะต้องเป็น Gogolook เท่านั้น แอปนี้จะมีฐานเบอร์โทรจากผู้ใช้งานทั่วโลกรวบรวมไว้ และมียอดใช้งานเป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาแอปประเภทเดียวกัน เวลามีเบอร์ที่เราไม่รู้จักโทรเข้ามา แอปจะบอกเบื้องต้นว่าเบอร์ที่ติดต่อมาเป็นใคร และถ้าเบอร์นั้นขึ้นว่าเป็นมิจฉาชีพ แสดงว่ามีผู้ใช้รายงานมาเป็นจำนวนมากแล้วว่าเป็นเบอร์หลอกลวง เราก็จะได้ระวังตัวไว้ก่อน เลือกที่จะตัดสายทิ้ง หรือไม่รับสายก็ได้

6. ใช้มือถืออย่างมีสติรู้เท่าทัน ในยุคดิจิทัลอะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน อาจเป็นการปลอมแปลงเพื่อหวังเงินในบัญชีของเรา เช่น หลอกให้กดลิงก์ ลวงให้โอนเงิน หรือดาวน์โหลดแอปอันตราย ซึ่งอาจมาในรูปแบบของข้อความแนบลิงก์ หรือปุ่มให้กด รวมถึงอาจมาในรูปแบบของ QR Code ให้สแกน หรือไฟล์ให้ดาวน์โหลด หากเจอแบบนี้ ให้คิดถึงหลักความเป็นจริง และความสมเหตุสมผลเข้าช่วย บวกกับการมีสติ ก็จะช่วยลดการสูญเสียทรัพย์สินได้

7. หมั่นอัปเดตระบบปฏิบัติการของสมาร์ตโฟน รวมถึงแอปพลิเคชันที่เราใช้งาน ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ เพื่อให้ระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ได้รับการอัปเดตตามไปด้วย

หลักง่าย ๆ ไม่กี่ข้อนี้ เป็นพื้นฐานที่คนยุคดิจิทัลอย่างเราต้องยึดไว้ปฏิบัติ และบอกต่อไปยังคนใกล้ชิด เพื่อเสริมเกราะป้องกันภัยออนไลน์ อย่าปล่อยให้สมาร์ทโฟนที่ทุกคนพกติดตัวไปได้ทุกที่ ทุกเวลา ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองหมดตัวเด็ดขาด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


9 ประโยชน์ดีๆ จาก “ถั่ววอลนัท” ลดน้ำหนัก-คอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอล เป็นสาเหตุหลักของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นาๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน ไขมันอุดตันเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ และอื่นๆ อีกเพียบ ดังนั้นการควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย จึงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยต่างๆ นับสิบ

หากเราจะบอกว่า “ถั่ววอลนัท” ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ แล้วยังให้ประโยชน์ต่างๆ ต่อร่างกายอีกเพียบ ชาว Sanook! Health จะสนใจหรือเปล่า? ถ้าสนใจก็ตามมาอ่านกันต่อได้เลยค่ะ

10 ประโยชน์ดีๆ จาก “ถั่ววอลนัท”

1. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ถั่ววอลนัทเต็มไปด้วยโฟเลต วิตามินอี และไขมันชนิดดี ถึงแม้ถั่ววอลนัทจะให้พลังงานสูง แต่ไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 1 กำมือ

2. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ป้องกันเยื่อบุหลอดเลือดแดงอุดตัน

3. เป็นอาหารที่ให้พลังงาน ช่วยให้อิ่มท้อง แต่ไม่ทำให้อ้วน จึงเป็นอาหารสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ไม่อยากอ้วนลงพุง

4. มีไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายให้ดีขึ้น

5. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสมอง หัวใจ และบำรุงผิวพรรณ

6. ป้องกันอาการความจำเสื่อม เพราะถั่ววอลนัทมีส่วนช่วยทำลายอนุมูลอิสระ และเคมีบางส่วน ต้นเหตุของโรคสมองเสื่อมได้

7. ลดความเครียด

8. ลดระดับความโลหิตที่สูง ให้กลับมาอยู่ในระดับที่สมดุลต่อร่างกาย

9. แก้อาการนอนไม่หลับ จากสารเมลาโทนินที่อยู่ในถั่ววอลนัทตามธรรมชาติ

แค่ถั่ววอลนัทวันละ 1 กำมือ ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายได้ขนาดนี้ เห็นทีวันนี้ต้องรีบวิ่งไปซื้อมาทานกันทั้งบ้านแล้วล่ะค่ะ เห็นด้วยไหม?

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/10/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a33,800.0033,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,189.0033,185.2434,400.00
ทองรูปพรรณ 90%1,970.1029,866.72n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,751.2026,548.19n/a
ทองรูปพรรณ 50%985.0014,932.60n/a
ทองรูปพรรณ 40%766.0011,612.56n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,268.0034,382.88n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/10/2566



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.2538.2538.7538.2538.5538.2538.2538.2538.2538.25
แก๊สโซฮอล์ 9137.9837.9838.4837.9838.2837.9837.9837.9837.9837.98
แก๊สโซฮอล์ E2035.9435.9436.4435.9436.2435.9435.9435.9435.94
แก๊สโซฮอล์ E8536.0936.0936.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.4449.2449.9449.2444.44
เบนซิน 9546.0447.5146.5446.1946.04
ดีเซล B729.9429.9430.2429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.2443.3448.8443.3442.9441.24
แก๊ส NGV17.5917.5917.59


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า