กางแผน ‘SC Asset’ ชูจัดซื้อสีเขียว ลดคาร์บอน 35,000 ตันภายใน 3 ปี !
“SC Asset” กางแผนภารกิจ SCero Mission “ออกแบบและจัดซื้อ” รวมถึงการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 35,000 ตันคาร์บอนฯ ภายใน 3 ปี โดยการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และการจัดซื้อสีเขียวในโครงการแนวราบที่มีสัดส่วนถึง 70% ของรายได้บริษัทฯ
กลายเป็นวาระแห่งชาติในการลดคาร์บอนสุทธิเป็น “ศูนย์” ทั้งในภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2608 หนึ่งในนั้นคือ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของโลก ผ่านทางกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Procurement ถือเป็น “หัวใจ” สำคัญของการสร้างที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือคอนโดมิเนียม
นางสาวสุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล หัวหน้าสายงาน การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงที่มาของ SCero Mission ภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำและการสานภารกิจให้ไปถึง Net Zero โดยการลดก๊าซเรือนกระจก (GHG หรือ Greenhouse Gases) ให้มากที่สุด
“จากข้อมูลย้อนหลังพบว่า ปีนี้อุณหภูมิในกรุงเทพฯ สูงขึ้นตั้งแต่ 0.1-2.1 องศา เทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งถือว่าสูงมาก ในฐานะคนที่ดำเนินธุรกิจควรเข้ามามีส่วนรับผิดชอบ และเป็นส่วนหนึ่งของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากอุตสาหกรรมหนักเยอะมากไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ซีเมนต์ ที่ใช้ในการสร้างบ้าน คอนโด โรงแรม อาคารสำนักงาน และคลังสินค้า” นางสาวสุดารัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจของบริษัทเกี่ยวข้องตั้งแต่การออกแบบ จัดซื้อ สร้าง ใช้ และทิ้ง ซึ่งมีผลต่อ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในช่วงการ “ออกแบบ” และ “ใช้” หรือช่วงการพักอาศัยของลูกค้า (Operational Carbon) และ “การจัดซื้อ” หรือการเลือกอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้างซึ่งติดมากับตัวสินค้า (Embodied Carbon) ที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับต้นๆ ของกระบวนการพัฒนาโครงการ เมื่อมองในภาพรวมแล้ว เอสซี แอสเสท จึงเริ่มจากการโฟกัสส่วนที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้คือ การ “ออกแบบและจัดซื้อ” จึงเป็นที่มาของภารกิจ SCero Mission และการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 35,000 ตันคาร์บอนฯ ภายใน 3 ปี ด้วยการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และการจัดซื้อสีเขียวในโครงการแนวราบที่มีสัดส่วนถึง 70% ของรายได้บริษัทฯ
โดยเริ่มจาก งานออกแบบ ผังโครงการ ภูมิสถาปัตย์ และในปีที่ผ่านมาได้มา “โฟกัส” การจัดซื้อวัสดุที่มาจากอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งจะมีค่าคาร์บอนติดมาด้วย จึงมีความพยายามที่จะลดค่าคาร์บอนจากกระบวนการจัดซื้อเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก จึงเป็นที่มาของการจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Procurement เพื่อให้ SC Asset เป็นองค์กรสีเขียวที่แข่งขันได้
“ที่ผ่านมา SC Asset ให้ความสำคัญภายใต้หลัก 3อ คือ ออกแบบ อุปกรณ์ และอุปนิสัย 2อ แรกบริษัทฯ ดำเนินการ ส่วนอุปนิสัยใช้วิธีการส่งเสริมแนะนำให้กับลูกค้าในการประหยัดพลังงาน”
นายพิษณุ เดชสง หัวหน้าสายงานจัดซื้อ และการจัดหาเชิงกลยุทธ์ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset กล่าวว่า การจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Procurement เป็นเรื่อง “ยาก” ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องทำกับคู่ค้า จึงเริ่มต้นจากกลุ่มคู่ค้าที่มีนโยบายเหมือนกัน หรือกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม และเริ่มจากวัสดุที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น เหล็ก โครงหลังคา อะลูมิเนียม สุขภัณฑ์ คอนกรีต ซีเมนต์ สี แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป เป็นหมวดหลักที่เร่งดำเนินการก่อนเป็นอันดับแรก
“ปีนี้เราตั้งเป้า 70% ในการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมคาดว่าสิ้นปีน่าจะถึง 80% ซึ่งเกินเป้า ส่วนในปีหน้าตั้งเป้าว่าต้องมากกว่า 90% แต่ยังไม่ถึง 100% เพราะวัสดุบางตัวยังไม่มีนวัตกรรมในการลดคาร์บอน”
นายพิษณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความท้าทายของ Green Procurement หนีไม่พ้น เรื่องต้นทุนสูง เพราะนวัตกรรมและจำนวนซัพพลายเออร์มีน้อยทำให้ราคาสูง แต่ในอนาคตเชื่อว่าราคาจะถูกลง เมื่อมีความต้องการใช้มากขึ้น เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว! เนื่องจาก Net Zero กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทุกคนต้องทำและมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
จึงเป็นที่มาของการพัฒนากระบวนการในการจัดซื้อร่วมกับคู่ค้าเข้ามานำร่องในโครงการ Partnership to Net Zero เพื่อสร้างเครือข่ายในการทำ Green Procurement ลดคาร์บอน โดยการแบ่งปันความรู้และเก็บข้อมูลสินค้า แนวทางการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเริ่มจากซัพพลายเออร์จำนวน 40 ราย อาทิ SCG, Q-CON, TATA Steel, TOSTEM, แกรนด์โฮมมาร์ท, TOA, เบเยอร์, คอนกรีตไลน์ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี!
นอกจากนั้น การปรับเปลี่ยนวิธีการผลิต หรือวิธีการนำไปก่อสร้าง เพื่อลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างซัพพลายเออร์ ทีมแบบ และผู้รับเหมา ที่ลดปริมาณการใช้ได้จริง ยกตัวอย่างการใช้เหล็กในการสร้างบ้านจากเดิมซื้อเหล็กเส้นยาว 12 เมตร มาดัดมาตัดหน้างานและให้ค่าแรงผู้รับเหมา จนกระทั่งมาเจอกับ ทาทา สตีล ให้โรงงานดัดเหล็กเส้นขึ้นรูป (Cut and Bend) มาส่งให้หน้างานทำให้สามารถลดปริมาณการสั่งซื้อเหล็กลง 15% ต่อบ้านหนึ่งหลัง และผู้รับเหมาลดเวลาการทำงานและใช้แรงงานน้อยลง แต่ข้อจำกัดคือ ซัพพลายเออร์ที่ทำได้ยังมีน้อยราย จึงไม่สามารถขยายได้ 100%
นายพิษณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความท้าทายต่อไปคือ การเก็บข้อมูลปริมาณการใช้และระบบโลจิสติกส์กับคู่ค้ากลุ่มอื่นๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจก GHG หรือ Greenhouse Gases ออกมาได้ โดยใช้แพลตฟอร์ม Carbon Note ที่ร่วมมือพัฒนากับบริษัทสตาร์ตอัป Mekha V บริษัทลูกปตท. เข้ามาเก็บข้อมูลพื้นฐานเพื่อนำไปตั้งเป้าได้ โดยใน 3 ปีนี้ตั้งเป้าว่าจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 35,000 ตันคาร์บอน !! ถือเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างแท้จริง!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘รับสร้างบ้าน’ปี68เดือดผู้รับเหมาแข่งหั่นราคารุกชิงลูกค้าต่างจังหวัด
สมาคมรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านปี 2568 ส่งสัญญาณแข่งแรง หลังอสังหาฯ เบรกเปิดโครงการใหม่ “ผู้รับเหมา” หันเปิดศึกหั่นราคาแข่ง เจาะบ้านต่ำ 3 ล้านพื้นที่ต่างจังหวัด หวั่นปัญหา “ทิ้งงาน” ขยายตัว แนะผู้ประกอบการบริหารต้นทุน รักษามาตรฐานคุณภาพงาน
นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า สถานการณ์ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้าน ปี 2568 โดยรวมสัญญาณค่อนข้างดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุน ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจมากขึ้นจากนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยเริ่มกลับมาตัดสินใจสั่งสร้างบ้านใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มระดับราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ที่มีลูกค้ามีกำลังซื้อสูงไม่มีปัญหาการขอสินเชื่อจากธนาคาร แม้กระนั้นปัจจัย “ความเชื่อมั่น” ทางเศรษฐกิจยังคงมีผลต่อการตัดสินใจสร้างบ้าน
ขณะที่แนวโน้มการแข่งขันในปี 2568 คาดว่าจะรุนแรงขึ้น จากการที่ผู้รับเหมาในโครงการอสังหาริมทรัพย์หันมารับงานสร้างบ้านเพื่อความอยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยส่วนใหญ่ที่พบจะเน้นรับก่อสร้างบ้านในราคาที่ต่ำกว่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วไป ยกตัวอย่างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลราคาต่อตารางเมตร อยู่ที่ 20,000 บาท ต่างจังหวัดต่ำสุดอยู่ในภาคเหนือราคาประมาณ 16,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนภาคอีสานและภาคใต้ใกล้เคียงกันราคาต่อตารางเมตร อยู่ที่ 18,000-19,000 บาท จึงมีความกังวลว่าจะมีผลต่อมาตรฐานการก่อสร้างและปัญหาการ “ทิ้งงาน” ที่อาจเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปี 2568
“การรับสร้างบ้านในราคาที่ต่ำอาจส่งผลต่อคุณภาพงาน นอกจากนี้หากเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้เข้าระบบภาษีมารับงาน อาจทำสัญญาที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านได้ ซึ่งสมาคมฯ เตรียมให้สมาชิกรับมือกับการแข่งขันที่เกิดขึ้น โดยเน้นที่การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพงานที่ดีและได้มาตรฐาน”
สร้างบ้านราคา 10-20 ล้านขยายตัว
นายโอฬาร กล่าวต่อว่า แม้ว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านยังรอจังหวะฟื้นตัวของกำลังซื้อ แต่ในเซกเมนต์บ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาท กลับได้รับความสนใจมากขึ้นจากผู้ที่กำลังวางแผนสร้างบ้าน นับจากยอดสั่งสร้างบ้านภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2024 ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.ย. 2567
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจสร้างบ้าน รวมไปถึงการรุกทำตลาด และรับคำสั่งสร้างบ้านในต่างจังหวัดมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯจะเน้นเจาะตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก จึงเป็นโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568
“ความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวยังคงเป็นสิ่งที่สมาคมฯ จับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งปัญหาการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อในระดับกลางถึงล่าง อาจประสบปัญหาการจัดการหนี้สิน ทำให้ยกเลิกหรือชะลอการสร้างบ้านออกไป”
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยที่น่าจับตามอง ในเป็นประเด็นค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและแรงงานหายาก รวมถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสร้างบ้านเพิ่มขึ้น นำไปสู่การ “ชะลอ” ตัดสินใจสั่งสร้างบ้านของผู้บริโภค คาดว่าจะได้เห็นสัญญาณที่ดีในไตรมาส 2 ปี 2568 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
รวมถึงเป็นผลตอบรับจากปัจจัยบวกจากแรงจูงใจด้านการลดหย่อนภาษีการสร้างบ้าน สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน มูลค่า 1 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนภาษี 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท ราคาไม่ เกิน 10 ล้านบาท โดยเป็นบ้านสั่งสร้างที่มีการเซ็นสัญญา และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ 9 เม.ย.2567 ถึง 31 ธ.ค.2568 อีกทั้ง การปรับกลยุทธ์ของบริษัทรับสร้างบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการบ้านแนวคิดใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ระบบสมาร์ทโฮม บ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบ้านประหยัดพลังงาน
สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2567 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ค่าครองชีพสูงจากต้นทุนสินค้าที่ปรับตัว ส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มที่กำลังวางแผนสร้างบ้านชะลอการตัดสินใจออกไป ทำให้คาดการณ์มูลค่ารวมยอดเซ็นสัญญาสั่งสร้างบ้านของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท จากเป้าหมายต้นปี 2567 วางไว้ 12,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24 ธ.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 34.29 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways หลายตลาดการเงินอาจปิดทำการในวันนี้หรือเปิดทำการเพียงครึ่งวัน ควรระวังความผันผวนในช่วงปริมาณการทำธุรกรรมต่างๆ ในตลาดการเงินที่จะเบาบางลงในช่วงใกล้วันหยุดปลายปี ทั้ง Christmas และ New Year
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24 ธ.ค. 2567 ที่ระดับ 34.29 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมองว่า เงินบาทก็อาจแกว่งตัว Sideways แถวโซน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
โดยเราคาดว่า เงินบาทจะมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน (เลือกทิศทาง) มากขึ้น หลังการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 มกราคม ทำให้เมื่อประเมินจากสถิติในอดีตที่ผ่านมานั้น เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัวในกรอบ Sideways ก่อนจะถึงวันดังกล่าว โดยปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่อาจจะรับรู้ก่อนถึงวันเริ่มงานอย่างเป็นทางการของรัฐบาล Trump 2.0
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า เงินบาทอาจพอได้ลุ้นแรงหนุนจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่เริ่มทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งหุ้นไทยได้บ้าง ทว่าแรงซื้อหุ้นไทยดังกล่าว อาจไม่ได้ช่วยหนุนเงินบาทมากนัก หากนักลงทุนต่างชาติเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า)
หลังเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าจากช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ มากว่า +2% ซึ่งเราเริ่มเห็นแรงขายบอนด์ระยะสั้นออกมาบ้างในช่วงนี้ ที่อาจสะท้อนการปรับสถานะดังกล่าวได้ นอกจากนี้ อาจต้องติดตามการเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและเงินหยวนจีน (CNY) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทได้พอสมควรในช่วงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.35 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ก่อนที่จะแกว่งตัว Sideways ใกล้โซน 34.30 บาทต่อดอลลาร์ (กรอบการเคลื่อนไหว 34.19-34.31 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็เลือกจะทยอยขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำที่ได้กำไรมาพอสมควรในปีนี้ นอกเหนือจากแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board (Consumer Confidence) เดือนธันวาคม กลับลดลงสู่ระดับ 104.7 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาด (112.9 จุด) ไว้พอสมควร
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor นำโดย Nvidia +3.7% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare
อย่าง Eli Lilly +3.7% หลัง FDA อนุมัติการใช้ยาของทางบริษัทเพื่อรักษาภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.98% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.73%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.14% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare นำโดย Novo Nordisk +5.7% หลัง FDA สหรัฐฯ อนุมัติยารักษาโรคเลือดออกของทางบริษัท
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มอื่นๆ ของฝั่งตลาดหุ้นยุโรปกลับทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะกลุ่มเทคฯ ที่ยังคงปรับตัวลดลง อาทิ ASML -0.34% ทำให้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็เป็นไปอย่างจำกัด
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด หากคำนึงถึงผลกระทบที่เป็นไปได้จากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0
รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ (Risk-On) ยังคงหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.58% ซึ่งแม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวขึ้น และ
อาจจบสิ้นปี 2024 สูงกว่าที่เราประเมินไว้แถว 4.15%-4.25% (เนื่องจากคาดการณ์ Dot Plot ใหม่ของเรานั้นผิดไปจากความเป็นจริง โดยเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เราประเมินไว้)
อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทะลุเหนือโซน 4.50% ยังคงทำให้ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่ และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถดำเนินกลยุทธ์ Buy on Dip บอนด์ระยะยาวของเราได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนเร่งให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 157 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี ของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น
ทว่ารายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก ได้ชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 108.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 107.9-108.3 จุด) ทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ย่อตัวลง สู่โซน 2,620-2,630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
ซึ่งเรามองว่าในช่วงปลายปี บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำ ที่ทำกำไรได้โดดเด่นในปีนี้ ทำให้การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำอาจเป็นไปได้ยาก และราคาทองคำก็อาจยังคงอยู่ในช่วงการปรับฐาน (Correction) เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มากนัก โดยในฝั่งสหรัฐฯ จะมีเพียงยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงรายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ
เช่น เฟดสาขา Dallas และ Richmond ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินมากนัก เมื่อประเมินจากสถิติในอดีตรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา ทว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงปริมาณการทำธุรกรรมต่างๆ ในตลาดการเงินที่จะเบาบางลงในช่วงใกล้วันหยุดปลายปี ทั้ง Christmas และ New Year ซึ่งหลายตลาดการเงินอาจปิดทำการในวันนี้ หรือเปิดทำการเพียงครึ่งวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สาวสุพรีมฯ ฟอร์มแรงไม่ตกคว้าชัย 5 นัดนำฝูง วอลเลย์บอลไทยลีก
ปลื้มจิตร์ ถินขาว นำทีมสาวสุพรีม ทิพย ชลบุรี – อี.เทค ตบชนะ ราชมงคลธัญบุรี วีซี 3 เซตรวด ทำผลงานชนะ 5 นัดติดต่อกัน มี 15 แต้ม รั้งจ่าฝูงต่อไป
การแข่งขันวอลเลย์บอลอาชีพ ไทยแลนด์ ลีก เลกที่ 1 สัปดาห์ที่ 5 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ กรุงเทพ ในประเภททีมชาย ไดมอนด์ ฟู้ด ไฟน์เชฟ -สมุทรสาคร ที่คว้าชัยมา 4 เกมรวด
นำโดย อดิพงษ์ ผลภิญโญ และดาวตบต่างชาติอย่าง นิซาร์ จูลฟิการ์ เซตเตอร์ จากอินโดนีเซีย ,เฟเดริโก เปเรย์รา บีหลังจากอาร์เจนติน่า และ อัดดุลลาห์ ชัม หัวเสาชาวตุรกี ตบเอาชนะ เมืองพล-บัณฑิตเอเซีย 3-0 เซต (25-16, 25-23, 25-22) ส่งผลให้ หนุ่ม ไดมอนด์ ฟู้ด เก็บชัย 5 นัดติดต่อกัน มีรวมเป็น 15 คะแนน แซงขึ้นมาเป็นจ่าฝูง เนื่องจากจำนวนเซตได้เสียดีกว่า นครราชสีมา ที่มี 15 แต้มเท่ากัน
ด้านทีมหญิง สุพรีม ทิพย ชลบุรี – อี.เทค เจอกับ ที่ชนะมา 4 เกมรวด นำโดย ปลื้มจิตร์ ถินขาว, วริศรา สีทาเลิศ, สุพัตรา ไพโรจน์ และ มลิกา กันทอง ฟอร์มยังแรงไม่ตก ตบเอาชนะ แฮนด์อินแฮนด์ รือเสาะ ราชมงคลธัญบุรี วีซี 3-0 เซต (25-14, 25-18, 25-17) ส่งผลให้สาวสุพรีม ทำผลงานชนะ 5 นัดติดต่อกัน มี 15 แต้ม รั้งจ่าฝูงต่อไป ส่วน แฮนด์อินแฮนด์ รือเสาะ มี 5 แต้มอยู่อันดับ 4
สำหรับสัปดาห์ที่ 6 จะย้ายไปแข่งขันที่ MCC HALL THE MALLโคราช จ.นครราชสีมา แข่งขันระหว่างวันที่ 27-29 ธ.ค. 2567
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“ไตรกลีเซอไรด์” คืออะไร ทำไมเลขสูงต้องกังวล พร้อมวิธีลดอย่างได้ผล
ช่วงนี้หลายๆ คนคงเริ่มไปตรวจสุขภาพประจำปีก่อนจะสิ้นปีกันแล้ว ค่าตัวเลขหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้ใครต่อใครไม่น้อยคือ “ไตรกลีเซอไรด์” ซึ่งเป็นไขมันชนิดหนึ่งในร่างกาย ว่าแต่เจ้าไตรกลีเซอไรด์นั้นแท้จริงคืออะไร ทำไมตัวเลขสูงต้องกังวล และจะรับมืออย่างไรหากตัวเลขเกินมาตรฐาน
ไตรกลีเซอไรด์คืออะไร
ไตรกลีเซอไรด์เปรียบเสมือนไขมันสะสมในร่างกายของเรา เกิดขึ้นได้จากสองกระบวนการหลัก คือ
- การสังเคราะห์ภายในร่างกาย: ตับของเราจะผลิตไตรกลีเซอไรด์ขึ้นมาจากพลังงานส่วนเกินที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ เช่น คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง น้ำตาล
- การรับจากอาหาร: เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น เนย หรือน้ำมันต่างๆ ไขมันเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนรูปเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในร่างกาย
ทำไมไตรกลีเซอไรด์จึงสำคัญ
ไตรกลีเซอไรด์ทำหน้าที่เป็นเหมือนแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย เมื่อร่างกายขาดพลังงาน ไตรกลีเซอไรด์จะถูกนำออกมาใช้ แต่ถ้าหากมีไตรกลีเซอไรด์สะสมมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
เมื่อไหร่จะเรียกว่าไตรกลีเซอไรด์สูง
การตรวจวัดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด จะช่วยให้เราทราบว่าร่างกายมีการสะสมไขมันมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไปแล้ว ค่าไตรกลีเซอไรด์ที่ปกติจะอยู่ที่ประมาณ 50-150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากผลตรวจออกมาสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หลังจากอดอาหารมาแล้ว 8-12 ชั่วโมง แสดงว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ของคุณสูงกว่าปกติ และร่างกายอาจมีปัญหาในการกำจัดไขมันส่วนเกิน
อันตรายจากไตรกลีเซอไรด์สูง
หากระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: ไตรกลีเซอไรด์สูงอาจทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและอุดตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
- โรคอ้วน: ไตรกลีเซอไรด์ส่วนเกินจะถูกสะสมเป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- โรคตับ: ไตรกลีเซอไรด์ที่สะสมในตับมากเกินไป อาจทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับ
- โรคตับอ่อนอักเสบ: ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของตับอ่อน
- โรคอื่นๆ: เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด
วิธีป้องกันและควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์
- ควบคุมอาหาร: ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตขัดสี และน้ำตาล
- ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเผาผลาญพลังงานและลดระดับไตรกลีเซอไรด์
- ควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไตรกลีเซอไรด์
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น
- รับประทานยา: หากมีภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อช่วยควบคุมระดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“มหิดลวิทย์” ถอดบทเรียนการใช้ AI เพื่อการศึกษา เน้นพัฒนาต่อเนื่อง
โลกเปลี่ยนไว AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน “ดร.วรวรงค์” เผย “มหิดลวิทย์” ถอดบทเรียนการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการศึกษา เน้นพัฒนาต่อเนื่อง ทั้งระดับบุคคลและสถาบันการศึกษา
ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช ผู้อำนวยการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (MWIT) เปิดเผยว่า จากกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้แนวคิด 2568 โอกาสไทย ทำได้จริง เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาและวางรากฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย พร้อมกับการผลักดันให้คนไทยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล นั้น
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ในฐานะโรงเรียนวิทยาศาสตร์ต้นแบบของรัฐ ได้ถอดบทเรียนการดำเนินการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ AI และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในงานประชุมวิชาการ Thailand-Japan Education Leaders Symposium (TJ-ELS 2024) ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล
ดร.วรวรงค์ กล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีความสามารถในการเรียนรู้และให้เหตุผลคล้ายกับมนุษย์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนรายบุคคลได้ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และช่วยลดเวลาและภาระครู เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนได้ แต่ก็ยังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก ไม่มีรูปแบบสำเร็จรูป และปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ซึ่งบุคลากรทางการศึกษายังต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียน และถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาทั้งในระดับบุคคลและสถาบันการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
“MWIT เริ่มใช้ AI ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวเมื่อ 2 ปีก่อน และดำเนินการทดลองใช้ทั้งโรงเรียนในสามมิติ คือ การจัดการเรียนการสอน การทำโครงงานวิจัย และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร โดยมุ่งเน้นการค้นหารูปแบบและวิธีการเรียนรู้ที่เพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ระหว่างครูและผู้เรียน เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน”
การนำ AI ทั้ง Machine Learning และ Deep Learning มาเป็นส่วนหนึ่งของการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานในองค์กร ตามลำดับ ซึ่งเราได้ถอดบทเรียนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่องในองค์กร” ดร.วรวรงค์ กล่าว
ดร.สาโรจน์ บุญเส็ง หัวหน้าฝ่ายบริหารการเรียนรู้และระบบโรงเรียนประจำ และครูผู้สอนวิชาเคมีโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ได้นำเสนอผลการถอดบทเรียนของ MWIT ในงาน TJ-ELS 2024 เรื่อง “AI in Action: Transforming Education at a Science High School, MWIT” โดยเล่าถึงตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ในการสร้างหลักสูตรของโรงเรียน
โดยค้นหาแนวทางการประเมินสมรรถนะผู้เรียนโดยการสังเกตพฤติกรรม การสร้างคำถามเพื่อนำมาสู่การอภิปรายในชั้นเรียน การสร้างโค้ดเพื่อนำเสนอข้อมูลกราฟและสมการ การปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา การให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรายวิชา การสืบค้นข้อมูลและสนับสนุนการเขียนโครงงานวิจัยของนักเรียน
ดร.สาโรจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงเรียน เราได้ใช้งาน AI ทำงานที่หลากหลาย เช่น การเขียนโครงการ การสร้างขั้นตอนการทำงาน (Flow Chart) การตอบอีเมล ร่างจดหมายราชการ การสร้างกำหนดการกิจกรรม การตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การสร้างสคริปต์ของพิธีกร
ซึ่งเทคโนโลยี AI ช่วยให้บุคลากรในโรงเรียนประหยัดเวลาในการทำงานที่ซับซ้อน สร้างคุณค่าของการทำงานได้มากขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียน แต่ยังส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาเชิงรุกในยุคดิจิทัล
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
9 วลี แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ สั้นๆ ง่ายๆ ใช้ได้จริง!
ประโยคแสดงความคิดเห็น ภาษาอังกฤษ
“เรียนรู้การแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมตัวอย่างประโยคและคำแปล”
การพูดแสดงความคิดเห็น
การพูดแสดงความคิดเห็น คือ การพูดเพื่อแสดงความรู้สึกหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ใดเรื่องหนึ่งอย่างมีเหตุผล มีความสอดคล้องกับเรื่องที่พูด ในการพูดแสดงความคิดเห็น อธิบายเหตุผล ข้อเท็จจริง ผู้พูดอาจพูดแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม หรือเรื่องอื่นๆ ก็ได้ ทั้งนี้เมื่อแสดงความคิดเห็นไปแล้วควรทาให้ผู้ฟัง เห็นด้วยหรือคล้อยตาม
วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงนำ ตัวอย่าง ประโยค แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เพื่อนๆ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันค่ะ
9 วลี แสดงความคิดเห็นภาษาอังกฤษ
Actually… (แอค’ ชวลลี) จริงๆ แล้ว…
- The hotel looks expensive, but actually it’s cheap.
(เดอะ โฮเทล ลุค อิคซฺเพน’ซิฟว บัท แอค’ ชวลลี อิทส ชีพ)
โรงแรมดูแพง แต่จริงๆแล้วมันถูก - I didn’t like him at first, but in the end I was actually in love with him.
(ไอ ดิค’เดินทฺ ไลคฺ ฮิม แอท เฟิร์ท บัท ดิ เอนดฺ ไอ วอช แอค’ ชวลลี อิน ลัฟว วิท ฮิม)
ตอนแรกฉันไม่ชอบเขาเลยนะ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็รักกับเขาอะ
Frankly… (แฟรงคฺ’ลี) บอกตรงๆ นะ…
- Can I speak frankly with you?
(แคน ไอ สปีค แฟรงคฺ’ลี วิท ยู)
ฉันขอพูดตรงๆ กับคุณได้ไหม - Quite frankly, I think this whole situation is ridiculous.
(ไควทฺ แฟรงคฺ’ลี, ไอ ธิงคฺ ธีส โฮล ซิช’ชุเอ’เชิน อีส รีดิค’คิวเลิส)
บอกตรงๆ นะ ฉันคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้ไร้สาระ
I guess… (ไอ เกส) ฉันว่า…
- I guessed (that) she was your sister.
(ไอ เกส แธท ชี วอส ยัวร์ซิส’เทอะ)
ฉันเดา (ว่า) เธอเป็นน้องสาวของคุณ - I guessed the total amount to be about ฿ 50,000.
(ไอ เกส เดอะ โท’เทิล อะเมานทฺ’ ทู บี อะเบาทฺ’ ฟิฟ’ที เธา’เซินดฺ)
ฉันเดาว่ายอดรวมจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท
In my opinion,… (อิน มาย โอพิน’เยิน) ในความคิดของฉัน…
- In my opinion, you should take the exam again.
(อิน มาย โอพิน’เยิน ยู ชูด เทค ดิ อิกแซม’)
ฉันคิดว่าคุณควรสอบอีกครั้ง - In my opinion, he is not fit for the work.
(อิน มาย โอพิน’เยิน ฮี อีส นอท ฟิท ฟอร์ เดอะ เวิร์ค)
ในความคิดของฉัน เขาไม่เหมาะกับงานนี้
I’m sure that… (ไอม ชัวร์ แธด) ฉันมั่นใจว่า…
- I’m sure (that) I left my keys on the table.
(แอม ชัวร์ (แธท) ไอ เลฟทฺ มาย คี ออน เดอะ เท’เบิล)
ฉันแน่ใจ (ว่า) ฉันทิ้งกุญแจไว้บนโต๊ะ - I feel absolutely sure (that) you’ve made the right decision.
(ไอ ฟีล แอบ’ โซลูทลี่ ชัวร์ (แธท) ยู เมด เดอะ ไรท์ ดิซิส’เชิน)
ฉันรู้สึกมั่นใจอย่างยิ่ง (ว่า) คุณตัดสินใจถูกแล้ว
To be honest… (ทู บี ออน’นิสทฺ) ถ้าจะให้พูดตรงๆ ละก็…
- To be honest (with you), I don’t think it will be possible.
(ทู บี ออน’นิสทฺ (วิทยู), ไอ ดอน-เทอะ ธิง อิท วิล บี พอส’ซะเบิล)
ถ้าจะให้พูดตรงๆ ละก็… (กับคุณ) ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้
I see your point but… (ไอ ซี ยัวร์ พอยทฺ บัท) ฉันเข้าใจประเด็นของคุณ แต่…
- I see your point, but I don’t think your plan is realistic.
(ไอ ซี ยัวร์ พอยทฺ บัท ไอ ดอน ธิง ยัวร์ แพลน อิส รีอะลิส’ทิค)
ฉันเข้าใจประเด็นของคุณ แต่ไม่คิดว่าแผนของคุณจะเป็นจริงได้
I see what you are saying but… (ไอ ซี วอท ยู อาร์ เซ’อิง บัท) ฉันเข้าใจที่คุณพูด แต่…
That’s partly true but… (แธทซฺ พาร์ท’ลี ทรู บัท) มันก็จริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่…
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
ลือ! Apple กำลังพัฒนา AirPod Pro 3 ให้มีระบบวัดชีพจรในหูฟัง
Mark Gurman นักข่าวจาก Bloomberg รายงานว่า Apple กำลังพัฒนาฟีเจอร์ด้านสุขภาพใหม่ๆ สำหรับ AirPods เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และการวัดอุณหภูมิร่างกาย
ในจดหมายข่าว Power On ว่า เทคโนโลยีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจอาจพร้อมใช้งานใน AirPods Pro 3 ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา เท่านั้น แต่ การที่ AirPods สามารถวัดชีพจรได้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามสุขภาพและความฟิตของร่างกายได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องสวมใส่ Apple Watch
แม้ว่าจากการทดสอบภายในของ Apple พบว่า Apple Watch ให้ผลการวัดชีพจรที่แม่นยำกว่า AirPods แต่ Gurman ก็เชื่อว่า AirPods ก็มีความแม่นยำไม่น้อยหน้าเช่นกัน
นอกจากนี้ Powerbeats Pro 2 ที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2025 ก็จะมาพร้อมฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างการออกกำลังกายด้วย โดยสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ออกกำลังกาย เช่น ลู่วิ่งไฟฟ้า เพื่อวัดชีพจร และแสดงผลบนแอป Health และแอปอื่นๆ ที่รองรับบน iPhone
Gurman ยังกล่าวถึงแผนระยะยาวของ Apple ที่จะเพิ่มกล้องขนาดเล็กเข้าไปใน AirPods เพื่อรองรับฟีเจอร์ AI ซึ่งขณะนี้เป็น “โครงการสำคัญ” แต่คาดว่าจะยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะแล้วเสร็จ ทั้งหมดนี้ต้องรอติดตามกันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ชา VS กาแฟ กินอะไรดีกว่า และไม่ทำร้ายร่างกายเกินไป
คำถามโลกแตกอีกเรื่องนั่นคือเครื่องดื่มอย่าง ชาและกาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่คนทั่วโลกชื่นชอบ แต่สำหรับคนรักสุขภาพแล้ว เครื่องดื่มชนิดใดจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ากัน? วันนี้ Sanook Men มีำคตอบครับ
ชา VS กาแฟ ดื่มอะไรดีกว่า
ประโยชน์ของชา
ชาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ ชาก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- กระตุ้นการทำงานของสมอง
- ช่วยย่อยอาหาร
- ควบคุมน้ำหนัก
- ช่วยให้ผ่อนคลาย
ชา มีหลากหลายชนิด เช่น ชาเขียว ชาดำ ชาอู่หลง และชาสมุนไพร แต่ละชนิดก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่แตกต่างกันไป เช่น ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอัลไซเมอร์ ส่วนชาดำ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน
ประโยชน์ของกาแฟ
กาแฟ ขึ้นชื่อในเรื่องของการกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และความตื่นตัว นอกจากนี้ กาแฟยังมีประโยชน์อื่นๆ อีก เช่น
- เพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย
- ลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ
ข้อควรระวัง
- ปริมาณคาเฟอีน: ควรดื่มชาและกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน
- น้ำตาล: ควรหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล หรือเลือกใช้สารให้ความหวานแทน
- สารปรุงแต่ง: เช่น ครีมเทียม นมข้นหวาน อาจมีไขมันและน้ำตาลสูง
- สุขภาพส่วนบุคคล: ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
อย่างไรก็ตามเครื่องอื่มทั้งคู่ก็สามารถดื่มได้และไม่ทำร้ายสุขภาพ หากเลือกดื่มตามปริมาณที่เหมาะสมนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/12/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,350.00 | 42,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,743.00 | 41,583.88 | 42,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,468.70 | 37,425.49 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,194.40 | 33,267.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,234.00 | 18,707.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 960.00 | 14,553.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,842.00 | 43,084.72 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.25 | 36.25 | 36.75 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 | 36.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.88 | 35.88 | 36.38 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 | 35.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.14 | 34.14 | 34.64 | 34.14 | 34.14 | – | 34.14 | 34.14 | 34.14 | 34.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.89 | 33.89 | – | – | – | – | – | – | – | 33.89 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.84 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.84 |
เบนซิน 95 | 44.54 | – | – | – | 49.81 | – | 45.04 | 44.69 | – | 44.54 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 31.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |