อย่าปล่อย 10 อสังหาฯจีน เบียดแข่งอสังหาฯไทย อนาคตอาจถึงจุดจบ

ดร.โสภณ AREA จี้รัฐบาลอย่าปล่อย 10 ยักษ์อสังหาจีน เบียดแข่งอสังหาไทย 12 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อนาคตอาจถึงจุดจบ จีนกินรวบ
12 อันดับบริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในรอบ 30ปีที่ผ่านมาจากฐานข้อมูลที่เก็บมาอย่างยาวนานที่สุดตั้งแต่ปี 2537-2567แม้จะใหญ่ แต่ก็อาจมีอนาคตที่ถึงจุดจบ
ดร.โสภณ พรโชคชัยประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ( www.area.co.th)ได้ นำเสนอผลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2537 จนถึง2567 รวม 31 ปี
สามารถจัดลำดับบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการศึกษาตลาดที่อยู่อาศัยไทย และพบว่าบริษัทพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่เหล่านี้สร้างที่อยู่อาศัยได้มากกว่าการเคหะแห่งชาติเสียอีกอันดับหนึ่งของบริษัทพัฒนาที่ดินก็คือ
บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตทซึ่งพัฒนาทั้งหมด 788 โครงการ 263,699 หน่วย รวมมูลค่า 604,520 ล้านบาทหรือ 17.780 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้มีราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยหน่วยละ 2.292 ล้านบาท หรือ 67,425 เหรียญสหรัฐ
ถ้าเทียบกับการเคหะแห่งชาติตั้งแต่ตั้งการเคหะแห่งชาติขึ้นมาเกือบ 50 ปี ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยประมาณ142,000 หน่วย (ไม่รวมการปรับปรุงชุมชนแออัด บ้านเอื้ออาทรบ้านพักข้าราชการ เป็นต้น) ดร.โสภณกล่าวว่า “ฟ้าส่งการเคหะแห่งชาติมาเกิดยังดันผ่า บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท มาเกิดอีก”
สำหรับอันดับที่ 2 ในด้านจำนวนหน่วยคือ บมจ.แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ซึ่งพัฒนาถึง 137,268 หน่วยใกล้เคียงกับจำนวนหน่วยที่สร้างโดยการเคหะแห่งชาติเลย แต่ก็ยังน้อยกว่าของ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท ถึงเกือบครึ่ง
ส่วนอันดับที่ 3, 4 และ 5ก็ใกล้เคียงกับอันดับที่ 2 ได้แก่ บมจ.ศุภาลัย บมจ.เอ.พี. (ไทยแลนด์) และบมจ.แสนสิริ ที่พัฒนาจำนวน 129,982, 129,853 และ 124,540 หน่วยตามลำดับสำหรับบริษัทพัฒนาที่ดินอันดับที่ 6-12 นั้นส่วนมากเป็นบริษัทที่เปิดตัวมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540
แต่มีอยู่ 4 บริษัทที่เปิดมาในภายหลังได้แก่ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (อันดับที่ 7) บมจ.อนั้นดาดีเวลลอปเม้นท์ (อันดับที่ 9) บมจ.แอสเซทไวส์ (อันดับที่ 11) และบมจ.เอสซีแอสเสทคอร์ปอเรชั่น (อันดับที่ 12)
แสดงว่าบริษัทใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่เกิน 30 ปีก็มีโอกาสเติบโตเช่นกันหากเป็นบริษัทมหาชนที่มีผลงานต่อเนื่อง)ทั้ง 12 บริษัทนี้ เปิดถึง 3,504 โครงการ รวม 1,160,229 หน่วย รวมมูลค่า4,279,673 ล้านบาท หรือ 125.873 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 3.689 ล้านบาท หรือ 108,490 เหรียญสหรัฐ
ดร.โสภณประมาณการว่ามูลค่าที่บริษัทมหาชนทั้ง 12 แห่งนี้พัฒนาน่าจะมีขนาดประมาณหนึ่งในสามของมูลค่าการพัฒนารวมทั่วประเทศ เพราะบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในจังหวัดภูมิภาคมักพัฒนาโครงการขนาดเล็กในอนาคตโอกาสที่บริษัทขนาดเล็กจะเสียเปรียบบริษัทขนาดใหญ่
ธุรกิจพัฒนาที่ดินจะมีลักษณะกึ่งผูกขาดโดยบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด บมจ.เอ.พี.(ไทยแลนด์) พัฒนาในมูลค่าสูงสุดถึง 634,526 ล้านบาท หรือ 18.663พันล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าบมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท เพียง 5% ทั้งนี้เพราะบมจ.เอ.พี. (ไทยแลนด์)
สร้างบ้านในราคาที่สูงกว่า คือเฉลี่ย 4.886 ล้านบาท หรือ143,720 เหรียญสหรัฐ บริษัทนี้สร้าง 472 โครงการ รวม 129,853 หน่วยในอนาคต บริษัทพัฒนาที่ดินจีนจะมาแข่งกับไทยอย่างแน่นอนเพราะเศรษฐกิจจีนอาจอ่อนแอลง
เพราะสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาบริษัทพัฒนาที่ดินจีนจึงไม่สามารถเติบโตในประเทศได้อีกต่อไปและจะมาแข่งขันนอกประเทศมากขึ้นประเทศที่จีนเล็กเป้าที่จะมาลงทุนก็คงไม่พ้นประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะไทยอินโดนีเซียและมาเลเซีย เป็นสำคัญ มาลองดูขนาดของบริษัทจีนที่มีขนาดใหญ่มาก
รายได้ของ 10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน พ.ศ.2566
1 ) ไชน่า แวนเคอ ( China Vanke) 503.84 พันล้านหยวน / 2,357,971 ล้านบาท/ 69.352พันล้านUSD
2) กรีนแลนด์ โฮลดิ้ง (Greenland Holdings) 435.91 พันล้านหยวน / 2,040,059 ล้านบาท /60.002 พันล้าน USD
3) คันทรี่ การ์เด้น (Country Garden) 430.37 พันล้านหยวน /2,014,132 ล้านบาท/59.239พันล้านUSD
4) โพลี่ เรียลเอสเตท( Poly Real Estate) 281.11 พันล้านหยวน / 1,315,595 ล้านบาท/ 38.694 พันล้านUSD
5) ลองฟอร์ พร็อพเพอร์ตี้ ( Longfor Properties) 250.57 พันล้านหยวน /1,172,668ล้านบาท/ 34.490 พันล้านUSD
6) ไชน่ารีซอร์สเซส แลนด์ (China Resources Land Limited) 207.06 พันล้านหยวน / 969,041 ล้านบาท/ 28.501พันล้านUSD
7) ไชน่า เมอร์แซนท์ เสอโขว่ อินดัสตี้ (China Merchants Shekou Industrial ZoneHoldings) 183.00 พันล้านหยวน/ 856,440 ล้านบาท /25.189 พันล้านUSD
8) กรีน ทาวน์ ไชน่า (Greentown China) 127.15 พันล้านหยวน/ 595,062ล้านบาท/ 17.502 พันล้านUSD
9) เจมเดล คอเปอร์เรชั่น (Gemdale Corporation) 120.21 พันล้านหยวน/ 562,583ล้านบาท/ 16.547พันล้านUSD
10) ซีเซน กรุ๊ป (Seazen Group ) 116.54พันล้านหยวน/ 545,407 ล้านบาท/ 16.041 พันล้านUSD
ที่มา: https://www.statista.com/statistics/454494/china-fortune-500-leading-chinese-real-estate-companies/
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ของจีนมีขนาดมหึมามากจริงๆทั้งนี้ลองเปรียบเทียบกับบริษัทพัฒนาที่ดินไทยที่ใหญ่ที่สุด
10 อันดับแรกมูลค่าการพัฒนาของบริษัทพัฒนาที่ดินไทยที่ใหญ่ที่สุด พ.ศ.2567
1) เอพี (A.P. (Thailand) 47,778 ล้านบาท/1.405 พันล้าน USD
2) เอสซี แอสเสท(SC Asset Corporation) 32,676 ล้านบาท/0.961 พันล้าน USD
3) แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (Land &House) 32,352 ล้านบาท / 0.952 พันล้านUSD
4)แสนสิริ(Sansiri) 31,679 ล้านบาท / 0.932 พันล้านUSD
5) โนเบิล(Noble Development) 30,804 ล้านบาท/ 0.906 พันล้านUSD
6)ศุภาลัย (Supalai) 26,410 ล้านบาท /0.777พันล้านUSD
7) เมเจอร์ (Major Development) 18,250 ล้านบาท/ 0.537 พันล้านUSD
8) อนันดาฯ(Ananda Development) 15,696 ล้านบาท/0.462 พันล้านUSD
9) พฤกษา (Pruksa Real Estate) 13,357 ล้านบาท /0.393 พันล้านUSD
10) ควอลิตี้เฮ้าส์ (Quality House) 11,538 ล้านบาท /0.339พันล้านUSD
รวม 260,540 ล้านบาท/7.663พันล้าน USD
บริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุด 10อันดับแรกรวมกันพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพียง260,540 ล้านบาท หรือ 7.663 พันล้านเหรียญสหรัฐ ยังน้อยกว่าบริษัทอันดับที่10 ในปี 2566 ที่มีรายได้ถึง 545,407 ล้านบาท หรือ 16.041พันล้านเหรียญสหรัฐ ดร.โสภณ ตั้งข้อสังเกตว่าหากรัฐบาลไทยปล่อยให้บริษัทพัฒนาที่ดินจีนเข้ามาแข่งขันอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยไทยคงถึงจุดจบ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อินฟินีออน ผู้ผลิตชิปเยอรมนีขยายฐานผลิตผุดโรงงานในนิคมฯอารยะ

“อินฟินีออน” เซมิคอนดักเตอร์สัญชาติเยอรมนี คิกออฟโรงงาน125 ไร่ในนิคมฯอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากกล่าวถึง อินฟินีออน คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้นำระดับโลกด้านเซมิคอนดักเตอร์ในระบบพลังงานที่ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดถึง 21.3% ในปี 2567 นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ระดับโลกอีกด้วย ด้วยการเปิดโรงงานในประเทศไทย อินฟินีออนไม่เพียงแต่จะเสริมศักยภาพด้านการผลิต แต่ยังส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรในประเทศ และเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
ทำไมต้องอารยะ?
คำตอบอยู่ที่ ทำเลที่ตั้ง ของ โครงการ ARAYA – The Eastern Gateway ซึ่งตั้งอยู่ใน Super Prime Location ณ กิโลเมตรที่ 32 ถนนบางนา-ตราด จังหวัดสมุทรปราการ เชื่อมต่อสะดวกสบายกับ ทางพิเศษกรุงเทพ-ชลบุรี, ท่าเรือกรุงเทพ และ สนามบินสุวรรณภูมิ ที่สำคัญคือมี สาธารณูปโภคที่มีมาตรฐานระดับสากล ทั้งด้านพลังงานที่มั่นคงและเสถียร รวมถึงการใช้ พลังงานหมุนเวียน ที่ไม่เพียงตอบโจทย์การผลิตที่ยั่งยืน แต่ยังตอบรับกับการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ที่เชื่อมโยงการผลิตและการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือก ARAYA เป็นฐานการผลิตอินฟินีออน เพื่อพัฒนา โรงงานผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ บนที่ดินขนาด 125 ไร่ในโครงการ ARAYA – The Eastern Gateway ซึ่งจะเป็นโรงงาน Back End Production ที่จะขยายฐานการผลิตในภูมิภาคนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เติบโตของ โมดูลพลังงาน และการขยายตัวของ เทคโนโลยี IoT ซึ่งยิ่งสะท้อนถึงการขับเคลื่อนที่ไม่หยุดยั้งในโลกของการพัฒนาเทคโนโลยี
การลงทุนดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนในพื้นที่ แต่เป็นการลงทุนใน “ระบบนิเวศ “ที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว โครงการนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็น The First Industrial Tech Ecosystem in Thailand หรือระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมที่ครบวงจร พร้อมด้วยศูนย์กลาง อุตสาหกรรมและนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
วิสัยทัศน์แห่งอนาคต
โรงงานอินฟินีออนในโครงการ ARAYA มีแผนเปิดใช้งานในต้นปี 2569 โดยมุ่งเน้นการ ลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Digitalization) ทั้งสองปัจจัยนี้คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้โรงงานสามารถผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยรองรับการพัฒนาของ พลังงานหมุนเวียน และ IoT ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะตั้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งจะเป็นศูนย์ที่ทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในภูมิภาคเอเชียอย่างครบวงจร
การสนับสนุนจากภาครัฐ
โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การพัฒนาธุรกิจเอกชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทยเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและการสร้างงานอย่างยั่งยืน การตัดสินใจลงทุนของ อินฟินีออน ในประเทศไทย นอกจากจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยังจะช่วยยกระดับศักยภาพของ อุตสาหกรรมไทย ในการเชื่อมโยงกับตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีส่วนในการพัฒนา นวัตกรรม และ การฝึกอบรมบุคลากร ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการบ่งบอกถึง ความแข็งแกร่งของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีในอนาคตช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24มี.ค.“อ่อนค่าลง เล็กน้อยแทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง เงินดอลลาร์พอได้แรงหนุงจากแรงขายทำกำไรเงินยูโรที่แข็งค่าแต่อาจเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ฝั่งไทยตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลการผลิตของเดือนก.พ.
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24มี.ค. ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง เล็กน้อยแทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.83-33.96 บาทต่อดอลลาร์)
โดยในช่วงแรก เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากแรงขายทำกำไรสถานะ Long บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR)
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งยังคงสนับสนุนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเฟด ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดูสดใส
อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมกันนั้น ความกังวลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ยังคงช่วยหนุนเงินดอลลาร์เพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) รีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสถานการณ์ตะวันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกอ่อนค่าลง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อีกทั้งราคาทองคำก็เผชิญแรงขายต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานดัชนี PMI จากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และควรระวัง ความเสี่ยงการเมืองของไทย จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
–ฝั่งสหรัฐฯ – แม้ว่าไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนกุมภาพันธ์ ทว่าหลังจากที่เฟดได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดในการประชุม FOMC เดือนมีนาคม ซึ่งเฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ
ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) เดือนมีนาคม
รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ในเดือนมีนาคม
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังล่าสุด คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ยังคงสะท้อนว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีหน้า
ทว่า Dot Plot ใหม่ก็ดูมีความ “Hawkish” มากขึ้น สะท้อนจากจำนวนเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านเปลี่ยนใจสนับสนุนให้เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย (ลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ หรือ คงดอกเบี้ยทั้งปี)
▪ ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนมีนาคม ของยูโรโซนและอังกฤษ
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (IFO Business Climate) เดือนมีนาคม รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกุมภาพันธ์
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ย ได้อีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ เช่นเดียวกันกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของ BOE
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่าน รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนมีนาคม รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อของกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) เดือนมีนาคม
ซึ่งอาจยังคงสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดโอกาสให้ BOJ ทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสราว 34% ที่จะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาประเด็นการเมือง ซึ่งจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (No-Confidence Motion) นายกฯ โดยต้องจับตาเสถียรภาพทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลหลังการอภิปรายครั้งนี้
ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลการผลิต ทั้งดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) และอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในเดือนกุมภาพันธ์
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท นั้น หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following แม้เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงบ้างในช่วงท้ายสัปดาห์ก่อน ทว่าเงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น หรือ แกว่งตัว Sideways จนกว่าจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ เงินบาทยังมีโซนแนวต้านสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 33.30 บาทต่อดอลลาร์)
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำที่อาจอยู่ในช่วงพักฐาน (อาจกดดันเงินบาท)
ขณะที่ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในส่วนตลาดหุ้นไทย ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์การเมืองของไทย หลังการอภิปรายไม่ไว้ว่างใจนายกฯ ที่จะถึงนี้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง จากความกังวลแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) ที่แข็งค่าพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ทว่าเงินดอลลาร์อาจเผชิญแรงกดดันได้ หากผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.25 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทำได้สำเร็จ! “บาส-สกาย” คว่ำ “อินโดนีเซีย” หยิบแชมป์ขนไก่ชายคู่ สวิส โอเพ่น

การแข่งขันแบดมินตันรายการ โยเน็กซ์ สวิส โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา
ประเภทชายคู่ รอบชิงชนะเลิศ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 35 ของโลก พบกับ มูฮัมหมัด โชฮิบุล ฟิครี้ กับ ดาเนียล มาร์ติน คู่มืออันดับ 15 ของโลกจากอินโดนีเซีย
ซึ่งสถิติการพบกันมาของทั้งคู่เพียงครั้งเดียว ในศึก “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” รอบรองชนะเลิศ เป็นคู่ของ มูฮัมหมัด โชฮิบุล ฟิครี้ กับ ดาเนียล มาร์ติน เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด
ในเกมแรกทั้งคู่ ยังผลัดกันทำแต้มได้อยู่ แต่หลังจากนั้นเกมเป็นของบาส กับ สกาย ที่เปิดเกมบุกใส่และทำแต้มทิ้งห่างออกไปจนปิดเกมแรกไปได้ก่อนที่ 21-15
เกมที่สอง คู่อินโดนีเซีย กลับมาเล่นได้อย่างสนุกแต่คู่บาส กับสกาย ยังรักษารูปเกมการเล่นที่เหนือกว่า แต่คู่อินโดนีเซีย ก็มาฮึดเล่นเกมบุกได้เฉียบขาดในช่วงปลายมาทำ 5 คะแนนรวด แซงปิดเกมนี้ไปได้ที่ 21-18
ในเกมตัดสิน แล้วก็เป็นคู่บาส กับ สกาย ที่คุมเกมไว้ได้เบ็ดเสร็จมาปิดแมตช์เอาชนะไปได้ที่ 21-14 ทำให้เอาชนะไปได้ 2-1 เกม
“บาส” เดชาพล กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการกลับมาจับคู่กันอีกครั้ง สามารถคว้าแชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์ เป็นรายการแรกของทั้งคู่ และเป็นแชมป์เวิลด์ทัวร์แรกของสกายด้วย
โดยก่อนหน้านี้บาส กับ สกายเคยเล่นคู่กันมาก่อน ตั้งแต่ระดับเยาวชน เคยเป็นแชมป์เยาวชนโลกประเภทชายคู่ในปี 2014 นอกจากนี้ยังทำผลงานได้อยางยอดเยี่ยม จนสามารถคว้าเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ ได้ในปี 2017 ก่อนที่บาส จะไปเล่นเฉพาะประเภทคู่ผสม กับ ปอป้อ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
พบสารใน “โรสแมรี่” ช่วยฟื้นฟูความจำ อาจรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้

นักวิจัยสหรัฐฯ พบสารในสมุนไพรครัวเรือนอย่างโรสแมรี่และเสจ ช่วยฟื้นฟูความจำ เพิ่มไซแนปส์ และลดการสะสมโปรตีนอันตรายในสมองหนูทดลอง ความหวังใหม่รักษาอัลไซเมอร์
ทีมนักวิจัยจากสถาบัน The Scripps Research Institute สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพรที่พบได้ทั่วไปอย่างโรสแมรี่และเสจ ซึ่งอาจนำไปสู่การรักษาโรคอัลไซเมอร์แนวทางใหม่ หลังพบว่าช่วยฟื้นฟูความจำและเพิ่มความหนาแน่นของเซลล์สมองในหนูทดลองได้
ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Antioxidants ระบุว่า ทีมนักวิจัยได้สังเคราะห์อนุพันธ์ที่เสถียรกว่าของกรดคาร์โนซิก (carnosic acid) ที่พบในโรสแมรี่และเสจ เรียกว่า diAcCA และนำไปรักษาหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีอาการคล้ายโรคอัลไซเมอร์เป็นเวลา 3 เดือน
หนูที่ได้รับยาใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงทักษะการเรียนรู้และความจำ รวมถึงมีจำนวนไซแนปส์มากขึ้น ซึ่งไซแนปส์เป็นจุดเชื่อมต่อที่เซลล์ประสาทสื่อสารกัน โดยการสูญเสียไซแนปส์มีความสัมพันธ์อย่างมากกับการเสื่อมถอยของความสามารถในการรู้คิด
นอกจากนี้ หนูที่ได้รับ diAcCA ยังแสดงการสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์และเทาที่เป็นอันตรายน้อยลง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ในมนุษย์
ศาสตราจารย์ สจ๊วต ลิปตัน หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยกล่าวว่า “ด้วยการต่อสู้กับการอักเสบและภาวะเครียดออกซิเดชันด้วยสาร diAcCA นี้ เราสามารถเพิ่มจำนวนไซแนปส์ในสมองได้จริง เรายังลดปริมาณโปรตีนที่พับตัวผิดรูปหรือจับกลุ่มกัน เช่น tau ที่มีฟอสเฟตและอะไมลอยด์-เบตา ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์”
กรดคาร์โนซิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ แต่มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก ในขณะที่ diAcCA สามารถรับประทานทางปากก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดคาร์โนซิกในกระเพาะอาหารและเข้าสู่กระแสเลือด
ปริมาณในเลือดของหนูทดลองสูงกว่าการรับประทานกรดคาร์โนซิกโดยตรงถึง 20% โดยนักวิจัยพบว่า หนูทนต่อ diAcCA ได้ดี และไม่เพียงแต่ชะลอการเสื่อมลง แต่ยังปรับปรุงกลับมาเกือบเป็นปกติ
สำหรับโรคอัลไซเมอร์คิดเป็น 70% ของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม และสร้างภาระที่สำคัญและเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากประชากรที่มีอายุมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บทสนทนาทางโทรศัพท์ ภาษาอังกฤษ รวมหลากหลายสถานการณ์ที่คุณนำไปใช้ได้ในออฟฟิศ

หนึ่งในทักษะจำเป็นของการทำงานออฟฟิศคือการสื่อสารทางโทรศัพท์ ซึ่งทุกวันนี้หลายบริษัทก็มีความจำเป็นต้องติดต่อกับชาวต่างชาติ ทั้งที่เป็นพนักงานในบริษัทและสายจากภายนอกที่ติดต่อเข้ามา การรู้ บทสนทนาทางโทรศัพท์ ภาษาอังกฤษ พื้นฐานเพื่องานออฟฟิศเอาไว้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น หากนี่คือสิ่งที่เพื่อน ๆ สนใจ วันนี้เราเตรียมประโยคจำเป็นเกี่ยวกับบทสนทนาทางโทรศัพท์มาให้หลายประโยคที่นำไปใช้ได้จริง
ประโยค บทสนทนาทางโทรศัพท์ ภาษาอังกฤษ เริ่มต้นรับสายและถามถึงวัตถุประสงค์การโทรมา
หากเป็นงานบริษัท การทักทายจะมีโครงสร้าง 3 ส่วนคือ สวัสดี – บอกชื่อแผนกหรือบอกชื่อบริษัท (กรณีเป็นสายนอก) และชื่อคนที่พูดสาย – ถามว่าเราจะช่วยอะไรได้บ้าง ลองสังเกตตัวอย่างนี้
Good afternoon, HR department, Jay speaking. How can I help you?
(สวัสดีครับ ที่นี่ฝ่ายบุคคล ผมเจย์พูดครับ ต้องการให้ช่วยอะไรครับ
หลังจากนี้ คนที่โทรมาจะบอกเราว่าเขาต้องการอะไร เช่น
May I speak to …, please?
(ผมขอพูดกับคุณ … ได้ไหมครับ)
คำถามนี้ตอบได้ไม่ยาก โดยเรานำมาให้สองประโยค หากคุณรู้แล้วว่าใครเป็นคนโทรมา ให้นำประโยคที่สองไปใช้ได้เลย แต่หากยังไม่รู้ ก็จำเป็นต้องถามด้วยประโยคแรก
– Excuse me. Who’s speaking? / Excuse me. Who’s calling?
(ขอโทษนะครับ ใครกำลังพูดสายอยู่ครับ / ขอโทษครับ ใครเป็นคนโทรมาครับ)
– Hold on, please.
(ถือสายรอสักครู่นะครับ)
หากเราเป็นฝ่ายโทรไป และต้องบอกสิ่งที่เราต้องการ สามารถใช้โครงสร้างประโยค I’m calling to … / I’m calling about … (ผมโทรมาเรื่อง …) ในการเริ่มต้นหลังจากการทักทายจากผู้รับสายได้ เช่น
– I’m calling to register for the upcoming conference.
(ผมโทรมาเพื่อจะลงชื่อเข้าร่วมการประชุมครับ)
– I’m calling about our appointment tomorrow.
(ผมโทรมาเรื่องนัดวันพรุ่งนี้ครับ)
– I’m calling to let you know that I’m interested in your project.
(ผมโทรมาเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่าผมสนใจโครงการของคุณ)
ประโยค บทสนทนาทางโทรศัพท์ ภาษาอังกฤษ เมื่อต้องรับฝากข้อความ
หลายครั้งคนที่อีกฝ่ายต้องการคุยด้วยอาจไม่ว่าง ออกไปข้างนอก ติดประชุม ฯลฯ เราจึงจำเป็นต้องรับฝากข้อความ ซึ่งจะมีโครงสร้าง 3 ส่วนคือ เริ่มด้วยการขอโทษ – บอกเหตุผลว่าเขาไม่ว่างหรือไม่อยู่ – ปิดท้ายด้วยการเสนอให้ความช่วยเหลือด้วยการรับฝากข้อความ เช่น
– I’m sorry. He’s not available at the moment. Would you like to leave a message?
(ขอโทษครับ ตอนนี้เขาไม่ว่างครับ คุณต้องการฝากข้อความอะไรไว้ไหมครับ)
– I’m sorry. She is in the meeting. Would you like to leave a message?
(ตอนนี้เขาติดประชุมอยู่ครับ คุณต้องการฝากข้อความอะไรไว้ไหมครับ)
– I’m sorry. He’s on another call. – Can I take a message?
(ตอนนี้เขาติดสายอยู่ครับ ให้ผมรับข้อความอะไรไว้ไหมครับ)
หมายเหตุ: สองประโยคแรกซึ่งใช้ Would like นิยมใช้กันมากกว่า แต่ถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกันดีอย่างเช่น เรารู้จักคนที่โทรมา ก็สามารถใช้ประโยคที่สามได้
หากเราเป็นฝ่ายโทรไป หลังจากรู้ว่าคนที่ต้องการคุยด้วยไม่ว่าง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ถามเรื่องฝากข้อความ เราอาจถามว่า
– Can I leave a message?
(ผมฝากข้อความไว้ได้ไหมครับ)
สำหรับการตอบ ถ้าคนที่โทรมาไม่ต้องการฝากข้อความ เขาจะบอกว่า
– No, thanks. I’ll call back later.
(ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรกลับมาใหม่)
แต่ถ้าต้องการฝากข้อความ ก็จะพูดได้สองแบบ คือ
แบบแรก: ตอบด้วย Yes. แล้วตามด้วยประโยค Could you ต่อด้วยสิ่งที่ต้องการให้ทำ วิธีนี้เป็นการขอร้องอย่างสุภาพ มาดูตัวอย่างประโยค ดังนี้
– Yes. Could you ask him / her to call me back?
(ครับ ช่วยบอกเขาให้โทรกลับมาหาผมด้วย) โดยเราจะใช้ him สำหรับผู้ชาย และ her สำหรับผู้หญิง
– Yes. Could you ask him / her to call me back as soon as possible? It’s quite urgent.
(ครับ ช่วยบอกเขาให้โทรกลับหาผมโดยเร็วที่สุดนะครับ เพราะมันค่อนข้างเร่งด่วน)
แบบที่สอง: ใช้ Please ตามด้วยสิ่งที่ต้องการฝากให้อีกคนไปทำ
– Please ask him / her to call me back.
(ช่วยบอกเขาให้โทรกลับหาผมด้วยนะครับ)
– Please remind him / her that he / she has an appointment tomorrow.
(ช่วยเตือนเขาด้วยนะครับว่าเขามีนัดวันพรุ่งนี้)
รวม บทสนทนาทางโทรศัพท์ ภาษาอังกฤษ อีก 4 สถานการณ์น่าสนใจ
- เมื่อคนที่โทรเข้ามาโทรผิดเบอร์ เราจะบอกได้ว่า
– Sorry, I think you call to the wrong number.
(ขอโทษครับ คุณโทรผิดแล้วครับ)
- เมื่อมีคนโทรมาหาเรา หลังจากรับเรื่องแล้วเราจัดการให้ไม่ได้ แต่รู้ว่าจะต้องโอนสายไปที่ไหนซึ่งจะจัดการเรื่องนั้นได้ สามารถนำประโยคต่อไปนี้ไปใช้ได้
– Hold on, please. I’ll connect you to the person in charge of it.
(ถือสายรอสักครู่นะครับ ผมจะโอนสายไปให้คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงครับ)
- เมื่อต้องการขอให้พูดซ้ำ พูดดังขึ้น หรือสะกดชื่อและอีเมล สามารถนำประโยคเหล่านี้ไปใช้ได้
– Could you speak up, please?
(รบกวนพูดดังขึ้นหน่อยได้ไหมครับ)
– Could you say it again, please?
(ช่วยพูดใหม่ได้ไหมครับ)
– Sorry, what was that again?
(ขอโทษนะครับ เมื่อครู่คุณพูดว่าอะไรนะครับ)
– Could you spell your last name out, please?
(รบกวนช่วยสะกดนามสกุลของคุณได้ไหมครับ)
– Could you spell your email, please?
(คุณช่วยสะกดอีเมลให้ผมหน่อยได้ไหมครับ)
- เมื่อมีใครโทรมาหาเรา และเราไม่สะดวกคุยตอนนี้ หรืออาจต้องใช้เวลาหาข้อมูลสักพักในเรื่องที่เขาถามมา และจะโทรกลับไปทีหลัง อาจบอกได้ว่า
– Can I get your number? I’ll call you back in 10 minutes.
(ขอเบอร์ติดต่อกลับได้ไหมครับ ผมจะโทรกลับไปภายใน 10 นาที)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“กระดาษทนรังสีแกมมา” จุดเริ่มต้นเพื่อต่อยอดสู่ชุดอวกาศ

กระดาษทั่วไปเมื่อได้รับรังสีแกมมาจะเปื่อยยุ่ย เสียหาย แต่นักวิจัยไทยกำลังพัฒนากระดาษที่สามารถทนรังสีได้ ซึ่งจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานเป็นอุปกรณ์ต่างๆ ได้
เช่น อุปกรณ์ตรวจวัดรังสี และองค์ความรู้เดียวกันนี้ยังสามารถต่อยอดสู่การพัฒนาชุดอวกาศหรือยานอวกาศได้ เนื่องจากกระดาษ ชุดอวกาศ และยานอวกาศ ล้วนเป็นวัสดุที่เรียกว่า “พอลิเมอร์”
นักวิจัยจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับนักวิจัยจากอีกหลายหน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมพัฒนากระดาษทนรังสีแกมมาซึ่งเป็นรังสีที่มีสมบัติทะลุทะลวงสูง
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำวัสดุจากธรรมชาติ คือกระดาษกรองซึ่งเป็นเซลลูโลส ที่ได้จากพืชและเป็นพอลิเมอร์รูปแบบหนึ่ง มาจุ่มเคลือบ “วัสดุแผ่นบางไททาเนท” ซึ่งเป็นวัสดุคอมโพสิตและวัสดุนาโนสองมิติ (two-dimensional nanomaterials) ชนิดหนึ่ง
โดยได้เคลือบวัสดุดังกล่าวที่ปริมาณ 0.6 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร และสามารถเคลือบกระดาษได้ด้วยอุปกรณ์พื้นฐานที่มีอยู่ในห้องปฏิบัติการทั่วไป โดยไม่ต้องอาศัยอุณหภูมิสูงในการจุ่มเคลือบสาร เพราะสามารถปฏิบัติการได้ที่อุณหภูมิห้อง
ผลจากการเคลือบกระดาษด้วยวัสดุแผ่นบางไททาเนทพบว่า กระดาษดังกล่าวสามารถทนต่อรังสีแกมมา ได้มากกว่ากระดาษกรองที่ไม่ได้เคลือบวัสดุนาโนสูงสุดถึง 50 กิโลเกรย์
และเมื่อเทียบกับกระดาษที่ไม่ได้เคลือบ พบว่าโครงสร้าง รวมถึงสมบัติทางแสง และสมบัติทางไฟฟ้าของวัสดุคอมโพสิตที่เคลือบกระดาษเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย
ข้อดีของการพัฒนากระดาษให้เป็นวัสดุที่ทนต่อรังสีแกมมาคือ กระดาษเป็นวัสดุที่สามารถใช้แล้วทิ้งได้ และกระดาษยังเป็นตัวรองรับ (substrate) ที่สามารถรวมหลายๆ สิ่งให้อยู่ด้วยกันได้
ซึ่งนักวิจัยนำไปพัฒนาเป็นอุปกรณ์วัดรังสีได้ เนื่องจากอุปกรณ์วัดรังสีต้องมีส่วนที่ได้รับรังสีแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง และส่วนที่ได้รับรังสีแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยการวัดจะแม่นยำและถูกต้องนั้น วัสดุรองรับต้องไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งจากการตรวจสอบด้วยเทคนิคภาพถ่ายเอกซเรย์สามมิติจากแสงซินโครตรอน (X-ray Tomography Microscopy: XTM) แสดงให้เห็นว่า เส้นใยเซลลูโลสไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐาณวิทยา หรือไม่เกิดการเปื่อยยุ่ย เสียหาย
นอกจากนี้เมื่อใช้เทคนิคภาพถ่ายเอกซเรย์สามมิติจากแสงซินโครตรอน ตรวจสอบการกระจายตัวของวัสดุแผ่นบางไททาเนทในวัสดุคอมโพสิต พบว่าวัสดุแผ่นบางไททาเนทกระจายตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างเส้นใยเซลลูโลสของกระดาษ

ผลที่ได้นี้สอดคล้องกับการพิสูจน์ลักษณะด้วยกล้องประเภทอื่น ได้แก่ กล้องจุลทรรศน์แสง กล้องจุลทรรศน์แรงอะตอม และกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดและแบบส่องผ่าน
สำหรับวัสดุแผ่นบางไททาเนทซึ่งทำให้กระดาษสามารถทนต่อรังสีแกมมาได้นั้น เป็นวัสดุนาโนสองมิติ ชนิดหนึ่ง โดยวัสดุนาโนสองมิติเป็นวัสดุแผ่นบางๆ ที่มีความหนาระดับนาโนเมตร และเป็นวัสดุใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากมีสมบัติที่ขึ้นกับทิศทางและความทนทานต่อสภาพที่รุนแรง อีกทั้งสามารถสังเคราะห์วัสดุดังกล่าวในรูปของสารผสมที่เรียกว่าคอลลอยด์ในน้ำได้ง่าย จึงสะดวกต่อการประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย
วัสดุนาโนสองมิติที่รู้จักกันดีคือ กราฟีน ซึ่งเป็นวัสดุที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบเพียงอย่างเดียว ขณะที่ไททาเนทซึ่งใช้ในงานวิจัยนี้มีไททาเนียมและออกซิเจนเป็นส่วนประกอบ
ซึ่งนักวิจัยสามารถแทนที่ไททาเนียมด้วยธาตุอื่นๆ ได้เยอะกว่ากราฟีนที่เป็นเพียงคาร์บอนอย่างเดียว จึงสามารถปรับสมบัติต่างๆ ของวัสดุได้เยอะกว่ากราฟีน
องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้นอกจากนำไปพัฒนาเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดรังสีแล้ว ยังสามารถต่อยอดสู่การพัฒนาชุดอวกาศและยานอวกาศที่ทนต่อรังสีในอวกาศได้ เนื่องจากชุดอวกาศและยานอวกาศนั้นเป็นพอลิเมอร์เช่นเดียวกับกระดาษ
งานวิจัยนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Ceramics International ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล WOS และ Scopus และได้รับการจัดระดับโดย Journal Citation Reports ในสาขา Materials Science, Ceramics ใน Quartile 1 (เปอร์เซนไทล์ที่ 91.1 และค่า Impact Factor เท่ากับ 5.2) ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
กทม. จมฝุ่นพิษ PM 2.5 วันนี้คุณภาพอากาศพุ่งเกินเกณฑ์ “สีส้ม” 65 เขต

เช้านี้ค่าฝุ่น PM 2.5 กทม. สูงขึ้น มีผลกระทบต่อสุขภาพ พื้นที่สีแดง 5 พื้น พื่นที่สีส้ม 65 พื้นที่ แนะประชาชนสวมแมสก์พร้อมลดหรืองดกิจกรรมกลางแจ้ง
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร ประจำวันที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 07:00 น. โดยกทม.มีค่า PM 2.5 เฉลี่ย 66.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
พื้นที่สีแดง
มีค่า PM 2.5 มีผลกระทบกับสุขภาพ 5 พื้นที่
1.เขตทวีวัฒนา 78.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
2.เขตบึงกุ่ม 77.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
3.เขตหนองแขม 77.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
4.เขตสาทร 77.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
5.เขตบางนา 75.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
พื้นที่สีส้ม
มี PM 2.5 เกินมาตรฐาน เฉลี่ย 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 65 พื้นที่
1.เขตบางขุนเทียน 74.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
2.เขตบางเขน 73.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
3.เขตคลองสามวา 73.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
4.เขตตลิ่งชัน 73.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
5.เขตคันนายาว 73.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
6.เขตหนองจอก 72.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
7.เขตบางกอกใหญ่ 72.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
8.เขตภาษีเจริญ 72.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
9.เขตมีนบุรี 72.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
10.เขตจอมทอง 72.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
11.เขตสายไหม 71.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
12.เขตประเวศ 71.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
13.เขตพญาไท 71.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
14.เขตคลองเตย 71.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
15.เขตวังทองหลาง 70.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
16.เขตธนบุรี 70.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
17.เขตราษฎร์บูรณะ 69.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
18.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา 69.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
19.เขตลาดกระบัง 69.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
20.เขตบางพลัด 69.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
21.เขตลาดพร้าว 69.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
22.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม 68.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
23.สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง 68.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
24.เขตบางรัก 66.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
25.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง 66.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
26.เขตบางกอกน้อย 66.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
27.เขตดอนเมือง 66.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
28.เขตบางซื่อ 66.1ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
29.เขตจตุจักร 65.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
30.สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา เขตบางคอแหลม 65.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
31.เขตพระนคร 65.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
32.สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เขตบางกอกน้อย 65.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
33.เขตบางคอแหลม 64.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
34.เขตวัฒนา 64.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
35.สวนหนองจอก เขตหนองจอก 64.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
36.เขตยานนาวา 64.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
37.เขตพระโขนง 64.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
38.เขตหลักสี่ 64.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
39.เขตสัมพันธวงศ์ 64.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
40.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย 64.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
41.เขตดุสิต 64.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
42.สวนกีฬารามอินทรา เขตบางเขน 64.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
43.สวนบางแคภิรมย์ เขตบางแค 63.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
44.เขตบางบอน 63.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
45.เขตห้วยขวาง 63.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
46.เขตดินแดง 63.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
47.สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย 63.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
48.เขตสะพานสูง 62.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
49.เขตบางแค 62.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
50.สวนจตุจักร เขตจตุจักร 62.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
51.อุทยานเบญจสิริ เขตคลองเตย 61.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
52.สวนหลวงพระราม 8 เขตบางพลัด 61.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
53.เขตสวนหลวง 61.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
54.สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เขตจตุจักร 61.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
55.เขตปทุมวัน 60.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
56.สวนพระนคร เขตลาดกระบัง 60.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
57.สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร 59.7 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
58.สวนหลวง ร.9 เขตประเวศ 59.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
59.สวนสันติภาพ เขตราชเทวี 59.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
60.สวนธนบุรีรมย์ เขตทุ่งครุ 59.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
61.เขตบางกะปิ 57.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
62.เขตทุ่งครุ 56.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
63.สวนลุมพินี เขตปทุมวัน 55.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
64.เขตราชเทวี 48.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
65.เขตคลองสาน 39.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ข้อแนะนำสุขภาพ
ประชาชนทุกคน : งดกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองทุกครั้ง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์
ผู้ที่มีโรคประจำตัว : ควรอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจากมลพิษทางอากาศ ให้เตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ประชาชนกลุ่มเสี่ยง : ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคารเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/03/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 48,400.00 | 48,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,135.00 | 47,526.60 | 49,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,821.50 | 42,773.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,508.00 | 38,021.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,411.00 | 21,390.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,097.00 | 16,630.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,249.00 | 49,254.84 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/03/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.65 | 34.65 | 35.15 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 | 34.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.28 | 34.28 | 34.78 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 | 34.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.44 | 32.44 | 32.94 | 32.44 | 32.44 | – | 32.44 | 32.44 | 32.44 | 32.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 30.79 | 30.79 | – | – | – | – | – | – | – | 30.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.24 |
เบนซิน 95 | 42.94 | – | – | – | 49.81 | – | 43.44 | 43.09 | – | 42.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |