‘ชาญอิสสระ’ฝ่าพายุเศรษฐกิจรักษาสภาพคล่องโฟกัสซูเปอร์ลักชัวรี

กลางมรสุมเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย “ชาญอิสสระ” เร่งปรับแผนธุรกิจ ผลักดันบ้านซูเปอร์ลักชัวรีเป็นหัวหอก! สู้ศึกอสังหาริมทรัพย์ภายใต้กลยุทธ์รัดเข็มขัด และเก็บเงินสด
ในโลกที่เศรษฐกิจไร้ทิศทางและแรงกดดันจากทั่วสารทิศ “สภาพคล่อง” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะยิ่งท้าทายกว่าช่วงที่ผ่านมา
“ตอนนี้ไทยหลังชนฝาแล้ว จำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เราไม่มีทางรู้ว่าทางไหนจะประสบความสำเร็จ แต่ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ”
สงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและมุมมองของผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งในและต่างประเทศ
จากปัจจัยเสี่ยงในระดับโลก ทั้งสงครามการค้า นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่และรุนแรงขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอ่อนแรง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวเริ่มชะลอ หนี้ครัวเรือนยังคงพุ่งสูง ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ เดินหน้าปรับกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง 2568 โดยเน้น “บริหารต้นทุน-เพิ่มสภาพคล่อง” และมุ่งเป้า “ตลาดบน” วิกฤติด้วยการโฟกัสในกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี ที่ยังมีแรงซื้อและกระแสเงินสดจริง
บ้านหรูยัง “ไปต่อ” บนพฤติกรรมซื้อเงินสด
แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะชะลอตัว แต่กลุ่มบ้านหรูระดับราคา 80-150 ล้านบาทต่อยูนิต ยังคงเติบโตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเศรษฐีไทยและนักลงทุนต่างชาติ เช่น ชาวจีน และญี่ปุ่น ซึ่งนิยมซื้อแบบ Leasehold (สิทธิการเช่า 30 ปี) และมีพฤติกรรมการซื้อเงินสดถึง 50-60%
“กลุ่มนี้ไม่ได้ดูเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจ แต่เน้นทำเลและคุณภาพชีวิตเป็นหลัก”
สงกรานต์ กล่าวว่า สินค้าหลักที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้คือโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรีระดับราคา 130-150 ล้านบาท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวปลายปีนี้บนถนนกรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 40 ไร่ วางแผนพัฒนา 2 เฟส ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบเทรนด์การซื้อบ้านหรูเงินสดในทำเลต่างจังหวัด เช่น หัวหิน สะท้อนว่า ดีมานด์บ้านระดับบน ยังมีอยู่จริงแม้เศรษฐกิจชะลอตัว
บทเรียนจากเศรษฐกิจอยู่ให้รอดก่อนโต
จากสถานการณ์อึมครึม ทำให้แบรนด์อสังหาริมทรัพย์หลายรายจะเร่งปล่อยของ ลดราคา หรือทำโปรโมชันเพื่อเร่งยอดขาย แต่ “ชาญอิสสระ” กลับเลือกคัดโครงการที่ “ใช่” และประคอง “กระแสเงินสด” ให้มั่นคง ซึ่งอาจดูช้าในสายตาคู่แข่ง แต่สะท้อนวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยมบนพื้นฐานความเสี่ยงที่มองทะลุรอบเศรษฐกิจ
“ตอนนี้ต้องรัดกุมให้มากขึ้น เลือกโครงการที่มีโอกาสจริง และพยายามควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด”
ประเทศไทยต้อง “เล่าเรื่องใหม่” ให้โลกฟัง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ภาคเอกชนปรับตัวได้เร็ว แต่ภาครัฐกลับยังไม่มีทิศทางการลงทุนที่ชัดเจน! โดย สงกรานต์ มองว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้าง “Story ใหม่” ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่างประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย ที่มีแรงงาน และค่าแรงถูกกว่าให้ได้
“วันนี้ไทยยังไม่มีอะไรดึงดูดเหมือน ‘อีสเทิร์นซีบอร์ด’ เมื่อ 30 ปีก่อน”
สงกรานต์ เสนอแนวคิดพัฒนาโครงการ คอคอดกระ เพื่อสร้างทางเลือกด้านโลจิสติกส์จากสิงคโปร์ ดึงดูดต่างชาติให้ย้ายฐานผลิตเข้ามาประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งนโยบายเพิ่มสิทธิการเช่าที่ดินจาก 30 ปี เป็น 50 เพื่อดึงดูดการลงทุนในรูปแบบ leasehold
เสียงเตือนของสงกรานต์ ไม่ได้สะท้อนแค่ความกังวลต่อเศรษฐกิจ แต่ยังส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจในการกำหนดทิศทางประเทศว่า หากไทยไม่เริ่ม “กล้า” ที่จะเปลี่ยน! ไม่มีเรื่องเล่าใหม่ๆ ให้โลกฟัง อาจ “เสียโอกาส” ให้กับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างถาวร
สำหรับเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีการประเมิน GDP โตต่ำกว่า 2% ย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก โรงแรม และ หนึ่งในนั้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเศรษฐกิจยังไร้ทิศทาง ธุรกิจที่อยู่รอดจึงไม่ใช่ผู้ที่เติบโตเร็วที่สุด แต่คือผู้ที่ “มีสภาพคล่องมากที่สุด” รู้จักเลือก “ตลาดที่ยังมีโอกาส” ซึ่งวันนี้ “บ้านซูเปอร์ลักชัวรี” คือคำตอบของ “ชาญอิสสระ” ท่ามกลางภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญการแข่งขันอย่างเข้มข้น เพื่อช่วงชิงโอกาสในการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
SCB อัดฉีด 17,600 ล้าน เสริมเขี้ยวเล็บSC Asset เปิดตัว 17 โครงการหรู

SCB ผนึกกำลัง SC Asset เสริมเขี้ยวเล็บวงการอสังหาฯ พรีเมียม เดินหน้าหนุน 17 โครงการบ้าน–คอนโดระดับหรู พร้อมเปิดตัว “SONLE RESIDENCES” มูลค่า 1,200 ล้าน รับตลาดบน
ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่ข้อได้เปรียบ แต่เป็น “รากฐาน” ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ล่าสุด ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้แสดงบทบาทดังกล่าวอย่างชัดเจน ด้วยการอนุมัติวงเงินรวมกว่า 17,600 ล้านบาท เพื่อสนับสนุน 17 โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมของ SC Asset ครอบคลุมทั้งโครงการที่เปิดขายแล้ว และโครงการใหม่ในอนาคต
“แม้เศรษฐกิจจะเผชิญความท้าทาย แต่กลุ่มลูกค้ามั่งคั่งยังคงต้องการสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุน” กฤษณ์ จันทโนทก
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์
ความร่วมมือครั้งนี้ประกอบด้วย
- 9 โครงการ ที่อยู่ระหว่างการขายและโอน
- 3 โครงการ ที่จะเปิดตัวในปี 2568
- และอีก 5 โครงการในแผนปี 2569 เป็นต้นไป
ไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว “SONLE RESIDENCES” บ้านเดี่ยวระดับอัลตราลักชัวรี ซึ่ง SC Asset เตรียมเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ ด้วย ราคาต่อยูนิตเริ่มต้น 260 ล้านบาท และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1,200 ล้านบาท โดยวางตำแหน่งเป็น Flagship ประจำปี ที่สะท้อนความกล้าคิด กล้าทำ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดบ้านหรู
SCB x SC: พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่เติบโตไปด้วยกัน
“SC Asset เป็นพันธมิตรที่เราร่วมงานมายาวนาน ด้วยวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกันในด้านความยั่งยืน คุณภาพ และนวัตกรรม”
การสนับสนุนครั้งนี้ครอบคลุมรูปแบบสินเชื่อ Pre-finance ที่ช่วยให้ SC Asset สามารถวางแผนพัฒนาและเปิดตัวโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของภาคอสังหาริมทรัพย์ในฐานะ “ฟันเฟือง” ของระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การกระจายรายได้ หรือการพัฒนาเมือง
เส้นทาง 22 ปี ที่เติบโตไปด้วยกัน
“SCB ไม่ใช่แค่สถาบันการเงิน แต่เป็นพันธมิตรที่เข้าใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของเราเสมอมา” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SC Asset
ความร่วมมือระหว่าง SCB และ SC Asset ดำเนินมาแล้วกว่า 22 ปี สนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการรวมกว่า 50 โครงการในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ และขยายไปถึงบริการด้านลูกค้าสัมพันธ์ แคมเปญสินเชื่อบ้าน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพได้ง่ายขึ้น
ในปี 2568 SC Asset ตั้งเป้าเปิดตัว 15 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 29,000 ล้านบาท ชูจุดแข็ง “ทำเล–นวัตกรรม–คุณภาพ” พร้อมเดินเกมรุกเจาะตลาดบนอย่างชัดเจน
SONLE RESIDENCES: มากกว่าแค่บ้าน…คือบทใหม่ของชีวิตหรู
โครงการ SONLE RESIDENCES ไม่ใช่แค่บ้านเดี่ยวราคา 260-400 ล้านบาท แต่เป็น “Statement” ที่สะท้อนถึงความเข้าใจในลูกค้ากลุ่มบน ซึ่งมองหาความแตกต่างเฉพาะตัวและประสบการณ์อยู่อาศัยที่เหนือระดับ
“เราต้องการสร้างบ้านที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็น ‘ที่ทาง’ สำหรับชีวิตที่มีความหมาย”
โครงการเรือธงนี้จะตอกย้ำภาพลักษณ์ SC Asset ในฐานะ ผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวพรีเมียม และแสดงให้เห็นถึงความกล้าคิด กล้าลงทุนในตลาดบน ซึ่งยังมีดีมานด์แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
ตลาดบนยังเติบโต
แม้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่างจะยังชะลอตัวจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง แต่ในฝั่ง Luxury segment กลับยังคงมีศักยภาพสูง กลุ่มผู้ซื้อมีความพร้อมด้านการเงินและมองหาการลงทุนใน “สินทรัพย์มั่นคง” อย่างบ้านระดับอัลตราลักชัวรี ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ที่อยู่ แต่เป็นสินทรัพย์สะสมระยะยาว
การสนับสนุนของ SCB ต่อ SC Asset ครั้งนี้จึงสะท้อนถึงการวางกลยุทธ์เชิงรุกในตลาดที่ “แข็งแรงกว่าที่คิด” และตอกย้ำแนวโน้มว่า ธุรกิจอสังหาฯ ยังเป็นภาคที่มีศักยภาพสูงหากรู้จักเลือกจุดยืนที่ถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24มิ.ย.“แข็งค่าขึ้นมาก” ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทโมเมนตัมการแข็งค่ามีกำลังมากขึ้น หลังเฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย ส่วนเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้างตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมกนง. ในวันพุธ 25 มิ.ย.นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24มิ.ย.2568 ที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.02 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้น เหนือความคาดหมายของเราไปพอสมควร
เนื่องจากเหตุผลหลักมาจากทั้งถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Michelle Bowman ซึ่งมักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish (ไม่รีบลดดอกเบี้ย) และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูจะคลี่คลายลงได้เร็ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น ทว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หลังราคาทองคำได้ย่อตัวลงเข้าใกล้โซนแนวรับ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอย Buy on Dip ทองคำได้ โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นในตลาดที่ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ
อนึ่ง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม กอปรกับ สถานการณ์การเมืองไทยที่ดูจะวุ่นวายน้อยลง หลังบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลยังคงส่งสัญญาณพร้อมอยู่กับพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลต่อ ก็อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง
โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้น ที่ปรับตัวลดลงมาใกล้ระดับที่ตลาดการเงินเผชิญความเสี่ยงภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมา เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ของไทย ในวันพุธ 25 มิถุนายน นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.70-33.03 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด Michelle Bowman (Board of Governors) ที่มักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish ได้ให้ความเห็น อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคม (ซึ่งเรียกได้ว่า ความเห็นดังกล่าว มีความ Dovish พอสมควร เมื่อเทียบกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจาก Dot Plot ล่าสุด)
ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ เกิน 2 ครั้ง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูทยอยคลี่คลายลง หลังการโจมตีตอบโต้สหรัฐฯ จากอิหร่านไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล
อีกทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังได้ระบุว่า อิหร่านกับอิสราเอลได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวเข้าสู่โซนแนวรับของราคาทองคำ หลังไร้แรงหนุนจากปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk)
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากทั้งความหวังว่าเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดล่าสุด อย่าง Michelle Bowman รวมถึง แนวโน้มสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.96%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.28% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะท่าทีของอิหร่านในการตอบโต้การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ล่าสุด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการเดือนมิถุนายน ที่ออกมาแย่กว่าคาด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างเร็วสุดในการประชุมเดือน FOMC กรกฎาคม และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงทดสอบโซน 4.30% ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างสู่ระดับ 4.35% ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ
อนึ่ง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง แม้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันจาก ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งออกมาสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกรกฎาคม
และบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.1-99.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็ถูกกดดันจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่เริ่มทยอยคลี่คลายลง ลดความน่าสนใจในการถือครองทองคำ กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 3,360-3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะ การแถลงต่อคณะกรรมาธิการของสภาคองเกรสโดยประธานเฟด Jerome Powell
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางทั้งสอง พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (IFO Business Climate) เดือนมิถุนายน ของเยอรมนี และยูโรโซน ที่จะช่วยสะท้อนถึงมุมมองของภาคเอกชน หลังเผชิญความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“อเล็กซ์ มาร์เกซ” ฟอร์มร้อน “BK8 Gresini Racing MotoGP” รั้งรองฝูงคะแนนทีม

การแข่งขัน MotoGP 2025 เดินทางถึงสนามที่ 9 ที่ Mugello Circuit เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสนามสุดท้ายก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกกลางฤดูกาล ล่าสุด อเล็กซ์ มาร์เกซ (Alex Marquez) จากทีม BK8 Gresini Racing MotoGP โชว์ฟอร์มแกร่ง ไล่บี้ทีมโรงงาน Ducati แบบไม่เกรงกลัว จบอันดับ 2 ด้วยระยะห่างเพียง +1.942 วินาทีจากแชมป์สนาม
ด้วยผลงานระดับโพเดี้ยมในสนามนี้ ทำให้คะแนนสะสมของ BK8 Gresini Racing MotoGP ขยับเพิ่มเป็น 274 คะแนน ครองอันดับ 2 ของประเภททีมอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะบทบาทของ อเล็กซ์ มาร์เกซ ที่โชว์ความสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นฤดูกาล เป็นหัวใจหลักของทีม ขณะที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง เฟร์มิน อัลเดเกร์ (Fermin Aldeguer) รุกกี้หน้าใหม่ ก็มีส่วนสำคัญเก็บแต้มช่วยทีมได้ต่อเนื่องเช่นกัน
ถือเป็นผลงานที่น่าจับตามอง เพราะ BK8 Gresini Racing MotoGP เป็นทีมรอง ใช้รถแข่งเวอร์ชั่น GP24 ไม่ใช่ตัวล่าสุดแบบทีมโรงงาน แต่กลับขับเคี่ยวกับทีมชั้นนำได้อย่างสูสี
สรุปตารางคะแนนสะสมประเภททีม (หลังสนามที่ 9 จาก 20 สนาม)
Ducati Lenovo Team — 373 คะแนน
BK8 Gresini Racing MotoGP — 274 คะแนน
Pertamina Enduro VR46 Racing Team — 214 คะแนน
Red Bull KTM Factory Racing — 111 คะแนน
LCR Honda — 97 คะแนน
Monster Energy Yamaha MotoGP Team — 90 คะแนน
Aprilia Racing — 87 คะแนน
Red Bull KTM Tech3 — 83 คะแนน
Trackhouse MotoGP Team — 68 คะแนน
Honda HRC Castrol — 65 คะแนน
Prima Pramac Yamaha MotoGP — 37 คะแนน
ผ่านพ้นมาจะถึงกลางฤดูกาลแล้ว เหล่าแฟน ๆ ต้องจับตาดูว่า อเล็กซ์ มาเกซ จะสามารถพาทีม BK8 Gresini Racing MotoGP ไล่กดดัน Ducati ต่อได้หรือไม่ และจะรักษาอันดับรองจ่าฝูงไว้ได้แค่ไหนในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ภาวะ “หัวใจเต้นผิดจังหวะ” โรคของคนยุคใหม่ที่กำลังแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิก

หลายปีที่ผ่านมา “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” ถูกกล่าวถึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังขาดความตระหนักและความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก ที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วภาวะดังกล่าวใกล้ตัวและร้ายแรงกว่าที่คิด ซึ่งในขณะนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในโรคหัวใจที่กำลังแพร่หลายในเอเชียแปซิฟิกของชาวมิลเลนเนียลที่ถูกกระตุ้นด้วยสังคมผู้สูงอายุ เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบสาธารณะสุข ทั้งด้านการเงินและความเป็นอยู่ของผู้ป่วย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นอย่างไร ?
หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นระริก หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เอเอฟ” (AF: Atrial Fibrillation) คือการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตามธรรมชาติ ส่วนมากหัวใจจะเต้นเร็วเกินไป มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (ปกติจะอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที) จนส่งผลให้การบีบกล้ามเนื้อของหัวใจห้องบนทั้งสองห้องไม่สัมพันธ์กัน
จากรายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019)* พบว่าภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากถึง 5-6 เท่า หลอดเลือดสมองอุดตัน 2.5-3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 2-3 เท่า ภายในปี พ.ศ. 2593 มีการคาดเดาว่าจำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียจะมีมากถึง 72 ล้านคน และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีผู้ป่วยมากเป็น 2 เท่าของจำนวนผู้ป่วยในยุโรปและอเมริกาเหนือรวมกัน
ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
อ.นพ.ธัชพงศ์ งามอุโฆษ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ จริง ๆ แล้วมีเป็นจำนวนมาก ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นภาวะนี้คือ อายุ และเนื่องด้วยสังคมปัจจุบันมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมากขึ้นตามไปด้วย
ส่วนปัจจัยเสี่ยงรองลงมาคือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หรือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน ไขมันสูง และผู้ที่เคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
อาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการโดยทั่วไปของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ
- เหนื่อยง่าย
- อ่อนเพลีย
- ใจสั่น
- หายใจติดขัด
- แน่นหน้าอก
ซึ่งมากกว่าครึ่งของผู้ป่วยออกกำลังกายได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม อ.นพ.ธัชพงศ์ กล่าวว่า “เนื่องจากอาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยครั้งไม่ชัดเจนเหมือนโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่คิดว่านั่นคือความผิดปกติที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มาหาหมอครั้งแรกด้วยอาการอัมพาต บ้างมาด้วยอาการหัวใจล้มเหลวจากภาวะน้ำท่วมปอด” ซึ่งสอดคล้องกับรายงานฯ ที่พบว่า 15-46% ของผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกไม่มีอาการ และผู้ป่วย 10.7% มีอาการเรื้อรังขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และผลกระทบต่อชีวิต
นอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังก่อให้เกิดภาระในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งด้านการเงิน ครอบครัว และคุณภาพชีวิต จากรายงานข้างต้น ผู้ป่วยในเอเชียแปซิฟิกมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเพิ่มขึ้นถึง 1.8-5.6 เท่าในทุก ๆ 10 ปี และมากถึง 57% กล่าวว่าคุณภาพชีวิตถูกบั่นทอน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวและใช้เวลาโดยเฉลี่ย 5 ถึง 12.5 วันต่อปีในโรงพยาบาล ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อปีกว่า 2,400 เหรียญสหรัฐในไต้หวัน (ประมาณ 73,000 บาท) 3,600 เหรียญสหรัฐในไทย (ประมาณ 109,000 บาท) และเกือบ 9,000 เหรียญสหรัฐในเกาหลี (ประมาณ 273,000 บาท)
ศาสตราจารย์ภิชาน นพ.กุลวี เนตรมณี อาจารย์พิเศษ ฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และอายุรแพทย์โรคหัวใจ และหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ ศูนย์หัวใจเต้นผิดจังหวะ รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีการติดตามและร่วมการศึกษากับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลกเพื่อติดตามการรักษาและสถานการณ์ของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมจากภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจในไทยนั้นค่อนข้างจำกัด โอกาสต่อยอดและการฝึกฝนจึงมีน้อยตามไปด้วย ทำให้แพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญในการรักษาในไทยมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย”
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบันนับว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก การรักษามี 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
- การใช้ยา เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนอย่างยาละลายลิ่มเลือดควบคู่กับการควบคุมการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป หรือการใช้ยาเพื่อให้หัวใจเต้นเป็นปกติตลอดเวลา กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจร่วมด้วย ร่างกายจะไม่ตอบสนองกับยากลุ่มหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้นยาทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อรักษาอาการให้หายขาด ยังคงความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเป็นอัมพฤตอัมพาตและโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาอยู่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องรับประทานยาตลอดชีวิตอีกด้วย ก่อให้เกิดปัญหาด้านค่าใช้จ่าย
- การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency Catheter Ablation) นับเป็นวิทยาการล่าสุดและมีวิธีกระบวนการรักษาที่ต่างกันออกไปแล้วแต่เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้น นพ.กุลวี อธิบายถึงการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยวิธีที่ท่านกำลังใช้อยู่ว่า “เป็นการรักษาด้วยการจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุผนวกกับการจำลองภาพ 3 มิติของหัวใจ 2 ห้องบนพร้อมประมวลผลและแสดงความซับซ้อนของคลื่นไฟฟ้าในหัวใจโดยใช้สีเพื่อจำลองหัวใจผู้ป่วยให้เสมือนจริงมากที่สุด ทำให้การหาตำแหน่งและจี้ทำลายจุดที่ก่อให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะชัดเจนและแม่นยำขึ้น เป็นการรักษาที่ต้นเหตุโดยตรง ทำให้การฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น” งานวิจัยของ นพ.กุลวี ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ป่วยบางรายที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถหายขาดได้ อายุยืนขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีโอกาสน้อยกว่า 3-4% ที่อาการจะกลับมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยด้วย
คุณหมอทั้งสองท่านกล่าวเหมือนกันว่า เราควรตรวจดูชีพจรหรืออัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ เพราะหากตรวจเจอเร็วก็จะสามารถรักษาได้แต่เนิ่น ๆ เปอร์เซ็นต์การหายขาดก็จะเพิ่มขึ้นตาม แต่ที่สำคัญที่สุดเราควรมีวินัยในการดูแลสุขภาพตัวเอง ป้องกันกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แล้วคุณภาพชีวิตที่ดีก็จะตามมา
*รายงานวิจัยเรื่องผลกระทบของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในเอเชียแปซิฟิก (Beyond the Burden: The Impact of Atrial Fibrillation in Asia Pacific 2019) คือรายงานสถิติที่ถูกรวมรวบโดย Biosense Webster ผู้นำระดับสากลด้านการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการวินัจฉัยและรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สถิติและข้อมูลในรายงานถูกรวบรวมจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์และการค้นคว้าทางคลินิก ทั้งนี้ ข้อมูลด้านความแพร่หลายและค่ารักษาพยาบาลถูกรวบรวมจากงานวิจัยที่ถูกจัดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตัวเลขจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘มัลแวร์ขโมยข้อมูล’ ตัวร้าย เขย่าความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก

“แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky)” พบว่า การตรวจจับการโจมตีเพื่อขโมยพาสเวิร์ดทั่วโลกเพิ่มขึ้น 21% ระหว่างปี 2023 – 2024
มัลแวร์ขโมยข้อมูล (infostealer malware) เป็นหนึ่งในภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่แพร่หลายที่สุด มัลแวร์เหล่านี้มักกำหนดเป้าหมายโจมตีอุปกรณ์หลายล้านเครื่องทั่วโลก และทำลายข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของบุคคลและองค์กร
โปรแกรมที่เป็นอันตรายต่างๆ ได้รับการออกแบบมาเพื่อดึงข้อมูลรับรองตัวตน คุกกี้ และข้อมูลที่มีค่าอื่นๆ ซึ่งจะรวบรวมเป็นไฟล์บันทึกและเผยแพร่บนเว็บมืด
ล่าสุด นักวิจัยไซเบอร์นิวส์ได้เปิดเผยข้อมูลรับรองการเข้าสู่ระบบ 16,000 ล้านรายการจากชุดข้อมูล 30 ชุด ซึ่งน่าจะมาจากมัลแวร์ขโมยข้อมูล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อการยึดบัญชีและการขโมยข้อมูลประจำตัว
ชุดข้อมูลดังกล่าวซึ่งมีตั้งแต่หลายล้านรายการไปจนถึงหลายพันล้านรายการนั้นรวมถึงข้อมูลรับรองตัวตนสำหรับบริการต่างๆ
อเล็กซานดรา เฟโดซิโมวา นักวิเคราะห์ดิจิทัลฟุตปริ้นต์ แคสเปอร์สกี้ เผยว่า ข้อมูลรั่วจำนวน 16,000 ล้านรายการเป็นตัวเลขที่มากเกือบสองเท่าของจำนวนประชากรโลกเลยทีเดียว และยากที่จะเชื่อว่าข้อมูลจำนวนมหาศาลเช่นนี้จะถูกเปิดเผยได้
การรั่วไหลนี้เป็นการรวบรวมการละเมิดข้อมูล 30 รายการจากแหล่งต่างๆ หลักๆ แล้ว อาชญากรไซเบอร์ได้รับชุดข้อมูลเหล่านี้ทุกๆ วัน ผ่านโปรแกรมขโมยข้อมูล ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันอันตรายที่ขโมยข้อมูล นักวิจัยของไซเบอร์นิวส์รวบรวมข้อมูลนี้เป็นเวลาหกเดือนตั้งแต่ต้นปี
ชุดข้อมูลนี้อาจมีข้อมูลซ้ำ เนื่องจากปัญหาการใช้พาสเวิร์ดซ้ำในหมู่ผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แม้จะสังเกตเห็นว่าฐานข้อมูลที่นักวิจัยพบไม่มีการรายงานมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลประจำตัวเหล่านี้ไม่เคยรั่วไหลจากบริการอื่นหรือถูกรวบรวมโดยโปรแกรมขโมยข้อมูลอื่นๆ มาก่อน ทำให้จำนวนข้อมูลผู้ใช้ที่ไม่ซ้ำกันและผู้ใช้ใหม่ในกลุ่มนี้ลดลงอย่างมาก แม้ว่าการกำหนดตัวเลขที่แน่นอนหรือข้อมูลโดยประมาณจะเป็นเรื่องท้าทายหากไม่มีการวิเคราะห์โดยละเอียด
ดิมิทรี กาลอฟ หัวหน้าทีมวิเคราะห์และวิจัยระดับโลก ประจำรัสเซียและเครือรัฐเอกราช แคสเปอร์สกี้ กล่าวถึงข้อมูลสำคัญที่พบจากการวิจัยว่า การวิจัยของไซเบอร์นิวส์ระบุถึงการรั่วไหลของข้อมูลหลายครั้งตั้งแต่ต้นปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจอาชญากรรมไซเบอร์ที่เฟื่องฟูซึ่งมีการขโมยข้อมูลประจำตัว
สิ่งที่เราเห็นคือส่วนหนึ่งของตลาดอาชญากรรมไซเบอร์ที่จัดการเป็นอย่างดี ข้อมูลประจำตัวถูกรวบรวมผ่านโปรแกรมขโมยข้อมูล แคมเปญฟิชชิง และมัลแวร์อื่นๆ จากนั้นจึงรวบรวม เสริมแต่ง และขายต่อหลายครั้ง รายการที่เรียกว่า ‘คอมโบลิสต์’ ได้รับการอัปเดต ปรับเปลี่ยนแพ็คเกจ และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
โดยผู้ก่อภัยคุกคามบนเว็บมืด และปัจจุบันมีจำนวนมากขึ้นในแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้สาธารณะ สิ่งที่น่าสังเกตในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องการละเมิดข้อมูลขนาดใหญ่หรือการละเมิดหลายครั้งเพียงอย่างเดียว แต่ไซเบอร์นิวส์อ้างว่าชุดข้อมูลนั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชั่วคราวผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ทุกคนที่พบข้อมูลนี้สามารถเข้าถึงได้
แอนนา ลาร์กินา ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เว็บคอนเท้นต์ แคสเปอร์สกี้ แนะนำถึงมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์กรณีข้อมูลรั่วไหลว่า ข่าวการรั่วไหลครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าเราควรให้ความสำคัญกับสุขอนามัยดิจิทัลและตรวจสอบบัญชีดิจิทัลทั้งหมด อัปเดตพาสเวิร์ดเป็นประจำ และเปิดใช้งานการตรวจสอบสองขั้นตอน (2FA)
หากผู้โจมตีเข้าถึงบัญชีได้แล้ว ผู้ใช้ควรรีบโปรดติดต่อฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคทันที เพื่อควบคุมและประเมินว่าข้อมูลอื่นใดที่อาจเปิดเผย
นอกจากนี้ ผู้ใช้ควรเฝ้าระวังกลลวงทางวิศวกรรมสังคมด้วย เนื่องจากมิจฉาชีพอาจใช้ข้อมูลรายละเอียดที่รั่วไหลในกิจกรรมอันตรายต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
รวม Grammar ที่ออก สอบ TOEIC บ่อย เตรียมพร้อมก่อนเพื่อพิชิตคะแนนที่ต้องการ

หากพูดถึงเหตุผลที่เราต้อง เรียนภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นวัยทำงาน หรือคนที่กำลังเข้าสู่วัยทำงาน หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือการเรียนเพื่อเตรียมตัว สอบ TOEIC แม้ว่าการสอบนี้จะไม่ได้บังคับให้คนทำงานต้องสอบ แต่ถ้าสอบได้คะแนนดีและยื่นคะแนนประกอบการสมัครงาน ก็จะเป็นเครื่องการันตีได้ว่าเรามีความรู้ภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้ทำงานได้ ทุกวันนี้เรา เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เพื่อเตรียมสอบได้ และหนึ่งในพาร์ตที่ต้องเตรียมคือ Grammar!
ทำไมต้องเตรียมตัวเรื่อง Grammar ก่อน สอบ TOEIC
ไวยากรณ์หรือ Grammar คือความจำเป็นในการ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่เข้าใจ Grammar จะมีปัญหามากโดยเฉพาะเมื่อต้องเขียนภาษาอังกฤษ หากไม่เข้าใจ Grammar เราอาจพูดสื่อสารได้โดยที่เจ้าของภาษาเข้าใจ แต่เมื่อเป็นการใช้เพื่อการทำงาน เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก ฉะนั้นต่อให้ไม่สอบ TOEIC แต่งานที่ทำต้องใช้ภาษาอังกฤษ ก็หลีกเลี่ยง Grammar ไม่ได้
มามองที่การ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบ TOEIC กันบ้าง Grammar ถือว่ามีส่วนสำคัญในสอง Part หลักคือ part 5 (Incomplete Sentences) ซึ่งเป็นการเติมคำในประโยคสั้น ๆ ให้ถูกตามหลักไวยากรณ์ และ Part 6 (Text Completion) ซึ่งเป็นการเติมคำในบทความขนาดสั้น แต่นอกเหนือจากสองพาร์ตนี้แล้ว Grammar ก็ยังมีส่วนสำคัญในพาร์ตอื่นด้วย เพราะหากเข้าใจ Grammar (เช่น เข้าใจ Subject-verb Agreement และเรื่อง Tense) ก็จะช่วยให้ทำพาร์ตการอ่านได้เร็วขึ้น
5 เรื่อง Grammar ที่พบบ่อยในข้อสอบ TOEIC
- Tense
คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะระดับไหน คงรู้อยู่แล้วว่า Tense มีความสำคัญมาก ซึ่งในข้อสอบ TOEIC ก็เช่นกัน เพราะ Tense จะเป็นตัวกำหนดว่าคำกิริยาของประโยคควรอยู่ในรูปใด Tense พื้นฐานที่ควรทำความเข้าใจให้ได้คือ Present simple, Present continuous, Past simple, Present perfect และ Future tense ทั้ง will และ be going to ขอให้ลองดูโจทย์นี้
The report ___ by the manager before the meeting.
ประโยคนี้มองหาคำกิริยาในรูป Passive แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องเป็น Past simple เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น before the meeting เราจึงต้องมองหาตัวเลือกอย่างเช่น “was reviewed” ส่วนใหญ่ในข้อสอบ TOEIC จะใช้กิริยาตัวเดียวกันทั้ง 4 ตัวเลือก ฉะนั้นถ้ารู้ tense ก็จะเลือกคำตอบได้ถูกต้อง
- Subject-Verb Agreement
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องพื้นฐานที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ต้องรู้ เพราะประธานหรือ subject ของประโยคจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับกิริยา เช่น ใน Present simple จะมีการเติม -s หรือ -es ที่คำกิริยาเมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 หรืออีกตัวอย่างคลาสสิกคือ verb to be ที่จะเปลี่ยนรูปไปตามประธานที่ต่างกัน
- Parts of Speech
เรื่องนี้ถือว่าจำเป็นกับการ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมสอบ TOEIC เพราะในพาร์ตที่ให้เติมคำในช่องว่าง ข้อสอบมักทดสอบว่าเรารู้ไหมว่าควรเติมคำนาม คำกริยา หรือคำคุณศัพท์ลงไปในประโยค เช่น ถ้าโจทย์บอกว่า
The manager gave a very ___ explanation.
ตัวเลือกอาจมีคำว่า clear ในรูปแบบต่าง ๆ แต่สิ่งที่เราต้องเลือกคือคำว่า “clear” เท่านั้น เพราะเป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) ไม่ใช่คำอื่นอย่าง clearly ที่เป็น Adverb
- คำบุพบทหรือ Preposition
สิ่งที่ออกสอบค่อนข้างบ่อยคือ Preposition of time โดยโจทย์อาจต้องการทดสอบว่าเราเลือก in, on และ at หรือ for กับ since ได้ถูกต้องหรือไม่
- คำเชื่อมประโยคหรือ Conjunction
เรื่องนี้ออกสอบเพื่อวัดความเข้าใจโครงสร้างประโยค เช่น การเปรียบเทียบ ประโยคที่มีเนื้อความขัดแย้งหรือแสดงความเป็นเหตุเป็นผลกัน คำเชื่อมประโยคถือว่าสำคัญมาก หากเลือกผิด การสื่อความหมายก็จะผิดไปด้วย
เคล็ดลับจำ Grammar ให้ไม่พลาดตอน สอบ TOEIC
แม้ Grammar จะมีรายละเอียดแบ่งเป็นหลายส่วน แต่ก็มีวิธีจำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราขอแนะนำให้จำเป็นกลุ่มคำและโครงสร้างหลัก เช่น จำว่า responsible for … หรือจำว่า even though ต้องบวกประโยค เทคนิคนี้อาจฟังดูยาก แต่สิ่งที่จะช่วยได้คือการทำโจทย์ซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับข้อสอบ ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นคือเราจะเข้าใจ pattern ของภาษา เมื่อเจอโจทย์ที่เข้ากับ pattern ก็จะเลือกคำตอบได้ทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ดอกแคนา กินได้ไหม? มีประโยชน์อะไร หรือมีโทษแอบแฝงที่ควรรู้?

ถ้าเคยเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ ๆ ตามสวนสาธารณะต่างๆ หรือแม้แต่ตามหัวไร่ปลายนา เพราะเป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาดีเยี่ยม จะมีดอกสีขาวนวลรูปแตร หล่นตามพื้น มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ บานเต็มต้นแต่ร่วงตอนเช้า นั่นแหละ “ดอกแคนา” (ชื่อวิทย์ฯ Dolichandrone serrulata) ที่เรากำลังจะพูดถึง
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกเรื่องของดอกแคนา ทั้งประโยชน์ดีๆ ที่ควรรู้ และข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมไอเดียเด็ดๆ สำหรับสายกินและสายสุขภาพ!
ดอกแคนา กินได้จริงไหม?
คำตอบคือ “กินได้” โดยเฉพาะ “ดอกอ่อน” ที่นิยมเอาไปลวกจิ้มน้ำพริก หรือใส่แกงจืด ใครที่ชอบอาหารพื้นบ้านแบบไทยแท้ต้องเคยกินมาบ้าง
- ดอกจะมีรสจืด หอมเบา ๆ
- ถ้าเอาไปผัด ต้องเร็วหน่อย เพราะดอกโรยง่าย
- นิยมกินในภาคกลางและอีสาน โดยเฉพาะบ้านที่มีต้นแคนาอยู่หน้าบ้าน
ประโยชน์ของดอกแคนา และต้นแคนา
เชื่อว่าเมนูยอดฮิตของดอกแคนาก็คือ การนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริก หรือใส่ในแกงส้ม แกงคั่วต่างๆ เพราะความขมอมหวานเฉพาะตัว (ที่ต้องเด็ดเกสรออกก่อนนะ!) ทำให้มันเข้ากันได้ดีกับอาหารไทย แต่รู้ไหมว่าดอกแคนาไม่ได้มีแค่รสชาติที่โดดเด่น แต่ยังอุดมไปด้วยสารพัดประโยชน์ที่ร่างกายต้องการอีกด้วย!
1.ช่วยให้หลับสบาย
ใครมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ลองเมนูที่มีดอกแคนาดูสิ! ดอกแคนาถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้านที่ช่วยผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสงบ และส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น
2.แก้ร้อนใน ลดไข้
ดอกแคนาขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณเย็น ดับร้อนในร่างกายได้ดี ช่วยลดอาการไข้และบรรเทาอาการเจ็บคอได้ เหมาะมากสำหรับอากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าว!
3.บำรุงระบบขับถ่าย
ดอกแคนาเป็นพืชที่มีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ลดปัญหาท้องผูกได้ดี
4.ขับลม ลดอาการท้องอืด
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องไหม? ดอกแคนาช่วยได้! สรรพคุณในการขับลมในลำไส้ ทำให้คุณรู้สึกสบายท้องขึ้น
5.ต้านอนุมูลอิสระ
เหมือนกับผักพื้นบ้านส่วนใหญ่ ดอกแคนาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการถูกทำลาย ชะลอความเสื่อม และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ
6.ช่วยเจริญอาหาร
รสขมอ่อนๆ ของดอกแคนา (เมื่อเด็ดเกสรออกแล้ว) กลับช่วยกระตุ้นต่อมรับรส ทำให้เจริญอาหารได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับคนเบื่ออาหาร หรืออยากเพิ่มความอยากอาหาร
7.บำรุงกำลัง
ในตำราแพทย์แผนไทยบางเล่ม ระบุว่าดอกแคนาและส่วนอื่นๆ ของต้นมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
ข้อควรระวังของดอกแคนา
แม้จะมีประโยชน์ล้นเหลือ แต่ดอกแคนาเองก็มีข้อควรรู้และระวัง เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดและปลอดภัย
1.เด็ดเกสรออกก่อน! (สำคัญมาก)
นี่คือหัวใจสำคัญของการกินดอกแคนาให้อร่อย! เกสรสีเหลืองด้านในของดอกแคนาจะมีความขมจัด ถ้าไม่เด็ดออก รับรองว่าได้ประสบการณ์ความขมจนกินต่อไม่ไหวแน่นอนครับ วิธีง่ายๆ คือใช้นิ้วบิดเกสรออกเบาๆ ก่อนนำไปลวกหรือประกอบอาหาร
2.ไม่ควรกินสด
ดอกแคนาสดมีรสชาติเฝื่อนและไม่อร่อย ส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาลวก ต้ม หรือทำให้สุกก่อนบริโภค
3.สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
มีข้อมูลบางส่วนที่ระบุว่าดอกแคนาอาจมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ซึ่งอาจไม่ปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ ดังนั้น เพื่อความชัวร์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค หากกำลังตั้งครรภ์
4.ปริมาณที่เหมาะสม
เหมือนกับอาหารทุกชนิด การกินดอกแคนาในปริมาณที่พอเหมาะจะดีที่สุด การกินมากเกินไปอาจทำให้บางคนมีอาการท้องไส้ปั่นป่วนได้
ดอกแคนา มิตรคู่ครัวไทยที่คุณต้องลอง!
จะเห็นได้ว่า ดอกแคนา ไม่ได้เป็นแค่ดอกไม้สวยๆ ริมทาง แต่ยังเป็นแหล่งรวมประโยชน์ด้านสุขภาพที่น่าทึ่ง ทั้งช่วยแก้ร้อนใน บำรุงการนอนหลับ และดีต่อระบบขับถ่าย ที่สำคัญคือหาง่าย ราคาไม่แพง และนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม แกงเลียง หรือจะแค่ลวกจิ้มน้ำพริกก็อร่อยเด็ดแล้ว
แต่จำไว้ด้วยว่า เด็ดเกสรออกก่อนเสมอ! และหากอยู่ในกลุ่มสตรีมีครรภ์ หรือมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภคในปริมาณมากเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,900.00 | 52,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,355.00 | 50,861.80 | 52,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,019.50 | 45,775.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,684.00 | 40,689.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,509.75 | 22,887.81 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,174.25 | 17,801.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,476.68 | 52,706.47 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 33.65 | 33.65 | 34.15 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 | 33.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.28 | 33.28 | 33.78 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 | 33.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 31.44 | 31.44 | 31.94 | 31.44 | 31.44 | – | 31.44 | 31.44 | 31.44 | 31.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 29.79 | 29.79 | – | – | – | – | – | – | – | 29.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 42.24 |
เบนซิน 95 | 41.94 | – | – | – | 49.81 | – | 42.44 | 42.09 | – | 41.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |