อสังหาฝากผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนใหม่ปลดล็อกนโยบายการฝ่าวิกฤติหนี้

อสังหาฝากผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนใหม่ปลดล็อกนโยบายการเงินฝ่าวิกฤติหนี้ ลดดอกเบี้ย ผ่อนเกณฑ์จัดชั้นหนี้ เปลี่ยนบทบาทจากผู้คุมเสถียรภาพมาช่วยร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
หลังการแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ มีผลวันที่ 1 ต.ค.2568 ภายใต้ภารกิจเร่งด่วนและความท้าทายรอบด้าน ตั้งแต่วิกฤติหนี้ครัวเรือน ไปจนถึงภาวะเศรษฐกิจไทยเปราะบาง และความคาดหวังจากหลายภาคส่วน
โดยเฉพาะ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ที่มองว่า ถึงเวลาที่นโยบายการเงินของ ธปท. ต้องเพิ่มบทบาทจาก “ผู้รักษาเสถียรภาพ” เป็น “ผู้นำขับเคลื่อนการฟื้นตัว” อย่างเต็มตัว พร้อมใช้เครื่องมือ “การคลัง+การเงิน” อย่างสอดประสานกับรัฐบาล เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจจากหนี้พอก หนี้เสีย ไม่ให้ย่ำแย่ไปกว่านี้
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ย้ำว่า ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ ต้องตระหนักว่า “วิกฤติวันนี้” ไม่ใช่สถานการณ์ปกติของวงจรเศรษฐกิจทั่วไป หากแต่เป็น “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ที่หนักหนากว่าปี 2540 ด้วยซ้ำ!
“เราต้องยอมรับว่าวิกฤติวันนี้ หนักกว่าที่เราเคยเจอในปี 2540 ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำตามรอบปกติ แต่คือปัญหาสะสมจากหลายปี ตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 สงครามการค้า ปัญหาการเมือง และภาระหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
นี่จึงไม่ใช่วิกฤติที่จะแก้ได้ด้วยรัฐบาลฝ่ายเดียว ต้องมี “แบงก์ชาติ” เข้ามาช่วยอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้เสีย การจัดชั้นหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้ของภาคประชาชนและธุรกิจ

ธปท. ควรผ่อนเกณฑ์จัดชั้นหนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถประนอมหนี้กับลูกค้าได้ง่ายขึ้น ลดแรงกดดันจากการตั้งสำรอง และช่วยให้ระบบยังเคลื่อนไหวต่อได้
“ธนาคารเองก็ไม่อยากได้หนี้เสียเพิ่ม แต่ถ้าระบบยังไม่ผ่อนเกณฑ์ ทุกฝ่ายก็จะแพ้หมดทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้”
ดังนั้น ธปท. ต้อง “ยืนอยู่แถวหน้า” คู่กับรัฐบาลในการร่วมแก้หนี้ ไม่ใช่ยืนอยู่ข้างหลังคอยควบคุมเท่านั้น โดยเฉพาะการ “ผ่อนปรนหลักเกณฑ์จัดชั้นหนี้” ที่จะช่วยลดต้นทุนธนาคารและเพิ่มความยืดหยุ่นในการเจรจาประนอมหนี้กับลูกค้า
มุมมองใหม่จากคนที่เข้าใจ “ฐานราก”
“ภาคอสังหาริมทรัพย์มีความหวังกับนายวิทัย เพราะเคยผ่านบทบาทสำคัญในธนาคารออมสิน ซึ่งใกล้ชิดกับลูกค้าระดับฐานราก ผู้มีรายได้น้อย เอสเอ็มอี ไปจนถึงสินเชื่อรายบุคคล กล่าวได้ว่ามีประสบการณ์เชิงลึกกับประชาชนระดับล่าง เชื่อว่าจะเข้าใจสถานการณ์จากฐานรากได้ดี”
เชื่อว่ามาตรการการเงินผ่อนคลาย โดยเฉพาะ “การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเกิดขึ้นในยุคนายวิทัย ในฐานะผู้ว่าการแบงก์ชาติ จะเป็นผลดีทั้งในด้านต้นทุนธุรกิจ การบริโภค และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพาสินเชื่อ
“ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ใช่แค่ช่วยธุรกิจ แต่มีผลทางจิตวิทยา ทำให้คนกล้าตัดสินใจซื้อของใหญ่ๆ อย่างบ้านด้วย”
“ซิงเกิลคอมมานด์”การคลัง+การเงิน
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย สะท้อนมุมมองว่า การแก้วิกฤติต้องการความเป็นเอกภาพในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
“เราต้องการ ซิงเกิลคอมมานด์ ระหว่าง ธปท. และกระทรวงการคลัง เพื่อทำงานเป็นทีมเดียวกัน เหมือนหน่วยบัญชาการพิเศษในการกู้วิกฤติประเทศ”
เชื่อว่า นายวิทัย จะสามารถทำงานร่วมกับ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับนโยบายการคลัง
“วันนี้เราไม่สามารถยึดเสถียรภาพแบบดั้งเดิมเป็นหลักได้อีกต่อไป เสถียรภาพต้องเท่ากับ ‘ปากท้องประชาชน’ ที่คนต้องมีกิน มีใช้ก่อน”
เงินสำรองมีแต่เศรษฐกิจแห้งแล้งได้เวลาปลดล็อก
กูรูภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างเห็นตรงกันด้วยว่า “ความมั่นคงทางการเงิน” ของไทยไม่ใช่ปัญหา! หากแต่การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเฉพาะ เงินสำรองระหว่างประเทศ ที่อยู่ในระดับแสนล้านดอลลาร์ ยังไม่สอดรับกับปัญหาปากท้อง
“เงินสำรองเรามีเยอะ แต่คนไม่มีข้าวกิน แบบนี้เสถียรภาพไม่เกิดขึ้นจริง”
ดังนั้น แนวทางสำคัญ นั่นคือ การจัดการภาระหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน การเปิดช่องให้ธนาคารแข่งขันมากขึ้นผ่านการเปิดผู้เล่นใหม่ และการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค คือ เครื่องมือที่ควรนำมาใช้ในเชิงรุกอย่างมีจังหวะ โจทย์ที่รอ “ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ” คนใหม่ ไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่คือความกล้าในการเปลี่ยนแนวทาง!
“ถ้ายังทำแบบเดิม เราจะได้ผลลัพธ์แบบเดิม แต่ปัญหาวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
ไม่ใช่แค่การลดดอกเบี้ย หรือผ่อนเกณฑ์การเงินเท่านั้น แต่คือการ “คิดใหม่ ทำใหม่” แบบเบ็ดเสร็จร่วมกับรัฐบาลในเชิงนโยบาย สิ่งที่ 2 กูรูจากภาคอสังหาริมทรัพย์ฝากการบ้านถึง “นายวิทัย รัตนากร” จึงไม่ใช่แค่ความรู้เชิงเทคนิคด้านเศรษฐศาสตร์ แต่คือ “ความกล้า” และ “วิสัยทัศน์” ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ!
การเข้ารับตำแหน่งของ “ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคนใหม่ แต่คือโอกาสสำคัญของประเทศที่จะเปลี่ยน “บทบาท ธปท.” จากผู้คุมเสถียรภาพ มาเป็น “ผู้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริง” อย่างแท้จริง!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ทรานส์ฟอร์มรับมือเศรษฐกิจผันผวน

เมื่อวิกฤติกลายเป็นแรงเร่ง อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ก้าวสู่การทรานส์ฟอร์มองค์กรเต็มรูปแบบผ่านเทคโนโลยี ERP อัจฉริยะ หวังยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เดินเกมเชิงรุก สู่การ “ทรานส์ฟอร์มองค์กร” ครั้งใหญ่ ด้วยการลงทุนกว่า 120 ล้านบาท อัปเกรดระบบ ERP ด้วย RISE with SAP S/4HANA Cloud for Retail กลายเป็นองค์กรค้าปลีกไทยรายแรกที่นำระบบนี้มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการ “วางรากฐาน” ให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สิน และความเร็วคืออาวุธสำคัญ
“เราเชื่อว่าธุรกิจยุคใหม่ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการทรานส์ฟอร์มครั้งนี้จะเป็นแกนหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพทุกมิติ” กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ กล่าว
ขับเคลื่อนองค์กรด้วย “สมองกลอัจฉริยะ”
หัวใจของการเปลี่ยนแปลงคือระบบ ERP อัจฉริยะที่ทำงานบนฐานข้อมูลแบบ In-Memory ทำให้สามารถประมวลผล Big Data ได้แบบเรียลไทม์ โดยเชื่อมโยงทุกแผนกเข้าด้วยกัน ตั้งแต่หน้าร้านจนถึงระบบบัญชี ส่งผลให้การดำเนินงานมีความแม่นยำและคล่องตัว
ความร่วมมือกับพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง SAP, AWS และบริษัท เน็กซัส ซิสเท็ม รีซอร์สเซส จำกัด ทำให้การวางระบบในครั้งนี้เป็นมากกว่าการติดตั้งซอฟต์แวร์ แต่คือการ เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีบริหารธุรกิจทั้งระบบ
ยกระดับ 4 หัวใจหลักธุรกิจค้าปลีก
- หน้าร้านอัจฉริยะ (Store Operations)ระบบ POS เชื่อมโยงกับคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้พนักงานขายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความผิดพลาด
- บริหารคลังสินค้าอย่างแม่นยำ (Supply Chain)บริหารสต็อกได้แบบ end-to-end ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่ง
- การเงินโปร่งใส ตรวจสอบได้ (Finance)ออกรายงานการเงินได้เรียลไทม์ ลดขั้นตอนซับซ้อน และสอดคล้องกับกฎหมาย
- การตลาดตรงจุด (Marketing & Customer Insights)เชื่อมข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา วิเคราะห์พฤติกรรม และออกแบบกลยุทธ์ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
“การทรานส์ฟอร์มในวันนี้คือการวางหมากล่วงหน้า เพื่อให้เรายังเป็นที่ 1 ในใจผู้บริโภคในวันพรุ่งนี้”
เป้าหมายของ ILM ไม่ใช่แค่การเป็นห้างเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุด แต่ต้องการยกระดับแบรนด์ให้เป็น Smart Retail Platform ที่เข้าใจลูกค้าเชิงลึก ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนา CRM การตลาดแบบ Personalization ไปจนถึงการรองรับระบบ AI ในอนาคตนี่ไม่ใช่แค่การลงทุนในเทคโนโลยี แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24ก.ค. “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทจะมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และเราคงเห็นความเสี่ยงที่เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้24ก.ค.2568 ที่ระดับ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ตามแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังเงินยูโร (EUR) ทยอยแข็งค่าขึ้น ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำปรับตัวลดลง สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้า
ทำให้ เรายังขอคงมุมมองเดิมว่า แม้เงินบาทจะมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และเราคงเห็นความเสี่ยงที่เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงทยอยออกมาสดใสดีกว่าคาด หนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง (แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็จะเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน)
อย่างไรก็ดี ในช่วง 24 ชั่วโมง ข้างหน้านั้น เรายอมรับว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทะลุแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ และอาจแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก เมื่อเราประเมินจากสถิติการเคลื่อนไหวของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ และผลการประชุม ECB
นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจยังหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย อย่างหุ้นไทย เพิ่มเติมได้ ทว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง
เราก็พร้อมจะมองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรใกล้ถึงจุดกลับตัว และเงินบาทจะเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินในเชิง Valuation ที่เรามองว่า เงินบาทในระดับปัจจุบัน หรือต่ำกว่า 32.00 บาทต่อดอลลาร์ นั้น จะเป็นระดับที่แข็งค่าเกินไปพอควร (Overvalued) ในระดับ เกิน +1 SD
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.14-32.25 บาทต่อดอลลาร์) แม้เงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ตอบรับความหวังว่าสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็ววันนี้
ทว่า ภาพดังกล่าวกลับกดดันให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าดังกล่าว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ อย่าง ยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือนมิถุนายน ที่ปรับตัวลดลง แย่กว่าคาด
แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ จะออกมาแย่กว่าคาด ทว่าความหวังสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปอาจบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็ววันนี้ กอปรกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ก็หนุนให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.78%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +1.08% หนุนโดยความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ต่างปรับตัวขึ้นแรง
อาทิ Porsche +6.7% รวมถึงบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมก็ต่างปรับตัวสูงขึ้น อาทิ LVMH +3.1% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปที่ออกมาผสมผสาน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเข้าใกล้โซน 4.40% อีกครั้ง อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า
พร้อมทั้งรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ หุ้นเทคฯ ใหญ่ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยจังหวะการทยอยเข้าซื้อดังกล่าวอาจกลับมาอีกครั้ง ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้งบรรดาสกุลเงินหลัก นำโดยเงินยูโร (EUR) ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตอบรับความหวังสหภาพยุโรป (EU) อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในเร็ววันนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.1-97.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง
ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ท่ามกลาง ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มบรรดาเศรษฐกิจหลัก ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนกรกฎาคม
ส่วนในฝั่งยุโรป ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเรามองว่า ECB จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% ตามเดิม ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ส่วนใหญ่ต่างมองว่า เป็นระดับที่เหมาะสม (Neutral Rate)
ทั้งนี้ เรามองว่า ในช่วงการแถลง Press Conference ของประธาน ECB Christine Largarde ทางประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB พร้อมปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของ ECB คือ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ทางฝั่งสหรัฐฯ นอกเหนือจากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sales) เดือนมิถุนายน และดัชนีภาวะธุรกิจโดยเฟดสาขา Kansas City
ส่วนในฝั่งไทยนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมิถุนายน ซึ่งอาจยังคงเห็นการขยายตัวในระดับที่สูงอยู่ของการส่งออกได้ ก่อนที่อัตราการเติบโตของยอดการส่งออกจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตามผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 32.10 ก่อนจะปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.12-32.14 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.16 บาทต่อดอลลาร์ฯ ( 32.108 แข็งสุดรอบ 3 ปี 5 เดือน นับตั้งแต่ 22 ก.พ. 2565)
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง เพราะแม้ตลาดจะยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอีกหลายประเทศ แต่การที่เริ่มมีข้อสรุปดีลการค้ากับหลายประเทศก็เป็นสัญญาณที่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงลงบ้างบางส่วน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.00-32.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมิ.ย. ประเด็นเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า (รวมไทย) ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป ตลอดจนตัวเลข PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ และประเทศชั้นนำอื่นๆ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ได้แล้ว 2 ทีม! สองชาติทะลุรอบรองชนะเลิศ “วอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025”

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 รอบ 8 ทีมสุดท้าย กลับมาแข่งขันกันที่เมืองลอดซ์ ประเทศโปแลนด์ เมื่อคืนวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568
โดยรอบ 8 ทีมสุดท้าย คู่แรกเป็นทาง “แชมป์เก่า” อิตาลี ที่เอาชนะ สหรัฐอเมริกา ไปได้แบบขาดลอย 3-0 เซต ส่วนคู่ที่สอง “เจ้าภาพ” โปแลนด์ พลิกเกมจากตกเป็นรองถึง 2 ครั้ง ก่อนกลับมาเอาชนะ จีน ไปได้แบบลุ้นระทึก 3-2 เซต ผ่านเข้าสู่รอบรองฯ ได้สำเร็จ
ทำให้ได้ 2 ทีมผ่านเข้ารอบรองฯ แล้วก็คือ อิตาลี จะะพบกับ โปแลนด์ ขณะที่อีกสองคู่ ญี่ปุ่น พบ ตุรกี กับ บราซิล พบ เยอรมนี จะทำการแข่งขันกันในคืนวันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2568 ซึ่งผู้ชนะของทั้งคู่จะโคจรมาเจอกันในรอบรองชนะเลิศ
โปรแกรมวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2025 รอบรองชนะเลิศ
วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2568
เวลา 21.00 น. อิตาลี พบ โปแลนด์
เวลา 01.00 น. รอผลอีกสองคู่ (คืนวันเสาร์)
สำหรับการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025 รอบสุดท้าย แฟนๆ สามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง VBTV
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ฉีดสารกัมมันตรังสีผ่านหลอดเลือดแดง ทางเลือกใหม่รักษา มะเร็งตับ

กรมการแพทย์ เผย เทคนิค TARE วิธีการใหม่ในการรักษามะเร็งตับโดยการส่งสารกัมมันตรังสีไปทำลายเนื้องอกโดยตรงผ่านหลอดเลือดแดง ช่วยผู้ป่วยที่สภาพร่างกายไม่แข็งแรงพอสำหรับการผ่าตัดได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“มะเร็งตับ” ปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย พบบ่อยเป็นลำดับที่ 1 ในเพศชาย และลำดับที่ 5 ในเพศหญิงเกิดจากภาวะตับแข็งด้วยสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบ แอลกอฮอล์เรื้อรัง ไขมันพอกตับเรื้อรังและปัจจัยอื่น
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันทางเลือกในการรักษามะเร็งตับมีหลากหลายขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของผู้ป่วย สภาวะการทำงานของตับและลักษณะของตัวโรคซึ่งการรักษาทางเลือกหลักที่มีโอกาสหายขาดสูงสุด คือ การผ่าตัด แต่ข้อจำกัดการผ่าตัดมีหลายอย่าง ทั้งสภาวะร่างกายผู้ป่วยและปริมาตรของตับที่เหลือหลังการผ่าตัด
การรักษาเฉพาะที่ (Locoregional treatment) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันสำหรับผู้ป่วยที่สภาวะโดยรวมไม่เหมาะสมต่อการผ่าตัด โดยอาจเป็นทางเลือกเพื่อการรักษาที่หายขาด (Curative treatment) หรือการรักษาเสริมเพื่อการเตรียมความพร้อมในการรักษาวิธีอื่น ๆ ต่อ (Adjunct treatment or bridging treatment)
หนึ่งในวิธีการรักษาใหม่สำหรับมะเร็งตับ คือ การรักษามะเร็งตับด้วยวิธีการฉีดสารกัมมันตรังสีผ่านทางหลอดเลือดแดง (Transarterial Radioembolization – TARE)
เรืออากาศเอกนายแพทย์สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า วิธีการฉีดสารกัมมันตรังสีผ่านทางหลอดเลือดแดง (Transarterial Radioembolization – TARE) เป็นการฉีดสารกัมมันตรังสี Yttrium-90 microsphere (Y-90) ผ่านทางหลอดเลือดแดงของตับที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งซึ่งสารกัมมันตรังสีจะทำลายเนื้องอกระยะใกล้ภายในร่างกายผู้ป่วย การรักษาวิธีนี้เข้ามาเป็นส่วนช่วยในเพิ่มโอกาสการเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วย โดยเป็นการทำลายเนื้องอกเฉพาะที่
อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มปริมาตรตับในส่วนที่ดีให้โตขึ้นทางอ้อม ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หลังการรักษาที่ระยะเวลา 3-6 เดือน Y-90 TARE มีบทบาทในแนวทางการรักษามะเร็งตับระดับนานาชาติ เป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับที่ผ่าตัดไม่ได้ โดยถูกแนะนำให้เลือกใช้กับผู้ป่วยที่มีก้อนขนาดใหญ่ การกระจายตัวของก้อนหลายตำแหน่ง ผู้ป่วยที่มีโอกาสรับการผ่าตัดได้ หากสามารถควบคุมการแพร่กระจายของก้อนได้และมีปริมาตรของตับหลังการผ่าตัดเพียงพอ หรือผู้ป่วยที่เนื้องอกขนาดเล็กแต่ไม่สามารถรับการรักษาวิธีอื่นได้ เป็นต้น
แพทย์หญิงอรรถพร อจลเสรีวงศ์ นายแพทย์ชำนาญการกลุ่มงานรังสีวินิจฉัยและเวชศาสตร์นิวเคลียร์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประสบการณ์การรักษาโดยการใช้สารกัมมันตรังสีในประเทศไทยพบว่า สามารถเพิ่มโอกาสการรักษาให้กับผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ โดยสามารถลดระยะของโรค (Down staging) ให้กับผู้ป่วยได้ 50% และทำให้ผู้ป่วยที่เบื้องต้นไม่สามารถรับการรักษาผ่าตัดได้ สามารถรับการผ่าตัดได้ 33%
ข้อจำกัดที่สำคัญของ Y-90 TARE คือมีราคาสูง และมีความยุ่งยากซับซ้อนในการรักษา โดยก่อนการรักษาแพทย์จะต้องฉีดสีประเมินการกระจายของอนุภาคอย่างละเอียดเพื่อประเมินกายวิภาคของก้อนเนื้องอก คำนวณปริมาณรังสีที่ใช้ในการรักษา และประเมินอวัยวะที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเนื่องจากสารกัมมันตรังสี
ทางทีมสหสาขาวิชาชีพในการรักษามะเร็งตับของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เล็งเห็นประโยชน์และความจำเป็นของการรักษาด้วย TARE จึงมีการพัฒนาทักษะของบุคลากร ปรับปรุงความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือ ในการให้บริการ TARE ให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
Microsoft เผย กลุ่มจีน Storm-2603 โจมตี SharePoint เจาะระบบนิวเคลียร์สหรัฐ

Microsoft ตรวจพบปฏิบัติการแฮกของกลุ่ม Storm-2603, Linen Typhoon และ Violet Typhoon จากจีน กลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ใน SharePoint ลอบเข้าระบบของหน่วยงานสำคัญของสหรัฐ กระทบถึงข้อมูลด้านความมั่นคง เช่น ระบบนิวเคลียร์
สถานการณ์ภัยคุกคามไซเบอร์ระดับโลกกลับมาอยู่จุดวิกฤติอีกครั้ง หลัง Microsoft ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับ “รัฐจีน” ได้ใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ SharePoint เข้าโจมตีหน่วยงานและองค์กรหลายแห่งทั่วโลก โดยมีเป้าหมายครอบคลุมตั้งแต่หน่วยงานนิวเคลียร์ของสหรัฐไปจนถึงสถาบันการศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในบล็อกโพสต์อย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) Microsoft ระบุว่า กลุ่มแฮกเกอร์ “Linen Typhoon” และ “Violet Typhoon” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน รวมถึงกลุ่ม “Storm-2603” ที่ตั้งอยู่ในจีน ได้เริ่มโจมตี SharePoint ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. เป็นต้นมา โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่องค์กรต่างๆ ติดตั้งไว้ใช้งานเอง (on-premise) ซึ่งต่างจากระบบคลาวด์ที่บริษัทดูแลโดยตรง
รายงานของ Bloomberg ยังเปิดเผยว่า หนึ่งในหน่วยงานที่ถูกเจาะระบบคือ สำนักงานบริหารความมั่นคงนิวเคลียร์แห่งชาติสหรัฐ (NNSA) ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงพลังงาน มีหน้าที่ผลิตและรื้อถอนอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงสนับสนุนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้กองทัพเรือสหรัฐ แม้ไม่มีรายงานว่าข้อมูลลับรั่วไหล แต่ก็สะท้อนระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ครั้งนี้
นอกจากนั้น ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ, กรมสรรพากรรัฐฟลอริดา, สภานิติบัญญัติรัฐโรดไอแลนด์ ตลอดจนองค์กรด้านพลังงาน บริษัทที่ปรึกษา มหาวิทยาลัย และรัฐบาลหลายประเทศในยุโรป ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ และเอเชีย รวมถึงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้ให้บริการสุขภาพในสหรัฐ
CrowdStrike บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ระบุว่า การโจมตีเริ่มจากลักษณะที่ดูเป็นการกระทำโดยรัฐ ก่อนจะขยายวงกว้างขึ้น อดัม เมเยอร์ (Adam Meyers) รองประธานของ CrowdStrike ระบุว่า ลักษณะของแฮกเกอร์ชุดหลังๆ ดูมีความเชื่อมโยงกับจีนอย่างชัดเจน และยังเตือนว่า การสืบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และการโจมตีอาจยังคงดำเนินต่อไป
ฝั่ง Microsoft ได้เร่งออกแพตช์อัปเดตเพื่ออุดช่องโหว่ให้ครบทุกเวอร์ชันตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 21 ก.ค. เป็นต้นมา แต่จากการตรวจสอบของนักวิจัยด้านไซเบอร์ พบว่า มีอย่างน้อย 100 เซิร์ฟเวอร์จาก 60 องค์กร ที่ถูกแฮกสำเร็จแล้ว
สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันออกแถลงการณ์โต้กลับทันทีว่า “จีนคัดค้านการโจมตีไซเบอร์ทุกรูปแบบ และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน” พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดหลักฐานเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่การคาดเดาหรือกล่าวหาโดยปราศจากข้อมูลที่ตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ต้องเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์จากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับจีน ย้อนกลับไปในปี 2021 กลุ่ม “Hafnium” เคยใช้ช่องโหว่ใน Exchange Server ซึ่งเป็นระบบอีเมลในชุด Office ของ Microsoft เข้าโจมตีหน่วยงานภาครัฐสหรัฐ
หลังจากเหตุการณ์นั้น สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอของ Microsoft ได้ประกาศให้ความมั่นคงไซเบอร์เป็นวาระเร่งด่วน และเพิ่งมีการตัดสินใจยุติการใช้วิศวกรในจีน สำหรับงานสนับสนุนระบบคลาวด์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีข้อกังวลว่าโครงสร้างระบบบางส่วนอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการแทรกซึม
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำศัพท์ภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดจากน้ำ

อุทกภัยหรือภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากน้ำในธรรมชาติที่มีปริมาณมากเกินไปหรือเคลื่อนที่ในลักษณะที่รุนแรง เช่น น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และคลื่นสึนามิ ซึ่งล้วนแต่สามารถสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากน้ำ (Natural Disasters – Water related) พร้อมคำอ่าน จากนั้นจึงค่อยลองนำคำศัพท์เหล่านี้ไปฝึกใช้ในบทสนทนาเกี่ยวกับภัยธรรมชาติภาษาอังกฤษกับเพื่อนๆ กัน
คำศัพท์ | คำอ่าน | ความหมาย |
Flood | ฟลัด | น้ำท่วม |
Tsunami | ซูนามี | สึนามิ |
Evacuation | อิแวคคิวเอชัน | การอพยพออกจากพื้นที่อันตราย เช่น อพยพหนีภัยน้ำท่วม |
Rainstorm | เรนสตอร์ม | พายุฝน |
High tide | ไฮ ทายด์ | น้ำขึ้นสูง |
Low tide | โลว์ ทายด์ | น้ำลงต่ำ |
Storm surge | สตอร์ม เซิร์จ | การขึ้นสูงของน้ำทะเลจากพายุ |
Flash flood | แฟลช ฟลัด | น้ำท่วมฉับพลัน |
Riverbank erosion | ริเวอร์แบงค์ อิโรชั่น | การกัดเซาะริมฝั่งแม่น้ำ |
Rain | เรนส์ | ฝนตก |
ตัวอย่างข่าวภัยพิบัติภาษาอังกฤษพร้อมแปลเกี่ยวกับน้ำท่วม
“Heavy rains in northern Thailand caused big floods. Many schools were damaged, and children could not go to class. Rescuers helped move children to safe places. Families had to leave their homes because of the water. People are working to fix the schools and homes.”
“เฮฟวี่ เรนส์ อิน นอร์ทเทิร์น ไทยแลนด์ คอส บิ๊ก ฟลัดส์ เมนี่ สคูลส์ เวอร์ แดเมจด์ แอนด์ ชิลเดรน คูลด์ น็อท โก ทู คลาส เรสคิวเออร์ส เฮลพ์ มูฟ ชิลเดรน ทู เซฟ เพลสเซส แฟมิลี่ส์ แฮด ทู ลีฟ แธร์ โฮมส์ บีคอส ออฟ เดอะ วอเทอร์ พีเพิล อาร์ เวิร์คกิ้ง ทู ฟิกซ์ เดอะ สคูลส์ แอนด์ โฮมส์”
“ฝนตกหนักในภาคเหนือของประเทศไทยทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ โรงเรียนหลายแห่งได้รับความเสียหาย และเด็กๆ ไม่สามารถไปเรียนได้ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือได้อพยพเด็กๆ ไปยังที่ปลอดภัย ครอบครัวต้องย้ายออกจากบ้านเพราะน้ำท่วม ขณะนี้ผู้คนกำลังช่วยกันซ่อมแซมโรงเรียนและบ้านเรือน”
ขอบคุณข้อมูลจาก speakuplanguagecenter.com
“ลาเวนเดอร์” ไม่ได้มีแค่สีม่วง! เปิดโลกเฉดสีลับของดอกไม้แห่งความสงบ

เมื่อพูดถึง “ดอกลาเวนเดอร์” (Lavender) สีแรกที่แวบเข้ามาในความคิดของคนส่วนใหญ่คือ “สีม่วง” กันใช่ไหม เพราะสีม่วงคือสีที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักของลาเวนเดอร์มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกของดอกลาเวนเดอร์นั้นมีเฉดสีที่หลากหลายและน่าหลงใหลมากกว่าแค่สีม่วงที่เราคุ้นเคยกัน บทความนี้จะพาคุณไปไขข้อสงสัยว่า ลาเวนเดอร์สีอะไร พร้อมสัมผัสความงามของสีสันต่างๆ ในดอกลาเวนเดอร์
รู้จักสีม่วงของลาเวนเดอร์: เอกลักษณ์หลากเฉดสี
สีม่วงของลาเวนเดอร์มักจะถูกเชื่อมโยงกับความสงบ ความผ่อนคลาย และความหรูหรา เป็นสีที่สร้างบรรยากาศชวนฝันและเป็นที่มาของความนิยมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม สบู่ หรือเครื่องสำอาง
- ม่วงอ่อน (Pale Lavender / Lilac): มักพบในสายพันธุ์ที่ออกดอกแรกๆ หรือสายพันธุ์ที่มีสีอ่อนโดยธรรมชาติ ให้ความรู้สึกอ่อนโยน บริสุทธิ์ และสบายตา
- ม่วงกลาง (Medium Lavender): เป็นเฉดสีม่วงที่เราเห็นบ่อยที่สุดและเป็นสีที่บ่งบอกถึงลาเวนเดอร์ได้ดีที่สุด เป็นสีม่วงคลาสสิกที่ให้ความรู้สึกสมดุล
- ม่วงเข้ม (Deep Purple / Violet): บางสายพันธุ์ หรือเมื่อลาเวนเดอร์ได้รับแสงแดดจัดและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะให้ดอกสีม่วงเข้มจัด ดูลึกลับและมีพลัง
เฉดสีลาเวนเดอร์อื่น ๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้
นอกเหนือจากเฉดสีม่วงที่หลากหลายแล้ว ดอกลาเวนเดอร์บางสายพันธุ์ยังมีสีสันที่แตกต่างออกไปอย่างน่าประหลาดใจ
- ลาเวนเดอร์สีชมพู (Pink Lavender): ลาเวนเดอร์สีชมพูก็มีอยู่จริง! แม้จะไม่แพร่หลายเท่าสีม่วง แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่ให้ดอกสีชมพูอ่อนหวานน่ารัก เช่น Lavandula angustifolia ‘Rosea’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Pink Lavender” ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและโรแมนติก
- ลาเวนเดอร์สีขาว (White Lavender): ลาเวนเดอร์สีขาวเป็นอีกหนึ่งความงามที่แตกต่างอย่างโดดเด่น มักพบในสายพันธุ์ Lavandula angustifolia ‘Alba’ หรือ ‘Nana Alba’ ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ สงบ และเป็นตัวเลือกที่สวยงามสำหรับการจัดสวนที่ต้องการความเรียบง่ายแต่หรูหรา
- ลาเวนเดอร์ม่วงอมฟ้า/น้ำเงิน (Bluish-Purple): บางสายพันธุ์อาจมีเฉดสีที่เอนไปทางสีฟ้าหรือน้ำเงินมากกว่าสีม่วงเข้ม ให้ความรู้สึกเย็นตาและสดชื่น
ปัจจัยที่มีผลต่อสีของดอกลาเวนเดอร์
สีของดอกลาเวนเดอร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเฉดสีที่ปรากฏ
- สายพันธุ์ (Cultivar): นี่คือปัจจัยหลักที่กำหนดสีพื้นฐานของดอกลาเวนเดอร์แต่ละชนิด แต่ละสายพันธุ์ถูกคัดเลือกและพัฒนามาเพื่อให้ได้สี กลิ่น และลักษณะเฉพาะตัว
- สภาพแวดล้อมและดิน (Environment and Soil):
- แสงแดด: การได้รับแสงแดดที่เพียงพอและเหมาะสมสามารถทำให้สีของดอกเข้มและสดใสขึ้น
- องค์ประกอบของดิน: แร่ธาตุและค่า pH ของดินก็อาจส่งผลต่อความเข้มของสีได้เช่นกัน
- ช่วงเวลาการออกดอก (Bloom Stage): สีของดอกลาเวนเดอร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามระยะเวลาการบาน ตั้งแต่เริ่มตูมจนถึงบานเต็มที่และเริ่มร่วงโรย
แม้ว่าสีม่วงจะเป็นสัญลักษณ์ของ ดอกลาเวนเดอร์ ที่ทุกคนรู้จัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลาเวนเดอร์ยังมีเฉดสีที่หลากหลายและน่าค้นหา ตั้งแต่ม่วงอ่อน ม่วงเข้ม ไปจนถึงสีชมพูและสีขาว ซึ่งแต่ละสีก็ล้วนมีความงามและเสน่ห์ในแบบของตัวเอง การได้สัมผัสความหลากหลายทางสีสันของดอกลาเวนเดอร์ จะทำให้คุณเข้าใจและชื่นชมพืชชนิดนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังสามารถเลือกใช้ลาเวนเดอร์สีต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกันไปในการจัดสวนหรือตกแต่งบ้านได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 24/07/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,400.00 | 51,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,323.00 | 50,376.68 | 52,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,990.70 | 45,339.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,658.40 | 40,301.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,495.35 | 22,669.51 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,163.05 | 17,631.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,443.52 | 52,203.76 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 24/07/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.45 | 32.45 | 32.95 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 | 32.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.08 | 32.08 | 32.58 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.24 | 30.24 | 30.74 | 30.24 | 30.24 | – | 30.24 | 30.24 | 30.24 | 30.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.59 | 28.59 | – | – | – | – | – | – | – | 28.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.04 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.04 |
เบนซิน 95 | 40.74 | – | – | – | 49.81 | – | 41.24 | 40.89 | – | 40.74 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |