สาระน่ารู้ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2568

กานดา เบนเข็มบุกภูเก็ต ผุดParQโครงการพูล วิลล่า เชิงทะเล

กานดา พร็อพเพอร์ตี้ พลิกเกมรับมืออสังหาฯ ปี 68 ยังไม่ฟื้นตัว บนเข็มบุกภูเก็ตผุดParQโครงการพูล วิลล่า เชิงทะเล มูลค่า 600-700 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2,500 ล้าน

นายหัสกร บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  กล่าวว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาฯยังทรงตัว แต่การแข่งขันเริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อดีมานด์ใหม่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่  ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมาเท่าไรนัก หลังจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯหมดอายุลงเมื่อปลายปี 2567 โดยมีปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงสูงและผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทำให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ

“ตลาดอสังหาฯในปีนี้ยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดหวัง แม้จะมีการปลดล็อค LTV ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงการกู้เงินได้ง่ายขึ้น แต่ความต้องการยังไม่กลับมาเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางและ SMEs ที่มีรายได้น้อยลงในช่วงนี้” 

ในสถานการณ์เช่นนี้ การแข่งขันในตลาดอสังหาฯจึงเข้มข้นขึ้น เพราะผู้ประกอบการต้องใช้โปรโมชั่นต่างๆ เช่น ลด แลก แจก แถม เพื่อดึงดูดลูกค้า ขณะที่กำไรของบริษัทอสังหาฯในปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บางรายลดลงถึง 80-90% หรือบางแห่งถึงกับขาดทุน

ความหวังจากมาตรการรัฐ

อย่างไรก็ตามมั่นใจว่ามาตรการจากภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอยู่ระหว่างการพิจารณา รวมถึงการปลดล็อค LTV จะทำให้ตลาดอสังหาฯคึกคักขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังที่สอง และคอนโดมิเนียมที่อาจได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้

“การปลดล็อค LTV จะช่วยกระตุ้นยอดขายอสังหาฯอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้ซื้อที่มีความพร้อมสามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม” นายหัสกรกล่าว

หากมีการผ่อนคลายเกณฑ์การกู้ยืมจะช่วยให้ผู้ซื้อที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ทำให้ตลาดกลับมามีความหวังในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ที่ลดการลงทุนในโครงการใหม่ จะทำให้ตลาดมีความสมดุลมากขึ้น ลดความร้อนแรงของการแข่งขันด้านราคา

ขยายธุรกิจสู่พูลวิลล่า ภูเก็ต

ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ยังคงท้าทาย กานดา พร็อพเพอร์ตี้ได้ขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ที่มีโอกาสเติบโต โดยมีแผนพัฒนาโครงการพูล วิลล่าในภูเก็ต ในโซนเชิงทะเลภูเก็ตเป็นทำเลที่มีการเติบโตสูง จึงเลือกที่จะพัฒนาโครงการพูล วิลล่า ที่จะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ด้วยการออกแบบโครงการที่เน้นความสะดวกสบาย และการใช้ชีวิตที่ครบครันในบรรยากาศที่เงียบสงบ

โครงการที่กำลังจะเปิดตัวนี้จะมีชื่อว่า “ParQ Villa “ ซึ่งเป็นพูล วิลล่าสไตล์โมเดิร์น คอนเทมโพรารี่ จำนวน 22 หลังมูลค่า 600-700 ล้านบาท โดยพื้นที่รวมทั้งหมดจะมีขนาด 12 ไร่เศษ และมีจุดเด่นอยู่ที่ฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ครบครัน คาดว่าจะเปิดตัวเฟสแรกได้ในช่วงปลายปี 2568

“เราให้ความสำคัญกับการออกแบบสวนที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว โดยในอนาคตจะเพิ่มพื้นที่สวนเป็น 10 ไร่ เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบให้กับลูกค้าของเรา” นายหัสกรกล่าว

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ กานดา พร็อพเพอร์ตี้ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 2,500 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมาแม้จะทำยอดขายเกินเป้าเล็กน้อย แต่รายได้จากการโอนต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 10% เนื่องจากปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน

“ในปีนี้เรามั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยการเน้นการขายโครงการที่มีอยู่และการจัดโปรโมชั่นที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้าน” นายหัสกรกล่าว

ด้วยการตั้งเป้าหมายยอดขายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 47 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 มีนาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 100 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านบาทต่อเดือนในช่วง 2 เดือนของแคมเปญ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“แอสเซทไวส์” กวาดยอดขายทะลุ 1,100 ล้าน งานมหกรรมบ้านและคอนโด

“แอสเซทไวส์” เผยกวาดยอดขายทะลุ 1,100 ล้านในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47ภายใน 4 วันตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าเรียลดีมานด์และนักลงทุน

นางสาวพชร ประพันธ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้เดินหน้าส่งมอบความสุขในโอกาสครบรอบ 20 ปี เข้าร่วม “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47” สามารถสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จด้วยยอดขายโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมรวมตลอด 4 วัน ได้สูงถึง 1,100 ล้านบาท ภายใต้แคมเปญ “AssetWise Fast Come Fast Served” นำโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม รวม 38 โครงการ ราคาเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท มามอบข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ ส่วนลดมูลค่ารวม 20 ล้านบาท ฟรีค่าส่วนกลางสูงสุด 20 ปี ฟรีของแถมกว่า 20 รายการ ผ่อนต่ำเริ่มต้นเพียงล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน นานสูงสุด 2 ปี

“จุดเด่นของแอสเซทไวส์คือพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ จัดเต็ม หลากหลายฟังก์ชัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของคนทุกเจนเนอเรชัน ซึ่งเป็น DNA ของแอสเซทไวส์ที่แตกต่างจากโครงการอื่น ๆ และมีทำเลให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ ไม่ว่าจะซื้ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อการลงทุนที่มีการันตีผลตอบแทนจากปล่อยเช่า (Yield) สูงสุดถึง 8% ความสำเร็จในงานนี้จะช่วยผลักดันยอดพรีเซลในไตรมาสแรกของปี 2568 ให้เติบโตต่อเนื่อง” นางสาวพชร กล่าว

นายเกรียงศักดิ์ เหี้ยมโท้ กรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มธุรกิจ บ้านเดี่ยวและเดอะไทเทิล บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แอสเซทไวส์ ยังมีบริการซื้อ ขาย ฝากเช่าผ่าน Asset A+ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ และบริการจับคู่นักลงทุนและผู้ต้องการเช่าภายในงาน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจจองภายในงาน นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการเงินพาร์ทเนอร์ร่วมให้คำแนะนำการขอสินเชื่อลูกค้า รวมถึงการประกาศปรับเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศ
ไทย ให้ผู้ซื้อสามารถกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยได้เต็ม 100% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปในสัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไปนั้น ช่วยสร้างบรรยากาศให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ภายในงานแอสเซทไวส์ได้แบ่งโซนออกเป็น ชีวิตติดมอ รวมแคมปัสคอนโดใกล้มหาวิทยาลัยและโรงเรียนชั้นนำ ชีวิตติดเมือง รวมคอนโดมิเนียมทำเลเมือง เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า ชีวิตติดทะเล รวมคอนโดมิเนียมโซน EEC ระยอง ชลบุรี ให้ทุกวันเป็นวันพักผ่อน และโซนบ้าน หลากหลายทำเลทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ทั้งยังมีกิจกรรมมอบความสุขให้ลูกค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มสุดพิเศษจากบ้านไร่กาแฟ ตู้คีบ Art Toy และบรรดาสาวงามและหนุ่มหล่อจากเวทีการประกวด Miss Universe Thailand และ Mister International รวมถึง “มุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา” นักฟุตบอลกองหน้าทีมชาติไทย และสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด มาร่วมกิจกรรมภายในงาน ตอกย้ำภาพแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25 มี.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 33.98 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินบาทมีกำลังอ่อนค่ามากขึ้น สอดคล้องกับการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำเริ่มย่อตัวลงและเสี่ยงเข้าสู่ช่วงการพักฐานในระยะสั้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25มี.ค. 2568 ที่ระดับ  33.98 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.81 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าลงของเงินบาท (USDTHB) มีกำลังมากขึ้น

สอดคล้องกับการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็เริ่มย่อตัวลงและเสี่ยงเข้าสู่ช่วงการพักฐานในระยะสั้น ทำให้ เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง

และควรจับตาอย่างใกล้ชิด ว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจนหรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following จะสะท้อนว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจยังไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องชัดเจน หากราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้ หรือ อย่างน้อยแกว่งตัว Sideways

นอกจากนี้ เงินบาทรวมถึงบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ก็อาจได้รับอานิสงส์บ้าง จากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง

ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงในฝั่งเอเชีย โดยในฝั่งตลาดทุนไทย ก็อาจเห็นแรงซื้อหุ้นไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติกลับมาได้เช่นกัน

นอกจากนี้ หากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ที่จะรับรู้ในช่วงราว 16.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยพยุงเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง

และอาจพอช่วยชะลออการอ่อนค่าลงของเงินบาท โดยเฉพาะแถวโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่า บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าวพอสมควร

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.05 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.79-34.00 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนมีนาคม ของสหรัฐฯ ที่โดยรวมออกมาดีกว่าข้อมูลดังกล่าวจากฝั่งยุโรป นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจดำเนินนโยบายการค้าที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยภาพดังกล่าวได้หนุนเงินดอลลาร์ ผ่านการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงทะลุโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ และนอกเหนือจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ เงินบาทก็ถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงราว -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ของราคาทองคำ (XAUUSD) ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด และการรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) มากขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการค้าที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง นอกจากนี้ รายงานดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.3 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด สะท้อน ภาวะขยายตัว) ดีกว่าคาด ก็มีส่วนหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.76%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.13% แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะเริ่มคลายกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง ทว่าความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ยังสูงอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ อาทิ Rio Tinto +1.5% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาแร่โลหะ อย่าง ทองแดง และการปรับคำแนะนำลงทุน เป็น “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” ของบรรดานักวิเคราะห์  

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 47% ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่โซน 4.34%

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจอยู่ ตราบใดที่เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อยตาม Dot Plot ล่าสุด ทำให้เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดสามารถรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ (เน้นรอ Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น

ขณะเดียวกันก็กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 104.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.8-104.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือทองคำอยู่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีและยูโรโซน ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ โดย IFO (IFO Business Climate) ในเดือนมีนาคม

ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า แนวโน้มการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มงบประมาณด้านการทหารของทั้งเยอรมนี จะช่วยหนุนให้บรรดาผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของเยอรมนีมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอาจปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 86.8 จุด

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ อาทิ ยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sales) เดือนกุมภาพันธ์ พร้อมจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทอ่อนค่ามาที่ระดับ 33.98-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทอ่อนค่าตามการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนต่อเนื่องสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังตัวเลข Composite PMI

สำหรับภาคการผลิตและบริการของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 53.5 ในเดือนมี.ค. (มากกว่าที่ตลาดคาดที่ 51.5 และเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.6 ในเดือนก.พ.)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.85-34.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าสำคัญ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. และยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“นุศรา ต้อมคำ” หวนคืนลีกวอลเลย์ฯ อเมริกา เสริมแกร่ง “โคลัมบัส ฟิวรี” ลุ้นขยับอันดับ

“ซาร่า” นุศรา ต้อมคำ มือเซตระดับตำนานของทีมชาติไทย เดินทางกลับไปร่วมแข่งขันในลีกวอลเลย์บอลอาชีพของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง กับทีมโคลัมบัส ฟิวรี สโมสรที่กำลังรั้งอันดับสุดท้ายของตารางการแข่งขัน USA Pro Volleyball Federation (PVF) ฤดูกาล 2024-2025

การกลับมาครั้งนี้ของนุศรามีเป้าหมายเพื่อช่วยทีมโคลัมบัสขยับอันดับ หลังผ่านไป 17 นัด ทีมชนะ 5 แพ้ 12 มี 17 คะแนน ตามหลังพื้นที่ท็อปโฟร์ถึง 14 คะแนน โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา โคลัมบัสลงสนามนัดที่ 18 พบกับแอตแลนตา และแม้นุศราจะลงประเดิมช่วยทีมทันทีหลังเดินทางถึง แต่ยังจูนกับเพื่อนร่วมทีมไม่ลงตัว ทำให้พ่ายไป 0-3 เซต

ก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2024 นุศราเคยลงเล่นให้กับ ซานดิเอโก โมโจ โดยลงสนาม 25 นัด ทำได้ 20 คะแนน และจบฤดูกาลในฐานะอันดับ 3 ของผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์สูงสุด ก่อนแยกทางกับทีมหลังจบซีซั่น

ด้าน “ชมพู่” พรพรรณ เกิดปราชญ์ มือเซตอีกคนของไทย กำลังทำผลงานโดดเด่นกับออร์แลนโด วาลคิรีส์ ทีมอันดับ 2 ของตาราง โดยพาทีมชนะถึง 9 นัดติดต่อกันหลังร่วมทีม และเป็นนักวอลเลย์บอลไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นในทีมออลสตาร์ของลีก พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ในเกมรวมดาวดังได้สำเร็จ

นัดที่น่าจับตาสำหรับแฟนชาวไทยคือแมตช์ “ไทยดาร์บี้” วันที่ 19 เมษายนนี้ ซึ่งโคลัมบัส ฟิวรี ของนุศรา จะดวลกับ ออร์แลนโด วาลคิรีส์ ของพรพรรณ โดยปัจจุบันออร์แลนโดลงเล่น 19 นัด ชนะ 12 แพ้ 7 มี 38 คะแนน ลุ้นติดท็อปโฟร์เข้าสู่รอบเพลย์ออฟอย่างเข้มข้น

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


หมอเบาหวานตอบเองทำไม เป็น “เบาหวาน” ตอนอายุน้อย อันตรายกว่าเป็นตอนอายุเยอะ

ในยุคที่ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โรคเบาหวาน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นโรคของผู้สูงอายุ กลับกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามคนหนุ่มสาวมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังคงเป็นอีกหนึ่งความเข้าใจผิดว่าโรคเบาหวานมักจะเกิดขึ้นกับคนอายุเยอะ สำหรับในเรื่องนี้  นายแพทย์เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์ เปิดเผยว่า

นายแพทย์เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์

“เราพบว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อายุน้อยลง ซึ่งเป็นเบาหวานที่เกิดขึ้นกับคนที่มักจะมีพฤติกรรมไม่ดี และมักจะเกิดกับคนที่อายุเยอะ แต่ปัญหาทั่วโลกที่เราเจออยู่ในตอนนี้คือพฤติกรรมไม่ดีส่งผลกับเราตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจุดเริ่มเป็นโรคเลยเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีนิยามว่าใครเป็นเบาหวานก่อนอายุ 40 ปีเราจะถือว่าเป็นกลุ่มที่เป็นเบาหวานอายุน้อย แต่ยิ่งเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อยความเสี่ยงจะยิ่งมากขึ้น

ปัจจุบันมีคนที่เป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อยกว่า 30 ปี คนเหล่านี้จะเสี่ยงมาก แสดงว่าตัวโรครุนแรง เกิดเบาหวานตั้งแต่อายุน้อย มีปัญหาโรคแทรกซ้อนเยอะและดูแลตัวเองได้ไม่ดี ดังนั้นถ้าเทียบกับเบาหวานทั่วไป เราอาจเข้าใจว่าคนที่เป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อยยังไม่ต้องทำอะไรมาก รอได้ แต่ไม่จริง เพราะคนกลุ่มนี้ตัวโรครุนแรงกว่า และมีโอกาสเป็นโรคแทรกซ้อนมากกว่า

ลองนึกภาพว่าถ้าคนกลุ่มนี้อายุเลยไปถึง 50 ถ้าเป็นคนทั่วไปที่เป็นเบาหวานก็จะเป็นมาเพียงไม่กี่ปี แต่ถ้าเป็นคนที่เป็นเบาหวานมาตั้งแต่อายุ 20-30 ก็แสดงว่าเขาอยู่กับเบาหวานมาแล้ว 20 ปี ดังนั้นหลอดเลือดต่างๆ ก็จะเสื่อม โรคแทรกซ้อนต่างๆ ก็จะตามมา

ปัจจุบันเบาหวานในคนอายุน้อยจึงเป็นที่จับตาและรณรงค์มากในวงการแพทย์ ถือเป็นกลุ่มที่เราต้องรีบป้องกัน และควบคุม ฝั่งคนไข้อาจจะบอกว่าอายุยังน้อยยังไม่ต้องอะไรมาก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องเข้มงวดที่สุด ดังนั้นต้องรณรงค์ ถ้าเราไม่ตรวจสุขภาพเราก็จะไม่เจอ ถ้าเราเจอแล้วเราไม่เข้มงวดเราก็จะป้องกันโรคแทรกซ้อนไม่ได้”

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เผยเทรนด์สตาร์ทอัพ“AI-Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคสร้างการเติบโต

เปิดเทรนด์สตาร์ทอัพไทยปี 68 ระบุชัด “AI- Green-ฟินเทค” 3 กลุ่มเทคมีโอกาสเติบโต NIA เดินหน้าหนุนนสตาร์ทอัพ ขับเคลื่อนไทยสู่ชาตินวัตกรรม

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA เปิดเผยว่าเทรนด์การเติบโตของสตาร์ทอัพในปี 2568 นั้นประเมินว่าสตาร์ทอัพ 3 กลุ่มเทคโนโลยีที่มีโอกาสในการเติบโตสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วย 1. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการธุรกิจอย่าง โดยเฉพาะ ‘Generative AI’ เนื่องจากมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรม ต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมี Agentic AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจแก้ไขปัญหา และจัดการงานที่ซับซ้อนเองได้ ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริหารองค์กรและนักลงทุนมากกว่า 70% ให้ความมั่นใจว่า ระบบ AI Agents จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในองค์กรทั้งเชิงการคิด การผลิต การแก้ปัญหา งานบริการ เร็วต่อทุกความต้องการของตลาด และช่วยลดการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีนัยสำคัญ

ประกอบกับการที่ประเทศไทยสามารถคว้าโอกาสในการลงทุน ‘ธุรกิจ Data Center’ มาได้ เนื่องจากความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับใช้ในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลเพื่อพัฒนา AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง AWS, Microsoft และ Google รวมถึง TikTok ปักหมุดลงทุนสร้างศูนย์ Data Center ในไทย ทำให้ขนาด Data Center ของไทยเติบโตกว่า 54% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2567 – 2027 ประเทศไทยจะดึงดูดการลงทุนในส่วนนี้ได้ราว 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะต้องมีการเร่งพัฒนาบุคลากร และระบบนิเวศเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตนี้

2. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) เทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ในขณะเดียวกันเรื่องของสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนก็ยังคงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญไม่ต่างกัน ทำให้สตาร์ทอัพในด้านเหล่านี้เป็นที่น่าจับตา ตลาดโลกคาดการณ์ธุรกิจนี้ไว้ว่าจะเติบโตเฉลี่ยถึง 25% ตลอด 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นธุรกิจที่มาช่วยแก้ไขปัญหา นำเสนอทางออกในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างพลังงานสะอาด การจัดการขยะ หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่างๆ ก็จะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคและนักลงทุน

โดยสิ่งที่สตาร์ทอัพต้องเตรียมรับมือก็คือ นักลงทุนจะมีการเรียกขอข้อมูล ‘Non-Financial Data’ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าธุรกิจมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร มีการจัดการ Supplier อย่างไร และมีการสร้างขยะเกินจำเป็นหรือไม่ ดังนั้นสตาร์ทอัพจึงต้องศึกษาเรื่อง การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG อย่างจริงจัง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ความรับผิดชอบต่อสังคมสังคม (Social) และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล (Governance) ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ Carbon Footprint การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับมาตรการ Non-Tariff Barriers (NTBs) หรือการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี เช่น ภาษีคาร์บอนและมาตรการต่อต้านการทำลายสิ่งแวดล้อม การใช้ฉลากอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จะนำมาซึ่งความได้เปรียบทางการค้าขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็นจุดแข็งทั้งในประเทศและนานาชาติ ที่ต่างเห็นว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องเร่งด่วน และสามารถตรวจวัดเป็นตัวเลขได้

ซึ่งหากทำได้ก็จะเป็นทางเลือกในการขยายตลาดโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Sustainability ตามเป้าหมายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 ที่ประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมด้วย

3. เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจ FinTech ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นผู้นำในการดึงดูดการลงทุน และมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed สูงถึง 26% ซึ่งสูงที่สุดในปี 2567 ตามมาด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ร้อยละ 20 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความน่าสนใจของเทคโนโลยีดังกล่าว ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ สตาร์ทอัพต้องมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ต้องสร้างระบบที่ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว เสมือนการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทำให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2568 NIA ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดผ่านกลไกและเครือข่ายที่มีอยู่ ภายใต้บทบาทผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม หรือ Focal Conductor โดยเฉพาะในกลุ่ม Impact Tech เพื่อสร้าง “Impactful Innovation” นวัตกรรมที่สามารถสร้างผลกระทบที่ชัดเจนและยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ “ชาตินวัตกรรม”

สำหรับผลสำรวจภาพรวมจำนวนสตาร์ทอัพไทย ในปี 2567 มีจำนวนสตาร์ทอัพ 2,100 ราย แบ่งเป็นสตาร์ทอัพระยะ Pre-seed 700 ราย และระยะ Go-to market หรือ Growth 1,400 ราย โดยเป็นสตาร์ทอัพที่ยังดำเนินกิจการอยู่ราว 800 ราย และส่วนมากอยู่ในกลุ่ม FinTech และ Business Solution

ส่วนอัตราการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2564-2567 โดยมีการเติบโตสะสมเพิ่มถึง 3.3% ซึ่งสตาร์ทอัพระดับ Seed มีอัตราการเติบโตถึง 4% เมื่อเทียบปี 2567 กับปี 2566 เนื่องจากมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed มากที่สุด

ด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียน ปี 2567 ความสามารถในการระดับทุนของประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 4% โดยกลุ่มธุรกิจในประเทศไทยที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ดูได้จากบริษัทระดับยูนิคอร์นที่มีอยู่ ก็คือ ‘กลุ่ม FinTech และ Logistics Tech’ นอกจากนั้นยังมีกล่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่น่าจับตามองและยังเติบโตได้อีก เช่น กลุ่ม BioTech, AgriTech, FoodTech, TravelTech และ EdTech โดยในกลุ่ม HealthTech มีการเติบโตสูงสุด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


140 คำศัพท์ภาษาอังกฤษธุรกิจ ใช้ทำงานจริง!

รายการ คำศัพท์ภาษาอังกฤษธุรกิจ

รวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่สำคัญทางธุรกิจ Business เพื่อจะให้คุณเข้าใจความหมาย

Advantage (แอดวาน’ ทิจฺ) ความได้เปรียบ, ข้อได้เปรียบ, ข้อดี

  • One advantage of working at home is the low travel expense.
    ข้อดีหนึ่งของการทำงานที่บ้านคือค่าเดินทางต่ำ

Advertise (แอด’ เวอไทซ) โฆษณา, ประกาศ

  • The company paid millions of dollars to advertise its new product on TV.
    บริษัทจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ใหม่บนทีวี

Advice (แอดไวสฺ’) คำแนะนำ, ข้อคิดเห็น, ความเห็น

  • All you have to do is follow his advice.
    สิ่งที่คุณต้องทำคือทำตามคำแนะนำของเขา

Agenda (อะเจน’ ดะ) กำหนดการ, ระเบียบวาระ

  • Here are the proposed agenda items for the meeting on August 6
    ต่อไปนี้เป็นระเบียบวาระการประชุมในวันที่ 6สิงหาคม

Authorization (ออเธอริเซเชิน) การให้อำนาจ,การอนุญาต

  • We got his authorization for the project.
    เราได้รับการอนุมิตโปรเจคจากเขา

Bill (บิล) ใบเสร็จ

  • After the meal I asked for the bill.
    หลังอาหารผมขอบิลด้วยครับ

Brand (แบรนดฺ) ผลิตภัณฑ์

  • I’m sorry, but that brand of cigarettes is out of stock.
    ขอโทษครับ แต่บุหรี่ยี่ห้อนั้นหมดสต็อกแล้ว

Budget (บัด’เจท) งบประมาณ

  • I reviewed the budget, and decided to cut costs.
    ฉันตรวจสอบงบประมาณและตัดสินใจลดค่าใช้จ่าย

Capital (แคพ’พิเทิล) เงินทุน

  • Capital, land and labor are the three key factors of production.
    ทุน ที่ดิน และแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญสามประการของการผลิต

Change (เชนจฺ) แลกเปลี่ยน

  • Where can I change some money?
    ฉันจะแลกเงินได้ที่ไหน?

Commission (คะมิช’เชิน) ค่านายหน้า, ค่าคอมมิชชั่น

  • We charge a commission of 3%.
    เราคิดค่าคอมมิชชั่น 3%

Competition (คอมพิทิช’เชิน) การแข่งขัน

  • Competition is very keen in the car industry.
    อุตสาหกรรมรถยนต์มีการแข่งขันกันมากขึ้น

Competitor (คัมเพท’ทิเทอะ) คู่แข่ง

  • Mark and Peter are head to head competitors in the car rental business.
    Mark และ Peter เป็นคู่แข่งกันในธุรกิจให้เช่ารถยนต์

Costs (คอสทฺ) ต้นทุน, ค่าใช้จ่าย

  • A wise businessman knows how to clamp down on costs.
    นักธุรกิจที่ฉลาดรู้วิธีลดต้นทุน

Creditor (เครด’ดิทเทอะ) เจ้าหนี้

  • The company is currently unable to pay its creditors.
    ปัจจุบันบริษัทไม่สามารถชำระเงินให้เจ้าหนี้ได้

Customer (คัส’เทิมเมอะ) ลูกค้า

  • He’s with a customer at the moment.
    ขณะนี้เขาอยู่กับลูกค้า

Deadline (เดดไลน์) กำหนดเวลาสุดท้ายที่ต้องทำให้เสร็จ

  • I worked all night so to meet the deadline.
    ฉันทำงานทั้งคืนเพื่อให้เสร็จตามกำหนด

Debt (เดบทฺ) หนี้สิน

  • He applied the money to the payment of debts.
    เขานำเงินไปชำระหนี้

Debtor (เดบ’เทอะ) ลูกหนี้

  • When a client is issued with a bill, the amount on the bill should be entered as debtors in the firm’s accounts.
    เมื่อลูกค้าออกบิล, จำนวนเงินในใบเรียกเก็บเงินควรป้อนเป็นลูกหนี้ในบัญชีของบริษัท

Decision (ดิซิส’เชิน) การตัดสินใจ

  • Everything depends upon your decision.
    ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ

Decrease (ดีครีส’) ลดลง

  • A valuable object decreases in value if it is damaged.
    ของมีค่าจะมีมูลค่าลดลงหากได้รับความเสียหาย

Deficit (เดฟ’ฟิซิท) ขาดดุล, การขาดทุน

  • A budget deficit will occur because of a revenue shortfall.
    การขาดดุลงบประมาณจะเกิดขึ้น เมื่อขาดรายได้

Delivery (ดิลิฟ’เวอรี) การส่ง,การนำส่ง

  • Delivery is not included in the price.
    ราคานี้ไม่รวมค่าขนส่งนะคะ

Department (ดิพาร์ท’เมินทฺ) แผนก

  • Please submit your claim for travelling expenses to the accounts department.
    กรุณายื่นคำร้องค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปที่แผนกบัญชีค่ะ

Difference (ดิฟ’เฟอเรินซฺ) ความแตกต่าง, ข้อแตกต่าง

  • Can you see the difference?
    คุณเห็นความแตกต่างหรือไม่ครับ?

Disadvantage (ดิสอัดแวน’ทิจฺ) ความเสียเปรียบ, ข้อเสียเปรียบ

  • Reflect on advantages and disadvantages before you make up your mind.
    ทบทวนข้อดีข้อเสียก่อนที่คุณจะตัดสินใจ

Discount (ดิส’เคาทฺ) ลดราคา, ลดส่วน

  • Can you give me a discount?
    คุณให้ส่วนลดฉันหน่อยได้ไหมคะ?

Distribution (ดิสทริบิว’เชิน) การแจก, การแบ่งสรร

  • The goods have been sitting in a warehouse for months because a strike has prevented distribution.
    สินค้าถูกเก็บไว้ในโกดังเป็นเวลาหลายเดือนเนื่องจากการประท้วงทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายได้

Drop (ดรอพ) ทิ้ง, ตกหล่น, ตกต่ำลง

  • We had to drop our prices because of the recession.
    เราต้องลดราคาลงเพราะภาวะถดถอย

Employ (เอมพลอย’) ว่าจ้าง

  • They’ve employed her for a six-month trial period.
    พวกเขาจ้างเธอมาทดลองงานหกเดือน

Employee (เอมพลอยอี’) ลูกจ้าง

  • If any employee needs to take time off, s/he should contact the Personnel Department.
    หากพนักงานคนใดจำเป็นต้องหยุดงาน ควรติดต่อฝ่ายบุคคล

Employer (เอ็มพลอย-เออะ) นายจ้าง

  • I’m very lucky – I love my job and Robert really is the ideal employer.ฉันโชคดีมาก ฉันรักงานของฉัน และ Robert เป็นนายจ้างในอุดมคติจริงๆ

Encourage (เอนเคอ’ริจฺ) ให้กำลังใจ

  • They’ve always encouraged me in everything I’ve wanted to do.
    พวกเขาให้กำลังใจฉันเสมอในทุกสิ่งที่ฉันอยากทำ

Environment (เอนไว’เรินเมินทฺ) ภาวะสิ่งแวดล้อม

  • We won’t invest in any company that pollutes the environment.
    เราจะไม่ลงทุนกับบริษัทที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

Equipment (อีควิพ’เมินทฺ) อุปกรณ์, เครื่องมือ

  • I’m certain we can deliver the laboratory equipment by August 15.
    ฉันแน่ใจว่าเราสามารถส่งมอบอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการได้ภายในวันที่ 15 สิงหาคม

Establish (อีสแทบ’ลิช) สร้าง, ก่อตั้ง

  • John established his business 40 years ago.
    John ก่อตั้งธุรกิจเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

Estimate (เอส’ทิเมท) การประมาณ,ประเมิน

  • We should be able to estimate how many customers we will have each month.
    เราควรจะสามารถประมาณจำนวนของลูกค้าได้ในแต่ละเดือน

Exchange (อิคซฺเชนจฺ’) แลกเปลี่ยน

  • She proposes an exchange of contracts at two o’clock.
    เธอเสนอให้เปลี่ยนสัญญาตอนบ่ายสองโมง

Experience (อิคซฺเพีย’เรียนซฺ) ประสบการณ์

  • Do you have any experience of working with kids?
    คุณมีประสบการณ์การทำงานกับเด็ก ๆ บ้างไหมคะ?

Explanation (เอคซฺพลเน’เชิน) การอธิบาย,การชี้แจง

  • Do you have anything to add to his explanation?
    คุณมีอะไรเพิ่มเติมในคำอธิบายของเขาหรือไม่?

Extend (อิคซฺเทนดฺ’) ขยายออก, ยืดออก

  • His company is extending its business.
    บริษัทของเขากำลังขยายธุรกิจ

Facilities (ฟะซิล’ลิที) สิ่งอำนวยความสะดวก

  • Any member can make use of these facilities.
    สมาชิกทุกคนสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ได้

Factory (แฟค’ทะรี) โรงงาน

  • She felt tired of working in the factory.
    เธอรู้สึกเหนื่อยกับการทำงานในโรงงาน

Feedback (ฟีดแบก) การตอบกลับ

  • Have you had any feedback from customers about the new product?
    คุณมีคำติชมจากลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่?

Fund (ฟันดฺ) เงินทุน,ทุน

  • The company has agreed to fund my trip to Australia.
    บริษัทได้ตกลงที่จะให้ทุนกับฉันในการเดินทางไปออสเตรเลีย

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


“นมโอ๊ต” กับ “นมอัลมอนด์” เลือกดื่มแบบไหนดีต่อสุขภาพมากกว่า

นมโอ๊ตและนมอัลมอนด์เป็นเครื่องดื่มจากพืชยอดนิยมสองชนิดที่มักใช้ในเครื่องดื่มและของหวานที่ปราศจากนม อย่างไรก็ตามหากคุณกำลังมองหาการเปลี่ยนนมของคุณเป็นทางเลือกที่ปราศจากนม คุณอาจสงสัยว่านมโอ๊ตและนมอัลมอนด์เปรียบเทียบกันอย่างไร บทความนี้จะพิจารณาถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างที่สำคัญของนมโอ๊ต และนมอัลมอนด์อย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจว่าชนิดใดดีที่สุดสำหรับคุณ

ประโยชน์ต่อสุขภาพของนมโอ๊ต และนมอัลมอนด์

นมโอ๊ตและนมอัลมอนด์ทั้งสองชนิดปราศจากนม และสามารถเป็นส่วนเสริมที่ดีเยี่ยมสำหรับอาหารมังสวิรัติ อย่างไรก็ตาม นมข้าวโอ๊ตยังปราศจากถั่ว ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วเปลือกแข็ง ในทางกลับกันนมอัลมอนด์โดยทั่วไปมีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า ซึ่งอาจทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำหรืออาหารคีโตเจนิก

นอกจากนี้นมอัลมอนด์บางชนิดยังสามารถรวมอยู่ในอาหารพาเลโอได้ ซึ่งแตกต่างจากนมโอ๊ต นมจากพืชทั้งสองชนิดมักจะเสริมด้วยสารอาหารรองที่สำคัญ เช่น วิตามินดี แคลเซียม และวิตามินบี 12 แม้ว่าสารอาหารเหล่านี้มักจะขาดหายไปในแผนการรับประทานอาหารจากพืชหรือมังสวิรัติบางแผน แต่สารอาหารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในหลายด้านของสุขภาพของคุณ

ตัวอย่างเช่น วิตามินดีและแคลเซียมทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนสุขภาพกระดูก เพิ่มความหนาแน่นของแร่ธาตุกระดูก และลดความเสี่ยงของการแตกหัก ในขณะเดียวกัน วิตามินบี 12 เป็นสารอาหารที่จำเป็นซึ่งพบได้ตามธรรมชาติในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งร่างกายของคุณต้องการสำหรับการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ การทำงานของเส้นประสาท และการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แข็งแรง

นมโอ๊ตและนมอัลมอนด์มีความคล้ายคลึงกันในด้านโภชนาการ และมีปริมาณแคลอรี่ใกล้เคียงกันในแต่ละหน่วยบริโภค อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้ ตัวอย่างเช่น นมอัลมอนด์มีไขมันและแคลเซียมสูงกว่าเล็กน้อย ในขณะที่นมโอ๊ตมีคาร์โบไฮเดรตและธาตุเหล็กมากกว่า

โปรดทราบว่าหลายยี่ห้อมีการเสริมสารอาหาร ดังนั้นยี่ห้อเหล่านี้อาจมีสารอาหารบางชนิดในปริมาณที่สูงกว่า รวมถึงแคลเซียม วิตามินบี 12 และวิตามินดี นอกจากนี้นมโอ๊ตหรือนมอัลมอนด์บางชนิดมีรสชาติหรือมีน้ำตาลเติม ซึ่งอาจส่งผลต่อรสชาติและข้อมูลทางโภชนาการด้วยเช่นกัน

ข้อเสีย

แม้ว่านมโอ๊ต และนมอัลมอนด์ทั้งสองชนิดสามารถรวมอยู่ในอาหารเพื่อสุขภาพที่ครบถ้วนได้ แต่ก็มีข้อเสียบางประการที่ต้องพิจารณาสำหรับแต่ละชนิด

คุณค่าทางโภชนาการ

นมจากพืชทั้งสองชนิดมีโปรตีนต่ำกว่านมวัว ซึ่งมีโปรตีนประมาณ 8 กรัมต่อถ้วย (237 มล.)

โปรตีนมีความสำคัญต่อสุขภาพในหลายด้าน รวมถึงการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

นมจากพืชยี่ห้อที่ไม่ได้เสริมสารอาหารอาจขาดวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ที่นมวัวมีตามธรรมชาติ เช่น แคลเซียม

นมบางชนิดอาจมีน้ำตาลเติม การบริโภคน้ำตาลเติมในปริมาณมากอาจเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคเบาหวานประเภท 2 หากคุณต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลให้ต่ำ ควรตรวจสอบฉลากอย่างละเอียด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/03/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a48,400.0048,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,135.0047,526.6049,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,821.5042,773.94n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,508.0038,021.28n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,411.0021,390.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,097.0016,630.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,249.0049,254.84n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/03/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6535.1534.6534.6534.6534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.2834.2834.7834.2834.2834.2834.2834.2834.2834.28
แก๊สโซฮอล์ E2032.4432.4432.9432.4432.4432.4432.4432.4432.44
แก๊สโซฮอล์ E8530.7930.7930.79
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.2449.8449.8449.8443.24
เบนซิน 9542.9449.8143.4443.0942.94
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า