สาระน่ารู้ประจำวันที่ 25 สิงหาคม 2568

ตลาดอสังหาฯ ยังท้าทายครึ่งหลังได้แรงหนุนดอกเบี้ยขาลง-มาตรการรัฐ

ตลาดอสังหาฯ ยังท้าทาย ครึ่งปีแรก สร้างกำไรโตต่อเนื่อง แลนด์แอนด์เฮ้าส์ โตสูงสุดตามด้วย แสนสิริ ครึ่งหลังได้แรงหนุนดอกเบี้ยขาลง-มาตรการรัฐ

ตลาดอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ได้รับปัจจัยกระทบที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ที่เห็นได้ชัดเจนน่าจะเป็นเรื่องของกำลังซื้อของคนไทยที่ลดลง ประกอบกับกลุ่มคนจีนเดินทางเข้าประเทศไทยลดลง

มีผลต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และตลาดคอนโดมิเนียม ที่ต้องพึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าคนจีน แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนจีนก็ยังเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1เพียงแต่จำนวนอาจจะลดลงบ้าง

เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมีแนวโน้มที่มากขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติ คนจีนก็ยังมากเป็นอันดับ 1 เช่นเดิม และมากกว่าอันดับที่ 2 และ อันดับอื่นๆ แบบชัดเจน

นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย  เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ทั้งรายได้และกำไรยังอยู่ในอัตราที่สูง

แม้อาจจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ผู้ประกอบการบางรายกลับสร้างผลกำไรได้ต่อเนื่อง ในอัตราที่ไม่ลดลง โดยเฉพาะบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่มีผลกำไรมากที่สุด (2,212 ลบ.) แต่เพราะ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ดำเนินธุรกิจที่หลากหลายทำให้มีรายได้เข้ามาในพอร์ตจากหลายช่องทาง

แม้ว่าจะมีการเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากนักในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) มีผลกำไรมากเป็นอันดับ 2 (2,028 ลบ.) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ช่วงที่ตลาดอสังหาฯ อยู่ในภาวะชะลอตัว

แสนสิริยังสามารถบริหารจัดการเรื่องของรายได้และกำไรได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะสร้างกำไรได้ดีแล้ว ยังมีผลต่อเนื่องไปถึงเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนจากการถือครองหุ้นระยะยาวที่คืนกลับมาในรูปแบบของเงินปันผล

นอกจากจะสร้างรายได้และกำไรจากการพัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อขายแล้ว แสนสิริ (SIRI) ยังมีการบริหารจัดการเรื่องของรายได้ และกำไร รวมไปถึงเรื่องของการบริหารความเสี่ยงต่างๆ แบบต่อเนื่องมาโดยตลอด

ทำให้ผลตอบแทนจากการถือครองหุ้นของแสนสิริ มีความน่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากหุ้นแสนสิริสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง และจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 2 ครั้งมาตลอดในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา

แม้บางช่วงตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลากหลายประการ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อเนื่องไปถึงเรื่องของรายได้และกำไรของผู้ประกอบการในตลาดอสังหาฯ ทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ ในตลาดหลักทรัพย์ แต่การที่หุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งสามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลา 10 ปี แสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นมีการบริหารจัดการเรื่องของรายได้และกำไรที่ดีแบบต่อเนื่อง

ทั้งนี้หากพิจารณาย้อนหลังกลับไป 10 ปี หุ้นของแสนสิริ มีอัตราของเงินปันผลอยู่ในช่วง 5- 12% ต่อปี ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือ ถ้านำผลตอบแทนหรือเงินปันผลของหุ้นแสนสิริมารวมกันจะพบว่าผู้ที่ถือหุ้นของแสนสิริในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้เงิน

ปันผลกลับไปแล้ว 1.21 บาทต่อหุ้น ซึ่งถ้าอ้างอิงจากราคาหุ้นของแสนสิริปัจจุบันอยู่ที่ 1.54 บาท (ราคาหุ้น ณ วันที่ 15 ส.ค. 68) ดังนั้นคนที่ถือหุ้นแสนสิริแบบยาวๆ มีความเป็นไปได้ ที่จะได้รับเงินปันผลกลับไปเกือบเท่ากับที่เงินลงทุนในเงินต้น หรือบางคนอาจจะได้มากกว่าเงินต้นไปแล้วถ้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นต่ำกว่านี้  และแสนสิริเตรียมประกาศจ่ายปันผล ระหว่างกาล 0.05 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคมนี้ 

สำหรับปัจจัยที่ทำให้แสนสิริสามารถจ่ายปันผลได้ เพราะผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ที่มีรายได้ 8,786 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 1/2568 ประมาณ 28% และมีกำไรสุทธิ 1,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 49% จากไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน เพราะช่วงไตรมาส 2 มีหลายโครงการของแสนสิริที่ปิดการขายได้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

นอกจากนี้ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีความเป็นไปได้มากที่ตลาดอสังหาฯจะมีการขยายตัวในเรื่องของกำลังซื้อมากขึ้น เพราะแรงสนับสนุนจากหลายๆ ปัจจัย ทั้งเรื่องมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองจากรัฐบาล มาตรการยกเว้น LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย

การลดลงของดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมไปถึงมาตรการทางการตลาดของผู้ประกอบการต่างๆ ที่ออกมากระตุ้นกำลังซื้อในประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง ‘บ้านแนวราบ’ระดับกลาง-บนมาแรง

อสังหาฯ ครึ่งปีหลัง 68 บ้านแนวราบระดับกลาง-บนมาแรง AREA สำรวจ เดือนกรกฎาคม เปิดตัวโครงการใหม่ เพิ่มขึ้น 63.9% เทียบ เดือนมิถุนายน กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 25 โครงการ 3,745 หน่วย 29,004 ล้านบาท

ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ภายใต้ข้อจำกัดของกำลังซื้อและสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อโดยเดือนกรกฎาคม พบว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีจำนวน 25 โครงการ รวม3,745 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนารวม 29,004 ล้านบาท

นายโสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) สะท้อนผลการสำรวจโครงการเปิดใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2568

พบว่าจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 3,745 หน่วย เพิ่มขึ้นจำนวน 1,460 หน่วย (เดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 2,285 หน่วย) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 63.9% ในเดือนนี้การเปิดตัวโครงการใหม่พบว่า 66% ยังคงเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และบริษัทในเครือที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดโดยเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่ระดับราคาปานกลางจนถึงระดับราคาแพงเป็นสำคัญ

ประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดในเดือนนี้ คือ ทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งมีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ 1,530 หน่วย (40.9%) รองลงมาคือ บ้านเดี่ยว 942 หน่วย (25.2%) ส่วนอันดับ 3 คือ อาคารชุด 746 หน่วย (19.9%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบจำนวนหน่วยขายของที่อยู่อาศัยหลัก

ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด กับเดือนที่ผ่านมา จะพบว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบมีจำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่อาคารชุดกลับมีการเปิดตัวใหม่น้อยลง โดยทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยเปิดใหม่เพิ่มขึ้นมากสุดจำนวน 1,096 หน่วย (252.5%)

มูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 29,004 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาจำนวน 15,181 ล้านบาท (เดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่า 13,823 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น ประมาณ 109.8% ซึ่งในเดือนนี้ลักษณะการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา โดยจะพบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยแนวราบเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งในเดือนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นระดับราคาปานกลางค่อนข้างสูงถึงระดับราคาสูง เป็นสำคัญ

หน่วยขายที่มีราคา 1-2 ล้านบาท มีจำนวน 773 หน่วย (20.7%) มีมูลค่าโครงการ 1,206 ล้านบาท (4.2%) ที่ราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 400 หน่วย (10.7%) มีมูลค่าโครงการ 955 ล้านบาท (3.3%) ที่ราคา 3-5 ล้านบาท มีจำนวน 741 หน่วย (19.8%) มีมูลค่าโครงการ 3,153 ล้านบาท (10.9%)

ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท มีจำนวน 935 หน่วย (24.9%) มีมูลค่าโครงการ 7,093 ล้านบาท (24.4%) ระดับราคา 10-20 ล้านบาท มีจำนวน 730 หน่วย (19.5%) มีมูลค่าโครงการ 10,845 ล้านบาท (37.4%) ส่วนที่มีระดับราคาเกิน 20 ล้านบาทขึ้นไปจำนวน 166 หน่วย (4.4%) และมีมูลค่าโครงการ 5,753 ล้านบาท (19.9%) ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่ทั้งหมดในเดือนนี้

ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 6 บริษัท คือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บมจ.พฤกษา  เรียลเอสเตท  บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้   บมจ.ศุภาลัย  บมจ.แสนสิริ  และ บมจ. เอสซี แอสเสท  ตามลำดับนอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปและบริษัทในเครืออีกจำนวนหนึ่ง หากเปรียบเทียบการพัฒนาระหว่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทในเครือ และบริษัททั่วไป

ในด้านทำเลที่ตั้ง ในเดือนนี้ มีการเปิดตัวใหม่และตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพชั้นในจำนวน 5 โครงการ ตั้งอยู่ในส่วนต่อขยายเมือง (Intermediate area) จำนวน 17 โครงการ เช่น ย่านแจ้งวัฒนะ ดอนเมือง วัชรพล เกษตร-นวมินทร์ ศรีนครินทร์ กาญจนาภิเษก กัลปพฤกษ์ เลียบคลองทวีวัฒนา และสุขสวัสดิ์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีอีก 3 โครงการที่อยู่ในพื้นที่รอบนอกเมือง ซึ่งเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยที่เดินทางเข้าเมืองได้สะดวก และใกล้แหล่งงาน เช่น ลาดหลุมแก้ว ตลาดไท และลำลูกกา เป็นต้น

โดยรวมแล้วโครงการในเดือนกรกฎาคม 2568 กระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน หากใน 5 เดือนหลังของปี 2568 สถานการณ์ยังกระเตื้องขึ้น ก็อาจทำให้จำนวนหน่วยขายและมูลค่าโครงการใหม่ในปี 2568 ไม่ตํ่ากว่าปี 2567 มากนัก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้25ส.ค“แข็งค่าขึ้นมาก”ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยเคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่าตามการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงการเคลื่อนไหวของทั้งเงินหยวนและราคาทองคำ ควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทยด้วย

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้25ส.ค. ที่ระดับ  32.43 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.64 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.67 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นแรงของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดต่างตีความถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงาน Jackson Hole Symposium ว่าอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าประธานเฟดพร้อมสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 17% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และมั่นใจว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดเริ่มให้โอกาสราว 7% ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง ในปีหน้า)

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟดในงาน Jackson Hole Symposium กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงท้ายสัปดาห์

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ พร้อมรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรอลุ้นการวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร โดยศาลรัฐธรรมนูญ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนกรกฎาคม รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนสิงหาคม และ

ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ 

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 17% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และมั่นใจว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดเริ่มให้โอกาสราว 7% ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง ในปีหน้า) และ

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ รายงานผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศตลาดการเงินและการเคลื่อนไหวของหุ้นธีม AI/Semiconductor ได้อย่างมีนัยสำคัญ

▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ

 อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนสิงหาคม และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ของยูโรโซน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสราว 36% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 25bps 1 ครั้ง ในปีนี้

▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของพื้นที่กรุงโตเกียว ในเดือนสิงหาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 70% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps อีก 1 ครั้ง ในปีนี้

ส่วนในฝั่งธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) นั้น บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า BOK อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% ขณะที่ ทางฝั่งธนาคารฟิลิปปินส์ (BSP) นักวิเคราะห์มองว่า BSP อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps สู่ระดับ 5.00% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร โดยศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคม นี้ ซึ่งอาจสร้างนำไปสู่ความวุ่นวายของการเมืองไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นนายกฯ ของนายกฯ แพทองธาร สิ้นสุดลง เนื่องจากจะต้องมีการลงคะแนนเสียงเลือกนายกฯ คนใหม่

พร้อมกันนั้นก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่ได้ โดยเรามองว่ามีโอกาสราว 60% ที่พรรคเพื่อไทยยังสามารถรวบรวมเสียงจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย (คุณชัยเกษม นิติสิริ) เป็นนายกฯ คนถัดไป และมีโอกาสราว 25% ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจกลับมาเป็นนายกฯ

ส่วนอีก 15% นั้น เราประเมินเป็นโอกาสที่จะเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า รวมถึงรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) ในเดือนกรกฎาคม   

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทได้มีกำลังมากขึ้น ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ว่าอาจมีการส่งสัญญาณพร้อมสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟด (โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนกันยายน)

อย่างไรก็ดี เรากลับมองว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชี้ชัดต่อการลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดประเมินและตัวแปรสำคัญยังคงอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงานเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน

ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดซึ่งจะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นับจากวันนี้ จนเข้าใกล้การประชุม FOMC เดือนกันยายน (รับรู้วันที่ 18 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย)

นอกเหนือจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เรายังคงมองว่า การเคลื่อนไหวของทั้งเงินหยวนจีน (CNY) และราคาทองคำ จะเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเงินบาทพอสมควร เนื่องจากในช่วงนี้ ทั้งสองสินทรัพย์ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย ที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยความวุ่นวายของการเมืองไทย หลังรับรู้ผลการวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร

โดยศาลรัฐธรรมนูญ อาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติและสร้างความผันผวนให้กับเงินบาทได้ อนึ่ง ในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงนั้น เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทมีการอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 32.65-32.70)

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ในกรณีที่ รายงายข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาสดใสและอัตราเงินเฟ้อ PCE ปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาด

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.40-32.42 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศปลายสัปดาห์ก่อนที่ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ อ่อนแอลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังจากประธานเฟดส่งสัญญาณในเชิง Dovish ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบถัดไปของเฟดในเดือนก.ย. นี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนก.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โปรแกรมถ่ายทอดสด”วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025″ ประจำวันที่ 25 ส.ค. 68

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568

โดย สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) มอบหมายให้ ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกระจายแข่งขันกัน 4 จังหวัดใหญ่ในประเทศไทย ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดภูเก็ต, จังหวัดนครราชสีมา และ กรุงเทพมหานคร

โปรแกรมวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2568

สนาม : อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก, กรุงเทพฯ
เวลา 17.00 น. ญี่ปุ่น พบ ยูเครน (ช่อง PPTV, ช่อง AIS PLAY)
เวลา 20.30 น. เซอร์เบีย พบ แคเมอรูน (ช่อง AIS PLAY)

สนาม : ชาติชายฮอลล์, นครราชสีมา
เวลา 16.00 น. แคนาดา พบ สเปน (ช่อง AIS PLAY)
เวลา 19.30 น. ตุรกี พบ บัลแกเรีย (ช่อง PPTV, ช่อง AIS PLAY)

สนาม : กีฬาในร่ม สะพานหิน, ภูเก็ต
เวลา 17.00 น. เยอรมนี พบ เวียดนาม (ช่อง AIS PLAY)
เวลา 20.30 น. โปแลนด์ พบ เคนยา (ช่อง AIS PLAY)

สนาม : ศูนย์ประชุมแสดงสินค้านานาชาติ, เชียงใหม่
เวลา 16.00 น. สาธารณรัฐโดมินิกัน พบ เม็กซิโก (ช่อง AIS PLAY)
เวลา 19.30 น. จีน พบ โคลอมเบีย (ช่อง AIS PLAY)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ทำงานหน้าจอนานๆก็ไม่เมื่อยล้า! วิธีถนอมสายตา ลดอาการตาล้า ตาแห้ง

สำหรับการทำงานออฟฟิศในยุคดิจิทัล การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือเกือบทั้งวันถือเป็นเรื่องปกติ แต่รู้ไหมว่าการใช้สายตามากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการ ตาล้า ตาแห้ง ปวดศีรษะ หรือแม้กระทั่งสายตาสั้นเร็วขึ้น 

ดังนั้นการถนอมสายตาในชีวิตประจำวันจึงสำคัญมาก ซึ่งวันนี้ เราจะมาแนะนำวิธีถนอมสายตา ที่จะช่วยให้ตาไม่เมื่อยล้าจากการทำงาน

วิธีถนอมสายตา

ปรับสภาพแสงรอบตัวให้เหมาะสม

แสงรอบตัวมีผลต่อความเมื่อยล้าของสายตา ควรหลีกเลี่ยงแสงสะท้อนบนหน้าจอ และปรับความสว่างหน้าจอให้พอดีกับแสงรอบตัว ไม่สว่างจ้าเกินไปหรือต่ำเกินไป หรือการเปิดโหมด สงถนอมสายตาอย่าง Night Light ก็จะช่วยให้แสงสีฟ้าที่ออกมาน้อยลงด้วย

กะพริบตาบ่อยๆ 

เวลาทำงานหน้าจอ เรามักจะกะพริบตาน้อยลงโดยไม่รู้ตัว จะทำให้ตาแห้งและอาจเกิดอาการตาล้า ซึ่งใครที่มีอาการ ก็ควรจะกระพริบตาให้บ่อยขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ตาชุ่มชื้นและลดอาการระคายเคืองจากแสงสีฟ้าได้

ปรับระยะและมุมหน้าจอ

วางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตาหรือเล็กน้อยต่ำกว่า และวางจอให้ห่างจากหน้าเราประมาณ 50–70 ซม. รวมถึงเลือกโต๊ะที่มีระดับความสูงที่เหมาะสม ซึ่งตำแหน่งของจอคอมที่เหมาะจะลดแรงตึงของกล้ามเนื้อตาได้

ใช้กฎ 20-20-20

เป็นคำแนะนำสำหรับการพักสายตาเพื่อลดอาการตาล้าจากการใช้หน้าจอเป็นเวลานาน โดยมีหลักการคือ ทุกๆ 20 นาที ให้ละสายตาจากหน้าจอแล้วมองไปยังวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที

ใช้แว่นตากรองแสง

แว่นตากรองแสงสีฟ้า นับเป็นตัวช่วยสำคัญที่ช่วยป้องกันแสงสีฟ้าของจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยลดอาการตาล้า ปวดศีรษะ และป้องกันสายตาเสื่อมจากการใช้งานหน้าจอนาน

พักจากหน้าจอบ้าง

ลุกขึ้นยืดเหยียดร่างกาย แขน ขา หลัง จากนั่งทำงานนานๆ พร้อมกับทำท่าบริหารตา เช่นกรอกตาไปมา หรือการรวดบริเวณดวงตา จะะช่วยให้กล้ามเนื้อตาและร่างกายผ่อนคลาย

การถนอมสายตาไม่ยาก เพียงปรับแสงหน้าจอ กะพริบตา พักสายตา และยืดเหยียดร่างกายเป็นระยะ ๆ ก็ช่วยให้ตาสบายและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพทุกวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Work from home กับ Work at home ต่างกันอย่างไร?

ช่วงนี้หลายๆ คน คงทำงานจากที่บ้านกันซะส่วนใหญ่ ซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ คือ คำว่า “work from home” แล้วแตกต่างอย่างไรกับคำว่า “work at home” ละ วันนี้ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จะมาไขข้อข้องใจของเพื่อนๆ กันจ้า

Work from home กับ Work at home แตกต่างกันอย่างไร?

work from home แปลว่า ทำงานจากบ้าน

ซึ่งความหมายก็คือ คุณยังคงเป็นลูกจ้างของบริษัทอยู่ ยังต้องปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบของบริษัทในฐานะลูกจ้าง แต่คุณสามารถทำงานจากที่บ้านได้ โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เพราะหัวหน้าอนุญาต

work at home แปลว่า ทำงานที่บ้าน

หมายถึง คุณมีอาชีพอิสระ ทำธุรกิจส่วนตัว ไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง การทำงานที่บ้านในกรณีนี้ ถือว่าเป็นการทำงาน work at home

ทีนี้หลายคนคงคลายความสับสนระหว่าง work from home และ work at home แล้วใช่ไหมคะ? ยังไงเอ็ด ดู เฟิร์สท์ ก็ขอเป็นกำลังใจเพื่อนๆ ที่เปลี่ยนมาทำงานที่บ้าน เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ

อยากเรียนภาษาอังกฤษ เรียนที่ไหนดี?

เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ สะดวก เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา

ช่วงนี้ work from home เลยมีเวลาว่างหลังจากเลิกงานมากหน่อย หากคุณอยากพัฒนาภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยเสริมการทำงานของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลองมาเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ กับ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ เรามีคอร์สให้คุณเลือกเรียนเยอะมากๆ เรียนได้ทุกแบบที่คุณต้องการ ถ้าไม่มั่นใจว่าคุณเหมาะกับคอร์สไหนของเรา  ลงชื่อเพื่อสอบถามด้านการเรียน เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับท่านโดยเร็วที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


ชาวอเมริกันผวา AI แย่งงานถาวร หวั่นปั่นการเมือง-ใช้โจมตีทางทหาร

เปิดผลโพลชาวอเมริกันกังวล AI แย่งงานถาวร-หวั่นถูกใช้สร้างความวุ่นวายทางการเมือง พร้อมคัดค้านการใช้ AI เลือกเป้าหมายโจมตีทางทหาร

ผลสำรวจล่าสุดจาก Reuters/Ipsos เผยให้เห็นความกังวลอย่างลึกซึ้งของชาวอเมริกันต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดย 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่ากลัวการพัฒนาของ AI จะทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องตกงานอย่างถาวร

AI กลายเป็นประเด็นใหญ่ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 หลังการเปิดตัวของ ChatGPT ที่สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นแอปพลิเคชันที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเมตา (Meta) กูเกิล (Google) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ AI ของตนเองออกมาแข่งกัน จนทำให้ AI แทรกซึมเข้าไปเปลี่ยนแปลงทั้งการทำงาน อุตสาหกรรม และวิถีชีวิตประจำวัน แม้ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณการว่างงานจำนวนมาก โดยอัตราว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่เพียง 4.2% แต่ความกังวลในระยะยาวกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากประเด็นด้านการจ้างงานแล้ว ความหวั่นวิตกต่อการนำ AI ไปใช้สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองก็สูงไม่แพ้กัน โดย 77% ของชาวอเมริกันกังวลว่าเทคโนโลยีนี้อาจถูกใช้เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่สมจริงจนทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์วิดีโอที่สร้างจาก AI บนโซเชียลมีเดีย แสดงภาพอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ถูกจับกุม ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ด้านการทหาร ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็ยังมีความระแวงต่อการใช้ AI โดย 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามคัดค้านอย่างหนัก ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้ AI ในการกำหนดเป้าหมายโจมตีทางทหาร มีเพียง 24% เท่านั้นที่สนับสนุน ขณะที่อีก 28% ยังคงไม่แน่ใจ

นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องพลังงานก็ถูกหยิบยกขึ้นมามากขึ้นเช่นกัน โดย 61% ของชาวอเมริกันระบุว่ากังวลกับปริมาณไฟฟ้าที่ต้องใช้เพื่อขับเคลื่อน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ล่าสุดกูเกิลออกมาเปิดเผยว่าได้ทำข้อตกลงกับผู้ให้บริการไฟฟ้า 2 รายในสหรัฐฯ เพื่อปรับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI ในช่วงเวลาที่ความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงเกินกำลังผลิตของระบบไฟฟ้า

แม้กระแสการลงทุนใน AI จะยังคงพุ่งแรงต่อเนื่อง ทั้งจากฟ็อกซ์คอน (Foxconn) และซอฟต์แบงก์ (SoftBank) ที่เตรียมสร้างโรงงานอุปกรณ์ศูนย์ข้อมูลในรัฐโอไฮโอ แต่ AI เองก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากหลายกรณี ทั้งการเปิดให้บอท AI สนทนาเชิงโรแมนติกกับเด็ก การสร้างข้อมูลทางการแพทย์ที่ผิดพลาด ไปจนถึงการช่วยให้คนบางกลุ่มเผยแพร่ถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วิธีแยก “มะปราง-มะยงชิด” เคล็ดลับแยกให้ออกง่าย ๆ ไม่สับสนอีกต่อไป

มะปราง มะยงชิด ต่างกันอย่างไร ผลไม้ที่หลายคนสับสน เผยวิธีแยกให้ออกง่าย ๆ

มะปราง และ มะยงชิด จัดเป็นผลไม้ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี แต่หลายครั้งก็มักถูกนำมาเปรียบ หรือสับสน เพราะมีลักษณะที่คล้ายกันมาก บทความจะพาไปเจาะความแตกต่างของทั้งสองชนิดว่ามีจุดสังเกตใดบ้างที่จะทำให้เราแยกออกว่าผลไหนคือมะปราง ผลไหนคือมะยงชิด รวมไปถึงเรื่องของรสชาติว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

มะปราง-มะยงชิด ต่างกันอย่างไร

ชื่อและสายพันธุ์

มะปราง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bouea macrophylla ใบมีขนาดใหญ่ ผลเล็กกว่า ส่วนมะยงชิด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bouea oppositifolia ผลสุกมีสีเหลืองส้มหรือเหลืองเข้ม ขนาดผลใหญ่กว่า และมีสายพันธุ์หนึ่งที่เรียก “มะยงห่าง” ซึ่งจะมีรสเปรี้ยวจัด

สีของผล

  • มะปราง ผลสุกจะมีสีเหลืองนวลหรือเหลืองจาง ในขณะที่ มะยงชิด ผลสุกจะออกสีเหลืองอมส้มหรือเข้มกว่า เห็นได้ชัดว่าเนื้อผลต่างกัน

รสชาติ

  • มะปราง ให้รสหวานละมุน บางพันธุ์หวานจัด บางพันธุ์มีรสหวานจืด และบางพันธุ์อาจมียางที่ทำให้ระคายคอ ส่วน มะยงชิด จะมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย กินแล้วชุ่มฉ่ำ และที่สำคัญคือไม่มียาง จึงไม่ทำให้ระคายคอ

ขนาดเมล็ด

  • มะปรางมีเมล็ดใหญ่กว่า ส่วนมะยงชิดมีเมล็ดเล็กกว่า ทำให้เนื้อผลที่ได้จากการรับประทานต่างกันด้วย

ผลดิบ

  • ผลดิบของมะปรางมีรสมันและมีสีเขียวซีด ขณะที่ผลดิบของมะยงชิดจะมีรสเปรี้ยว เปลือกสีเขียวเข้มจัดกว่า

สรุป

มะปราง และ มะยงชิด แม้จะคล้ายกันจนทำให้หลายคนเข้าใจผิด แต่จริง ๆ แล้วต่างกันชัดเจน มะปรางผลเล็กกว่า สีเหลืองอ่อน รสหวาน บางพันธุ์มียาง ส่วนมะยงชิดผลใหญ่กว่า สีเข้ม รสหวานอมเปรี้ยว กินแล้วชุ่มฉ่ำ และไม่มียาง ทั้งสองจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใครชอบรสหวานละมุนอาจถูกใจมะปราง แต่ถ้าชอบหวานอมเปรี้ยวสดชื่นก็มักเลือกมะยงชิด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/08/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,550.0051,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,332.0050,513.1252,450.00
ทองรูปพรรณ 90%2,998.8045,461.81n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,665.6040,410.50n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,499.4022,730.90n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,166.2017,679.59n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,452.8552,345.21n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/08/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1449.8449.8449.8441.14
เบนซิน 9541.2449.8141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า