อสังหาฯหาดใหญ่อ่วม พิษน้ำท่วม ฉุดดีมานด์ชายแดนใต้ชะลอซื้อ

- มหาอุทกภัยครั้งใหญ่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์หาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการในพื้นที่ลุ่มต่ำ ทำให้ภาพรวมตลาดเข้าสู่ภาวะขาลง
- เหตุการณ์น้ำท่วมส่งผลให้กลุ่มผู้ซื้อจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญ ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อประเมินความเสี่ยงใหม่
- วิกฤตน้ำท่วมคาดว่าจะเปลี่ยนโฉมการพัฒนาอสังหาฯในอนาคต โดยต้องเน้นการออกแบบที่รับมือน้ำท่วม และทำให้ทำเลบนที่สูงกลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น
- คาดว่าตลาดอสังหาฯหาดใหญ่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูความเชื่อมั่นประมาณ 3 ปี โดยเฉพาะในทำเลที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก
มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 25 ปี เปลี่ยนภูมิทัศน์อสังหาฯหาดใหญ่ทั้งดีมานด์ การลงทุน และทำเลเสี่ยงสูงถูกประเมินใหม่ทั้งหมด สะท้อนความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่หนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 จากความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า ระบบระบายน้ำประเมินมูลค่ารวมทะลุ 1,000 ล้านบาท และที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ “ตลาดที่อยู่อาศัย”
ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เผยว่า ครึ่งแรกปี 2568 หาดใหญ่เมืองเศรษฐกิจใหญ่สุดของภาคใต้ตอนบนมีโครงการระหว่างขาย 128 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4.15 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 116 โครงการ 6,735 ยูนิต คอนโดมิเนียม 12 โครงการ 4,369 ยูนิต แต่มหาอุทกภัยครั้งนี้เปลี่ยนสถานการณ์เป็นขาลงทันที เพราะโครงการที่ตั้งบนทำเลลุ่มต่ำ ทั้งบ้านพรุ หาดใหญ่ใน และใจกลางเมือง ต่างเผชิญความเสียหายหนัก

บ้านชั้นเดียว – เจ็บหนักสุด
โครงสร้างภายในบ้านได้รับผลกระทบโดยตรง เฟอร์นิเจอร์และวัสดุต่าง ๆ ต้องทิ้งแทบทั้งหมด การซ่อมระบบไฟฟ้า–ประปา ต้องรื้อใหม่หลายจุด กลายเป็นภาระซ้ำซ้อนของทั้งผู้ซื้อและผู้พัฒนา
“คอนโด ชั้นล่างจมมิด กระทบภาพลักษณ์หลายโครงการต้องปิดพื้นที่ส่วนกลาง ห้องพักชั้น 1 และลานจอดรถชั่วคราว นักลงทุนปล่อยเช่าเริ่มทบทวนต้นทุนซ่อมแซม ”
ภัยครั้งนี้ฉายชัดภาพภูมิศาสตร์ของหาดใหญ่ เมืองที่พัฒนาเร่งตัว แต่ระบบระบายน้ำไม่ทันการณ์ ภัทรชัยชี้ว่า อนาคตอสังหาฯต้อง “ออกแบบเพื่อรับน้ำ” ไม่ใช่ออกแบบเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว เช่น ยกพื้นชั้นล่างสูงขึ้น ออกแบบชั้น 1 ของคอนโดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ วัสดุก่อสร้างทนน้ำ ระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งเหนือระดับน้ำท่วมสูงสุด ปรับปรุงคลองและโครงข่ายท่อระบายน้ำทั้งเมือง
“คาดว่า ตลาดอาจต้องใช้เวลา ราว 3 ปี กว่าความเชื่อมั่นจะฟื้น โดยเฉพาะทำเลเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากอย่าง บ้านพรุ–หาดใหญ่ใน ขณะที่ทำเลใหม่ เช่น ท่าข้าม เริ่มกลายเป็นดาวรุ่ง”
3 จังหวัดชายแดนใต้ชะลอซื้อ
หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อจาก ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ที่มองหาบ้านหลังที่สองหรือคอนโดให้บุตรหลานมาเรียน แต่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ดีมานด์บางส่วน “ชะลอการตัดสินใจ” รอประเมินความเสี่ยงใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งท้องถิ่นและส่วนกลาง รวมถึงเอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าพัฒนาโครงการในหาดใหญ่ สะท้อนศักยภาพหาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี

สถิติบ้านจัดสรรหาดใหญ่ครึ่งปีแรก 2568 6,735 ยูนิต ระหว่างขายขายแล้ว 4,760 ยูนิต (อัตราขาย 70.7%) ยอดคงเหลือเพียง 1,975 ยูนิต “อาคารพาณิชย์ขายดีที่สุด” สะท้อนกำลังซื้อ SME ที่ยังแข็งแรง ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวตามมาติด ๆ ตลาดยังมีแรงซื้อ แต่ต้องระวัง “ความเสี่ยงทำเล” มากขึ้นกว่าทุกยุคสมัย
วิกฤติที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนเมือง
ภัทรชัยเน้นว่า หาดใหญ่กำลังอยู่บนทางแยกครั้งสำคัญระหว่างการพัฒนาแบบเดิมและการพัฒนาเชิงภูมิศาสตร์ที่เข้าใจภัยธรรมชาติอย่างจริงจังการออกแบบรับมืออุทกภัยจะเป็น “มาตรฐานใหม่ของอสังหาฯหาดใหญ่”
ทั้งการยกพื้น ใช้วัสดุทนน้ำ ระบบไฟฟ้าปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานระบายน้ำ รวมถึงการผลักดัน “ประกันภัยน้ำท่วม” ให้เป็นเรื่องปกติ เพื่อให้หาดใหญ่กลายเป็นเมืองที่ยืนหยัดสู้ภัยพิบัติได้จริง
แม้น้ำจะท่วมลึก แต่โอกาสกลับผุดขึ้นบนพื้นที่สูง ทำเลเนินกลายเป็นพื้นที่ทองสำหรับโครงการรุ่นใหม่ ขณะที่ผู้พัฒนาและนักลงทุนต้องปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ถ้าทุกฝ่ายผู้ประกอบการ เมือง และประชาชนร่วมกันวางระบบรับมือน้ำท่วมอย่างยั่งยืน หาดใหญ่จะฟื้นตัวได้ดีกว่าเดิม และเติบโตบนฐานความมั่นคงที่แข็งแรงขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ไขรหัส Universal Design บ้านเพื่อทุกวัย รับสังคมสูงอายุใกล้เต็มรูปแบบ

- Universal Design (UD) หรือการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล เป็นแนวคิดสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของไทย โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคน ทุกวัย สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเท่าเทียมกัน
- หลักการออกแบบที่สำคัญคือการลดอุปสรรคทางกายภาพ เช่น การใช้ทางลาดแทนขั้นบันได ประตูที่กว้างพอสำหรับรถเข็น พื้นกันลื่นในห้องน้ำ การติดตั้งราวจับ และการจัดแสงสว่างกับสีที่ตัดกันเพื่อช่วยในการมองเห็น
- แนวคิดนี้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุที่ต้องการใช้ชีวิตในบ้านเดิม (Aging in Place) ให้นานที่สุด ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ลดภาระการดูแลของครอบครัว และสามารถปรับเปลี่ยนบ้านให้รองรับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในอนาคตได้
ท่ามกลางโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ แนวคิดการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยที่ “ใช้งานได้จริงสำหรับทุกคน” กำลังกลายเป็นโจทย์สำคัญของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะเร่งด่วน
ในเวทีเสวนา “ถอดรหัสฟื้นตลาดอสังหาฯ 2026” จัดโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผศ. บุษกร รมยานนท์ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอชุดองค์ความรู้ด้าน Universal Design (UD) หรือการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล ซึ่งกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่อยู่อาศัยท่ามกลางการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของไทย โดยเน้นว่าการออกแบบที่ดีไม่เพียงเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ แต่ยังลดภาระการดูแลของครอบครัว และสามารถวางแผนได้ตั้งแต่การสร้างหรือซื้อบ้านใหม่โดยไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนสูงเสมอไป
Universal Design โจทย์สำคัญของตลาดผู้สูงวัย
ผศ. บุษกร อธิบายว่า Universal Design หรือการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล ไม่ได้เน้นเฉพาะผู้สูงอายุ แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกเพศ ทุกวัย ทุกความสามารถสามารถใช้งานได้อย่างเท่าเทียม โดยผู้สูงวัยไทยส่วนใหญ่ต้องการ “อยู่บ้านเดิมกับครอบครัว” มากกว่าการย้ายไปสถาบันดูแล จึงจำเป็นต้องปรับสภาพบ้านให้ปลอดภัยและลดภาระของลูกหลานในระยะยาว
โดยการเข้าใจสภาวะเสื่อมถอยตามวัยเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญ เช่น การมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง การทรงตัวลดลง กระดูกเปราะง่าย การมองเห็นและการได้ยินถดถอย รวมถึงการตัดสินใจที่เชื่องช้าลง การออกแบบจึงต้องตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัย ความเรียบง่าย และการใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
7 แนวคิดสำคัญของ Universal Design
กรอบการออกแบบ Universal Design ถูกสรุปออกเป็น 7 ข้อ ได้แก่
- การใช้งานได้โดยไม่จำกัดวัยและความสามารถ
- ความยืดหยุ่น รองรับความแตกต่างทางกายภาพ
- ความไม่ซับซ้อน ลดขั้นตอนและปุ่มควบคุม
- การนำเสนอข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น สี และตัวอักษร
- คำนึงถึงความปลอดภัยคาดการณ์ล่วงหน้า
- การทำให้อุปกรณ์ในการทำกิจกรรมพื้นฐานใช้งานง่าย เช่น ประตูบานเลื่อนที่ไม่ต้องออกแรงมาก
- รองรับการเข้าถึงของรถเข็นและอุปกรณ์ช่วยเดิน
ซึ่งเป็นความสำคัญการวาง “ขนาดและมิติพื้นที่” เช่น หากรถเข็นเข้าถึงได้ ผู้สูงวัยก็สามารถใช้งานได้แทบทุกพื้นที่ โดยประตูและโถงทางเดินต้องกว้างพอ จุดหมุนต้องมีรัศมีประมาณ 1.50 เมตร ส่วนทางลาดต้องมีสัดส่วนปลอดภัย สูง 1 เมตร ต่อความยาว 12 เมตร ขณะที่ปลั๊กไฟและอุปกรณ์ภายในบ้านต้องอยู่ในระดับเอื้อมถึงทั้งในท่านั่งและยืน
ในด้านความปลอดภัย ผศ. บุษกร เน้นให้ความสำคัญกับพื้นและห้องน้ำเป็นพิเศษ โดยแนะนำให้เลือกกระเบื้องกันลื่นที่มีค่า R10-R11 ลดโอกาสลื่นล้มในพื้นที่เปียก พร้อมการจัดสภาพแวดล้อมให้เดินได้คล่อง โดยไม่มีพรมหลวม สายไฟเกะกะ หรือธรณีประตูต่างระดับ ห้องน้ำต้องออกแบบให้เข้าออกได้สะดวก มีราวจับ เก้าอี้อาบน้ำ ฝักบัวมือถือ และมุมหมุนรถเข็นที่เพียงพอ รวมถึงการใช้ก๊อกแบบก้านโยกที่เปิด-ปิดได้ง่าย
อีกองค์ประกอบสำคัญคือ “แสงสว่างและคอนทราสต์สี” ซึ่งช่วยให้ผู้สูงอายุรับรู้พื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น ทั้งแสงธรรมชาติ แสงภายในบ้านที่สบายตาในโทน Warm White (2,700–3,000K) และการใช้สีตัดกันระหว่างพื้น ผนัง และเฟอร์นิเจอร์ เพื่อลดความสับสนและเพิ่มความปลอดภัย โดยเฉพาะบริเวณบันไดและห้องน้ำที่ต้องมีระดับแสงเพียงพอเป็นพิเศษ
นอกจากตัวบ้านแล้ว การออกแบบครัว ห้องเก็บของ และทางเข้า-ออกบ้าน ก็ต้องคำนึงถึงการเอื้อม หยิบ หรือใช้งานครัวเรือนที่ปลอดภัย เช่น พื้นกันลื่น เคาน์เตอร์มั่นคง ลิ้นชักดึงออกง่าย และการจัดวางของที่ใช้บ่อยในตำแหน่งหยิบสะดวก ขณะเดียวกันพื้นที่กลางแจ้งควรออกแบบให้เข้าถึงง่าย มีทางเดินกว้าง พื้นไม่ลื่น และมีมุมพักผ่อนหรือแปลงสวนที่ช่วยให้ผู้สูงวัยยังทำกิจกรรมได้อย่างเพลิดเพลิน โดยเสริมด้วยระบบบ้านอัจฉริยะ (IoT) เพื่อช่วยควบคุมไฟ อุณหภูมิ หรือความปลอดภัยผ่านสมาร์ทโฟน
ผศ. บุษกร ยังชี้ว่า แนวคิด “Aging in Place” หรือการอยู่บ้านเดิมให้นานที่สุด คือความต้องการสำคัญของผู้สูงวัยยุคใหม่ จึงเกิดแนวคิด “Adaptable House” หรือบ้านที่ปรับเปลี่ยนรองรับวัยได้ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น เช่น ผนังเสริมแรงสำหรับติดตั้งราวจับในอนาคต เคาน์เตอร์ปรับระดับ เฟอร์นิเจอร์ดัดแปลงได้ รวมถึงแบบแปลนเปิดโล่งที่ปรับการใช้งานได้เมื่อสภาพร่างกายเปลี่ยนไปพร้อมกับการผสานเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมเพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยของผู้สูงวัย
อีกแนวคิดสำคัญของการพัฒนาอสังหาฯ คือโมเดล “Wellness Home” ที่เน้นคุณภาพชีวิตทั้งกายและใจ ตั้งแต่การออกแบบให้มีแสงธรรมชาติและทิวทัศน์ดี การรักษาคุณภาพอากาศภายในอาคาร การใช้วัสดุธรรมชาติหรือ Biophilic Design เพื่อเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยกับธรรมชาติ ตลอดจนการจัดสรรพื้นที่หลากหลาย (Multi-functional Space) ให้เป็นทั้งห้องพัก ห้องทำงาน หรือพื้นที่ออกกำลังกายตามความต้องการ
ผศ. บุษกร ยังหยิบยกกรณีศึกษาให้เห็นภาพชัดเจน ทั้งโครงการ “ที่พักอาศัยผู้สูงอายุ รามาฯ-ธนารักษ์” ในไทย ที่ผู้ซื้อเลือกจ่ายเงินก้อนในรูปแบบ Leasehold เพื่อแลกกับระบบคุณภาพและการอยู่ใกล้สถาบันการแพทย์ รวมถึงโครงการระดับโลก เช่น Kampong Admiralty ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็น Mixed-use แห่งแรกที่ออกแบบให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระในชุมชนเดียวกัน ทั้งคลินิก อาหาร การดูแลเด็ก-ผู้สูงอายุ และพื้นที่สีเขียวบนดาดฟ้าที่ส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Universal Design และแนวคิด Adaptable House ไม่ใช่เพียงเทรนด์การออกแบบ หากเป็นโจทย์ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในวันที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับผลิตภัณฑ์ พื้นที่ และบริการให้สอดรับ เพื่อสร้างตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและยั่งยืนในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25พ.ย. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 25พ.ย.2568ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่เงินบาทก็เสี่ยงเผชิญ Two-way risk
(พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และปัจจัยอื่นๆ ทำให้ในระยะสั้น เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
โดยล่าสุด แม้ผู้เล่นในตลาดจะปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธันวาคมนี้ สู่ระดับ 77% ทว่า เงินดอลลาร์กลับยังไม่ได้อ่อนค่าลงมากนัก ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์นี้
โดยเฉพาะในส่วนของ ยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จากข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี เราพบว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนในกรอบ +/-1 SD หลังรับรู้ รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ราว +/-0.2%
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็อาจรอติดตามการประกาศแผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ได้อย่างมีนัยสำคัญ จากประเด็นแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ และที่สำคัญ สัปดาห์นี้ เป็นช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ในฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองได้
อนึ่ง ในช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ปริมาณการทำธุรกรรมในตลาดการเงินอาจเบาบางลงกว่าระดับปกติบ้าง ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงนี้ โดยเฉพาะหากมีการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนญี่ปุ่นจากฝั่งทางการญี่ปุ่น
ทว่า จากการประเมินถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของทางการญี่ปุ่นในช่วงนี้ เราพบว่า โอกาสเกิดการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนญี่ปุ่นในเร็ววันนี้ยังไม่ได้สูงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้ามได้
เนื่องจากเงินเยนญี่ปุ่นก็ยังเคลื่อนไหวในระดับที่อ่อนค่าพอสมควรแถวโซน 156.90 เยนต่อดอลลาร์ และอาจกลับไปอ่อนค่าเหนือระดับ 157 เยนต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง (ซึ่งจากโมเดลส่วนต่างบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น และการประเมินจากปัจจัยพื้นฐานด้วยโมเดล BEER พบว่า เงินเยนญี่ปุ่นควรจะแข็งค่าขึ้นจากระดับปัจจุบันพอสมควร เกือบ +10% ได้)
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026)
และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.35-32.51 บาทต่อดอลลาร์)
หนุนโดยการทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ได้รับอานิสงส์จากการทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสราว 77% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ดี การปรับเพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดกลับไม่ได้กดดันเงินดอลลาร์มากนัก หลังบรรดาสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ต่างเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อย โดยเฉพาะฝั่งสกุลเงินหลักยุโรป
ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น การประกาศแผนงบประมาณของอังกฤษ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถรีบาวด์ขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด
นอกจากนี้ Alphabet +6.3% ยังได้แรงหนุนจากกระแสตอบรับ AI Gemini 3.0 ที่เปิดตัวไม่นานนี้ หนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.55% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.69%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นบ้าง +0.14% หนุนโดยการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ไม่ต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร-การบิน จากแนวโน้มทางการสหรัฐฯ ต้องการเร่งยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาทยอยปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 4.02% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่าการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เราขอย้ำว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ)
อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น และไม่ไล่ราคาซื้อ)
เนื่องจาก เราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบัน สู่ระดับ 3.80%-3.90% ได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีโอกาสทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.20% อีกครั้ง ในช่วงปลายปี 2026
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวลดลงตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทว่าเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลักฝั่งยุโรป หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถรีบาวด์ขึ้นแรงมากกว่าฝั่งตลาดหุ้นยุโรปอย่างชัดเจน
อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินปอนด์อังกฤษได้พอสมควร ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นบ้างสู่โซน 100.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100-100.3 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศตลาดการเงินสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็มีส่วนหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 4,170-4,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP (20.15 น. ตามเวลาประเทศไทย) ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่จะรับรู้ในช่วง 20.30 น. รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) และดัชนีภาคธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทในระยะสั้นได้บ้าง หลังตลาดรับรู้รายงานดังกล่าว
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.34-32.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นในเอเชีย ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดกระตุ้นให้ตลาดกลับมามองว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. นี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนต.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อาทิ ตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนรายสัปดาห์จาก ADP ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดค้าปลีกเดือนก.ย. รวมถึงยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนต.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แมนยู 0-1 เอฟเวอร์ตัน : ขาดคุณภาพ! ตัดเกรดแข้งผีเกมพ่ายทอฟฟี่10คนคาบ้าน

“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาปราชัยในศึก พรีเมียร์ลีก แบบสุดเจ็บปวด หลังเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-1 เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยที่คู่แข่งเหลือผู้เล่นสิบคนตั้งแต่นาทีที่ 13 และนี่คือผลสอบของลูกทีม รูเบน อโมริม แต่ละคนในแมตช์นี้
บางมุมก็คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ สำหรับจังหวะพุ่งปัดลูกยิงของ เคียร์แนน ดิวส์เบอรี-ฮอลล์ ซึ่งเป็นประตูชัยของทีมเยือน
– เลนี โยโร : 5
จริงๆ แล้วเป็นเกมที่โดนกดดันน้อยมาก แต่ดันปล่อยให้ ดิวส์เบอรี-ฮอลล์ พาบอลผ่านเข้าไปทำประตูง่ายๆ
– มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์ : 6.5
โดยรวมถือว่าทำตามหน้าที่ของตัวเองได้ดี แข็งแกร่งลูกกลางอากาศ สู้กับความใหญ่ของ เธียร์โน แบร์รี ได้ดี
– ลุค ชอว์ : 6.5
ถือว่าช่วยเกมรับได้ดี เข้าแท็กเกิลชนะ 4 ครั้ง ซึ่งมากสุดในทีม
– นุสแซร์ มาซราวี : 5.5
ได้เล่นแค่ช่วงครึ่งแรก ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่อาจไม่เข้าตา อโมริม
– กาเซมีโร่ : 5
นัดนี้ต่ำกว่ามาตรฐานไปเยอะ ตามผู้เล่นแดนกลาง เอฟเวอร์ตัน ไม่ค่อยทัน
– บรูโน่ แฟร์นันด์ส (กัปตันทีม) : 6
มีลูกยิงไกลที่ได้ลุ้น แต่การผ่านบอลและการสร้างสรรค์โอกาส ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน
– แพทริค ดอร์กู : 5
ช่วยเกมรุกน้อยไปหน่อย พอมีโอกาสทำประตู ก็ยิงได้น่าผิดหวัง
– อาหมัด ดิยัลโล : 6.5
บอลจังหวะสุดท้ายอาจไม่ค่อยมีคุณภาพ แต่ถือเป็นตัวรุกที่คุกคามแนวรับทีมเยือนได้พอสมควร
– ไบรอัน เอ็มเบอโม่ : 6
มีความพยายามสูง มีส่วนร่วมกับเกมพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่า เอฟเวอร์ตัน เล่นเกมรับดีมาก
– โจชัว เซิร์กซี : 6
ได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริง ช่วงครึ่งแรกเงียบ แต่ครึ่งหลังเกือบทำประตูได้หลายครั้งจากลูกโหม่ง
สำรองที่ได้ลงเล่น
– เมสัน เมาท์ (แทน มาซราวี น. 46) : 6.5
ช่วยให้เกมรุกของทีมดูน่ากลัวขึ้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีประตู ทั้งที่มีโอกาสยิงหลายครั้ง
– ดีโอโก ดาโลต์ (แทน ดอร์กู น. 58) : 5
ไม่ต่างอะไรกับ ดอร์กู
– ค็อบบี เมนู (แทน กาเซมีโร่ น. 58) : 5
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
5 พฤติกรรมอันตรายของการ “อาบน้ำอุ่น” ในช่วงหน้าหนาว

5 พฤติกรรมอันตรายที่ควรเลี่ยงเมื่อ “อาบน้ำอุ่น” ในฤดูหนาว
การอาบน้ำอุ่นเพื่อคลายความหนาวเป็นสิ่งที่หลายคนทำ แต่ทราบหรือไม่ว่าพฤติกรรมบางอย่างขณะอาบน้ำอุ่นนั้นอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเย็นจัดจนหลอดเลือดหดตัว แพทย์จึงได้แนะนำให้หลีกเลี่ยง 5 พฤติกรรมอันตรายเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจอันตรายถึงขั้นหน้ามืดเป็นลมได้
5 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงขณะอาบน้ำอุ่น
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกายหากทำควบคู่ไปกับการอาบน้ำอุ่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ควรใส่ใจเป็นพิเศษ:
1. เปิดน้ำร้อนเกินไป
การใช้น้ำที่ร้อนจัดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินไป ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อหมุนเวียนเลือดและปรับอุณหภูมิในร่างกาย นี่คือความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดหรือเสียการทรงตัวได้ จึงควรใช้น้ำในอุณหภูมิที่อบอุ่นพอเหมาะและค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิอย่างช้า ๆ
2. อาบน้ำทันทีหลังจากออกกำลังกาย
หลังการออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นในอัตราที่เร็วกว่าปกติอยู่แล้ว การอาบน้ำร้อนทันทีจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักจนเกินไปและอาจเกิดอาการใจสั่นหรือหน้ามืดได้ เพื่อความปลอดภัย ควรรอให้ร่างกายได้พักอย่างน้อย 15–20 นาที จนกว่าหัวใจจะกลับมาเต้นในอัตราที่ปกติก่อน
3. อาบน้ำตอนท้องว่าง
ขณะที่ท้องว่าง ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำลง ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง การอาบน้ำร้อนในสภาวะนี้จะยิ่งเร่งให้หลอดเลือดขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเพื่อรักษาความดันโลหิต ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหน้ามืด หัวใจเต้นเร็ว หรือเป็นลมได้ จึงควรทานอาหารเบา ๆ ที่มีประโยชน์ก่อนการอาบน้ำทุกครั้ง
4. อาบน้ำนานเกินไป
การใช้เวลานานเกิน 15–20 นาที ในการอาบน้ำอุ่นจะส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวอย่างต่อเนื่องและทำให้หัวใจทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการหน้ามืดได้ ดังนั้น เวลาที่เหมาะสมในการอาบน้ำอุ่นแต่ละครั้งคือประมาณ 10–15 นาที
5. อาบน้ำทันทีหลังตื่นนอน
หลังตื่นนอนใหม่ ๆ ร่างกายมีความดันโลหิตต่ำและการทำงานของหัวใจยังไม่เต็มที่ การอาบน้ำร้อนทันทีจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ พฤติกรรมนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหรืออาการหน้ามืด ควรค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งจากเตียง และยืดเหยียดเบา ๆ รอประมาณ 5–10 นาที ก่อนจึงจะเริ่มอาบน้ำ
สรุป: ข้อควรระวังในการอาบน้ำอุ่นช่วงฤดูหนาว
การอาบน้ำอุ่นมีประโยชน์ แต่ต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอันตราย 5 ข้อนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ควรอาบด้วยน้ำอุ่นที่อุณหภูมิพอเหมาะและไม่ใช้เวลานานเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการปรับพฤติกรรมการอาบน้ำ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
On time VS In time คำไหนที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณ

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง On time VS In time ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้กันบ่อยแต่หลายคนยังสับสน เราจะอธิบายความหมายของแต่ละคำ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน พร้อมทั้งยกตัวอย่างสถานการณ์จริงที่พบได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้ถูกต้องตามบริบท หากคุณกำลัง เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเพื่อใช้ในการทำงาน การเรียน หรือการท่องเที่ยว บทความนี้จะช่วยเสริมทักษะการสื่อสารของคุณให้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้ไปต่อยอดการใช้งานได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
ความหมายของ in time
คำว่า in time แปลว่า “ทันเวลา” ในเชิงความยืดหยุ่น หมายถึงการไปถึงหรือทำอะไรทันก่อนที่จะสายเกินไป โดยไม่จำเป็นต้องเป๊ะตรงเวลาที่กำหนด เช่น คุณอาจไปถึงสถานีรถไฟก่อนรถไฟออกไม่กี่นาที ซึ่งแม้จะเฉียดฉิวแต่ก็ยัง “ทัน”
การ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วเข้าใจคำนี้อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณสื่อสารได้ถูกต้องมากขึ้น เพราะ in time มักใช้ในสถานการณ์ที่มีความเร่งด่วนหรืออาจมีผลกระทบหากไม่มาทัน
ตัวอย่างประโยค:
- I arrived in time to catch the train. (ฉันมาทันขึ้นรถไฟ)
- She submitted her project just in time. (เธอยื่นโปรเจ็กต์ทันเวลาแบบเฉียดฉิว)
ในการสนทนาแบบไม่เป็นทางการหรือเมื่อเราต้องการเน้นว่า “เกือบไม่ทัน” คำนี้จะใช้บ่อยมาก ซึ่งการรู้จักรูปแบบการใช้เหล่านี้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือสถานการณ์ได้สมจริงขึ้น ถ้าคุณกำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ การทำความเข้าใจคำง่าย ๆ แบบนี้จะช่วยให้คุณสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น
ความหมายของ on time
คำว่า on time หมายถึง “ตรงเวลาเป๊ะ” คือการไปถึงหรือทำบางสิ่งตามเวลาที่กำหนดไว้แบบไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เหมาะกับบริบทที่เป็นทางการหรือระบบ เช่น การเข้าประชุม เข้างาน หรือการขนส่งสาธารณะ
การใช้ on time มีความตรงต่อเวลาและเป็นแบบแผน ซึ่งสำคัญมากในการสื่อสารในที่ทำงานหรือในการติดต่อธุรกิจ การ เรียนภาษาอังกฤษ โดยให้ความสำคัญกับคำเหล่านี้จะช่วยให้คุณพูดหรือเขียนได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์มืออาชีพ
ตัวอย่างประโยค:
- The train arrived on time. (รถไฟมาถึงตรงเวลา)
- He always pays his bills on time. (เขาจ่ายบิลตรงเวลาทุกครั้ง)
สำหรับผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง คำว่า on time และ in time อาจดูใกล้เคียงกันมาก แต่การใช้ผิดอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ การฝึกซ้อมโดยดูตัวอย่างจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากคุณต้องการความมั่นใจในการใช้งานจริง ลองมองหา คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ที่สอนการใช้คำเหล่านี้พร้อมบทสนทนา
ตัวอย่างการใช้ในสถานการณ์จริง
การแยกความแตกต่างของ on time กับ in time จะชัดเจนขึ้นเมื่อดูจากสถานการณ์จริง ซึ่งผู้ที่ เรียนภาษาอังกฤษ อย่างจริงจังควรหมั่นสังเกตและฝึกใช้คำเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
สถานการณ์ที่ใช้ “on time”:
- คุณไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงาน 5 นาที นั่นคือคุณมา on time
- นักเรียนส่งการบ้านก่อนกำหนดในเวลาที่ครูบอก คือส่ง on time
สถานการณ์ที่ใช้ “in time”:
- คุณไปสนามบินและถึงหน้าประตูขึ้นเครื่องพอดีก่อนปิด – ถือว่า in time
- คุณไปถึงร้านค้าและได้ซื้อของที่ต้องการก่อนเวลาห้างปิดพอดี – ก็ถือว่า in time เช่นกัน
การสังเกตความแตกต่างนี้คือหัวใจของการ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะเมื่อคุณเข้าใจความหมายและบริบทได้อย่างถูกต้องแล้ว คุณจะสามารถพูดและเขียนได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งาน การเขียนอีเมล หรือการเดินทางในต่างประเทศ
การฝึกฝนคำศัพท์และการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เช่น การตั้งคำถามว่า “If I leave now, will I be on time or just in time?” จะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น และจำได้ยาวนานขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
Google เปิด TalayLink สายเคเบิลใต้น้ำ เชื่อมดิจิทัล ไทย-ออสเตรเลีย

- Google ประกาศเปิดตัว “TalayLink” โครงการสายเคเบิลใต้น้ำเส้นทางใหม่เพื่อเชื่อมต่อประเทศไทยและออสเตรเลีย
- สายเคเบิลนี้จะช่วยเสริมความเสถียรและความสามารถในการเชื่อมต่อของเครือข่าย เพื่อรองรับ Google Cloud Region และ Data Center ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไทย
- โครงการนี้ยังรวมถึงการลงทุนสร้างศูนย์กลางการเชื่อมต่อแห่งใหม่ทางภาคใต้ของไทย โดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง AIS และ ALT Telecom เพื่อตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะ Digital Gateway ของภูมิภาค
นายบิกาช โคลีย์ รองประธาน ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของ Google, Google Cloud กล่าวว่า “สายเคเบิลใต้น้ำ TalayLink ตั้งชื่อตามคำไทย ‘ทะเล’ (Talay) ที่หมายถึง ทะเล หรือ มหาสมุทร จะเป็นส่วนต่อยอดจากโครงการสายเคเบิลเชื่อมโยงระหว่างศูนย์ข้อมูล (Interlink Cable) ที่เราประกาศเปิดตัวเมื่อปีก่อน ภายใต้แผนริเริ่ม Australia Connect
โดยสายเคเบิลใต้น้ำเส้นนี้จะสร้างเส้นทางใหม่ที่แยกจากเดิมไปยังประเทศไทยผ่านมหาสมุทรอินเดีย ทางด้านตะวันตกของช่องแคบซุนดา ซึ่งเป็นจุดที่สายเคเบิลใต้น้ำที่มีอยู่ส่วนใหญ่พาดผ่านในปัจจุบัน การวางเส้นทางเชิงกลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Data Center และ Cloud Region ของเราที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายระดับโลกของเราได้อย่างราบรื่น”
นอกเหนือจากระบบสายเคเบิลใต้น้ำ TalayLink แล้ว Google ยังมีความยินดีที่จะประกาศแผนการลงทุนสร้างศูนย์กลางการเชื่อมต่อใหม่ในรัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย เมืองแมนดูราห์ และพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย

การลงทุนเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคในอนาคต พร้อมเร่งการให้บริการด้านดิจิทัลและ AI ชั้นสูงผ่านความสามารถด้านการสลับสายเคเบิล (Cable Switching) การจัดเก็บเนื้อหา (Content Caching) และโคโลเคชั่น (Colocation)
ศูนย์กลางการเชื่อมต่อในเมืองแมนดูราห์จะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อขึ้นฝั่งแห่งใหม่แยกจากเมืองเพิร์ธ ซึ่งเป็นจุดที่สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียใช้งานอยู่ในปัจจุบัน สำหรับพื้นที่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นจุดตัดสำคัญของสายเคเบิลใต้น้ำอยู่แล้ว เราได้เข้าเป็นพันธมิตรกับ AIS ผู้ให้บริการโคโลเคชั่น เพื่อเร่งการติดตั้งการใช้งาน และสร้างประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่นที่มีอยู่เดิม

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า “สายเคเบิล TalayLink ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเข้ามาช่วยเสริมความสามารถด้านการเชื่อมต่อและความยืดหยุ่นของระบบดิจิทัลของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อีกทั้งเมื่อพิจารณาร่วมกับการจัดตั้ง Google Cloud Region และ Data Center ของ Google ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย การลงทุนในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพด้านเครือข่ายและการประมวลผลของภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะ Digital Gateway ที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมคลาวด์และ AI แห่งอนาคตอย่างมั่นคง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มุ่งมั่นสนับสนุนการลงทุนของ Google ในประเทศไทย พร้อมส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและทักษะดิจิทัลของคนไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืน”
นายปรัธนา ลีลพนัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “AIS รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ขยายความร่วมมือกับ Google ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์กลางการเชื่อมต่อในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย
การผนึกกำลังระหว่างเส้นทางสายเคเบิลใต้น้ำสายใหม่ที่มีความหลากหลายของ Google กับศักยภาพด้านโคโลเคชันที่มีเสถียรภาพสูงของ AIS จะช่วยให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูมิภาคสามารถสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ จำกัด (IGC ) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรหลักกับ Google ในการสนับสนุนการเชื่อมโยงสายเคเบิลใต้น้ำเส้นทางใหม่เข้าสู่ประเทศไทย IGC ได้นำประสบการณ์อันยาวนานในการบริหารเครือข่ายทั่วประเทศ และจุดเชื่อมต่อสายเคเบิลระหว่างประเทศ มาสนับสนุนโครงการนี้ สายเคเบิลเส้นใหม่นี้ถือเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเร่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายอย่างเต็มศักยภาพ”
เมื่อโครงการแล้วเสร็จ TalayLink และศูนย์กลางการเชื่อมต่อแห่งใหม่เหล่านี้ จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นของเครือข่ายโทรคมนาคมตลอดทั่วทั้งประเทศออสเตรเลีย ทวีปแอฟริกา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ เมื่อรวมกับการลงทุนในศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่เราได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ ในประเทศมัลดีฟส์ และเกาะคริสต์มาส การลงทุนเหล่านี้จะช่วยขยายการเชื่อมโยงเครือข่ายออกไปทั่ว ทั้งในมหาสมุทรอินเดีย และครอบคลุมไปถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง
“สายเคเบิลเส้นใหม่และศูนย์กลางการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคของเราจะช่วยขับเคลื่อนและส่งเสริมโรดแมปของรัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลียโดยตรง ในการสร้างอนาคตทางดิจิทัลที่ปลอดภัยและครอบคลุม พร้อมกันนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจผ่านการเข้าถึง AI และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง โดยเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศออสเตรเลีย ไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่มีความยืดหยุ่นและเชื่อถือได้” นายบิกาช กล่าวเสริม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กิน “มะนาว” ทุกวัน จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย รู้ทั้งข้อดีและข้อควรระวัง

กินมะนาวทุกวัน ดีต่อร่างกายอย่างไร? เจาะลึกประโยชน์และข้อควรระวังที่ควรรู้
มะนาว (Lemon) ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดสีเหลืองสดใสที่เราคุ้นเคยกันดี นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน หลายคนนิยมดื่มน้ำมะนาวเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโรคนิ่วในไต ช่วยให้ได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้น และส่งเสริมระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น
แต่หากเรา กินมะนาวทุกวัน จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบ้าง? บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจ ทั้งประโยชน์ทางโภชนาการ และข้อควรระวังที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
1. ช่วยป้องกันโรคนิ่วในไต
นิ่วในไตเกิดจากการสะสมของแร่ธาตุที่ตกผลึกในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย วิธีหนึ่งในการป้องกันคือการเพิ่มระดับกรดอ่อนๆ ที่เรียกว่า “ซิเตรต” (Urine Citrate) หรือทำให้ปัสสาวะมีความเป็นด่างมากขึ้น
มะนาวมีกรดซิตริก (Citric acid) ซึ่งช่วยเพิ่มระดับซิเตรตในปัสสาวะ สารนี้จะไปจับกับแคลเซียมช่วยป้องกันไม่ให้ปัสสาวะอิ่มตัวเกินไป และยังช่วยยับยั้งการจับตัวของผลึกแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วที่สร้างความเจ็บปวดได้
2. เสริมสร้างสุขภาพหัวใจ
มะนาวเป็นแหล่งของวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่ช่วยดูแลหัวใจ การได้รับวิตามินซีที่เพียงพอจะช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เซลล์เสียหายและอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis) หรือความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ สารประกอบฟีนอล (Phenolic compounds) ในมะนาวยังช่วยดูแลเรื่องความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอล และการทำงานของหลอดเลือด การกินผักและผลไม้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจึงสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคร้ายแรงอื่นๆ

3. ช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก
วิตามินซีในมะนาวมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยดูดซึม “ธาตุเหล็กชนิดนอนฮีม” (Nonheme iron) ซึ่งพบมากในพืช ผักใบเขียว ถั่ว และธัญพืช หากคุณเป็นสายมังสวิรัติหรือวีแกน การกินอาหารที่มีธาตุเหล็กคู่กับมะนาวจะช่วยให้ร่างกายนำธาตุเหล็กไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น ป้องกันภาวะโลหิตจางได้
4. ป้องกันความเสื่อมของเซลล์
งานวิจัยระบุว่าพืชตระกูลส้มมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ที่เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไต และมะเร็ง เคล็ดลับสำคัญคือ “เปลือกมะนาว” มักมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าน้ำและเนื้อผลไม้เสียอีก ดังนั้นการใช้ผิวขูดโรยหน้าอาหารจึงเป็นไอเดียที่ดีมาก
คุณค่าทางโภชนาการของมะนาว
มะนาว 1 ลูก (ไม่รวมเปลือก) ให้พลังงานต่ำและมีสารอาหารดังนี้:
| สารอาหาร | ปริมาณ |
|---|---|
| พลังงาน | 17 แคลอรี่ |
| คาร์โบไฮเดรต | 5 กรัม |
| ไฟเบอร์ | 1.6 กรัม |
| วิตามินซี | 31 มิลลิกรัม (34% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน) |
ข้อควรระวังในการกินมะนาว
แม้จะมีประโยชน์มาก แต่การกินมะนาวก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง ดังนี้:
- ปัญหาฟันสึกกร่อน: กรดในมะนาวสามารถทำลายเคลือบฟันได้ แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทุกครั้งหลังกินของเปรี้ยว
- อาการกรดไหลย้อน (GERD): ความเป็นกรดอาจกระตุ้นให้อาการแสบร้อนกลางอกกำเริบในบางคน
- อาการแพ้: บางคนอาจแพ้พืชตระกูลส้ม หรือผิวหนังอาจไวต่อแสงแดด (Phototoxicity) หากสัมผัสน้ำมันจากเปลือกมะนาวแล้วไปโดนแดดแรงๆ
สรุปแนวทางการกินมะนาวเพื่อสุขภาพ
การกินมะนาวทุกวัน ไม่ว่าจะผสมน้ำดื่ม ปรุงอาหาร หรือทำน้ำสลัด เป็นวิธีง่ายๆ ในการเติมวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกาย ช่วยป้องกันนิ่วและเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ควรระวังเรื่องสุขภาพฟันและกรดไหลย้อน หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์เพื่อความมั่นใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 63,350.00 | 63,450.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 4,095.00 | 62,080.20 | 64,250.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,685.50 | 55,872.18 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,276.00 | 49,664.16 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,842.75 | 27,936.09 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,433.25 | 21,728.07 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,243.52 | 64,331.76 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.65 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.44 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







