สาระน่ารู้ประจำวันที่ 26 มีนาคม 2568

เผยโฉม ‘สโคป ทองหล่อ’ All-Penthouse แห่งแรกในไทย สุดยอด Privacy ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม

เผยโฉม “สโคป ทองหล่อ” อัลตราลักชัวรี All-Penthouse แห่งแรกในไทย ชูความเป็นสุดยอด Privacy ผสมผสานความหรูหราที่มีเอกลักษณ์ และความเป็นส่วนตัวเข้าด้วยกัน

ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย “สโคป ทองหล่อ” ถือเป็นคอนโดมิเนียมอัลตราลักชัวรี ที่จะนำเสนอ “All-Penthouse” เป็นโครงการแรกในประเทศไทย สร้างความแตกต่างและมูลค่าที่ไม่เหมือนใคร โดยผสมผสานความหรูหราที่มีเอกลักษณ์ และความเป็นส่วนตัวเข้าด้วยกัน

ยิ่งเมื่อพูดถึง “ทำเล” ที่ไม่ว่าใครก็อยากเป็นเจ้าของ เพราะเป็นทำเลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกว่าเป็น “ศูนย์กลาง” ของไลฟ์สไตล์และการอยู่อาศัยที่สะท้อนความสำเร็จของผู้อยู่อาศัยใน “ทำเลทอง” ที่อยู่ติดกับ BTS ทองหล่อแค่เพียงหนึ่งก้าวสามารถเข้าถึงทุกใจกลางกรุงเทพฯได้อย่างสะดวกสบาย

ความเป็นส่วนตัวที่ดีที่สุด

ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด ได้นิยามความลักชัวรี (Luxury) ว่า เท่ากับคุณภาพสูง ซึ่งที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง ต้องอยู่ในทำเลที่ดี ดีไซน์และวัสดุชั้นนำ พร้อมบริการที่เป็นเลิศ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ที่โครงการ “สโคป ทองหล่อ” แตกต่างและเหนือกว่ากับสุดของความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตที่จำกัดเพียง 18 ยูนิตเท่านั้น และทุกยูนิตจะเป็น Penthouse (1 ชั้น 1 ยูนิต) ขนาดเริ่มต้น 415 ตารางเมตร ซึ่งขนาดนี้เทียบเท่ากับยูนิตขนาดมาตรฐาน 14 ยูนิตรวมกันเลยทีเดียว

“ความลักชัวรีเท่ากับคุณภาพสูง เริ่มต้นจากทำเลที่ตั้ง ดีไชน์ระดับโลก วัสดุเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ ของดีของหรู บรรยากาศดี บริการที่ดีที่สุดรวมรูปรสกลิ่นเสียง นี่คือแบรนด์สโคป”

“สโคป ทองหล่อ” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับอัลตราลักชัวรีโครงการที่ 3 ของสโคปที่มีจำนวนเพียง 18 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 1 ไร่ สูง 32 ชั้น มีชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พร้อมที่จอดรถ 107 คัน มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,650 ล้านบาท ส่วนพักอาศัยเริ่มตั้งแต่ชั้น 10 – 31 โครงการมีให้เลือกทั้งแบบ Simplex, Duplex และ Triplex ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 415 ตารางเมตร ไปจนถึง 756.5 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 226 ล้านบาท แบบ Fully-furnished ที่ได้รับการตกแต่งด้วยแบรนด์ระดับโลกที่คัดสรรมาจาก 7 ประเทศทั่วโลกโดย Thomas Juul-Hansen อาทิ Siematic, Lema, Sub-Zero, Bonaldo, Gubi และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย มูลค่ารวมกว่า 41.5 ล้านบาท

การออกแบบแต่ละยูนิต สะท้อนถึงความเป็นมาสเตอร์พีซของการอยู่อาศัยที่ใส่ใจทุกรายละเอียด โดยเฉพาะการออกแบบที่ได้รับการดูแลจาก “Thomas Juul-Hansen” นักออกแบบชื่อดังระดับโลกชาวเดนมาร์ก ซึ่งไม่ได้ดูแลเพียงการออกแบบตกแต่งภายในเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมของตัวอาคาร สโคป ทองหล่อ เป็นโครงการแรกและโครงการเดียวในเอเชียที่เขารับเป็นที่ปรึกษาอย่างเต็มรูปแบบ

ประสบการณ์ระดับมาสเตอร์พีซ

Thomas Juul- Hansen ได้กล่าวถึงสโคป ทองหล่อ ว่า ที่อยู่อาศัยที่ดีต้องให้มากกว่าความสะดวกสบาย ต้องมอบ “ประสบการณ์” ที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ ทั้งในเชิงดีไซน์ คุณภาพ และการใช้ชีวิต การได้มาร่วมงานกับสโคปอีกครั้งในการพัฒนา สโคป ทองหล่อ แบบ Turnkey คือทั้งการเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน นับเป็นโอกาสที่ล้ำค่ามาก 

“เพราะสโคปเปิดโอกาสให้ผมสามารถสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับมาสเตอร์พีซได้อย่างเต็มที่ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ความหรูหรา แต่ต้องมอบประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบในทุกองค์ประกอบ พิถีพิถันในทุกมุมมอง เพื่อให้ทุกยูนิตสะท้อนถึงรสนิยมและคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับ”

ด้วยคอนเซปต์ “Privacy at Its Best” การออกแบบของโครงการสโคป ทองหล่อ การมอบประสบการณ์ความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายสูงสุดในทุกตารางนิ้วคือสิ่งสำคัญสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้กระจก Double-glazed Insulated Low-E ที่มีความหนาถึง 33 มิลลิเมตร ซึ่งหนากว่ากระจกโครงการทั่วไปในไทยถึง 4 เท่า พร้อมยังมี Air Gap ช่วยลดความร้อน ลดทอนความจ้าของแสง และกรองเสียงรบกวนจากภายนอก รวมถึงระบบฟอกอากาศภายในที่ช่วยกรอง PM 2.5 และเชื้อโรคต่างๆ ดีต่อสุขภาพ

บริการระดับเฟิร์สคลาสทุกมิติ

หากพูดถึง “สโคป ทองหล่อ” คงต้องยอมรับว่าโครงการนี้คือการนำเสนอไลฟ์สไตล์สุดหรูที่ไม่เหมือนใคร ด้วยบริการที่เหนือระดับ เช่น Penthouse Assistant, In-House Blow-dry Service, In-House Cook  ช่วยปรุงอาหารมาเสิร์ฟถึงเพนต์เฮาส์โดยไม่ต้องออกไปทานหรือสั่งดิลิเวอรีให้ยุ่งยาก โดยมีบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัยในทุกรายละเอียด รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุที่มี เรียกได้ว่าทุกตารางนิ้วของการออกแบบเต็มไปด้วยความพิถีพิถัน

“สโคป ทองหล่อ ถือว่าเป็น Rare Gem ที่หาโครงการมาเทียบได้ยาก เพราะตอบโจทย์ครบทั้งในแง่ของการอยู่อาศัย การลงทุน และไลฟ์สไตล์ระดับ อัลตราลักชัวรี ลูกบ้านทุกคนจะได้สัมผัสคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบ บริการและการดูแลเอาใจใส่ระดับเฟิร์สคลาสในทุกองค์ประกอบ”

ขณะที่พื้นที่ส่วนกลางก็ไม่น้อยหน้ากว่าใคร สระว่ายน้ำหินอ่อน ห้องโยคะและพิลาทิส ห้องแกรนด์เปียโน รวมไปถึง Wellness Suite และ Pets Quarter ก็พร้อมที่จะทำให้การใช้ชีวิตใน “สโคป ทองหล่อ” สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งความพิเศษไม่ได้อยู่แค่การมีสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ยังมีบริการระดับเฟิร์สคลาสที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างไม่มีที่ติ

ตอบโจทย์อยู่อาศัยและลงทุน

“สโคป ทองหล่อ” คือคำตอบสำหรับผู้ที่มองหาความเลิศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัย การลงทุน หรือไลฟ์สไตล์ ที่ไม่มีโครงการไหนในกรุงเทพฯ สามารถมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ในราคาเริ่มต้นที่ 226 ล้านบาท โดยทุกองค์ประกอบของโครงการได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันจากทีมงานระดับโลก เพื่อผู้ที่มองหาความสุดยอดในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ทำเลทองของโครงการและการออกแบบที่แตกต่างยังทำให้ “สโคป ทองหล่อ” ไม่เพียงเป็นที่พักอาศัย แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยพิจารณาจากอัตราการเติบโตของย่านทองหล่อที่เฉลี่ยสูงถึง 5-10% ต่อปี

ปัจจุบัน โครงการ สโคป ทองหล่อ ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% พร้อมสำหรับการเข้าอยู่อาศัยแล้ว หนึ่งในไฮไลต์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้ที่หลงใหลในรองเท้าคือพื้นที่สำหรับจัดเก็บรองเท้าถึง 170 คู่ ขณะนี้มีการขายไปแล้ว 11 ยูนิตทั้งหมดเป็นลูกค้าชาวไทย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 226 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 540,000 บาทต่อตารางเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 7 ยูนิตเท่านั้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


SCB EIC มองผ่อนLTV กระตุ้นยอดขายที่อยู่อาศัยค่อนข้างจำกัด

ตลาดอสังหาฯซบเซาSCB EIC มองมาตรการผ่อนเกณฑ์ LTV ชั่วคราม เพื่อกระตุ้นยอดขายที่อยู่อาศัยค่อนข้างจำกัด อาจช่วยประคับประคองตลาดที่อยู่อาศัยในระยะสั้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว เพื่อประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็นร้อยละ 100 สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และ (2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป สำหรับสัญญาเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2568 – 30 มิ.ย. 2569


SCB EIC มองว่า มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวที่ออกมาในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการลดการตึงตัวของภาวะการเงิน ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมกับสภาพตลาดที่อยู่อาศัยที่ซบเซา อย่างไรก็ดี ผลบวกต่อการกระตุ้นยอดขายที่อยู่อาศัยจะมีค่อนข้างจำกัด โดยอาจช่วยประคับประคองตลาดที่อยู่อาศัยในระยะสั้น ซึ่งจะช่วยทยอยดูดซับสต็อกที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทในตลาดได้บางส่วน จากอุปสงค์กลุ่มนักลงทุน และอุปสงค์กลุ่มซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 เฉพาะกลุ่มที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว และมีคุณสมบัติในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ยังเผชิญแรงกดดันด้านอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อปานกลาง-ล่าง ที่ยังต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นตัวของรายได้ และการลดลงของภาระหนี้ ขณะที่การออกมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติม

จะมีส่วนช่วยประคับประคองตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2568 ที่ผู้ประกอบการได้เสนอ และกระทรวงการคลังรับไว้พิจารณาแล้ว อีกทั้ง ภาครัฐอาจพิจารณามาตรการอื่น ๆ ตามที่ผู้ประกอบการเสนอ

เพื่อช่วยพยุงตลาดในระยะสั้น เช่น การลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การส่งเสริมการซื้อที่อยู่อาศัยมือสองโดยเฉพาะ ทั้งด้านมาตรการลดหย่อนภาษี และวงเงินสินเชื่อ รวมถึงการออกวงเงินสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีกำลังซื้อปานกลาง-ล่าง

จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่อาจมีการขยายวงเงิน และขยายเพดานราคาที่อยู่อาศัยให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างสอดคล้องไปกับราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26 มี.ค. “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย” ที่ระดับ 33.82 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงแบบค่อยเป็นค่อยไป /อาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์พอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ไฮไลท์ในช่วง 24ชั่วโมง ตลาดลุ้นข้อมูลรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษและข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26มี.ค. ที่ระดับ  33.82 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น เล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.91 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาท (USDTHB) จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงแบบค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจกล่าวได้ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง

 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็รอทยอยขายทำกำไรสถานะ Long EUR (มองเงินยูโรแข็งค่าขึ้น)

หลังตลาดได้ทยอยรับรู้ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรไปพอสมควรแล้ว และที่สำคัญ เรายังคงกังวลว่า ราคาทองคำยังเสี่ยงอยู่ในช่วงการพักฐาน เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม

โดยในส่วนของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง สงครามรัสเซีย-ยูเครน นั้น ก็ดูจะลดความร้อนแรงลงไปได้บ้าง หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ทะเลดำ และข้อตกลงห้ามโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานกับทั้งฝั่งรัสเซียและยูเครน

แต่หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นบ้าง การแข็งค่าขึ้นก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดและอาจชะลอลงแถวโซนแนวรับ 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด

โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้า เนื่องจากเป็นช่วงปลายเดือน ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจค่อยเป็นค่อยไป โดยยังมีโซนแนวต้านแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ชัดเจน จะสะท้อนว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.77-33.95 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์

หลังบรรดาสกุลเงินหลักต่างทยอยแข็งค่าขึ้น อาทิ เงินยูโร (EUR) จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนมีนาคมที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 86.7 จุด

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน

โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board เดือนมีนาคม ที่ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 92.9 จุด แย่กว่าคาด ท่ามกลางความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) รีบาวด์แข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ กดดันให้ตลาดหุ้นยุโรปย่อตัวลงบ้าง สอดคล้องกับการอ่อนค่าลงของเงินยูโร

ขณะเดียวกัน เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) และแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดแถวโซนแนวรับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แม้ว่าการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ทว่า รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ล่าสุดที่ลดลงต่อเนื่องและออกมาแย่กว่าคาด ก็เป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่

อาทิ Tesla +3.5%, Alphabet +1.7% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.46% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.16%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.67% หนุนโดยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ล่าสุด ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงขายทำกำไรจากบรรดาผู้เล่นในตลาดลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน และการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ ท่ามกลางความหวังการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจมีความคืบหน้ามากขึ้น ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่โซน 4.30% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่โซน 4.33%

 ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจอยู่ ตราบใดที่เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อยตาม Dot Plot ล่าสุด ทำให้เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดสามารถรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ (เน้นรอ Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้างในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากรายงานข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ โดย Conference Board กลับปรับตัวลดลง แย่กว่าคาด

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และท่าทีของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงสู่โซน 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.9-104.3 จุด)

 ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวลดลงบ้าง ทว่า ปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีความหวังการเจรจาหยุดยิงกลับมาอีกครั้ง ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ย่อตัวลงบ้าง และแกว่งตัวแถวโซน 3,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์ข้อมูลเศรษฐกิจจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 66% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ หลังจากได้ลดดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ครั้ง 25bps ในช่วงต้นปี

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงการปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้

โดย เฟด สาขา Atlanta (GDPNow) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ โดย EIA ซึ่งอาจกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.88-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.53 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.94 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงตามทิศทางบอนด์ยีลด์ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงมา หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. และยอดขายบ้านใหม่ เดือนก.พ. ) ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดี เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่ากลับไปในระหว่างวันเนื่องจาก Sentiment โดยรวมของสกุลเงินเอเชีย ยังขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.75-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าสำคัญ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ. ของอังกฤษ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.พ. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“นิว พัชรกิตติ์ ” ตบดุ ซิวแชมป์แบดมินตันเยาวชนประเทศไทยปี 2568

“นิว” พัชรกิตติ์ อภิรัชตะเศรษฐ์ จากบ้านทองหยอด เล่นสมราคาเต็ง 1 ตบเอาชนะ “ปั๊บ” ปัณณวัฒน์ แจ่มทับทิม มือวางอันดับ 2 ของรายการจากสมาคมกีฬากรุงเก่า คว้าแชมป์ในศึกแบดมินตัน โตโยต้า แบดมินตัน เยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 ในรุ่นยู-19 ปี พร้อมคว้าสิทธิ์ไปแข่งขันแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์โลก เดือนตุลาคมนี้

การแข่งขันแบดมินตันทัวร์นาเมนต์ในระดับเยาวชนในศึก “โตโยต้า แบดมินตัน เยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 ” ทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมของสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ในระดับ LEVEL 1 ชิงเงินรางวัลทุนการศึกษารวม 718,000 บาท  ที่เวสต์เกตฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี  เมื่อวันอังคารที่ 25 มี.ค.2568 เป็นการแข่งขันนรอบชิงชนะเลิศ

โดยได้รับเกียรติจากคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีการมอบรางวัลให้กับนักกีฬา ร่วมด้วย ว่าที่ ร.ต.ตระกูล กาชัย หัวหน้างานพัฒนาศักยภาพการกีฬา ฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย , คุณสุวัตร หลวงตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย , คุณพิมพ์วิภัทร์ จันทร์กลัดผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด , คุณสุรเดช สนธิอรุณทัต  ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด โยเน็กซ์ประเทศไทย บริษัท ฟาร์อีสท์สเปเชียลลิตี้ จำกัด , คุณตุ้มทอง มุสิกรัตน์  รองผู้อำนวยการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และ คุณวิศรุต ชาติหระคุณ  ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายผลิต โรโบอะคาเดมี ประเทศไทย

ที่สำคัญนักกีฬาที่สามารถครองแชมป์ในรุ่นยู-19 ปี ในแต่ละประเภทจะได้สิทธิ์เป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติร่วมแข่งขันในแบดมินตันเวิลด์ จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ หรือ ศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก 2025 ในระหว่างวันที่ 6-19 ต.ค. นี้ ที่เมืองกูวาฮาติ ประเทศอินเดีย และ แบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ระหว่างวันที่ 18-22 ก.ค. นี้ ที่เมืองโซโล่ ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนแชมป์ในรุ่นยู-15 และ ยู-17 ปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 15 และ 17 ปี ระหว่างวันที่ 18-27 ก.ค. นี้ ที่เมืองโซโล่ ประเทศอินโดนีเซีย

คู่ไฮไลท์สำคัญอยู่ใน รุ่นอายุ ยู19 ปี ประเภทชายเดี่ยวรอบชิงชนะเลิศ “นิว” พัชรกิตติ์ อภิรัชตะเศรษฐ์ มือวางอันดับ 1 ของรายการจากบ้านทองหยอด ลงสนามพบกับ “ปั๊บ” ปัณณวัฒน์ แจ่มทับทิม มือวางอันดับ 2 ของรายการจากสมาคมกีฬากรุงเก่า เกมการแข่งขันเป็นทาง พัชรกิตติ์ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมคุมรูปเกมทำคะแนนเอาชนะไปได้สำเร็จ 2-0 เกม 21-15,21-17,  “นิว” พัชรกิตติ์ คว้าแชมป์เยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 ไปครองได้สำเร็จ

สำหรับผลการแข่งขันคู่อื่นๆในรอบชิงชนะเลิศมีดังนี้ รุ่นยู-19 ปี หญิงเดี่ยว ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง(ที ไทยแลนด์)ชนะ อัญพัชร์ พิชิตปรีชาศักดิ์(บ้านทองหยอด) 21-15,21-7,  หญิงคู่ ณปภากร ตุงคะสถาน กับ หทัยทิพย์ มิจาด(กุลชลาแบดฯ/เกตุแก้ว) ชนะ พัทธรินทร์ เอี่ยมวารีศรีสกุล กับ ศาริสา จันทร์แพง(สมาคมกีฬาแบดมินตันจังหวัดปทุมธานี) 21-10,21-14, ชายคู่  ชยพัทธ์ พิบูลย์ กับ สิทธิศักดิ์ นาดี(แกรนนูลาร์)ชนะ กฤษฎิ์ ประภาศิริ กับ ธนัชพงศ์ เธียรสิริเลิศ(1%แบดฯ/@ซีเอ็นเอ๊กซ์) 21-16,21-14, คู่ผสม ลูคัส เอกรัฐ เวดเลอร์ กับ ชัญญพัชร์ ชาติวีระชัยศรี(ต้นกล้าตะวัน/ที ไทยแลนด์)ชนะ อรรถวุฒิ ศรีแผ้ว กับ ปัณณวีร์ พลเยี่ยม(ทรีนิตี้ฟิวชั่นคลับ/บ้านทองหยอด) 21-12,16-21,21-6

รุ่นยู-17 ปี หญิงเดี่ยว ลลิตา สัตยธาดากูล(เอสเอ็มแบดมินตัน)ชนะ กุ้งแก้ว กากะนิก(แกรนนูลาร์) 22-20,21-15, ชายเดี่ยว ธนิก ฟู(ที ไทยแลนด์)ชนะ ธนกฤต เล็กยิ้ม(พลสนะแบดมินตัน)21-14,21-15, หญิงคู่  ชัญญพัชร์ ชาติวีระชัยศรี กับ พธมน มัญจกานนท์(ที ไทยแลนด์/ภควัฒน์แบดมินตัน)ชนะ กัญญาณัฐ จันทร์ก๋ง กับ ณัฐพัชร์ บุญสัมพุทธ(พลสนะแบดมินตัน/ศิริภูล) 21-18,21-11, ชายคู่ ลูคัส เอกรัฐ เวดเลอร์ กับ เตชินท์ วิริยชัยฤกษ์ (ต้นกล้าตะวัน/ราชพฤกษ์ นครราชสีมา)ชนะ ธฤตธรรม บุญมา กับ เพียรวิรุจ สิริวรานุกูล(ศูนย์ฝึกแบดมินตันเชียงใหม่/พลสนะแบดมินตัน) 21-11,21-9, คู่ผสม เตชินท์ วิริยชัยฤกษ์ กับ พัทธรินทร์ เอี่ยมวารีศรีสกุล(ราชพฤกษ์ นครราชสีมา/สมาคมกีฬาแบดมินตันจังหวัดปทุมธานี)ชนะ ต้นคิด แซ่เฮ้ง กับ พธมน มัญจกานนท์ (เกตุแก้ว/ภควัฒน์แบดมินตัน)21-12,21-23,21-10

รุ่นยู-15 ปี หญิงเดี่ยว ณัฏฐภร แสงไทย(บ้านทองหยอด)ชนะ ธัญวรัตม์ พุทธรักษา(เกษมศักดิ์แบดฯ)21-17,21-14, ชายเดี่ยว กฤษิกร เชยกีวงศ์(ที ไทยแลนด์)ชนะ กุลธารินทร์ สมท่า(ศิริภูล)21-18,21-8, หญิงคู่ ชณิฏภ์ษฎาฌ์ แหวนทองคำ กับ ณัฐฎา เกริกกฤตยา(สมาคมกีฬาแบดมินตันจังหวัดปทุมธานี/พลสนะแบดมินตัน)ชนะ ชนันธร ชัยชนะ กับ ชยุตา คงวัน (เจพีอะคาร์เดมี่/ยอดชายแบดฯ)21-12,10-21,21-15,ชายคู่ ณฐกร สำราญ กับ ตฤณ ศรัทธาทิพย์กุล(ที ไทยแลนด์/พชร)ชนะ ธีทัต กิติศรีปัญญา กับ นรรัตน์ พิมพ์ศิริ (สมาคมกีฬาแบดมินตันจังหวัดปทุมธานี/@ลูกแบดน่าน) 21-8,16-21,21-16,  คู่ผสม ปัณณวัชร์ วงษ์กระสันต์ กับ ณัฏฐภร แสงไทย(อันอิ/บ้านทองหยอด)ชนะ วรไพบูลย์ อุดมสิทธิกุล กับ พรชนก ชุมอาจ(จัมโบ้ เคพีพีแบดฯ/แกรนนูลาร์ 21-13,21-12

รุ่นยู-13 ปี  หญิงเดี่ยว ปิ่นปิยากร ปานหอม(บ้านทองหยอด)ชนะ สุพิชฌาย์ เสรีสกุลไชย(ซาตี๋)20-22,21-19,21-19, ชายเดี่ยว รวิณ ชูชัยศรี (เกษมศักดิ์แบดฯ)ชนะ ภูมิพิพัชญ์ พึ่งโพธิ์สภ(@ซีเอ็นเอ๊กซ์)22-20,21-7, หญิงคู่ รัฐธีย์ รัตนสว่างโชติ กับ สุพิชฌาย์ เสรีสกุลไชย(บ้านทองหยอด/ซาตี๋)ชนะ ณิชาพร จตุรงควาณิช กับ วรุชา คำคงศักดิ์(พชร/ทรีนิตี้ฟิวชั่นคลับ) 21-14,21-10, ชายคู่ รวิณ ชูชัยศรี กับ สุวิจักขณ์ มีชัย(เกษมศักดิ์แบดฯ/บอยคลับ)ชนะ จักณรินทร์ ภูฆัง กับ ภาคิน ม่านมุงศิลป์(บ้านทองหยอด) 22-24,21-7,21-9,  คู่ผสม  สุวิจักขณ์ มีชัย กับ สิริกร จงเจริญ(บอยคลับ)ชนะ เทมส์นัทธี หรรษภิญโญ กับ จิรัชยา วัฒนแสนสุข(สมาคมกีฬาแบดมินตันจังหวัดปทุมธานี) 21-8,21-11

ภายหลังจากการแข่งขันได้เสร็จสิ้น สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีโครงการเก็บคะแนนสะสมเพื่อมอบเงินรางวัลแก่นักกีฬาระดับเยาวชน U9 – U19 ประจำปี พ.ศ. 2567 สำหรับรายการแข่งขันที่อยู่ภายใต้การรับรองของสมาคมฯ โดยนับคะแนนสะสมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 โดย ผู้ชนะเลิศการเก็บคะแนนสะสมในแต่ละประเภท มีคะแนนสะสมที่ดีที่สุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ นักกีฬา 1 คน จะได้รับเงินรางวัลจากประเภทและรุ่นอายุที่ได้รับเงินรางวัลสูงสุดเพียง 1 รางวัล/คน เท่านั้น กรณีที่นักกีฬา มีคะแนนสะสมสูงสุดมากกว่า 1 ประเภท สมาคมฯ จะมอบเงินรางวัลจากประเภทเดี่ยว ประเภทคู่ และประเภทคู่ผสม ตามลำดับ ได้รับเงินรางวัลรวม 950,000 บาท 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


โรคหายาก AADC Deficiency กับความหวัง ‘รักษาด้วยยีนบำบัด’

  • โรคAADC Deficiency เป็นโรคพันธุกรรมหายากชนิดหนึ่ง พบในสัดส่วนประชากรประมาณ 1 คนต่อ 1.3 ล้านคนทั่วโลก ในประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคนี้เพียง 5 ราย
  • ยีนบำบัดสามารถรักษาผู้ป่วยโรคหายากนี้ได้จริง เรากำลังช่วยกันทำสิ่งที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ หมอรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่หมอเชื่อเสมอว่า จะสำเร็จได้ถ้าเราช่วยกัน
  • เปิดระดมทุนบริจาค ค่ารักษายีนบำบัดให้กับน้องอคิน ที่ยังรอการรักษา โดยบริจาค ช่วยเหลือค่ารักษายีนบำบัด ที่นำไปลดหย่อนภาษี ได้2 เท่า ที่สภากาชาดไทย

โรคหายาก “AADC Deficiency”หรือโรคพร่องเอนไซม์ AADCทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหว การกิน หรือการพูด หรือแม้กระทั่งการนอนหลับได้ตามพัฒนาการที่ควรจะเป็น แม้ว่าโรคนี้จะสามารถรักษาได้ด้วยวิธียีนบำบัด แต่ค่ารักษาสูงถึง 107 ล้านบาท

ในฐานะหนึ่งในทีมแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย “ศ.ดร.พญ.กัญญา ศุภปีติพร” อาจารย์ประจําสาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์และเมแทบอลิซึม ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า โรคAADC Deficiency หรือชื่อเต็มว่า Aromatic L-amino acid decarboxylase deficiency เป็นโรคพันธุกรรมหายากชนิดหนึ่ง พบในสัดส่วนประชากรประมาณ 1 คนต่อ 1.3 ล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันพบประมาณ 350 คนทั่วโลกในประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคนี้เพียง 5 ราย

โรคพร่องเอนไซม์ AADC  ไม่สามารถป้องกันได้

ปัจจุบัน โรคนี้ยังไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากพ่อและแม่จะไม่ทราบว่าตนเป็นพาหะ จะทราบก็ต่อเมื่อพบว่ามีลูกเป็นโรคแล้ว โดยลูกมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ ร้อยละ 25 หรือ 1ใน 4 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แพทย์พอจะทำได้คือ ป้องกันการเกิดซ้ำได้ โดยการตรวจวินิจฉัยโรคพันธุกรรมระยะก่อนการฝังตัวของตัวอ่อน (Preimplantation Genetic Diagnosis) แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

โรคพร่องเอนไซม์ AADC เกิดจากผู้ป่วยมีความผิดปกติของยีน DDC แต่กำเนิด ทำให้ไม่สามารถสร้างเอนไซม์ AADC ได้ ส่งผลให้สมองไม่สามารถสร้างสารสื่อประสาทที่สำคัญมาก ๆ อย่างโดปามีน และเซโรโทนิน เป็นต้น แม้ว่าคนไข้กลุ่มนี้จะมีเนื้อสมองที่ปกติ สามารถรับรู้ พร้อมเรียนรู้พัฒนาได้ตามธรรมชาติ

แต่เพราะขาดสารสื่อประสาทเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง จนไม่สามารถแม้กระทั่ง ยกคอ พลิกตัวได้ด้วยตัวเอง เปรียบเสมือนเป็นผู้ป่วยติดเตียง พูดไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ทุก ๆ 3-4 วัน จะปรากฏอาการของโรค ได้แก่ อาการตาลอยมองบนและกล้ามเนื้อเกร็งนาน 7-8 ชั่วโมง ซึ่งสร้างความเจ็บปวดทรมานมาก นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีปัญหาการนอนหลับที่ยาก ไม่สามารถนอนหลับยาวได้ รับประทานอาหารลำบาก น้ำหนักตัวตกเกณฑ์ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการเทียบเท่าเด็กแรกเกิด

ยีนบำบัดโอกาสเด็กป่วยโรคหายาก

หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ตรงจุดและทันท่วงที อาการและคุณภาพชีวิต จะแย่ลงเรื่อย ๆ และมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งเด็กจะมีอายุได้ถึงกี่ปีนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากเด็กมีการพัฒนาการที่ช้ามาก ไม่สามารถตั้งคอได้เลย ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในวัยเด็ก 

ศ.ดร.พญ.กัญญา ยังได้อธิบายต่อว่าปัจจุบัน โรคพร่องเอนไซม์ AADC สามารถรักษาได้ ด้วยวิธีการรักษาแบบตรงเป้าด้วย ‘ยีนบำบัด’ (Gene Therapy)ด้วยยา Eladocagene Exuparvovec ที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) และสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร (Europe FDA) ได้รับรองว่ายานี้สามารถรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว หรือการนอนหลับที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมากอย่างชัดเจน

การให้ยีนบำบัดนี้ จะฉีดยาเข้าไปที่โพรงสมองโดยตรง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทาง ซึ่งยาจะทำหน้าที่เข้าไปเติมยีน DDC ที่ขาดหายไป หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มสร้างสารสื่อประสาท และเริ่มฟื้นฟู พัฒนาร่างกายได้ด้วยตัวเองตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า จะต้องรอให้โพรงสมองมีขนาดที่เพียงพอและปลอดภัยสำหรับการฉีดด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งช่วงอายุที่เหมาะสม คือตั้งแต่ 18 เดือนขึ้นไป และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุดควรได้รับยา ยิ่งเร็วยิ่งดี เพื่อให้เด็กสามารถมีพัฒนาการที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด

ปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคAADC Deficiency ในประเทศไทย มีทั้งหมด 5 ราย โดยคนไข้ทั้ง 4 รายก่อนหน้า ได้รับการรักษาผ่านการได้รับยาฟรีในโครงการศึกษาวิจัยทางคลินิกในต่างประเทศ แต่งานวิจัยเหล่านี้ได้ปิดรับผู้ป่วยใหม่แล้ว

ตัวอย่างผู้ป่วย 1ใน 4 ราย เด็กหญิงที่ได้รับการรักษาด้วยยีนบำบัดช่วงอายุ 18 เดือน ปัจจุบันอายุ 6 ปี สามารถพูดได้ เดินได้ ขี่ม้า ออกกำลังกาย และเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ได้ เหมือนเป็นการให้ชีวิตใหม่กับเด็กอีกครั้ง(ตัวอย่างเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยยีนบำบัดและสามารถใช้ชีวิตได้บนโลกใบนี้)https://youtu.be/HJ-zi1noY38?si=XzwrHnd8-HawMyMX)

สำหรับคนไข้รายที่ 5 นี้ ยังคงรอคอยการรักษาอยู่ แต่ทางเลือกได้รับยาฟรีจาก 2 งานวิจัยที่ยังเปิดรับอยู่ มีโอกาสได้น้อยมาก โดยงานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ได้ผู้ป่วยจำนวนครบแล้ว ส่วนในประเทศจีน ไม่เปิดรับคนไข้ต่างชาติ ทำให้เหลือทางเลือกเดียว คือ ครอบครัวต้องจ่ายค่ารักษาเอง ซึ่งมีค่ารักษาที่สูงมากถึง 107 ล้านบาท (ประมาณ 3 ล้าน ยูโร) ซึ่งมากเกินกว่าที่ครอบครัวผู้ป่วยจะจ่ายได้ไหว

ทั้งนี้ ทางทีมแพทย์ได้พิจารณาเห็นแล้วว่า ผู้ป่วยควรที่จะได้รับการรักษาด้วยวิธียีนบำบัดอย่างเร่งด่วน และเพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสจะเข้าถึงการรักษานี้ได้ จึงได้ขออนุมัติไปยังสภากาชาดไทย เพื่อขอให้เปิดบัญชีภายใต้สภากาชาดไทย สำหรับระดมเงินบริจาค ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหายากนี้      

“ยีนบำบัดสามารถรักษาผู้ป่วยโรคหายากนี้ได้จริง เรากำลังช่วยกันทำสิ่งที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ หมอรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่หมอเชื่อเสมอว่า จะสำเร็จได้ถ้าเราช่วยกันค่ะ” ศ. ดร. พญ.กัญญา กล่าวทิ้งท้าย

อคิน –ป่วยโรคAADC Deficiencyรายที่5

ในกรณีของน้องอคิน เด็กชายวัย17 เดือน (1 ปี 5 เดือน) เป็นคนไข้รายที่ 5 ในประเทศไทยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคAADC Deficiency  (https://www.youtube.com/watch?v=mWp1QcQJG-A) อลงกรณ์ สกุลอารีย์มิตร คุณพ่อของน้องอคิน เล่าให้ฟังว่า แม้ว่าจะรักษาได้ แต่ค่ารักษาร้อยกว่าล้านบาท ก็รู้สึกหมดหวังไม่รู้จะทำอย่างไรดี จนอาจารย์กัญญา เตือนสติว่า

“อย่าเพิ่งยอมแพ้ โรคนี้ยังรักษาได้แม้ค่ารักษาจะสูงมาก เพื่อให้ลูกมีโอกาสได้รับการรักษา เราจะช่วยกันเต็มที่ เรามาลองช่วยกันเปิดระดมทุนหาค่ารักษาก่อน เช่นเดียวกับในบางประเทศที่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนเพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษา หมอยังเชื่อว่า เราคนไทยด้วยกันจะช่วยเหลือกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ทำให้คุณพ่อและครอบครัว ยังมีความหวังที่น้องอคินจะได้รับการรักษา และเป็นที่มาของการเปิดระดมทุนบริจาค ค่ารักษายีนบำบัดให้กับน้องอคิน ที่ยังรอการรักษา โดยบริจาค ช่วยเหลือค่ารักษายีนบำบัด ที่นำไปลดหย่อนภาษี ได้2 เท่า ได้ที่ สภากาชาดไทย https://www.facebook.com/share/p/18kD8DdyFj/ และ Crowd Funding ผ่านทางGoFundMehttps://www.gofundme.com/f/donate-to-save-alakorns-sons-life  ติดตามและให้กำลังใจได้ที่ FB:อคินน้อยๆ มาแชร์TikTok:อคินน้อย สู้โรคหายาก

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


‘ข้อมูล’ กุญแจปลดล็อกประตู สู่ ‘ความยั่งยืน’ ประเทศไทย

  • ความท้าทายที่ซ่อนเร้นอยู่นั่นก็คือ ขยะข้อมูล
  • ความซับซ้อนและการกระจัดกระจายของข้อมูลทำให้ปัญหารุนแรงมากขึ้น
  • เมื่อผนวกบิ๊กดาต้าเข้ากับเอไอจะมีศักยภาพในการปลดล็อกแนวทางการแก้ไขหลายๆ ปัญหาด้านความยั่งยืน
  • แนวคิด Data Minimalism หรือ ความเรียบง่ายของข้อมูล กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับปัญหาการสะสมข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์และสิ้นเปลืองทรัพยากร

“ข้อมูล” ซึ่งมักได้รับการยกย่องว่าเป็นน้ำมันใหม่แห่งยุคดิจิทัล กลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน…

อรรณพ วาดิถี ผู้จัดการเน็ตแอพ ประจำประเทศไทย แสดงทัศนะว่า ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ที่ทะเยอทะยาน

โดยคาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีสัดส่วนถึง 50% ของ จีดีพี ภายในปี 2030 ภายใต้ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 การเติบโตนี้จะมาพร้อมกับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คาดว่าตลาดศูนย์ข้อมูลจะขยายตัวมากกว่าสองเท่า จากมูลค่า 1.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 สู่ 3.19 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลก็ยังคงมีความท้าทายที่ซ่อนเร้นอยู่นั่นก็คือ “ขยะข้อมูล” ในปัจจุบัน กว่า 68% ของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บนั้นถูกใช้เพียงครั้งเดียว ส่งผลให้เกิดการใช้ข้อมูลอย่างไม่คุ้มค่าซึ่งนำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการใช้พลังงานที่มากเกินความจำเป็น

ยิ่งไปกว่านั้น ความซับซ้อนและการกระจัดกระจายของข้อมูลก็ยิ่งทำให้ปัญหานี้รุนแรงมากขึ้นไปอีก เนื่องจากข้อมูลถูกสร้างขึ้นจากแหล่งที่มาที่หลากหลาย ทำให้องค์กรจำนวนมากประสบปัญหาในการมองเห็นภาพรวมของข้อมูลทั้งหมด ส่งผลให้การบริหารจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

ด้วยการตระหนักถึงความจำเป็นในการเติบโตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ประเทศไทยจึงได้ยกระดับเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกจาก 20% เป็น 30% ภายในปี 2030

การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการประเมินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (carbon footprint) ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วของพวกเขา

ชูแนวคิด ‘Data Minimalism’

Data Minimalism: เส้นทางสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แนวคิด Data Minimalism หรือ ความเรียบง่ายของข้อมูล กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับปัญหาการสะสมข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์และสิ้นเปลืองทรัพยากร

การนำแนวทางนี้มาใช้สามารถช่วยให้ธุรกิจในประเทศไทยลดช่องว่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลและความยั่งยืนด้วยการปรับปรุงและปรับวิธีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ

องค์กรสามารถนำกลยุทธ์ต่อไปนี้มาปรับใช้เพื่อลดการสูญเสียข้อมูล และทำให้การจัดเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยมีงานสำคัญประกอบด้วย การมองเห็นข้อมูลอย่างครอบคลุม: เพื่อให้สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องมีความเข้าใจอย่างรอบด้านเกี่ยวกับปริมาณ ลักษณะ และตำแหน่งของข้อมูล โดยการมองเห็นข้อมูลทั้งในระบบภายในองค์กรและคลาวด์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก

การจัดหมวดหมู่และการกำหนดลำดับความสำคัญ: เมื่อสามารถมองเห็นข้อมูลได้อย่างครอบคลุมแล้ว องค์กรก็จะสามารถจัดหมวดหมู่และกำหนดลำดับความสำคัญของข้อมูลได้ โดยการแยกแยะระหว่างข้อมูลที่จำเป็น และไม่จำเป็นนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติตามมาตรฐานการกำกับดูแลและความยั่งยืน

การย้ายข้อมูลสู่คลาวด์และการเพิ่มประสิทธิภาพ: องค์กรควรนำโซลูชันที่อ้างอิงกับระบบคลาวด์มาใช้และพิจารณาการย้ายข้อมูล รวมถึงการจัดลำดับข้อมูล ผู้ให้บริการคลาวด์มักให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ประหยัดพลังงาน ช่วยให้สามารถขยายระบบได้อย่างยืดหยุ่น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการจัดเก็บข้อมูลได้อีกด้วย

การบีบอัดข้อมูลและการลบข้อมูลซ้ำ: องค์กรควรใช้เทคนิคการบีบอัดข้อมูล (data compression) และการลบข้อมูลซ้ำ (deduplication) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้ การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อน และการบีบอัดข้อมูลจะสามารถลดความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้อย่างมาก

เดินหน้าสู่โครงสร้างพื้นฐาน ‘ข้อมูลอัจฉริยะ’

เน็ตแอพยังได้แนะแนวทาง การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลอัจฉริยะ โดยชี้ว่าในช่วงเวลาที่แรงกดดันทางเศรษฐกิจและแนวทางด้านความยั่งยืนกลายมาเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ การปรับเปลี่ยนการจัดการข้อมูลจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

นอกจากนี้ ความพยายามด้านความยั่งยืนของประเทศไทยจะไม่ได้เป็นเพียงแค่นโยบายของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของธุรกิจในทุกภาคส่วนที่จะต้องทบทวนวิธีการจัดการและใช้ประโยชน์จากข้อมูลใหม่อีกครั้ง

กุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนไม่ใช่เป็นการลดขนาดข้อมูล หรือการขอให้ผู้คนทำงานด้วยข้อมูลที่น้อยลง ในทางตรงกันข้าม บิ๊กดาต้านั้น เมื่อผนวกเข้ากับความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีศักยภาพในการปลดล็อกแนวทางการแก้ไขหลายๆ ปัญหาด้านความยั่งยืนที่เรากำลังเผชิญอยู่

ดังนั้น ธุรกิจในประเทศไทยจึงต้องมองไปที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะที่จะสามารถบูรณาการประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนเข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ข้อมูลจะกลายเป็นตัวกำหนดอนาคตของพวกเราทุกคน และการตัดสินใจที่เราเลือกทำในฐานะผู้นำธุรกิจก็จะเป็นตัวกำหนดผลกระทบจากข้อมูลเหล่านั้น

การให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลอัจฉริยะและการนำแนวคิด Data Minimalism มาใช้นั้นจะทำให้องค์กรต่างๆ จะสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวต่อไปได้ โดยยังคงความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงาน

ผ่านความพยายามร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะสามารถนำพาประเทศไทยขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคเอเชียได้สำเร็จ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


คำขยายเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Adjectives) และสรรพนาม (Pronouns)

มีหลายโอกาสที่เราจำเป็นต้องกล่าวถึงสิ่งของที่เป็นของคนอื่น ตัวอย่างเช่น ในประโยคคำถาม “What’s your name?” คำว่า ‘your’ ช่วยบอกเราว่าชื่อของใครที่เรากำลังถามถึง มีสองวิธีในการอธิบายเกี่ยวกับการแสดงความเป็นเจ้าของในภาษาอังกฤษ หนึ่งคือการใช้คำขยายคำนาม (adjectives) และสองคือการใช้คำสรรพนาม (pronouns) นี่คือรายละเอียดเพื่อจะช่วยให้คุณได้เข้าใจมากขึ้นว่าอะไรควรจะใช้แบบไหนและความแตกต่างของแต่ละคำคืออะไร

คำขยายเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

เราใช้คำขยายเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Adjectives) เพื่ออธิบายว่าใครเป็นเจ้าของ (หรือมี) บางสิ่ง possessive adjective จะต้องถูกวางไว้หน้าคำนาม (noun) ตัวอย่างเช่น

My computer.

Your pen.

Our car.

possessive adjectives ในภาษาอังกฤษมีดังนี้

นี่คือตัวอย่าง

What’s your address?

My car is in front of the school.

This is Jack and this is his wife, Sue.

Put your coats on the back of your seats.

Our new Maths teacher is very nice.

What a beautiful bird! Its feathers are bright blue!

My sister is always tired. Her job is difficult.

His และ Her

จำไว้ว่าในภาษาอังกฤษ คำนามไม่มีเพศว่าเป็น หญิง หรือ ชาย ดังนั้นเวลาที่เราใช้ ‘his’ เราจึงหมายถึงสิ่งของนั้น ‘เป็นของผู้ชาย’ และเวลาที่เราใช้ ‘her’ เราหมายความว่าของชิ้นนั้น ‘เป็นของผู้หญิง’ ตัวอย่างเช่น

สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ

เช่นเดียวกับ possessive adjectives เราใช้สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ (possessive pronouns) เพื่อบอกว่าใครเป็นเจ้าของอะไร แต่สำหรับคำสรรพนาม เราไม่จำเป็นต้องมีคำนาม เราจะใช้ possessive pronouns เวลาที่แน่ใจอยู่แล้วว่าของชิ้นไหนที่เรากำลังพูดถึง

Whose pen is this? It’s mine. (meaning ‘my pen’)

นี่คือ possessive pronouns ทั้งหมด

อย่างที่เห็น สรรพนามอย่าง ‘his’ และ ‘its’ ถูกใช้แบบเดียวกันกับคำขยาย (adjectives) ในขณะที่ตัวอื่นเปลี่ยนโดยการเพิ่ม –s ยกเว้นคำว่า ‘mine’ นี่คือตัวอย่าง

That’s Anna’s homework and this is yours.

Your hotel is near the city center while ours is near the airport.

I love your sofa. Mine isn’t as comfortable is yours.

We don’t need help with our project but the boys need help with theirs.

Is this Carol’s bicycle? – No, that red one over there is hers.

Whose game is this? – Sam was playing earlier so it must be his.

เราสามารถวาง possessive pronouns ตามหลังคำนามแล้ว + ‘of’ ตัวอย่างเช่น

I’m a friend of his.

You’re a student of mine.

She’s a colleague of ours.

นี่คือตารางคำขยายและคำสรรพนามเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสำหรับใช้อ้างอิง

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


10 อาหารกินแล้วช่วยป้องกันเส้นเลือดแดงอุดตัน ลดความเสี่ยงโรคด้านเส้นเลือด

การรับประทานอาหารบางชนิดอาจช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงอุดตันและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ ตัวอย่างเช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ถั่ว มะเขือเทศ ปลา ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว (atherosclerosis) เกิดขึ้นเมื่อไขมันสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง คุณอาจเคยได้ยินภาวะนี้ถูกเรียกว่าหลอดเลือดแดงอุดตันหรือหลอดเลือดแดงแข็ง

ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลงและจำกัดการไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจและส่วนอื่นๆ ของร่างกายอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง กรดไขมันโอเมก้า 3 และสารประกอบที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อาจช่วยป้องกันการก่อตัวของคราบพลัคในหลอดเลือดแดงของคุณ อาหารเหล่านี้อาจรวมถึง 10 อาหารป้องกันเส้นเลือดแดงอุดตัน

10 อาหารป้องกันเส้นเลือดแดงอุดตัน

1.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผลไม้เหล่านี้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย รวมถึงความสามารถในการลดการอักเสบและปรับปรุงสุขภาพหัวใจ

  • บลูเบอร์รี
  • สตรอว์เบอร์รี
  • แครนเบอร์รี
  • ราสเบอร์รี
  • แบล็กเบอร์รี

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มีใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบจากพืชที่เป็นประโยชน์ ซึ่งรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์ เช่น โพลีฟีนอล ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมถึง

  • ระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) สูง
  • ความดันโลหิต
  • ระดับน้ำตาลในเลือด

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อาจช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงอุดตันโดยการลดการอักเสบและการสะสมของคอเลสเตอรอล ปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือดแดง และปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย

2.ถั่ว ถั่วอุดมไปด้วยใยอาหาร และการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ถั่ว เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว การรับประทานถั่วเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการจัดการระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของหลอดเลือดแดงอุดตัน การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการรับประทานถั่วสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ถั่วมีผลในการปกป้องหัวใจและหลอดเลือดหลายประการ รวมถึง

  • ลดความดันโลหิต
  • ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
  • ลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และคอเลสเตอรอลรวม
  • ลดการอักเสบ
  • ปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือดแดง

บทวิจารณ์เดียวกันยังระบุว่าอาหารที่อุดมด้วยถั่วยังสามารถปรับปรุง:

  • ความไวต่ออินซูลิน
  • น้ำหนักตัวและรอบเอว
  • สุขภาพลำไส้ใหญ่
  • ความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้

ผลกระทบทั้งหมดเหล่านี้อาจลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

3. ปลา การรับประทานปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและโรคหลอดเลือดหัวใจ แม้ว่านักวิจัยจะยังไม่ได้ระบุสาเหตุที่แน่ชัดก็ตาม ร่างกายสามารถเผาผลาญกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นตัวกลางไขมันออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ซึ่งอาจลดการอักเสบและการแข็งตัวของเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถนำไปสู่หลอดเลือดแดงอุดตันได้

บทวิจารณ์งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งระบุว่าการรับประทานปลาอาจ

  • ลดระดับไตรกลีเซอไรด์
  • ลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
  • ปรับปรุงการสูบฉีดเลือดที่อุดมด้วยออกซิเจนไปยังอวัยวะต่างๆ
  • ลดการอักเสบ
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด

4. มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศมีสารประกอบจากพืชที่อาจมีประโยชน์อย่างยิ่งในการลดการพัฒนาของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว มะเขือเทศมีสารสีแคโรทีนอยด์ไลโคปีน การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศที่อุดมด้วยไลโคปีนอาจช่วย

  • ลดการอักเสบ
  • เพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
  • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

การผสมมะเขือเทศปรุงสุกกับน้ำมันมะกอกอาจให้การป้องกันหลอดเลือดแดงอุดตันได้ดีที่สุด

5.หัวหอม หัวหอมเป็นส่วนหนึ่งของสกุล Allium และเชื่อมโยงกับประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงการสนับสนุนสุขภาพหลอดเลือดแดง งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่อุดมไปด้วยผักยอดนิยมเหล่านี้อาจปกป้องหลอดเลือดแดงได้ การศึกษาเป็นเวลา 15 ปีที่ติดตามผู้หญิง 1,226 คนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป พบว่าการบริโภคผักในสกุล Allium เช่น หัวหอม ในปริมาณที่สูงขึ้นนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

หัวหอมมีสารประกอบกำมะถันที่นักวิทยาศาสตร์คิดว่าอาจช่วยป้องกันการอักเสบของหลอดเลือด ยับยั้งการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือดในเลือด และเพิ่มความพร้อมใช้งานของไนตริกออกไซด์ ผลกระทบทั้งหมดเหล่านี้อาจช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและปรับปรุงสุขภาพหลอดเลือดแดง

6.ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้รสเปรี้ยวมีรสชาติอร่อยและให้วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด รวมถึงฟลาโวนอยด์ ฟลาโวนอยด์จากผลไม้รสเปรี้ยวสามารถลดการอักเสบและช่วยป้องกันอนุมูลอิสระในร่างกายจากการออกซิไดซ์คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่ถูกออกซิไดซ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและความก้าวหน้าของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมการบริโภคผลไม้รสเปรี้ยวจึงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสองภาวะที่เชื่อมโยงกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

7.เครื่องเทศ เครื่องเทศต่างๆ เช่น ขิง พริกไทย พริก และอบเชย อาจช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงอุดตันได้ เครื่องเทศเหล่านี้และเครื่องเทศอื่นๆ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและอาจช่วย

  • ลดอนุมูลอิสระ
  • ปรับปรุงระดับไขมันในเลือด
  • ลดการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือดในเลือด

คุณสามารถเพิ่มการบริโภคเครื่องเทศได้โดยการเติมเครื่องปรุงรสอเนกประสงค์เหล่านี้ลงในข้าวโอ๊ต ซุป สตูว์ และอาหารอื่นๆ เกือบทุกชนิดที่คุณนึกออก

8.เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีใยอาหาร ไขมันดี วิตามิน และแร่ธาตุสูง รวมถึงแคลเซียมและแมกนีเซียม นอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว เมล็ดแฟลกซ์ยังอาจช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้อีกด้วย เมล็ดแฟลกซ์มี secoisolariciresinol diglucoside (SDG) ซึ่งเป็นสารลิกแนนต้านการอักเสบและลดคอเลสเตอรอล ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและอาจป้องกันอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง คุณต้องบดเมล็ดแฟลกซ์หรือซื้อแบบบดสำเร็จรูปเพื่อย่อยและใช้ประโยชน์จากคุณประโยชน์ของมัน

9.ผักตระกูลกะหล่ำ การเพิ่มผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก ลงในอาหารของคุณอาจช่วยลดโอกาสในการเกิดหลอดเลือดแดงอุดตันได้ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

การศึกษาในผู้หญิง 1,500 คนพบว่าการรับประทานผักตระกูลกะหล่ำสัมพันธ์กับความหนาของชั้น intima-media ของหลอดเลือดแดง carotid ที่ลดลง (CIMT) การวัดนี้สามารถช่วยประเมินความเสี่ยงของบุคคลต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้ งานวิจัยยังเชื่อมโยงการบริโภคผักตระกูลกะหล่ำกับการลดการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดแดงและความเสี่ยงของการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว การสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดแดงนำไปสู่การแข็งตัวของหลอดเลือดแดงในภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

10.บีทรูท บีทรูทเป็นแหล่งไนเตรตที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งร่างกายของคุณจะแปลงเป็นไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นโมเลกุลส่งสัญญาณที่ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกายของคุณ การอักเสบในหลอดเลือดนำไปสู่การลดการผลิตไนตริกออกไซด์ การรับประทานอาหารเช่นบีทรูทที่มีไนเตรตในอาหารสูงอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือดและลดการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้  งานวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคไนเตรตในอาหารกับความเสี่ยงที่ลดลงของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/03/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a48,400.0048,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,135.0047,526.6049,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,821.5042,773.94n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,508.0038,021.28n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,411.0021,390.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,097.0016,630.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,249.0049,254.84n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/03/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6535.1534.6534.6534.6534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.2834.2834.7834.2834.2834.2834.2834.2834.2834.28
แก๊สโซฮอล์ E2032.4432.4432.9432.4432.4432.4432.4432.4432.44
แก๊สโซฮอล์ E8530.7930.7930.79
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.2449.8449.8449.8443.24
เบนซิน 9542.9449.8143.4443.0942.94
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า