แสนสิริ ผนึก มิตซุย ฟูโดซัง ลุยคอนโดแบรนด์ใหม่ ‘XELF by Sansiri’

- แสนสิริประกาศความร่วมมือกับ มิตซุย ฟูโดซัง เอเชีย พัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ “XELF by Sansiri”
- โครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านพระราม 4 มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 5,320 ล้านบาท
- คอนโดมิเนียมใหม่นี้เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และนักลงทุน ด้วยแนวคิด “BE YOUR BEST SELF” ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
- ความร่วมมือนี้ต่อยอดจากโครงการแนวราบ 2 โครงการก่อนหน้า ทำให้มูลค่าโครงการร่วมทุนรวมมีมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท
บิ๊กคอร์ป อสังหาริมทรัพย์ของไทย บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรร่วมทุน มิตซุย ฟูโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) หรือ MFADT บริษัทในเครือของมิตซุย ฟุโดซัง ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก XELF by Sansiri (เซลฟ์ บาย แสนสิริ) รวมมูลค่าโครงการกว่า 5,320 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพย่านพระราม 4
การรุกตลาดคอนโดมิเนียมครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของ มิตซุย ฟูโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) ที่มีต่อแบรนด์แสนสิริ ในฐานะพันธมิตรที่แข็งแกร่งด้วยประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญของผู้นำตลาดอสังหาฯ ไทย ซึ่งมีความเข้าใจอินไซด์ของผู้ อยู่อาศัยมายาวนานกว่า 40 ปี
“แผนความร่วมมือกับมิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของแสนสิริ เพื่อขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ที่พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน”
XELF by Sansiri ปักหมุดย่านพระราม 4 – สุขุมวิท 36 เชื่อมต่อใจกลางย่านธุรกิจ (CBD) เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่า
ก่อนหน้านี้ ทั้ง 2 พันธมิตรร่วมทุนได้มีการพัฒนาพอร์ตแนวราบ 2 โครงการระดับลักชัวรี และระดับพรีเมียม ได้แก่ นาราสิริ บางนา กม.10 ใน Sansiri 10East Community ย่านบางนา และ บุราสิริ จตุโชติ ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่าโครงการระหว่าง แสนสิริ และ มิตซุย ฟูโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) แล้วกว่า 11,000 ล้านบาท
“การเริ่มฟื้นกลับของตลาดอสังหาฯ คอนโดมิเนียม รวมถึงนักลงทุนญี่ปุ่นมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยทิศทางที่ดีขึ้น และยังให้ความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนในไทยในหลากหลายอุตสาหกรรม”

ในระยะยาว แสนสิริ และ มิตซุย ฟูโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) ไม่เพียงสร้างโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ แต่ต้องการขับเคลื่อนทำเลพระราม 4 ให้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการอยู่อาศัย และการลงทุนที่น่าจับตามองที่สุดในกรุงเทพฯ พร้อมมองหาโอกาสพัฒนาโครงการใหม่ต่อเนื่องในอนาคต
XELF by Sansiri คอนโดมิเนียม high-rise แบรนด์ใหม่จากแสนสิริ ราคาเริ่ม 3.59 ล้านบาท ออกแบบภายใต้แนวคิด “BE YOUR BEST SELF” ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นตัวของตัวเอง (Self-Identity) และมองหาการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Living) ด้วยดีไซน์ห้องที่หลากหลาย ทั้ง SIMPLEX และ LOFT
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผู้บริโภคหันเน้นบ้านคุณภาพ-ปลอดภัย กดดันตลาดรับสร้างบ้านปรับตัว

ผู้บริโภคตลาดรับสร้างบ้านไทยเปลี่ยนพฤติกรรมจากเน้นราคา สู่การให้ความสำคัญด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ขณะที่ตลาดปี 68 หดตัวแรง
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association หรือ THBA) เปิดเผยรายงานทิศทางตลาดรับสร้างบ้านปี 2568 ชี้พฤติกรรมผู้บริโภคไทยเปลี่ยนจากการเน้นราคาและงบประมาณ มาให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความคุ้มค่า และความปลอดภัยของโครงสร้างบ้านมากขึ้น หลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง รวมถึงเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและแผ่นดินไหวที่สร้างความกังวล
นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดรวมของบ้านสร้างเองทั่วประเทศในปีนี้คาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 110,000–120,000 ล้านบาท จาก 130,000 ล้านบาทในปีก่อน ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านโดยบริษัทลดลงจาก 18,000 ล้านบาท เหลือ 14,000 ล้านบาท หรือหดตัวกว่า 22% นับเป็นการชะลอตัวรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า ความต้องการสร้างบ้านไม่ได้หายไป แต่ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ โดยยังยึดหลักเลือกใช้วัสดุโครงสร้างที่มีคุณภาพไว้เช่นเดิม สะท้อนถึงความสำคัญที่เปลี่ยนจากการแข่งขันด้านราคา มาเป็นความมั่นคงและความเชื่อมั่นในผู้ประกอบการ โดยผลสำรวจล่าสุดระบุว่า กว่า 90% ของผู้บริโภคต้องการเลือกบริษัทที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง และมากกว่า 50% พร้อมเพิ่มงบประมาณเพื่อยกระดับคุณภาพโครงสร้าง
ขณะเดียวกัน โครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย และแนวโน้มครอบครัวขนาดเล็ก กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดความต้องการแบบบ้านที่ตอบโจทย์คนหลายช่วงวัย พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่น รวมถึงเทรนด์บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงานที่ผู้บริโภคกว่า 90% ให้ความสนใจ โดยกว่า 80% ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปและการใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยลดความร้อน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต กรรมการกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับกลยุทธ์จากการแข่งขันด้านราคามาสู่การสร้างคุณค่า ทั้งในแง่ความปลอดภัย ความยั่งยืน และบริการครบวงจร เพื่อสร้างความแตกต่างและรักษาความเชื่อมั่นในตลาดที่มีความท้าทายสูง โดยเฉพาะการรองรับตลาดผู้สูงอายุและครอบครัวขยาย รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมและวัสดุประหยัดพลังงานมาใช้เป็นจุดขาย
ทั้งนี้ แม้ภาพรวมตลาดจะหดตัว แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าอุปสงค์จะกลับมาในอนาคตในรูปแบบที่ต่างออกไป โดยผู้บริโภคจะเลือกสร้างบ้านที่ตอบโจทย์ “ความมั่นคงระยะยาว” มากกว่าบ้านราคาถูก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตลาดรับสร้างบ้านไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26ส.ค.“ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจถูกชะลอการแข็งค่าบ้าง จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย กดดันให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม และในช่วงปลายเดือนอาจเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมผู้นำเข้าซื้อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26ส.ค.2568ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า แม้เงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงคืนที่ผ่านมา
ทว่า ภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนไป หลังมีรายงานข่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งปลด Lisa Cook ออกจากตำแหน่ง Board of Governor ของเฟด (เป็นหนึ่งใน FOMC Voters) ซึ่งเราประเมินว่า ในช่วงระยะสั้น ประเด็นการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ นั้น
อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มสนับสนุนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับความคาดหวังจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ แม้ว่าการออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว อาจมีการต่อสู้ในเชิงกฎหมายถึงชั้นศาลสูงสุด (Supreme Court) ก็ตาม
ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในระยะสั้นได้ ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ และยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ได้ไม่ยาก ยิ่งหากราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงได้บ้าง หากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินในช่วงนี้ กอปรกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย กดดันให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศ อย่าง เงินดอลลาร์จากบรรดาผู้นำเข้า
เราประเมินว่า หากเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าลงได้ชัดเจนอีกครั้ง อาจต้องรอรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน เพื่อรอลุ้นโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างชัดเจน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงานยังคงออกมาสดใสหรือดีกว่าคาด
โดย หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following การอ่อนค่าอย่างชัดเจนของเงินบาททะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ จะเพิ่มโอกาสที่เงินบาทกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.51 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ส่วนใหญ่ในช่วงคืนที่ผ่านมานั้นออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็เผชิญแรงกดดันและย่อตัวลง อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงเช้าของฝั่งตลาดการเงินเอเชีย (ราว 7.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งปลด Lisa Cook ออกจากตำแหน่ง Board of Governor ของเฟด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ กดดันให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น เข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้น รายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Nvidia ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.43%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงราว -0.44% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน หลังทางการสหรัฐฯ ได้ระงับโครงการ Revolution Wind ของบริษัท Oersted -16.4%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซน 4.30% อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด กอปรกับ ความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนไปตามการมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยยังพอมีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ
ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาสดใส ทว่าในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง จากความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.8-98.3 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า ความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งปลด Lisa Cook ออกจากตำแหน่ง Board of Governor ของเฟด ก็มีส่วนหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น ทดสอบโซน 3,420-3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนกรกฎาคม รวมถึง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB Consumer Confidence) และดัชนีภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ ในเดือนสิงหาคม
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ความพยายามในการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ หลังล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งปลด Lisa Cook ออกจากตำแหน่ง Board of Governor ของเฟด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.42-32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.49 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดต่างประเทศวานนี้ที่ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางแรงกดดันในฝั่งเงินดอลลาร์ฯ หลังมีรายงานข่าวว่า ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งปลด ลิซา คุก ออกจากตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจุดชนวนความกังวลเกี่ยวกับประเด็นความเป็นอิสระของเฟด อย่างไรก็ดี ภาพรวมการเคลื่อนไหวของเงินบาทยังเป็นการแกว่งตัวเป็นกรอบ เนื่องจากยังมีปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ตลาดรอติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ญี่ปุ่นสุดแกร่ง! พลิกนรกจาก 0-2 เซตแซงชนะ ยูเครน 3-2 ลิ่ว 16 ทีมวอลเลย์บอลหญิงโลก 2025

ทีมวอลเลย์บอลหญิงญี่ปุ่นโชว์หัวใจนักสู้ ไล่จากตามหลัง 0-2 เซตกลับมาชนะ ยูเครน 3-2 เซต ศึกวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก คว้าชัย 2 นัดรวด การันตีเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 (2025 FIVB Women’s Volleyball World Championship) ที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก เมื่อวันจันทร์ที่ 25 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช แมตช์ที่สอง ระหว่าง ญี่ปุ่น พบกับ ยูเครน
เกมในเซตนี้เป็นไปอย่างสูสีตั้งแต่ต้น ญี่ปุ่นที่นำโดย โยชิโนะ ซาโตะ และ ฮารุโยะ ชิมามูระ ทำแต้มนำไปก่อน แต่ยูเครนก็สู้ไม่ถอย อาศัยการทำแต้มของ เดียร์น่า เมลิอุชคิน่า และ อเล็กซานดรา มิเลนโก้ จนตามมาทันและแต้มเสมอกันที่ 24-24 ก่อนที่ยูเครนจะอาศัยความเฉียบขาดในช่วงดิวซ์ ปิดเซตแรกไปได้ที่ 27-25
เซตสอง ยูเครนยังคงรักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมไว้ได้ในเซตนี้ พวกเขาออกนำไปก่อน 4-1 แม้ญี่ปุ่นจะไล่ตามมาเสมอที่ 5-5 แต่ยูเครนก็กลับมาทำได้ดีในจังหวะลูกสั้นและเกมบล็อกที่แข็งแกร่ง ประกอบกับผู้เล่นญี่ปุ่นตีเสียเองบ่อยครั้ง ทำให้ยูเครนทำแต้มนำห่างไปถึง 16-9 และสามารถปิดเซตนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยสกอร์ 25-20 ขึ้นนำ 2-0 เซต
เซตสาม หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลัง 2-0 เซต ญี่ปุ่นเริ่มปรับเกมและกลับมาเล่นได้ตามมาตรฐานของตัวเองอย่างรวดเร็ว พวกเขาเล่นได้อย่างแน่นอนและแม่นยำมากขึ้น ทั้งในเกมรุกและการรับ ทำให้สามารถครองเกมเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด และปิดเซตนี้ไปได้ด้วยสกอร์ 25-20 ไล่มาเป็น 1-2 เซต
เซตสี่ เซตนี้เป็นเซตที่ตื่นเต้นที่สุดของเกม ทั้งสองทีมสู้กันอย่างสูสีชนิดแต้มต่อแต้ม ผลัดกันนำผลัดกันตามอย่างสนุกสนาน แต่ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและประสบการณ์ที่เหนือกว่า สามารถพลิกสถานการณ์ในช่วงท้ายและปิดเซตไปได้ที่ 26-24 ทำให้เสมอกัน 2-2 เซต ต้องไปตัดสินกันในเซตที่ 5
ในเซตตัดสิน ญี่ปุ่นที่ได้โมเมนตัมจากเซตที่แล้วเป็นฝ่ายที่ทำเกมได้เหนือกว่า พวกเขาเล่นด้วยความนิ่งและความแน่นอน ขณะที่ยูเครนเริ่มมีข้อผิดพลาดให้เห็นมากขึ้น ญี่ปุ่นอาศัยจังหวะนี้ทำแต้มทิ้งห่างก่อนจะปิดเกมไปได้ที่ 15-11 ญี่ปุ่น คว้าชัยชนะไปในที่สุด 3-2 เซต
ทำให้ ญี่ปุ่น เก็บชัยชนะเป็น 2 แมตช์รวด เก็บเพิ่มอีก 2 คะแนน โดยมี 5 คะแนน และผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ปลูกถ่ายไขกระดูก ล้างระบบ รักษา มะเร็งเลือด

ปลูกถ่ายไขกระดูก ล้างระบบ รักษา มะเร็งเลือด : Tricks for Life
“มะเร็งทางโลหิตวิทยา” กลายเป็นศัตรูของร่างกายที่เรามองไม่เห็น การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นแนวทางการรักษา ที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูระบบเลือดของผู้ป่วย ช่วยเพิ่มโอกาสในการหายขาดและยืดอายุชีวิตอย่างมีคุณภาพ
นายแพทย์นฤพนธ์ สนศักดิ์ อายุรแพทย์ชำนาญการด้านโลหิตวิทยา โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า มะเร็งทางโลหิตวิทยา เป็นกลุ่มของโรคมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือด หรือเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้เซลล์เหล่านี้เติบโตผิดปกติ แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย จึงสร้างเม็ดเลือดที่สมบูรณ์ได้น้อยลง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย เลือดออกง่าย และเกิดภาวะโลหิตจาง
มะเร็งทางโลหิตวิทยาที่พบบ่อย
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)
- มะเร็งไขกระดูก (Myeloma)
มะเร็งทางโลหิตวิทยา เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในระดับพันธุกรรมของเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูก ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม คนในครอบครัวบางกลุ่มอาจมีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากขึ้, การได้รับสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน หรือการสัมผัสรังสีในปริมาณสูง, การติดเชื้อบางชนิด เช่น ไวรัส HTLV-1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับมะเร็งเม็ดเลือดบางประเภท, ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น

หนึ่งในแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระบบเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม คือการ ปลูกถ่ายไขกระดูก หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Hematopoietic Stem Cell Transplantation) เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบสร้างเม็ดเลือด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดโอกาสเกิดโรคซ้ำ
“ไขกระดูก” เป็นศูนย์กลางของการสร้างเม็ดเลือดในร่างกาย เมื่อเกิดโรคมะเร็ง เม็ดเลือดที่สร้างจากไขกระดูกจะผิดปกติ การปลูกถ่ายไขกระดูกจึงเป็นการ “ล้าง” ระบบเดิม และแทนที่ด้วยเซลล์ต้นกำเนิดใหม่ที่สมบูรณ์ เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดปกติได้อีกครั้ง โดยประเภทของการปลูกถ่ายไขกระดูก มี 2 แนวทาง
1. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากตนเอง (Autologous Stem Cell Transplantation) ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวผู้ป่วยเอง โดยเก็บไว้ก่อนรักษาด้วยเคมีบำบัด แล้วจึงนำกลับเข้าไปในร่างกายหลังจากทำลายเซลล์มะเร็งหมดแล้ว
2. การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค (Allogeneic Stem Cell Transplantation) ซึ่งอาจเป็นญาติสายเลือดเดียวกัน เช่น พี่ น้อง หรือผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้
กระบวนการรักษาปลูกถ่ายไขกระดูก มีกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องมีการเตรียมตัวผู้ป่วย รวมถึงการประเมินจากแพทย์อย่างละเอียด โดยเริ่มจากการตรวจสุขภาพเพื่อดูความพร้อมของร่างกายผู้ป่วย เช่น การตรวจเลือด ตรวจการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ และสภาพร่างกายโดยรวม
ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก ผู้ป่วยจะได้รับ เคมีบำบัดในปริมาณสูง หรือ การฉายแสงทั้งตัว เพื่อทำลายเซลล์ไขกระดูกเดิมที่เป็นมะเร็ง ทำลายระบบภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้ต่อต้านเซลล์ที่ปลูกถ่ายเข้าไป และเตรียมพื้นที่ในไขกระดูกให้เซลล์ใหม่เข้าไปฝังตัวได้ และเมื่อร่างกายพร้อมแล้ว แพทย์จะทำการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าสู่หลอดเลือดดำ คล้ายกับการให้เลือด ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะเดินทางไปยังไขกระดูก และเริ่มต้นกระบวนการสร้างเม็ดเลือดใหม่
การดูแลหลังการปลูกถ่ายไขกระดูก
หลังการปลูกถ่ายไขกระดูก ถือเป็น “ระยะสำคัญ” ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยร่างกายจะใช้เวลา 2–4 สัปดาห์ในการให้สเต็มเซลล์เริ่มทำงาน เรียกว่า Engraftment ซึ่งผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อสูง เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำมาก ต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ และแพทย์จะติดตามค่าการเจริญเติบโตของเม็ดเลือด และอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด
แม้การปลูกถ่ายไขกระดูกจะมีศักยภาพในการรักษาโรคให้หายขาด แต่ก็มีความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ ภาวะ “ภูมิคุ้มกันต่อต้านผู้รับ” (Graft-versus-host disease – GVHD) หรือภาวะไขกระดูกไม่ฝังตัว ดังนั้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะเมื่อการปลูกถ่ายไขกระดูกประสบความสำเร็จ ก็สามารถ “รีสตาร์ทร่างกาย” ให้กลับมาแข็งแรงได้อย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อยากอธิบาย สภาพอากาศวันนี้ เป็นภาษาอังกฤษ เริ่มง่าย ๆ ได้ที่นี่!

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่ม เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ทักษะที่ฝึกได้เร็วที่สุดคือทักษะการพูด และการฝึกพูดในแบบเริ่มต้นก็คือการฝึกพูดเรื่องทั่ว ๆ ไปหรือ Small talk วิธีฝึกพูดให้ได้ผลที่หลายคนเลือกใช้คือการเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว นอกเหนือจากการทักทายที่เราเชื่อว่าทุกคนพูดได้แล้ว หนึ่งในเรื่องที่คน เรียนภาษาอังกฤษ ทุกคนฝึกได้เป็นประจำคือการพูดถึง สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ เพราะนอกจากรูปประโยคที่ใช้และคำศัพท์จะไม่ยากแล้ว สภาพอากาศยังเป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกวัน
คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ
ไม่ว่าจะฝึกพูดเรื่องอะไรก็ตาม อย่างแรกที่เราต้องรู้คือคำศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนั้น ซึ่งการ เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยการพูดถึงสภาพอากาศก็เช่นกัน ต้องเริ่มด้วยคำศัพท์เกี่ยวกับสภาพอากาศ จากนั้นจึงนำคำศัพท์ที่รู้ไปสร้างประโยคได้ และต่อไปนี้คือคำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับสภาพอากาศ
- Weather = อากาศ
- Sunny = แดดออก
- Clear = ฟ้าโปร่ง
- Partly cloudy = มีเมฆบางส่วน
- Cloudy = เมฆครึ้ม ฟ้ามืดครึ้ม
- Rainy = ฝนตก
- Drizzle = ฝนปรอย ๆ
- Shower = ฝนตกช่วงสั้น ๆ
- Thunderstorm = พายุฝนฟ้าคะนอง
- Cold = หนาว
- Hot = ร้อน
- Warm = อบอุ่น
- Cool = เย็นสบาย
- Snow = หิมะ
- Snowy = หิมะตก
- Freezing = หนาวจัด
- Windy = ลมแรง
- Stormy = มีพายุ
- Foggy = มีหมอก
- Humid = อบอ้าว
สำหรับการบรรยายสภาพอากาศแบบง่ายที่สุด ทำได้โดยการเริ่มว่า it’s … today หรือ The weather is … today (วันนี้อากาศเป็นแบบ …) โดยที่ it’s คือ it is ในรูปเต็ม แต่ it’s จะนิยมใช้ในภาษาพูดมากกว่า นี่เองคือจุดเด่นของการฝึกพูดเรื่องสภาพอากาศ เพราะเริ่มต้นได้ง่ายด้วยโครงสร้างประโยคแบบพื้นฐานที่คน เรียนภาษาอังกฤษ รู้จักเป็นโครงสร้างแรก เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูจากตัวอย่างต่อไปนี้
– It’s sunny today.
(วันนี้แดดออก)
– It’s clear today.
(วันนี้ฟ้าโปร่ง)
– It’s partly cloudy this afternoon.
(บ่ายนี้มีเมฆบางส่วน)
– It’s rainy today.
(วันนี้ฝนตก)
– It’s cold this morning.
(เช้านี้อากาศหนาว)
– It’s snowing outside.
(ด้านนอก หิมะกำลังตก)
– It’s quite windy today.
(วันนี้ลมค่อนข้างแรง)
– It’s very foggy in the morning.
(ตอนเช้ามีหมอกมาก)
– The weather is hot and humid today.
(วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว)
การถามตอบเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ
มาถึงตรงนี้ เราได้ เรียนภาษาอังกฤษ โดยรู้คำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับสภาพอากาศ และได้รู้แล้วว่าการพูดถึงลักษณะอากาศวันนี้ในแบบง่ายที่สุดนั้นมีหลักการอย่างไร แต่บทสนทนาจะยังไม่สมบูรณ์ ถ้ายังไม่มีการถามตอบเกี่ยวกับสภาพอากาศ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน และต่อไปนี้คือตัวอย่างคำถามเกี่ยวกับ สภาพอากาศ ภาษาอังกฤษ
- What’s the weather like today?
(วันนี้อากาศเป็นอย่างไร)
- How’s the weather?
(อากาศเป็นไงบ้าง)
- Is it going to rain today?
(วันนี้ฝนจะตกมั้ย)
- What’s the temperature right now?
(ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่)
- Is it sunny outside?
(ข้างนอกมีแดดมั้ย)
ซึ่งในการตอบ เราก็นำรูปประโยคที่เรียนไปก่อนหน้านี้มาใช้ได้ (It’s …) นอกจากนี้ก็อาจเพิ่มรายละเอียดอื่น ๆ เข้าไปตามสถานการณ์ เช่น ตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1:
A: What’s the weather like today?
(วันนี้อากาศเป็นอย่างไร)
B: It’s sunny and warm.
(วันนี้มีแดด และอากาศอบอุ่น)
ตัวอย่างที่ 2:
A: How’s the weather outside?
(ข้างนอกอากาศเป็นไงบ้าง)
B: It’s raining, so don’t forget your umbrella.
(ฝนกำลังตก อย่าลืมร่มของคุณนะ)
ตัวอย่างที่ 3:
A: What’s the temperature right now?
(ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่)
B: The temperature is about 25 degrees Celsius.
(อุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
Excel มี AI ส่วนตัวแล้ว! พิมพ์สั่งงานด้วยภาษาคนผ่านสูตร =COPILOT() ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ

ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า Microsoft Excel โปรแกรมตารางแะพคำนวนนอกจากจะทำให้ยาวและเยอะได้ จนงงเลยทเดียว และรวมถึงการคำนวณที่บางคนบอกว่า มันเยอะต้องอาศัยความเคยชิน แต่สิ่งเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อ Microsoft ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำอย่าง =COPILOT() ที่เปลี่ยนเซลล์ Excel ธรรมดาให้กลายเป็นผู้ช่วย AI อัจฉริยะ ลืมภาพการเปิดหน้าต่าง Copilot แยกไปได้เลย เพราะนี่คือการสั่งงาน AI ในรูปแบบ “สูตร” ที่เราคุ้นเคย แค่พิมพ์คำสั่งง่ายๆ ที่เราอยากรู้ลงไปในเซลล์เท่านั้นเอง

=COPILOT มันทำงานยังไง?
ต้องบอกเลยว่าการมาของฟีเจอร์นี้ ทำงานง่ายสุด แค่พิมพ์สูตร =COPILOT() แล้วตามด้วยคำสั่งที่เป็นภาษาพูดธรรมดา พร้อมกับชี้ไปยังช่วงข้อมูลที่เราสนใจ ที่เหลือ AI จัดการให้หมด เช่น
- อยากสรุปข้อมูลกองโต: มีคอมเมนต์ลูกค้า 500 บรรทัดใช่ไหม? แค่พิมพ์ว่า =COPILOT(“ช่วยสรุปให้เหลือ 5 ข้อสั้นๆ”, A2:A500) จากข้อมูลยาวๆ ก็จะกลายเป็นสรุปประเด็นหลักแบบ Bullet Point ทันที
- อยากจัดหมวดหมู่: ต้องการแยกฟีดแบคว่าอันไหนเป็นคำชม อันไหนเป็นคำติ? ก็สั่งไปเลยว่า =COPILOT(“จัดกลุ่มฟีดแบคพวกนี้ให้หน่อย”, B2:B100) แล้ว AI ก็จะแปะป้ายหมวดหมู่ให้เอง
- อยากหาข้อมูลเพิ่ม: ลองพิมพ์ชื่อประเทศลงไปในเซลล์ (เช่น “Japan”) แล้วใช้สูตร =COPILOT(“หารหัสสนามบินของประเทศนี้”, E3) คุณก็จะได้ลิสต์รหัสสนามบินอย่าง “HND, NRT” โผล่ขึ้นมา ที่เจ๋งคือถ้าคุณเปลี่ยนชื่อประเทศในเซลล์ E3 ผลลัพธ์ก็จะอัปเดตตามทันที!

ฟีเจอร์นี้เหมาะกับใคร?
เห็นคุณสมบัติที่จัดเต็มแล้ว บอกเลยว่าเหมาะกับทุกคนที่ต้องทำงานกับข้อมูล แต่ไม่ได้อยากเป็นเซียน Excel ขั้นเทพ ที่คนกลุ่มนี้ต้องรักแน่นอน
- ชาวออฟฟิศ: ใช้วิเคราะห์ข้อมูลการตลาด สรุปรีพอร์ตประชุม หรือจัดระเบียบความคิดเห็นจากลูกค้าได้เร็วขึ้นหลายเท่า
- เจ้าของธุรกิจ: ทำความเข้าใจเทรนด์ของลูกค้าจากข้อมูลการขายได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจ้างนักวิเคราะห์
- นักเรียน/นักศึกษา: ช่วยสรุปเนื้อหาจากงานวิจัย หรือระดมไอเดียสำหรับทำรายงานได้ในพริบตา
นี่คือการอัปเกรดที่ทำให้ Excel เป็นมากกว่าแค่โปรแกรมตารางคำนวณ แต่มันกำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเรา “คิด” และ “เล่าเรื่อง” จากข้อมูลได้ง่ายและสนุกขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว!
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ใบแปะก๊วย สุดยอดสมุนไพรบำรุงสมองและอีกหลายสรรพคุณที่คุณอาจไม่เคยรู้

ใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba) เป็นพืชสมุนไพรโบราณที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ล้านปี และได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฟอสซิลที่ยังมีชีวิต” เนื่องจากเป็นพืชที่ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ปัจจุบันใบแปะก๊วยถูกนำมาสกัดเป็นอาหารเสริมและยาแผนโบราณอย่างแพร่หลาย ด้วยสรรพคุณโดดเด่นในการบำรุงสมองและระบบประสาท ซึ่งได้รับการยอมรับจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
สรรพคุณโดดเด่นของใบแปะก๊วย
- บำรุงสมองและเพิ่มความจำ: นี่คือสรรพคุณที่ทำให้ใบแปะก๊วยมีชื่อเสียงที่สุด สารสกัดจากใบแปะก๊วยมีสารสำคัญที่เรียกว่า “ไบโลบาไลด์” และ “กิงโกไลด์” ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ ส่งผลให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเสื่อมของสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) และโรคพาร์กินสัน
- ช่วยลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า: งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากใบแปะก๊วยอาจช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ในร่างกาย และช่วยเพิ่มสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้น
- บำรุงสายตา: การไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้นไม่ได้ส่งผลดีแค่สมอง แต่ยังรวมถึงดวงตาด้วย สารต้านอนุมูลอิสระในใบแปะก๊วยช่วยปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้นจะช่วยบำรุงเส้นประสาทตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น และอาจช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา
- ช่วยลดอาการวิงเวียนและเสียงในหู (หูอื้อ): ใบแปะก๊วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณหูชั้นใน ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะและเสียงในหูได้
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ: ใบแปะก๊วยอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์และเทอร์พีนอยด์ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจ
- ช่วยบรรเทาอาการปวดขาจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี: สำหรับผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Artery Disease – PAD) ซึ่งส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงขาไม่ดีพอ ทำให้เกิดอาการปวด ใบแปะก๊วยอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและบรรเทาอาการปวดได้
ข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์จากใบแปะก๊วย
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้: สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิต, โรคลมชัก หรือผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้
- ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ อาการปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, คลื่นไส้ หรือท้องเสีย
- ไม่ควรใช้ร่วมกับยาบางชนิด: ใบแปะก๊วยอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin) และยาต้านเกล็ดเลือด (Aspirin) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ
ใบแปะก๊วย เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบำรุงสมองและระบบประสาท แม้จะมีประโยชน์ แต่การใช้ผลิตภัณฑ์จากใบแปะก๊วยควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,700.00 | 51,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,342.00 | 50,664.72 | 52,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,007.80 | 45,598.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,673.60 | 40,531.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,503.90 | 22,799.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,169.70 | 17,732.65 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,463.21 | 52,502.26 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |