สาระน่ารู้ประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568

ซีคอนเร่งเครื่องปี69 ชู4กลยุทธ์ รุกตลาดรับสร้างบ้านขยายสู่EEC

ซีคอนดินเกมรุกปี69 งัด4กลยุทธ์พัฒนาเทคโนโลยี–ขยายสู่ EEC ปูทางสู่ผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้านยุคใหม่ เมื่อต้นทุนการก่อสร้างยังผันผวน

มนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า  ตลาดรับสร้างบ้านไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ต้นทุนวัสดุที่ยังแกว่งตัว ค่าแรงขั้นต่ำที่ขยับขึ้นเป็น 400 บาทกลางปี 2568 รวมถึงปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือในเมืองใหญ่ ล้วนเป็นโจทย์ท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญพร้อมกันในปี 2569

แต่ท่ามกลางแรงกดดันเหล่านี้ อุตสาหกรรมกลับสะท้อนภาพที่น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆดีมานด์บ้านคุณภาพสูงแข็งแรงกว่าที่คาด โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการบ้านฟังก์ชันดี วัสดุมาตรฐานสูง และงานก่อสร้างที่ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

ในจังหวะที่ตลาดเปลี่ยน ซีคอน หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของอุตสาหกรรม เลือก “เปิดเกมรุก” แทนการตั้งรับ เดินหน้าเสริมเทคโนโลยีก่อสร้าง ยกระดับดีไซน์บ้าน และขยายตลาดสู่โซนเศรษฐกิจใหม่ของไทย

 69 ปีแห่งความผันผวน…แต่เต็มไปด้วยโอกาส

แม้ต้นทุนหลายรายการยังคงกดดันตลาด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้างอย่างเหล็ก ปูน และผลิตภัณฑ์ตกแต่ง หรือค่าแรงที่เพิ่มขึ้น พร้อมแรงงานฝีมือที่หายาก แต่ซีคอนยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ ด้วยจุดแข็งสำคัญคือ

  • ระบบบริหารต้นทุนแบบโรงงาน (Factory-based Construction)
  • โครงสร้างพรีคาสท์ ที่ผลิตแบบมาตรฐาน ลดความผิดพลาดในไซต์งาน
  • ควบคุมงานก่อสร้างได้ละเอียดและเสถียรกว่าระบบทั่วไป

เมื่อรวมเข้ากับความต้องการบ้านคุณภาพที่ยังถูกขับเคลื่อนโดยชนชั้นกลาง–พรีเมียม กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ และเจ้าของกิจการที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่ม ตลาดรับสร้างบ้านจึงยังคงเป็นตลาดที่เติบโตได้ต่อเนื่อง

 4 กลยุทธ์หลักต่อยอดจุดแข็ง–รุกฐานใหม่

1. เร่งเครื่อง 3 กลุ่มแบบบ้านหลัก

     Your Home Series, ปลูกเรือน Series และ SEACON ID ยังคงเป็นตัวทำยอดขายระดับแกนกลางของธุรกิจ

        ที่ผ่านมา Your Home Series 1 & 2 ทำยอดจองรวม 122 หลัง มูลค่า 408 ล้านบาทในปี 2568 ปลูกเรือน Series เปิดขายเพียงไม่กี่เดือน แต่เริ่มเป็นที่นิยมในหลายจังหวัด 

“จุดขายสำคัญคือดีไซน์ที่ทันสมัย ปรับฟังก์ชันได้ตามการใช้งานจริง และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ครอบครัวไทยยุคใหม่”

2. รุก EEC เต็มรูปแบบ

        ตั้งแต่สิงหาคม 2568 ซีคอนเดินหน้าขยายบริการไปยังชลบุรี – ระยอง – ฉะเชิงเทราซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศ จากแรงหนุนของนิคมอุตสาหกรรมใหม่ เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ และโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ

   “EEC กำลังก้าวขึ้นเป็น “New Economic Zone” ของไทยและดีมานด์บ้านสร้างเองในพื้นที่นี้กำลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด”

3.เติบโตในตลาดพรีเมียมด้วย SEACON ID

        กลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านออกแบบพิเศษ ราคาประมาณ 20–40 ล้านบาท ยังคงเป็นกลุ่มสำคัญในเชิงรายได้ด้วยมาตรฐานงานออกแบบที่ละเอียดกว่า และราคาต่อ ตร.ม. เฉลี่ย 30,000 บาท ทำให้ SEACON ID เติบโตต่อเนื่อง เพราะตอบโจทย์กลุ่มผู้มีกำลังซื้อที่เน้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน

4.เปิดตัว SEACON Affiliate – “Everyone Can Sell”

     โมเดลการตลาดยุคใหม่ที่เปิดให้ทุกคนมีรายได้เสริมจากการแนะนำลูกค้า โดยมีจุดเด่นคือค่าตอบแทนสูงสุด 5,000 บาทต่อล้านบาทของราคาบ้าน

  • ระบบติดตามงานผ่าน Line Officialเพิ่มช่องทางจำหน่ายแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Sales) ช่วยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้กว้างขึ้น
  • Green Construction อนาคตของงานก่อสร้างที่ซีคอนกำลังเดินหน้า

ทิศทางใหม่ของผู้บริโภคชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ บ้านยุคใหม่ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องประหยัดพลังงาน ใช้วัสดุที่ดีต่อสุขภาพ และก่อสร้างโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ซีคอนจึงเดินหน้า Green Construction แบบเต็มรูปแบบ

  • ใช้วัสดุที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • ออกแบบบ้านให้ประหยัดพลังงานในระยะยาว
  • ระบบพรีคาสท์ที่ลดเศษวัสดุ ลดฝุ่น ลดของเสียในไซต์งาน
  • ใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด

แนวคิดนี้ตรงกับกระแสโลก และเป็นจุดแข็งที่ช่วยสร้างความต่างให้แบรนด์ในระยะยาวภาพรวม 1–2 ปีข้างหน้า ความต้องการ “บ้านคุณภาพ” จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

          ตลาดรับสร้างบ้านกำลังถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มลูกค้าที่ต้องการคุณภาพมากกว่าเดิม

  • คนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น
  • ครอบครัวขยายที่ต้องการบ้านฟังก์ชันครบ
  • ผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการบ้าน–พื้นที่ทำงานในที่เดียว
  • กลุ่มที่สนใจบ้านประหยัดพลังงานและดีไซน์ยั่งยืน

ในภาพรวม ซีคอนกำลังจัดวางตัวเองในฐานะผู้พัฒนา “มาตรฐานใหม่” ของตลาดรับสร้างบ้านไทย ผ่านเทคโนโลยีการก่อสร้าง ระบบพรีคาสท์ และบริการครบวงจรที่ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ปี 2569 คือปีแห่งจังหวะรุกของซีคอน

       แม้ตลาดจะมีแรงกดดันจากต้นทุน แต่ดีมานด์บ้านคุณภาพสูงยังชัดเจน ซีคอนตอบโจทย์ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญจากการผลักดันแบบบ้านยอดนิยม ขยายสู่ EEC รุกตลาดพรีเมียม จนถึงการเปิดโมเดล Affiliateช่วยสร้างช่องทางรายได้ใหม่ และขยายการเข้าถึงลูกค้าทั้งหมดนี้คือการเดินเกมเพื่อยืนในตำแหน่งผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ของธุรกิจรับสร้างบ้านไทยในปี 2569 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


แสนสิริเร่งปิดเกมคอนโดปี68 3เมืองท่องเที่ยวดันยอด1.3หมื่นล้าน

3คอนโดเมืองท่องเที่ยวเชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่นกลายเป็นหมัดเด็ดปลายปีดันยอดโอนแสนสิริพุ่งแตะ 1.3หมื่นล้านในปี68

ปี 2568 อาจเป็นปีที่ตลาดคอนโดมิเนียมไทยฟื้นตัวไม่ง่าย แต่ถ้าใครกำลังจับตาผู้เล่นที่ยังรักษาความแรงได้แบบคงเส้นคงวา ชื่อที่ต้องพูดถึงคือ แสนสิริ หลังเดินเกมตลอดทั้งปีด้วยจังหวะคอนโดที่หลากหลาย ตั้งแต่คอนโดวิวแม่น้ำใกล้เมือง ไปจนถึงคอนโดสายลงทุนผลตอบแทนดีผลลัพธ์ล่าสุดในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจึงน่าสนใจ เมื่อบริษัทเตรียมโอนคอนโดในเมืองท่องเที่ยว 3 ทำเลสำคัญ พร้อมสร้างยอดโอนรวมกว่า 2,100 ล้านบาท ทำให้ยอดโอนคอนโดสะสมพุ่งเป็น 13,800 ล้านบาท หรือ 92% ของเป้าหมาย และอาจทำให้แสนสิริขึ้นแท่น “เบอร์หนึ่งด้านผลงานคอนโด” ในปีนี้ได้จริง

เมืองท่องเที่ยวดันยอดโอนพุ่ง

 องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานคอนโดของแสนสิริ อธิบายภาพรวมธุรกิจรอบ 11 เดือนว่า ความสำเร็จของปีนี้มาจากการยืนบนทำเลที่มีกำลังซื้อจริงทั้งคนไทยและนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะทำเลท่องเที่ยวที่ยังเติบโตแม้เศรษฐกิจจะผันผวน 3 โครงการที่กำลังโอนช่วงปลายปีคือหมากสำคัญ

ซึ่งอยู่บนทำเลที่เรียกว่า Strategic Location ของแสนสิริ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น เชิงทะเล–บางเทา ภูเก็ต แต่ละโครงการตอบโจทย์ตลาดคนละด้าน ทั้งอยู่อาศัยจริง ตลาดปล่อยเช่า และตลาดบ้านหลังที่สองสำหรับต่างชาติ

เจาะลึก 3 โครงการปิดเกมปลายปี

 เมคิน เฮาส์ เชียงใหม่  

 คอนโดสไตล์รีสอร์ท เลี้ยงสัตว์ได้ เหมาะทั้งอยู่จริงและปล่อยเช่า มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ติดเซ็นทรัล เชียงใหม่ เพียง 200 เมตรยอดขายแล้วกว่า 80% สะท้อนดีมานด์ของคนรุ่นใหม่ในเชียงใหม่ที่ต้องการ “คอนโดที่เป็นบ้านจริง” มากกว่าแค่แหล่งพักอาศัย

ความโดดเด่นคือเป็นคอนโดสไตล์รีสอร์ทที่ Pet Friendly แห่งแรกในจังหวัด พื้นที่ส่วนกลางกว่า 1.7 ไร่ ใกล้ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่–ลำปาง เดินทางสะดวก ตลาดเชียงใหม่ยังมีดีมานด์ที่แข็งแรง โดยเฉพาะปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จึงเป็นโครงการที่มีโอกาสปิดยอดโอนต่อเนื่อง

 ดีคอนโด แคมปัส ขอนแก่น

คอนโดสายลงทุน ใกล้ ม.ขอนแก่น Yield 6%ทำเลติดมหาวิทยาลัยใหญ่ ทำให้ดีคอนโด แคมปัส ขอนแก่น เป็นหนึ่งในโครงการที่ปล่อยเช่าง่ายที่สุดของแสนสิริในปีนี้
จุดขายสำคัญคือ

  • 2 นาทีถึงมหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • 3 นาทีถึงโรงพยาบาลศรีนครินทร์
  • 7 นาทีถึงเซ็นทรัล ขอนแก่น

มียอดขายแล้วกว่า 50% ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ต่อปีโครงการจึงกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้ระยะยาว และเป็นหนึ่งในตัวสร้างยอดโอนแบบตั้งรับได้ดีในตลาดอีสาน

แคนวาส เชิงทะเล ภูเก็ต

คอนโดลักซ์ชูรี–รีสอร์ต ทำเลศักยภาพ เชิงทะเล–บางเทาผลตอบแทนปล่อยเช่า 8–12%มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาทยอดขายแล้วกว่า 70%ในช่วง High Season ของภูเก็ต

แคนวาส เชิงทะเล เปิดตัวในจังหวะที่ตลาดกำลังคึกคักทำเลเชิงทะเล–บางเทาคือ Strategic Location ที่ดึงดูดทั้งชาวต่างชาติที่กำลังซื้อสูง ทั้งรัสเซีย ยุโรป และอเมริกันผู้ซื้อส่วนใหญ่คือคนหาบ้านหลังที่สอง นักลงทุนที่ต้องการถือสินทรัพย์ปล่อยเช่า ตัวเลขผลตอบแทนที่ 8–12% ทำให้โครงการนี้เป็นหนึ่งในสินค้าเด่นปี 2568 ของแสนสิริ ทั้งในด้านการโอนและภาพลักษณ์ตลาดบน

แบรนด์แสนสิริจุดแข็งที่ขายได้เสมอ

เบื้องหลังยอดโอนที่เติบโตไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการสร้างแบรนด์มายาวนานในด้าน

  • คุณภาพโครงการ
  • การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแต่ละเมืองท่องเที่ยว
  • บริการหลังการขาย Sansiri Service
  • ความปลอดภัยผ่านระบบ LIV-24
  • พันธกิจเรื่อง Sustainability และ Good Citizen

ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่า “การซื้อคอนโดจากแสนสิริ” คือการซื้อคุณภาพแบบที่ใช้ได้จริง

เมื่อรวมยอดโอนช่วงที่ผ่านมาอย่างโฟล บาย แสนสิริ (ขายแล้วกว่า 70%) ดีคอนโด คาล์ม รามคำแหง 40 เดอะ มูฟ พอว์ บางแคทำให้ผลงานโอนคอนโดสะสมของแสนสิริเดินหน้าสู่เป้าหมาย 15,000 ล้านบาทอย่างมั่นใจหากโอนครบทั้ง 3 โครงการในโค้งสุดท้ายตามแผน แสนสิริจะยึดตำแหน่งผู้นำผลงานคอนโดปี 2568 ได้อย่างสวยงามในปีที่ตลาดอสังหาฯ ต้องการ “ความมั่นใจ” มากกว่าทุกปี

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 26พ.ย. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นอย่างจำกัดจากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายปี รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ ส่วนการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงบ้าง หลังตลาดจับตาแผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้26พ.ย.2568 ที่ระดับ  32.28 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.31 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ทดสอบระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ หรืออาจแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น

โดยหลังจากการที่ล่าสุด เงินบาทสามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้บ้าง แต่จะเห็นได้ว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายปี รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ

นอกจากนี้ เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้างได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดจะทยอยรับรู้ แผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

จากประเด็นแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ  โดยหากผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ ก็อาจเห็นแรงขายบอนด์ระยะยาวอังกฤษ

กดดันให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวของอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์อังกฤษ ไม่ต่างกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ในปีนี้ และที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ กับฝั่งของบอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นและเงินเยนญี่ปุ่น

และที่สำคัญ หากรายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) กลับไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจน อีกทั้งสะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้น

หรืออยู่ในระดับสูงได้นาน อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดพลิกกลับมาปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้

ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ไม่น่าจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ และล่าสุด จากการประเมินสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด (Positioning)

เราพบว่า ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยเพิ่มสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ซึ่งอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วน ต่างก็รอจังหวะ Buy THB on Dip (หรือรอทยอยเพิ่มสถานะ Long THB ในจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทได้)

และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026)

และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.45 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ทะลุโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.24-32.33 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

 โดยเฉพาะในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ (โอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 82%) จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดค้าปลีกเดือนกันยายน ที่ขยายตัว +0.2% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 88.7 จุด

 นอกจากนี้ รายงานข่าวที่ระบุว่า Kevin Hassett ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว และเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มเป็นตัวเต็งในการดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนถัดไป (ตลาดพนัน Polymarket ประเมินโอกาสราว 55%) ก็มีส่วนทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด

อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways กดดันโดย ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมที่ได้รับอานิสงส์จากการทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด

ขณะเดียวกัน โฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบได้ทยอยปรับตัวลดลงในช่วงนี้ ตามพัฒนาการของการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนของผู้เล่นในตลาด ก็มีส่วนชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันบ้าง หลังหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Nvidia -2.6% เผชิญแรงขายออกมาบ้าง

อีกทั้งบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวลดลง Exxon Mobil -1.3% ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.91% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.67%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.91% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นอังกฤษ อย่างกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มค้าปลีก

ก่อนที่จะรับรู้แผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษในวันที่ 26 พฤศจิกายน นี้ ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนการเก็บภาษีในหลายส่วน นอกจากนี้ ความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่สูงขึ้น ก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปเช่นกัน 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 4.00% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาด และแนวโน้มที่ Keven Hassett (ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นมือขวาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์) เป็นตัวเต็งในการดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนถัดไป

ทว่าการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราขอย้ำว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม

และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (ซึ่งจะมีผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ) อย่างไรก็ตาม

เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น และไม่ไล่ราคาซื้อ)

เนื่องจาก เราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบัน สู่ระดับ 3.80%-3.90% ได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีโอกาสทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.20% อีกครั้ง ในช่วงปลายปี 2026

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

 ทว่าการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแผนงบประมาณรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินปอนด์อังกฤษได้พอสมควร

ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษในช่วงนี้ออกมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 99.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.6-100.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงบ้าง แต่บรรยากาศตลาดการเงินโดยรวม ที่ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง อีกทั้งพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็มีแนวโน้มอาจยุติลงได้

 หากการเจรจาสันติภาพระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำยูเครน เป็นไปได้ด้วยดี (ลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์) ทำให้โดยรวม ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways แถวโซน 4,170-4,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในช่วงราว 02.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดได้

โดยผู้เล่นในตลาดจะจับตาสัญญาณต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากรายงานดังกล่าว รวมถึง รอลุ้น รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ในช่วงราว 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

ส่วนในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการประกาศแผนงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และบอนด์ยีลด์อังกฤษ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของรัฐบาลอังกฤษ

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.24-32.26 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ทั้งเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก และสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ประกอบกับน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และการแข็งค่าของเงินเยน หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นส่งสัญญาณติดตาม/ดูแลการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินเยน 

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงจากกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่กลับมาเป็นจุดสนใจของตลาดอีกครั้ง หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานรายชื่อที่เป็นตัวเต็งของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟด (นายเควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว และเป็นที่ปรึกษาของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์) ขณะที่  ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาให้สัญญาณอ่อนแอ อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนที่ปรับตัวลง 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.15-32.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย.
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไทยมี ‘ผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่’ปีละกว่า 1.4 แสนคน ราว 400 คนต่อวัน

ไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ราว 400 คนต่อวัน สธ.เดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการปัญหาโรคมะเร็งครบวงจร ตามแผนควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ พร้อมศึกษาพัฒนาการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (ATMPs)

วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2568) ที่ โรงแรมเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเปิดการประชุมวิชาการโรคมะเร็งแห่งชาติ ครั้งที่ 16 (NCC16) ภายใต้หัวข้อ “SHAPE THE FUTURE OF CANCER CARE” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 27 พฤศจิกายน 2568ว่า การต่อสู้กับโรคมะเร็งต้องบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภายใต้ “แผนยุทธศาสตร์การควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Control Program: NCCP)”

ซึ่งเป็นกรอบทิศทางในการดำเนินงาน ทั้งการส่งเสริมป้องกัน คัดกรอง วินิจฉัย รักษา ฟื้นฟู และดูแลระยะท้ายอย่างครบวงจร เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการที่เป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลัง ได้พัฒนาระบบบริการสุขภาพ “โรคมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere)” ครอบคลุมทั้งสิทธิบัตรทอง (Cancer anywhere) สิทธิประกันสังคม (โครงการ SSO Cancer Care) และสิทธิข้าราชการ ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งที่มีคุณภาพแบบครบวงจร

ขณะนี้ หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขยังร่วมกันเดินหน้าศึกษาพัฒนาการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (ATMPs) ทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) (ผู้ออกกฎระเบียบเพื่อควบคุม) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (ผู้กำหนดมาตรฐาน) และกรมการแพทย์ (ผู้ใช้) ภายใต้นโนบาย “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศด้วยการแพทย์มูลค่าสูง” เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีมูลค่าสูงได้

โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ วางเป้าหมายทำวิจัยทางคลินิกในการรักษามะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ด้วยผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูงที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ในปี 2569 น.

“การประชุมวิชาการฯ ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงเวทีทางวิชาการ แต่คือจุดเริ่มต้น การกำหนดอนาคตของการจัดการโรคมะเร็งของประเทศไทย ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG 3) ที่มุ่งให้ทุกคนมีสุขภาพดีและมีความเป็นอยู่ที่ดีในทุกช่วงวัยอีกด้วย”นายพัฒนากล่าว 

ด้าน นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า แนวโน้มอัตราการเกิดโรคมะเร็งของประเทศไทยยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่มากกว่า 140,000 คน หรือประมาณ 400 คนต่อวัน โรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก และยังมีความท้าทายเชิงระบบที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

การประชุมวิชาการโรคมะเร็งฯ ที่จัดขึ้นทุก 2 ปี เป็นเวทีสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข นักวิชาการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ได้ทราบทิศทาง ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาการในการป้องกันควบคุมและรักษาโรคมะเร็ง

รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ที่จะนำไปพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยในปีนี้ มีการมอบรางวัล Cancer Anywhere Award แก่เขตสุขภาพที่มีผลงานดีเด่นการให้บริการด้านโรคมะเร็ง ทั้งด้านการผ่าตัด, การให้ยาเคมีบำบัด, การฉายรังสีรักษา และการเชื่อมโยงข้อมูลด้านโรคมะเร็ง อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


สรุปตารางคะแนน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2025-26 ประจำวันที่ 26 พ.ย. 68

การแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2025-26 ที่มีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขัน โดยจะไม่มีการแบ่งกลุ่ม แต่จะใช้ระบบการแข่งขันแบบกึ่งลีกแทน ทุกทีมจะแข่งทีมละ 8 นัด ตามกลุ่มที่ถูกแบ่ง แต่จะคิดคะแนนในตารางรวม

โดยหลังแข่งขันกันไป 9 คู่ ในโปรแกรมนัดที่ห้า ปรากฏว่า “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ยังนำเป็นจ่าฝูงแม้จะยังไม่ได้ลงแข่งขันก็ตาม เช่นเดียวกับ อาร์เซนอล และ อินเตอร์ มิลาน ที่มี 12 คะแนนเท่ากัน

ขณะที่ “สิงห์บลูส์” เชลซี ทีมดังจากพรีเมียร์ลีก ฟอร์มแรงพุ่งรั้งอันดับ 5 ของตาราง หลังเก็บเพิ่มเป็น 10 คะแนน ด้าน “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ สะดุดแพ้เป็นแกมแรกรั้งอันดับ 6 ของตาราง

สรุปตารางคะแนนยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2025-26 ล่าสุด

อันดับที่ 1 : บาเยิร์น ชนะ 4 นัด 12 คะแนน ประตูได้ +11
อันดับที่ 2 : อาร์เซนอล ชนะ 4 นัด 12 คะแนน ประตูได้ +11
อันดับที่ 3 : อินเตอร์ มิลาน ชนะ 4 นัด 12 คะแนน ประตูได้ +10
อันดับที่ 4 : ดอร์ทมุนด์ ชนะ 3 เสมอ 1 นัด 10 คะแนน ประตูได้ +6
อันดับที่ 5 : เชลซี ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1 นัด 10 คะแนน ประตูได้ +6
อันดับที่ 6 : แมนฯ ซิตี้ ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 1 นัด 10 คะแนน ประตูได้ +5
อันดับที่ 7 : เปแอสเช ชนะ 3 แพ้ 1 นัด 9 คะแนน ประตูได้ +9
อันดับที่ 8 : นิวคาสเซิล ชนะ 3 แพ้ 2 นัด 9 คะแนน ประตูได้ +7
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อันดับที่ 9 : เรอัล มาดริด ชนะ 3 แพ้ 1 นัด 9 คะแนน ประตูได้ +6
อันดับที่ 10 : ลิเวอร์พูล ชนะ 3 แพ้ 1 นัด 9 คะแนน ประตูได้ +5
อันดับที่ 11 : กาลาตาซาราย ชนะ 3 แพ้ 2 นัด 9 คะแนน ประตูได้ +1
อันดับที่ 12 : สเปอร์ส ชนะ 2 เสมอ 2 นัด 8 คะแนน ประตูได้ +5
อันดับที่ 13 : เลเวอร์คูเซน ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1 นัด 8 คะแนน ประตูได้ -2

โดยจากทั้งหมด 36 ทีม จะคัดเอาทีมที่มีคะแนนดีที่สุด 8 อันดับแรก ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนอันดับที่ 9-24 จะต้องมาประกบคู่แข่งแบบเหย้า-เยือน เพื่อหาอีก 8 ทีมผ่านเข้ารอบตามไป ส่วนทีมที่อันดับต่ำกว่าอันดับ 25 จะตกรอบทันที ตรวจสอบตารางคะแนนยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกทั้ง 36 ทีม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ถ้าจะ พูดเรื่องสมมุติในภาษาอังกฤษ ต้องพูดอย่างไร คำตอบอยู่ตรงนี้!

เรียนรู้การ พูดเรื่องสมมุติในภาษาอังกฤษ อย่างถูกต้อง พร้อมโครงสร้างประโยค ตัวอย่างการใช้จริง และเทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารของคุณราบรื่นไม่มีสะดุด

พูดเรื่องสมมุติในภาษาอังกฤษ พูดเหมือนของไทยหรือเปล่า

ภาษาไทยและภาษาอังกฤษมีวิธีการพูดเรื่องสมมุติที่คล้ายคลึงกันในแนวคิด แต่แตกต่างกันในเชิงโครงสร้างไวยากรณ์และการเลือกใช้คำ ตัวอย่างเช่น ในภาษาไทยเรามักใช้คำนำหน้าเช่น “ถ้า” หรือ “หาก” เพื่อบอกถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้หรือไม่เป็นจริง เช่น “ถ้าฉันรวย ฉันจะซื้อบ้านหลังใหญ่” ในภาษาอังกฤษจะใช้ “if” เป็นคำเริ่มต้น เช่น If I were rich, I would buy a big house.

ความแตกต่างที่สำคัญ

  • โครงสร้างประโยค
  • ภาษาไทย: ใช้คำเชื่อมแบบง่ายและมีลำดับคำที่ยืดหยุ่น
  • ภาษาอังกฤษ: ต้องการรูปแบบไวยากรณ์ที่ชัดเจน เช่น การเปลี่ยน tense ตามประเภทของสมมุติ
  • การแบ่งประเภทของสมมุติ
  • ภาษาไทยมักไม่เน้นการแบ่งชัดเจนระหว่างสถานการณ์จริงและไม่จริง
  • ภาษาอังกฤษแบ่งสมมุติออกเป็น 3 ประเภทหลัก: สมมุติที่เป็นจริง (Real Conditional), สมมุติที่ไม่จริงในปัจจุบัน (Unreal Present), และสมมุติที่ไม่จริงในอดีต (Unreal Past)

ตัวอย่างการเปรียบเทียบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

  • ภาษาไทย: ถ้าฝนตก ฉันจะไม่ไปตลาด
  • ภาษาอังกฤษ: If it rains, I will not go to the market.
  • ภาษาไทย: ถ้าฉันเป็นนก ฉันจะบินได้
  • ภาษาอังกฤษ: If I were a bird, I could fly.

เมื่อจะสมมุติต้องพูดอย่างไร

เมื่อพูดถึงเรื่องสมมุติในภาษาอังกฤษ สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้โครงสร้างที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยมีหลักการเบื้องต้นดังนี้:

  • เลือกประเภทของสมมุติ
  • Real Conditional (สมมุติที่เป็นจริง) ใช้พูดถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคต

โครงสร้าง: If + Present Simple, … will + base verb เช่น If I finish my homework, I will watch TV.

  • Unreal Present (สมมุติที่ไม่จริงในปัจจุบัน) ใช้พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบันหรืออนาคต

โครงสร้าง: If + Past Simple, … would/could/might + base verb เช่น “If I were rich, I would travel the world.”

  • Unreal Past (สมมุติที่ไม่จริงในอดีต) ใช้พูดถึงสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในอดีต

โครงสร้าง: If + Past Perfect, … would/could/might have + past participle เช่น If I had studied harder, I would have passed the exam.

  • คำเชื่อมอื่น ๆ นอกเหนือจาก If
  • ใช้ What if เพื่อเริ่มต้นคำถามสมมุติ What if we missed the train?
  • ใช้ Suppose หรือ Imagine เพื่อสร้างประโยคสมมุติ Suppose you won the lottery. What would you do?”

โครงสร้างต่าง ๆ ที่นำไปใช้เมื่อพูดเหตุการณ์สมมุติ

  1. Real Conditional (สมมุติที่เป็นจริง) ใช้พูดถึงสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในปัจจุบันหรืออนาคต

โครงสร้าง: If + Present Simple, … will/can/may + base verb

ตัวอย่าง

If it rains tomorrow, we will cancel the picnic. ถ้าพรุ่งนี้ฝนตกเราจะยกเลิกไปปิคนิคกัน

If you study hard, you can achieve your goals. ถ้าเราเรียนหนักเราจะสำเร็จตามเป้าหมาย

  1. Unreal Present (สมมุติที่ไม่จริงในปัจจุบัน) ใช้พูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน

โครงสร้าง: If + Past Simple, … would/could/might + base verb

ตัวอย่าง

If I were a millionaire, I would buy a mansion. ถ้าฉันเป็นเศรษฐีฉันจะซื้อคฤหาสน์สักหลัง (ความจริง:ในขณะที่พูดฉันไม่ได้เป็นเศรษฐี)

If she knew the answer, she could tell us. ถ้าเธอรู้คำตอบเธอคงบอกเรา (ความจริง:เธอไม่รู้คำตอบ)

  1. Unreal Past (สมมุติที่ไม่จริงในอดีต) ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในอดีต

โครงสร้าง: If + Past Perfect, … would/could/might have + past participle

ตัวอย่าง

If I had known about the meeting, I would have attended. ถ้าผมรู้เรื่องการประชุมผมคงเข้าร่วมประชุม (ความจริง :เขาไม่รู้ว่ามีการประชุม เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการประชุม)

If they had arrived earlier, they could have caught the train. หากพวกเขามาถึงเร็วกว่านี้ พวกเขาก็คงจะขึ้นรถไฟได้ (ความจริง :พวกเขามาช้า จึงขึ้นรถไฟไม่ทัน)

  1. การใช้ What if ใช้ตั้งคำถามหรือสมมุติสถานการณ์

ตัวอย่าง

What if we don’t finish the project on time? จะเป็นอย่างไรถ้าเราทำโครงการไม่เสร็จตรงเวลา?

What if you were the CEO of this company? จะเป็นอย่างไรหากคุณเป็น CEO ของบริษัทนี้?

  1. การใช้ Suppose หรือ Imagine ใช้เพื่อให้ผู้อื่นคิดหรือจินตนาการถึงสถานการณ์สมมุติ

ตัวอย่าง

Suppose you were invisible for a day. What would you do? สมมติว่าคุณล่องหนได้หนึ่งวัน คุณจะทำอะไร?

Imagine living on a deserted island. How would you survive? ลองนึกภาพการใช้ชีวิตบนเกาะร้าง คุณจะรอดได้อย่างไร?

ตัวอย่างประโยค พูดเรื่องสมมุติในภาษาอังกฤษ พร้อมนำไปใช้จริง

  1. สมมุติเกี่ยวกับอนาคต
  • If I get a scholarship, I will study abroad. ถ้าฉันได้ทุนฉันจะไปเรียนต่างประเทศ
  • If we win the match, we will celebrate together. ถ้าเราชนะการแข่งขันเราจะฉลองด้วยกัน
  • If the weather is nice tomorrow, we can have a picnic. ถ้าพรุ่งนี้อากาศดี เราอาจไปปิกนิกกันได้
  • If she applies for the job, she might get it. ถ้าเธอสมัครงานนี้ เธออาจจะได้งาน
  • What if the project gets delayed? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโครงการล่าช้า
  • If they arrive early, we will start the meeting on time. ถ้าพวกเขามาเร็ว เราจะเริ่มประชุมตรงเวลา
  • If you study harder, you can achieve your dreams. ถ้าคุณขยันเรียนมากขึ้น คุณสามารถทำตามฝันได้
  • If I save enough money, I will buy a new car. ถ้าฉันเก็บเงินได้เพียงพอ ฉันจะซื้อรถใหม่
  • If we don’t act now, the situation will get worse. ถ้าเราไม่ลงมือทำตอนนี้ สถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม
  1. สมมุติเกี่ยวกับปัจจุบัน
  • If I were you, I would talk to the manager. ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไปคุยกับผู้จัดการ
  • If she had more time, she could join us for lunch. ถ้าเธอมีเวลามากกว่านี้ เธอคงมาทานข้าวกับเราได้
  • If I knew his phone number, I would call him. ถ้าฉันรู้เบอร์โทรศัพท์ของเขา ฉันคงโทรหาเขาแล้ว
  • If we lived closer, we could meet more often. ถ้าเราอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ เราคงเจอกันบ่อยขึ้น
  • If I had enough money, I would buy that house. ถ้าฉันมีเงินเพียงพอ ฉันคงซื้อบ้านหลังนั้นแล้ว
  • If I were taller, I could join the basketball team. ถ้าฉันสูงกว่านี้ ฉันคงเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลได้
  1. สมมุติเกี่ยวกับอดีต
  • If I had studied harder, I would have passed the exam. ถ้าฉันตั้งใจเรียนมากกว่านี้ ฉันคงสอบผ่านแล้ว
  • If she had called me, I would have helped her. ถ้าเธอโทรหาฉัน ฉันคงช่วยเธอไปแล้ว
  • If I had brought my umbrella, I wouldn’t have gotten wet. ถ้าฉันพกร่มมาด้วย ฉันคงไม่เปียกฝน
  • If you had told me earlier, I could have prepared better. ถ้าคุณบอกฉันเร็วกว่านี้ ฉันคงเตรียมตัวได้ดีกว่านี้
  • If I had taken that opportunity, my life would have been different. ถ้าฉันคว้าโอกาสนั้นไว้ ชีวิตของฉันคงแตกต่างออกไป
  • If they had practiced more, they would have won the competition. ถ้าพวกเขาฝึกซ้อมมากกว่านี้ พวกเขาคงชนะการแข่งขัน
  1. ตัวอย่างสถานการณ์สมมุติในชีวิตประจำวัน
  • If I had more free time, I would exercise every morning. ถ้าฉันมีเวลาว่างมากกว่านี้ ฉันจะออกกำลังกายทุกเช้า
  • If you cooked dinner, I could wash the dishes. ถ้าคุณทำอาหารเย็น ฉันจะล้างจานให้
  • If we didn’t have this meeting today, I would go to the park. ถ้าเราไม่มีประชุมวันนี้ ฉันจะไปสวนสาธารณะ
  • If she knew how to drive, she could take the car to work. ถ้าเธอขับรถได้ เธอจะสามารถขับรถไปทำงาน
  • If I were you, I would ask for help from a friend. ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
  • What if it rains tomorrow? Should we bring umbrellas? ถ้าฝนตกพรุ่งนี้ล่ะ? เราควรเอาร่มไปไหม?

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เปิดรพ.สนาม 2 แห่ง พื้นที่หาดใหญ่ ที่สนามบิน-รพ.สงขลานครินทร์

น้ำท่วมหาดใหญ่ เปิดรพ.สนาม 2 แห่งดูแลผู้ป่วย สธ.รายงานการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม พื้นที่ภาคใต้ ฉบับที่ 1

กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) รายงาน การดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม พื้นที่ภาคใต้ ฉบับที่ 1 ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568

ภาพรวมสถานการณ์

นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ผ่านระบบทางไกล กับผู้บริหารในพื้นที่ภาคใต้ พบว่า ขณะนี้หลายจังหวัด ยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม(น้ำท่วมหาดใหญ่)

โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา คาดว่าระดับน้ำจะยังสูงอีก 2-3 วัน โรงพยาบาลหาดใหญ่ ระบบไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ แต่ยังไม่เสถียร ต้องส่งต่อ ผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลใหญ่ พื้นที่ใกล้เคียง จำนวน 89 ราย

การช่วยเหลือ/สนับสนุนการดำเนินงาน

  • โรงพยาบาลหาดใหญ่ ทยอยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักโดยเฮลิคอปเตอร์จากหน่วยงานต่างๆ 4 ลำณ เวลา 16.45 น. ส่งผู้ป่วยแล้ว 46 ราย แยกเป็น ไปโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ 33 ราย โรงพยาบาลสงขลา 12 ราย และ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช 1 ราย พร้อมจัดหาถังออกซิเจนสำรองประมาณ 200 ถัง เพื่อดูแลผู้ป่วย ที่อยู่ในโรงพยาบาล รวมถึงจัดเตรียมอาหารสำหรับผู้ป่วยและญาติมื้อละ 3,000 ชุด
  • โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ส่งทีมบุคลากรการแพทย์ (ผลัดแรก) 18 คน เสริมกำลังโรงพยาบาลหาดใหญ่ และ กรมการแพทย์จะส่งแพทย์ 9 คน (อายุรแพทย์ กุมารแพทย์ วิสัญญีแพทย์) พยาบาล 29 คน เดินทางสนับสนุนเพิ่มเติม เย็นวันที่ 25 พฤศจิกายน นี้
  • กรมการแพทย์จัดส่งรถล้างไตเคลื่อนที่และทีมล้างไต สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยล้างไต ที่โรงพยาบาลสนาม สนามบินหาดใหญ่ พร้อมให้บริการได้เช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน นี้
  •  กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งทีมวิศวกรไฟฟ้าพร้อมวิทยุสื่อสาร 30 เครื่อง เข้าสนับสนุนในพื้นที่

การดูแลผู้ประสบอุทกภัย

  • เปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง 1.โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาสงขลานครินทร์ จำนวน 50 เตียง บริหารจัดการโดย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
    2.โรงพยาบาลสนาม สนามบินหาดใหญ่ จำนวน 50 เตียง บริหารจัดการโดยโรงพยาบาลสงขลา มี นายแพทย์รัตนพล ล้อประเสริฐกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลา เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม
  • ศูนย์พักพิงโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ ซึ่งมีผู้พักพิง 1,800 คน ได้จัดทีมดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต ป้องกันควบคุมโรค และอนามัยสิ่งแวดล้อม พร้อมสนับสนุนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 5,000 โดส ยา/เวชภัณฑ์ต่างๆ ประมาณ 17,000 ชุด

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


8 ขนมปังที่ดีต่อสุขภาพที่สุด จัดอันดับโดยนักโภชนาการ

8 อันดับ “ขนมปัง” ที่ดีต่อสุขภาพที่สุด จากการจัดอันดับโดยนักโภชนาการ

ประเภทของ ขนมปัง ที่ดีต่อสุขภาพที่สุดนั้นอาจขึ้นอยู่กับความต้องการด้านสุขภาพส่วนบุคคลของคุณ ขนมปังโฮลเกรนงอก (Sprouted Grain) โฮลวีต ข้าวไรย์ และซาวร์โด (Sourdough) ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากให้ไฟเบอร์และสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการรักษาสุขภาพที่ดี

1. ขนมปังธัญพืชงอก (Sprouted Grain)

ขนมปังธัญพืชงอกทำมาจากธัญพืชเต็มเมล็ดที่ถูกนำไปแช่น้ำจนเริ่มงอกหรือเกิดการแตกหน่อ เนื่องจากทำจากธัญพืชเต็มเมล็ด ทำให้ขนมปังชนิดนี้ให้ไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุมากกว่าขนมปังขาว การงอกจะช่วยเพิ่มโปรตีนในธัญพืชบางชนิดและทำให้ย่อยง่ายขึ้น

นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ และลดสารที่เรียกว่า “สารต้านสารอาหาร” (Antinutrients) อย่างไฟเตต ซึ่งขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุ สิ่งนี้อาจช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม เหล็ก และสังกะสีจากขนมปังได้มากขึ้น งานวิจัยบางส่วนชี้ว่าขนมปังธัญพืชงอกอาจช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยลดการเพิ่มขึ้นของกลูโคสหลังรับประทานอาหาร

2. ขนมปังโฮลวีต (Whole Wheat)

ขนมปังโฮลวีตทำจากแป้งสาลีที่ยังคงเมล็ดข้าวสาลีทั้งหมดไว้ รวมถึงรำข้าว เอนโดสเปิร์ม และจมูกข้าว ส่วนรำข้าวและจมูกข้าว ซึ่งถูกกำจัดออกไปจากขนมปังขาวในระหว่างการแปรรูป จะมีไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก และวิตามินบีสูง

แม้ว่าขนมปังขาวบางชนิดจะมีการเติมวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดกลับเข้าไป แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีไฟเบอร์ ไฟเบอร์จากโฮลวีตและธัญพืชเต็มเมล็ดอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการรักษาระบบย่อยอาหารให้แข็งแรง

3. ขนมปังซาวโดวจ์ (Sourdough)

ขนมปังซาวโดวจ์ทำโดยการหมักยีสต์และแบคทีเรียกรดแล็กติก กระบวนการตามธรรมชาตินี้ช่วยเพิ่มความพร้อมของสารอาหารและทำลายกลูเตนบางส่วน ซึ่งเป็นโปรตีนในข้าวสาลีที่ย่อยยาก นอกจากนี้การหมักยังช่วยลดปริมาณ FODMAPs ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตสายสั้นที่ดูดซึมได้ไม่ดีในลำไส้เล็ก

ผลที่ตามมาคือ ขนมปังซาวโดวจ์อาจทนทานต่อระบบทางเดินอาหารได้ง่ายกว่า สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ขนมปังซาวโดวจ์หนึ่งชิ้นที่ทำจากแป้งขาวที่เสริมคุณค่า มีโปรตีนสูงถึง 7.67 กรัม

4. ขนมปังมัลติเกรน (Multigrain)

ขนมปังมัลติเกรนทำจากธัญพืชหลายชนิดรวมกัน เช่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ เมื่อธัญพืชเหล่านี้เป็นธัญพืชเต็มเมล็ด ขนมปัง ชนิดนี้จะมีไฟเบอร์ โปรตีน และสารอาหารสำคัญอื่น ๆ สูง อย่างไรก็ตาม ขนมปังมัลติเกรนบางยี่ห้อทำจากแป้งขาวที่ผ่านการขัดสีเป็นหลักและโรยด้วยเมล็ดพืชเล็กน้อย ซึ่งลดคุณค่าทางโภชนาการลง

ดังนั้น ให้มองหาขนมปังที่ทำจากธัญพืช 100% เพื่อให้ได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด ขนมปังมัลติเกรนหนึ่งชิ้นให้ไฟเบอร์ 3.18 กรัม หรือ 11.3% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

5. ขนมปังข้าวไรย์ (Rye)

ขนมปังข้าวไรย์มีสีเข้มกว่าและมีรสชาติเข้มข้นกว่าขนมปังข้าวสาลี สามารถทำจากแป้งข้าวไรย์ล้วน ๆ แต่ส่วนใหญ่ในร้านค้าจะผสมแป้งข้าวไรย์และแป้งข้าวสาลี ข้าวไรย์มีไฟเบอร์สูงเช่นเดียวกับธัญพืชเต็มเมล็ดอื่น ๆ

ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า เมื่อเทียบกับขนมปังข้าวสาลีแล้ว ขนมปังข้าวไรย์อาจมีผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

6. ขนมปังแฟลกซ์ (Flax)

ขนมปังเมล็ดแฟลกซ์มักทำจากแป้งโฮลเกรนที่มีการเติมเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์อุดมไปด้วยไฟเบอร์และกรดอัลฟา-ไลโนเลนิก (ALA) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ลิกแนน ซึ่งสามารถช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และการอักเสบได้

7. ขนมปังข้าวโอ๊ต (Oat)

ขนมปังข้าวโอ๊ตทำจากการผสมผสานระหว่างข้าวโอ๊ตและแป้งโฮลวีต ข้าวโอ๊ตเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่เรียกว่าเบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอล การศึกษาเก่า ๆ พบว่าการเพิ่มแป้งข้าวโอ๊ตในขนมปังอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงได้

8. ขนมปังไร้กลูเตน (Gluten-Free)

ขนมปังไร้กลูเตนจำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นโรคช่องท้อง (Celiac disease) หรือผู้ที่มีความไวต่อกลูเตน ขนมปัง เหล่านี้ทำจากธัญพืชที่ไม่มีกลูเตน เช่น ข้าว ข้าวฟ่าง หรือควินัว แม้ว่าขนมปังไร้กลูเตนบางชนิดจะผ่านการแปรรูปสูงและมีไฟเบอร์ต่ำ แต่ชนิดที่ทำจากธัญพืชเต็มเมล็ดก็ยังเป็นตัวเลือกที่อุดมด้วยสารอาหารได้

วิธีการเลือก ขนมปัง ที่ดีต่อสุขภาพ

คุณค่าทางโภชนาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ การอ่านฉลากจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าขนมปังชนิดใดเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้าวไรย์ มัลติเกรน หรือซาวร์โด มีข้อควรสังเกตดังนี้  

  • ทำจากธัญพืชเต็มเมล็ด 100%: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนผสมแรกคือ “แป้งโฮลวีต” หรือธัญพืชเต็มเมล็ดอื่น ๆ หากฉลากระบุว่า “แป้งเสริมคุณค่า” แสดงว่าเป็นแป้งที่ผ่านการขัดสี
  • มีไฟเบอร์สูง: ตั้งเป้าหมายให้มีไฟเบอร์อย่างน้อย 3 กรัมต่อชิ้น
  • ปริมาณโปรตีน: เลือกขนมปังที่มีโปรตีน 3–6 กรัมต่อชิ้น เพื่อช่วยให้อิ่มนานขึ้น
  • น้ำตาลที่เติมต่ำ: ขนมปัง แม้กระทั่งชนิดโฮลเกรน ก็อาจเป็นแหล่งของน้ำตาลที่เติมได้ เลือกรุ่นที่มีน้ำตาลที่เติมต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปริมาณน้อยกว่า 2 กรัมต่อชิ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 26/11/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a63,350.0063,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%4,095.0062,080.2064,250.00
ทองรูปพรรณ 90%3,685.5055,872.18n/a
ทองรูปพรรณ 80%3,276.0049,664.16n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,842.7527,936.09n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,433.2521,728.07n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%4,243.5264,331.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 26/11/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9531.8531.8532.6531.8531.8531.8531.8531.8531.85
แก๊สโซฮอล์ 9131.4831.4831.9831.4831.4831.4831.4831.4831.48
แก๊สโซฮอล์ E2029.6429.6430.4429.6429.6429.6429.6429.64
แก๊สโซฮอล์ E8527.5927.5927.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.0449.5449.8440.04
เบนซิน 9540.1449.5140.6440.2940.14
ดีเซล30.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.9430.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.4445.6449.8445.6443.44
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า