สาระน่ารู้ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

“สโคป หลังสวน” แมนฮัตตันแห่งกรุงเทพฯ สร้างสถิติใหม่ ‘ราคาปล่อยเช่าต่อตร.ม.สูงสุด’

“สโคป หลังสวน” แมนฮัตตันแห่งกรุงเทพฯ สร้างสถิติใหม่ ‘ราคาปล่อยเช่าต่อตร.ม.สูงสุด’

“สโคป หลังสวน” โครงการคอนโดมิเนียมหรู ที่ บริษัท สโคป จำกัด ภายใต้การนำของ นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง ได้ครอบครองกรรมสิทธิ์บนที่ดิน “Freehold” ผืนประวัติศาสตร์ในย่านหลังสวน ทำเลศักยภาพ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ด้วยมูลค่าสูง และหายากยิ่ง

จากจุดแข็ง ความชำนาญ ในทุกมุมของการพัฒนา จุดพลุ ให้ “สโคป หลังสวน” เป็นคอนโดมิเนียมคุณภาพระดับโลก บนถนนหลังสวน ประหนึ่งย่านแมนฮัตตัน ของกรุงเทพฯ ทำเลซึ่งที่ดินราคาสูงที่สุดในประเทศและมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

สะท้อนจากการสร้างสถิติใหม่ด้วยราคาปล่อยเช่าต่อตารางเมตรสูงสุดในทำเล ใจกลางย่านธุรกิจ (CBD) รายล้อมไปด้วยสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะขนาดใหญ่รวมถึงโรงพยาบาลชั้นนำครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพชั้นนำบนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2,500 ตารางเมตร ที่เพลิดเพลินไปกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ไม่มีที่ใดเทียบได้ ด้วยการบริหารจัดการและสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือระดับมาตรฐาน “Acqua” จึงมอบความคุ้มค่าสูงสุดทั้งเพื่อการอยู่อาศัย การปล่อยเช่าหรือเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น 

นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด กล่าวว่า “โครงการ สโคป หลังสวน สร้างสถิติใหม่ราคาปล่อยเช่าต่อตารางเมตรสูงสุดในกรุงเทพฯ คือ 2,500 บาทต่อตารางเมตร ถือเป็น rare gem – อัญมณีล้ำค่าที่หายาก ที่ผสมผสานคุณภาพเข้ากับดีไซน์โดดเด่นและไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตที่ผู้คนถวิลหา กับการเป็นเจ้าของทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold บนถนนหลังสวนซึ่งมีมูลค่าเพิ่มทุกขณะแบบที่ยากจะหาข้อเปรียบเทียบ”

นายยงยุทธ กล่าวเสริมว่า “หลังสวน เปรียบเสมือนย่าน ‘แมนฮัตตันของกรุงเทพฯ’ เป็นหนึ่งในทำเลที่หายากและมีชื่อเสียงของกรุงเทพฯ คือเป็นย่านที่มีความน่าอยู่ สงบ สวยงาม ทันสมัย ผสมผสานความมีชีวิตชีวากลางใจเมือง ทั้งการพักผ่อน เติมพลังชีวิตในสวนสาธารณะ เช่น สวนลุมพินี การชอปปิง ย่านธุรกิจ สถานศึกษาชั้นนำ โรงแรมและร้านอาหารชั้นนำ สิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพครบครัน เดินทางสะดวก ทำให้เกิดความต้องการสูงในชาวไทยและต่างชาติ ย่านนี้จึงครองแชมป์ด้านมูลค่าราคาของกรุงเทพฯ และประเทศไทย”

สอดคล้องกับ นายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ (หรือ “คิม”) นักวิเคราะห์การลงทุนชื่อดัง จากช่อง “Kim Property Live” ทาง YouTube ได้แสดงความคิดเห็นว่า “หลังสวนนับเป็นย่านซึ่งที่ดินอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในย่านใจกลางกรุงเทพฯ พิสูจน์ได้จากราคาต่อตารางเมตรที่สูงที่สุด และยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะโครงการที่เป็น Freehold มูลค่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมมองว่าผู้ที่ซื้อโครงการสโคป หลังสวน ไม่ได้ลงทุนแค่ในอสังหาริมทรัพย์คุณภาพเท่านั้น แต่ยังได้เป็นการซื้อสังคมที่มีไลฟ์สไตล์และคุณค่าร่วมกัน เนื่องจากสโคป หลังสวนสามารถมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับเมื่อเทียบกับคอนโดหรูที่มีในเมืองไทย ทุกรายละเอียดผ่านกระบวนการคิดและการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันจากตัวจริงด้านการทำคอนโดคุณภาพ ที่ทุ่มเทใส่ใจตั้งแต่การเลือกบริษัทที่ปรึกษาสถาปนิกระดับโลกอย่าง Kohn Pedersen Fox (KPF) ด้านการออกแบบตัวอาคาร และนักออกแบบภายในชื่อดังอย่าง Thomas Juul-Hansen จึงเป็นการทั้งเพิ่มและรักษามูลค่าโครงการให้กับผู้ซื้ออย่างไม่ต้องสงสัย”

ล่าสุดจากรายงานของ Expat Insider 2024 โดย InterNations ที่ระบุว่า เมืองไทย ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ชาวต่างชาติต้องการมาอยู่อาศัยและทำงานมากที่สุดเป็นลำดับที่ 6 จาก 53 ประเทศที่ทำการสำรวจทั่วโลก ซึ่งยิ่งทำให้กรุงเทพฯ และย่านหลังสวนกลายเป็นที่หมายตาของ Expat

Freehold ผืนท้ายๆ ในย่านหลังสวน

“สโคป หลังสวน” นับเป็นโครงการที่อยู่อาศัยบนที่ดิน Freehold ผืนท้ายๆ ในย่านหลังสวน ทำเลที่มีมูลค่าสูงและหาได้ยากมากในกรุงเทพฯ เนื่องจากการพัฒนาที่หนาแน่นกลางใจเมืองที่มีความโดดเด่นด้วยทำเลที่อยู่ใกล้สวนลุมพินีซึ่งเป็นแหล่งพักผ่อนยอดนิยม อีกทั้งยังมีการเชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกทั้ง BTS และ MRT ที่ใกล้กับย่านธุรกิจ (CBD) อย่าง สุขุมวิท สีลม และสยาม ซึ่งเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง บวกกับพื้นที่ที่ดินที่มีอยู่จำกัด จึงทำให้ที่ดิน Freehold ในย่านนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจาก นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ผู้ซื้อชาวต่างชาติมีความสนใจเข้ามาอยู่อาศัยและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยมากขึ้น  และการได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย Freehold ในย่านนี้จึงถือเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าเพิ่มในระยะยาวทั้งจากมูลค่าทรัพย์สินที่สูงขึ้นและทำเลที่คงความพิเศษเสมอ

คุณภาพและการออกแบบคือหัวใจ

ไม่เพียงแต่เน้นความสวยงาม และรสนิยมแล้ว “สโคป หลังสวน” ยังลงทุนในองค์ประกอบต่างๆ ที่ให้คุณค่าและความสะดวกสบายที่ยั่งยืน สโคปสร้างมาตรฐานใหม่ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงในเมืองไทย มุ่งมั่นที่จะพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยระดับโลกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคอนโดมิเนียมร่วมสมัยที่ดีที่สุดในนิวยอร์กและลอนดอน เราให้ความสำคัญกับการออกแบบที่ทันสมัย การใช้งานจริง และความทนทานในระยะยาว อาทิ หน้าต่างบานสูงเพื่อรับแสงธรรมชาติ เครื่องใช้ในครัวระดับไฮเอนด์  และระบบต่างๆ ที่ซ่อนอยู่หลังผนัง บนเพดาน และใต้พื้น อาทิ เครื่องปั่นไฟเต็มกำลัง (ที่เดียวในไทย ระดับเดียวกับโรงพยาบาลชั้นนำ) เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไฟในสโคปจะไม่มีสะดุด มอบความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความสะดวกสบายอย่างที่สุด ทำให้เราแตกต่างและภูมิใจที่จะมอบโอกาสอันหายากในการเป็นเจ้าของในย่านที่เป็นที่ต้องการและเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ

เพิ่มคุณค่าการใช้ชีวิต และมูลค่าการลงทุน

จากพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2,500 ตารางเมตร ซึ่งจัดเต็มด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพสูงที่หลากหลาย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้อยู่อาศัยจะได้รับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยสามารถเพลิดเพลินกับห้องชมภาพยนตร์ส่วนตัวคุณภาพระดับโรงภาพยนตร์ ห้องดนตรีพร้อมอุปกรณ์ดนตรีครบครัน ห้องสปาส่วนตัว และพื้นที่เฉพาะอื่นๆ ที่ออกแบบมาสำหรับทุกแง่มุมของชีวิต

นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดเด่นที่ไม่มีใครเหมือน กับ Maid Quarter for Rent อันเป็นเอกลักษณ์ พื้นที่พักอาศัยแยกต่างหากสำหรับผู้ช่วยส่วนตัว และบริการดูแลสัตว์เลี้ยงภายในโครงการ โดยมีพาร์ทเนอร์ คือ โรงพยาบาลสัตว์อารักษ์ และ Wigglyville ให้บริการอาบน้ำตัดขนและดูแลสัตว์เลี้ยงของผู้อยู่อาศัยระดับมืออาชีพ

“สโคป หลังสวน” เป็นคอนโดมิเนียมคุณภาพพรีเมียมระดับนานาชาติ สูง 34 ชั้น ประกอบด้วยยูนิตพักอาศัยคุณภาพเพียง 133 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดบนถนนหลังสวน อยู่ในทำเลที่สะดวก ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลมเพียง 140 เมตร และห่างจากสวนลุมพินีที่เงียบสงบ 900 เมตร โครงการนี้รายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง อย่าง โรงเรียนมาแตร์เดอี ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโครงการ และโรงเรียนนานาชาติรีเจนท์ หลังสวน ห่างออกไปเพียง 300 เมตร

นี่คือโครงการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนที่มูลค่าสูง นับเป็นอัญมณีล้ำค่าที่หายากยิ่ง สำหรับ “สโคป หลังสวน”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


หนี้ครัวเรือนฉุดตลาดอสังหาฯ ปี 67 หดตัวแรง ดันสต๊อกบ้านพุ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี

เกียรตินาคินภัทร ชี้ หนี้ครัวเรือนฉุดตลาดอสังหาฯ ปี 67 หดตัวหนัก  ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะลดลง 15% หรือประมาณ 320,000 หน่วย ซเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี  คาด ปี68ฟื้นตัวอย่างช้าๆ

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี2567โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เผชิญกับความท้าทายหนัก เศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง ยอดปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่ง กระทบยอดสะสมของสินค้าคงค้างที่อยู่อาศัยใหม่พอกพูนมากขึ้น

จากการวิเคราะห์ของ สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ที่ระบุว่า คาดการณ์ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล เผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

โดยมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวนี้ได้แก่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในระดับสูง และการสะสมของสินค้าคงค้าง (inventory) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการระดับราคาสูง ซึ่งอาจนำไปสู่การอิ่มตัวในตลาดสินค้าระดับนี้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมีมากขึ้นเช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดมีการฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลใหม่ ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์

กำลังซื้อหด ยอดโอนที่อยู่อาศัยปี 2567 สะดุด

จากการคาดการณ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะลดลง 15% หรือประมาณ 320,000 หน่วย ซึ่งเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปีโดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะลดลง 8% และในภาคตะวันออกลดลงถึง 11% สาเหตุหลักมาจากการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงเข้มงวด ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
 

แนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567

การเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่มียอดเปิดตัวลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 2566 โครงการแนวราบก็มีการชะลอการเปิดตัวเช่นกันแต่ลดลงในอัตราที่น้อยกว่า (3%) ตลาดบ้านเดี่ยวมีการเติบโตถึง 60% ในเขตปริมณฑล ขณะที่โครงการทาวน์เฮ้าส์กลับพบว่ามียอดเปิดตัวลดลงถึง 24% เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มระดับกลาง-ล่างลดลงอย่างชัดเจน
 

ทิศทางการพัฒนาโครงการและความต้องการในปี 2567

บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่

ในขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาทเริ่มมีสัญญาณการอิ่มตัว และสินค้าคงค้างของบ้านในระดับนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน ทาวน์เฮ้าส์กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูง
 
การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ชะลอตัว เช่น การลดต้นทุนการดำเนินงาน หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีความยั่งยืน รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มอื่นๆ เช่น โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ และสถานออกกำลังกาย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว

สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและการปฏิเสธสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยและการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างมาก

โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อย่างไรก็ตาม การโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดได้ในบางพื้นที่ ขณะที่การปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนและการขยายธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวน

ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 มีปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ย บ้านแฝด บ้านเดี่ยว 7-15 ล้านมีแนวโน้มโตดี

สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 0.5% – 0.75% ในปี 2568 จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคได้

โดยเฉพาะกลุ่มระดับกลางและล่างที่ได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนสูงในช่วงก่อนหน้า การปรับตัวของภาคบริการ ที่คาดว่าจะขยายตัวมากขึ้นในปี 2568 จะช่วยสร้างรายได้และกระตุ้นการบริโภคในวงกว้าง ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อมโยงกับภาคบริการในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยว

โดยผู้ประกอบการควรปรับเปลี่ยนพัฒนาโครงการแนวราบ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) อย่างไรก็ตามการพัฒนาบ้านเดี่ยวในราคาสูงกว่า 20 ล้านบาทอาจเผชิญภาวะอิ่มตัว แต่โครงการบ้านเดี่ยวในราคากลาง (7-15 ล้านบาท) จะยังคงเป็นตลาดที่น่าลงทุน ส่วนทาวน์เฮ้าส์ กลุ่มระดับราคากลาง-ล่าง ยังคงต้องเฝ้าระวัง จากปัญหารายได้ยังปรับไม่ทันกับราคาทาวน์เฮ้าส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาระหนี้ของกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคานี้ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนบ้านแฝดยังสามารถพัฒนาได้ และมีแนวโน้มเติบโตขึ้น
 

โอกาสของการพัฒนาโครงการคอนโดคอนโดระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีการแข่งขันสูงและกำลังซื้อที่จำกัด น่าจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2568 หากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ

อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้จะมีโอกาสในการฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้เมื่อโครงการรถไฟฟ้าสร้างใกล้แล้วเสร็จ หรือมีความชัดเจนมากขึ้น อย่าง สายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ) สายสีส้มตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์) และสายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี)

แนวโน้มการลงทุนจากต่างชาติ
ตลาดการซื้อคอนโดของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนและรัสเซีย จะยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนตลาดคอนโดในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา การพัฒนาของระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าและสนามบินจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น
 อสังหาฯ เพื่อความยั่งยืนมาแรง

แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นความยั่งยืน เช่น บ้านประหยัดพลังงาน ระบบกรองอากาศเพื่อลดมลพิษในการอยู่อาศัย การใช้วัสดุรักษ์โลก ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ จะเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้นในปี 2568 เนื่องจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพมากขึ้น การพัฒนาบ้านที่เน้นเทคโนโลยีสีเขียว (Green Tech) จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดได้
 

สรุปแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 คาดว่าจะมีการฟื้นตัวแบบช้าๆ โดยมีปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ยและการขยายตัวของภาคบริการ อย่างไรก็ตาม ตลาดคอนโดราคาต่ำยังคงเผชิญความท้าทายสูง ในขณะที่ตลาดแนวราบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับกลาง จะยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจในการลงทุน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้27พ.ย. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.72 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เหตุผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม /อาจเผชิญแรงกดดันจากความกังวลมาตรการกีดกันทางการค้าจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ระวัง! ความผันผวนจากราคาทองคำ -ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27พ.ย.2567 ที่ระดับ  34.72 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.67 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเงินบาทก็อาจยังติดอยู่แถวโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Short THB รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

อย่างไรก็ดี ต้องระวังความผันผวนจากราคาทองคำ ราคาน้ำมันดิบ ซึ่งหากปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ก็อาจกดดันเงินบาทเพิ่มเติมผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวในช่วงราคาปรับฐานได้

นอกจากนี้ ในระยะสั้น เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันจากความกังวลมาตรการกีดกันทางการค้าในรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งอาจพุ่งเป้ามายังจีน กดดันให้เงินหยวนจีน (CNY) ยังมีจังหวะโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง ในจังหวะที่เงินดอลลาร์ย่อตัว ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD หรือผู้เล่นในตลาดอาจปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เช่น เริ่มทยอยเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจติดแถวโซนแนวรับ 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากในช่วงนี้เป็นช่วงปลายเดือน ทำให้บรรดาผู้นำเข้าอาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ได้

อย่างไรก็ตาม ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ PCE และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.55-34.85 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 34.59-34.77 บาทต่อดอลลาร์) โดยทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทนั้น ก็เป็นไปตามทิศทางของเงินดอลลาร์ที่มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังคงสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของภาคการบริการที่ขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD รวมถึงการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่แข็งค่าหลุดโซน 153 เยนต่อดอลลาร์

ซึ่งอาจได้รับอานิสงส์จากความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดกังวลแนวโน้มสงครามการค้า หลังว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา นอกจากนี้ สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว เผชิญแรงกดดันจากข่าวอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah ซึ่งอาจนำไปสู่การเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม Hamas และลดความขัดแย้งในตะวันออกกลางลงได้

แม้ว่าในช่วงแรกของการซื้อ-ขาย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกกดดันบ้างจากการประกาศเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโกและแคนาดา โดยว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าจริงก็น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าจากจีน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Amazon +3.2%, Microsoft +2.2% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.57%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงกว่า -0.57% ท่ามกลางความกังวลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมของยุโรป หากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีน เม็กซิโกและแคนาดา

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับตัวลงหนัก อาทิ Stellantis -4.8% นอกจากนี้ การปรับตัวลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ หลังอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah ก็มีส่วนกดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงานยุโรป อาทิ TotalEnergies -1.7%

ในส่วนของตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวแถวโซน 4.30% โดยมีจังหวะรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สดใส อีกทั้งรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)

สะท้อนว่า เฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากนัก เหมือนในช่วงก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมุมมองเดิมว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยแม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงโดยแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน

รวมถึง การรีบาวด์ของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่แข็งค่าหลุดโซน 153 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 106.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.5-107.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะทยอยรีบาวด์ขึ้นบ้าง แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็ถูกชะลอลง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจากข่าวอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah

อย่างไรก็ดี การย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังพอช่วยพยุงราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ให้สามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,650-2,660 ดอลลาร์

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนตุลาคม รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)

ส่วนในฝั่งเอเชีย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจลดดอกเบี้ยนโยบาย 50bps สู่ระดับ 4.25% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อที่เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1%-3% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น

นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจดูสงบลงได้บ้างในช่วงนี้ หลังอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.66-34.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.10 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทแกว่งตัวเป็นกรอบ แต่อาจต้องติดตามปัจจัยที่อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าในระหว่างวัน

โดยเฉพาะสัญญาณตึงเครียดในประเด็นด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่จุดสนใจของตลาดในวันนี้น่าจะอยู่ที่ดัชนีราคา PCE/Core PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดติดตาม เพราะจะผลต่อการประเมินโอกาสความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค. นี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.55-34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ข้อมูลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ของจีน

และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนต.ค. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 (Prelim.)

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โม ซาลาห์ จะย้ายไปไหน? จัดเรตว่าที่ทีมใหม่ของหอก ลิเวอร์พูล

จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ โม ซาลาห์ น่าจะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล มากกว่ารับใช้สโมสรต่อตามที่เจ้าตัวเพิ่งเปิดปากกับสื่อหมาดๆ

หลังสอยตาข่ายสองประตูพา หงส์แดง บุกไปสยบ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-2 หัวหอกวัย 32 ปีระบุว่ามีโอกาสอำลาทีมมากกว่าอยู่ต่อเนื่องจากสโมสรยังไม่ได้เสนอสัญญาใหม่ให้กับเขา

ในฐานะนักเตะที่ดีที่สุดของ หงส์แดง ซึ่งซีซั่นนี้พังประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ได้ 10 ลูกจาก 12 นัดจึงเชื่อได้เลยว่ามีหลายสโมสรที่สนใจเซ็นสัญญากับสตาร์ดังซึ่งไม่มีค่าตัวในการย้ายสังกัด

อย่างไรก็ดี เป็นธรรมดาของการแข่งขันที่จะต้องมีทีมที่ส่อแววได้ตัวหัวหอกทีมชาติ อียิปต์ ไปเสริมทัพมากที่สุดโดยในกรณีนี้ เดลี่ เมล จัดอันดับออกมาดังนี้

– ซาอุดิ อาระเบีย 7/10

โปรลีก ทุ่มเงินล่าตัวดาวดังของ พรีเมียร์ลีก และลีกยุโรปมาสร้างสีสันหลายรายแล้ว และแน่นอนว่า ซาลาห์ ถือเป็นเพชรเม็ดงามอันดับหนึ่งที่พวกเขาปรารถนา

ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคุมทีม ลิเวอร์พูล อัล อิตติฮัด เคยเสนเงินขอซื้อ บังโม มาแล้วในราคาเกินกว่า 200 ล้านปอนด์ แต่ หงส์แดง เซย์โนแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้ซึ่งพวกเขามีโอกาสได้สตาร์ดังแบบฟรีๆจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทีมจากตะวันออกกลางจะยื่นข้อเสนออย่างงามโน้มน้าว ซาลาห์ ชนิดที่ เร้ด แมชีน ไม่อาจมอบให้เขาได้

ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นจริง แฟนบอล เดอะ ค็อป คงโกรธแค้นผู้บริหารสโมสรไม่น้อยที่เคยเมินเงินก้อนโต แต่เลือกไม่ต่อสัญญากับสตาร์ทีมชาติ อียิปต์ โดยยินดีเสียเขาไปแบบฟรีๆในท้ายที่สุดทั้งๆที่เขายังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม และอาจพาทีมคว้าแชมป์ได้ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ลีก

–  บาร์เซโลน่า 7/10

ทีมยักษ์จากกาตาลันกระหายเซ็นสัญญากับยอดกองหน้าแบบฟรีๆอย่างแน่นอนเนื่องจากพวกเขายังมีปัญหาทางด้านการเงิน และไม่พร้อมจ่ายค่าตัวนักเตะ

ในฐานะทีมชั้นยอดของ ลา ลีกา ปีกขวา หงส์แดง จึงอยู่ในลิสต์ของถิ่น คัมป์นู แถม บังโม อาจสนใจย้ายไปค้าเกือกในแดนกระทิงดุก็เป็นได้หลังจาก ฮันซี่ ฟลิค เนรมิตให้ บาร์เซโลน่า กลับมามีผลงานที่แข็งแกร่งอีกหน

เท่าที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า ไม่ต่างอะไรกับ เรอัล มาดริด ทีมคู่แค้นร่วมชาติที่สตาร์ดังหลายรายสนใจย้ายมาค้าแข้งกับพวกเขาทั้งนั้น และหาก บาร์ซ่า ทาบทามไปหา บังโม ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสมหวัง

และที่สำคัญ ลีลาการเล่นของ ซาลาห์ น่าจะเข้ากับสไตล์ของ บาร์เซโลน่า พอดี ฉะนั้นแล้วดีลนี้จึงน่าจับตามองไม่น้อย

– ยูเวนตุส 4/10

ทีมดังของ เซเรียอา เป็นอีกรายที่สนใจ ซาลาห์ มานานแล้ว และพยายามกระชากเขามาจาก ลิเวอร์พูล หลายหน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ

ย้อนเวลากลับไปในปี 2019 ทีม ม้าลาย เสนอเงิน 44 ล้านปอนด์บวกกับ เปาโล ดีบาล่า ขอแลกตัว บังโม แต่ถูก หงส์แดง บอกปัดอย่างไม่ใยดี

จากนั้นอีกสามปีต่อมา ยูเวนตุส กลับมาทาบทาม ซาลาห์ อีกรอบโดยเสนอสัญญามูลค่าปีละ 10 ล้านปอนด์ให้กับสตาร์วัย 32 ปีช่วงที่เขาส่อย้ายสังกัด แต่ท้ายที่สุดเขาก็ต่อสัญญาใหม่

กระทั่งล่าสุด ทีมดังแห่งตูรินมีโอกาสได้ ซาลาห์ ไปเสริมเขี้ยวเล็บแบบฟรีๆแม้จะมีแนวโน้มว่าพวกเขาน่าจะผิดหวังอีกตามเคย

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ ซาลาห์ จะต้องยอมรับค่าแรงที่ลดลงไปหลังจาก ยูเวนตุส หมดเงินไปมากเมื่อครั้งทุ่มจ่ายค่าแรงอย่างมหาศาลให้กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

– เปแอสเช 5/10

ในแง่ของค่าแรง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง พร้อมจ่ายให้ ซาลาห์ มากกว่า ลิเวอร์พูล แน่นอน อีกทั้งพวกเขาสามารถการันตีฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก ในทุกๆซีซั่นให้กับดาวยิงไอยคุปต์ได้เช่นกัน

และเพื่อสานฝันการคว้าโทรฟี่บิ๊กเอียร์มาประดับสโมสรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทีมเงินถังของ ลีกเอิง ย่อมเล็งไปที่ ซาลาห์ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เท่าที่ผ่านมาพวกเขาล้มเหลวในรายการนี้มาโดยตลอดทั้งๆที่ดึง ลิโอเนล เมสซี่ , เนย์มาร์ และสตาร์ระดับโลกหลายรายมาร่วมชายคา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเสีย คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ให้กับ เรอัล มาดริด ทีมแชมป์ลีกเมืองน้ำหอมจึงวาดหวังที่จะได้ ซาลาห์ มาเสียบแทน หากแต่คำถามสำคัญคือดาวเตะทีมชาติ อียิปต์ สนใจลดระดับไปเล่นใน ลีกเอิง ซึ่งมีการแข่งขันด้อยกว่า พรีเมียร์ลีก หรือเปล่า

– อาร์เซน่อล, เชลซี , แมนฯ ซิตี้ 3/10

แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ ซาลาห์ จะย้ายจาก ลิเวอร์พูล ไปเซ็นสัญญากับอีกสโมสรของ พรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบไม่มีค่าตัวแม้หลายทีมในลีกอิงลิชกระหายได้เขาไปร่วมทัพ

ในแง่ของความเป็นไปได้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด อาร์เซน่อล , เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ เป็นสามทีมที่อาจสมหวังเนื่องจากพวกเขาสามารถประเคนค่าแรงอย่างงามให้กับ บังโม ได้อย่างไม่มีปัญหา

อย่างไรเสีย หาก ซาลาห์ คิดหักหาญน้ำใจสาวก เดอะ ค็อป เขาก็จะเปลี่ยนสถานะจากฮีโร่เป็นอดีตนักเตะที่แฟนบอลชิงชังเช่นเดียวกับ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ย้ายไปลงเอยกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมคู่แค้นกระทั่งเด็กปั้นของรั้ว แอนฟิลด์ ยอมรับตามตรงว่าสุดเจ็บปวดที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของสโมสรเหมือนก่อนอีกแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง” โรคใกล้ตัวที่ถูกมองข้าม

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อาจไม่เป็นที่พูดถึงบ่อยครั้งนัก หากแต่สร้างความลำบาก และลดความมั่นใจ สูญเสียบุคลิกภาพที่ดีไปหากได้มีอาการของโรค

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คืออะไร ?

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง กนกวลัย กุลทนันทน์หัวหน้าภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นโรคที่มีอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ จากปฏิกิริยาภูมิแพ้และปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกัน ทำให้ผิวหนังแห้ง ระคายเคืองง่าย เกิดผื่นแดงคันตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย มักพบในเด็ก แต่ก็เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย อุบัติการณ์ของโรคนี้ในเด็กไทยพบประมาณร้อยละ 10-20 ส่วนผู้ใหญ่พบน้อยกว่า

สาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

สาเหตุของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าพันธุกรรมอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น แพ้อากาศ ไอ จามบ่อย ๆ หอบหืด หรือมีโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวก็อาจเป็นโรคนี้ได้เนื่องจากความผิดปกติทางพันธุกรรมอาจซ่อนเร้นอยู่โดยไม่เกิดอาการ

นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญคือสิ่งแวดล้อม เช่น อาหาร ไรฝุ่น สารก่อการระคาย หรือสารก่อภูมิแพ้ โดยผิวหนังของผู้ป่วยจะไว (sensitive) ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งสภาพทางกายภาพ เช่น ภาวะอากาศร้อนเกินไป เย็นเกินไป หรือสารเคมีที่ระคายผิวหนังรวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เช่น แมลง เชื้อโรค เป็นต้น

อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

อาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในผู้ป่วย มี 3 แบบ ได้แก่

  • ผื่นระยะเฉียบพลัน คือมีผื่นบวมแดงมากและคัน มี ตุ่มแดง ตุ่มน้ำ บางรายอาจมีน้ำเหลืองไหลซึมออกมา
  • ผื่นระยะกึ่งเฉียบพลัน คือผื่นและตุ่มแดง คัน มีขุย อาจมีตุ่มน้ำบ้าง แต่ไม่พบน้ำเหลืองไหลซึมบนผื่น
  • ผื่นระยะเรื้อรัง คือผื่นจะมีสีไม่แดงมากหรือออกสีน้ำตาลอาจนูนหนา คัน มีขุย และเห็นร่องผิวหนังชัดเจน

ตำแหน่งที่พบผื่นแตกต่างกันได้ตามวัยของผู้ป่วย ในวัยทารก มักจะพบผื่นผิวหนังอักเสบบ่อยบริเวณใบหน้า ซอกคอ และด้านนอกของแขนขา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ถูไถกับหมอน ผ้าปูที่นอนเพราะคันมาก ส่วนในเด็กวัยเรียนและวัยผู้ใหญ่ ผื่นผิวหนังอักเสบจะพบบ่อยบริเวณข้อพับแขน ข้อพับขา และคอ สำหรับในรายที่เป็นมากๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะภูมิแพ้ทางจมูก ตา หรือ หอบหืดร่วมด้วย หรือบางรายอาจพบรอยโรคผิวหนังอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กลากน้ำนม ขอบตาคล้ำและมีรอยย่นใต้ตา ริมฝีปากแห้งเป็นขุย เส้นลายมือชัดลึก ขนคุด ผิวสากเหมือนหนังไก่ ผิวบริเวณหน้าแข้งแตกแห้งเป็นแผ่น เป็นต้น

อาการเริ่มแรกของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ประมาณร้อยละ 50 จะพบในเด็กช่วงขวบปีแรก และประมาณร้อยละ 85 จะพบในเด็กช่วง 5 ขวบปีแรก อาการโรคมักเป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น

เมื่อผู้ป่วยอายุเพิ่มขึ้น พบว่าประมาณร้อยละ 40-50 ของผู้ป่วย อาการจะดีขึ้นเมื่ออายุ 10 ปี เด็กบางคนอาจยังคงมีอาการเรื้อรังต่อไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

ในขณะที่ผู้ป่วยบางคนอาจเริ่มมีผื่นภูมิแพ้ในช่วงวัยผู้ใหญ่ การวินิจฉัยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอาศัยจากลักษณะทางคลินิกเป็นส่วนใหญ่ การทดสอบทางผิวหนัง การเจาะเลือดตรวจแอนติบอดี้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ หรือการทดสอบการแพ้อาหาร

ไม่มีความจำเป็นสำหรับการวินิจฉัยโรคแต่ในกรณีที่ให้การรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว อาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น แพทย์อาจพิจารณาทำการทดสอบเหล่านี้ หรือเลือกการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อหาปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดโรคกำเริบ

เป้าหมายของการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

พยายามควบคุมอาการของโรค ป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ และให้อยู่ในช่วงสงบนานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าโรคจะหายไป

แนวทางการรักษา ได้แก่ การหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้อาการกำเริบ การทาสารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวหนัง ป้องกันผิวแห้ง เช่น โลชั่น ครีมบำรุงผิว ควรทาหลังอาบน้ำทันที และไม่ควรอาบน้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งยิ่งขึ้น

การใช้ยาทาลดการอักเสบของผิวหนัง 

ทาบริเวณผื่นที่มีอาการเห่อแดงอักเสบ เมื่อควบคุมอาการได้ควรลดการใช้ยาหรือหยุดยา ในรายที่ผื่นเป็นมากและเป็นบริเวณกว้าง แพทย์อาจให้ยารับประทาน ในปัจจุบันได้มีการรักษาโดยยาฉีด ซึ่งเป็นความก้าวหน้าทางการรักษาในโรคนี้ โดยแพทย์จะเลือกใช้ในรายที่มีอาการในระดับปานกลางถึงรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีทั่วไป ซึ่งควรอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ป่วยสงสัยว่ามีอาการโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง โรคที่เป็นเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว เช่น การนอน การเรียนการทำงาน ความมั่นใจ และการเข้าสังคม ผู้ป่วยบางรายอาจเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าปกคลุมผิวหนังหลายๆ ส่วนของร่างกาย เนื่องจากความอาย ซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ซึ่งหากมาพบแพทย์และทำการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันการกำเริบของผื่นได้ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต และทำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมสังคมได้อย่างปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คำนามนับไม่ได้ ภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง ที่เจอบ่อย ๆ ไปดูกัน 

คำนามที่ใช่ในการสร้างประโยคไม่ว่าจะเป็นในภาษาไทยหรือในภาษาอังกฤษนั้นล้วนแล้วแต่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ก็คือ คำนามนับได้ กับ คำนามนับไม่ได้ ซึ่งในบทความนี้ของ Engduo Thailand จะพาไปทำความรู้จักกับคำนามนับไม่ได้ว่าคืออะไร มีอะไรบ้าง แบ่งประเภทอย่างไร พร้อมกับมีตัวอย่างคำศัพท์ของคำนามนับไม่ได้ในแต่ละหมวดหมู่ว่ามีอะไรบ้างมาให้ดูอีกด้วย

คำนามนับไม่ได้คืออะไร?

คำนามนับไม่ได้ หรือ uncountable noun คือคำนามที่ไม่สามารถนับได้โดยใช้เลขบอกจำนวนได้ หากมองเป็นตาเปล่าแล้วสามารถนับเป็นชิ้นได้ยาก เช่น น้ำ (water), น้ำตาล (sugar), ข้าว (rice), เงิน (money),ความรู้ (knowledge), ความรัก (love) เป็นต้น ในการบอกจำนวนจึงมักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า เช่น a cup of tea (ชา 1 ถ้วย), three glasses of water (น้ำ 3 แก้ว)

หมายเหตุ : สิ่งที่นับไม่ได้ หมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถนับได้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่การนับโดยใช้หน่วยวัด เช่น น้ำ (water) สามารถนับเป็นลิตรได้ แต่ไม่ถือว่าเป็นนามนับได้ เพราะไม่ใช่การนับได้โดยธรรมชาติ

คำนามนับไม่ได้ในภาษาอังกฤษที่เจอบ่อยๆ 

คำนามนับไม่ได้ในภาษาอังกฤษที่เจอบ่อยๆ โดยแยกเป็นหมวดหมู่ได้ ดังนี้

General ทั่วไป 

  • Homework การบ้าน
  • Equipment อุปกรณ์
  • Luggage กระเป๋าเดินทาง
  • Clothing เสื้อผ้า
  • Furniture เฟอร์นิเจอร์
  • Machinery เครื่องจักร
  • Gold ทอง
  • Silver เงิน 
  • Cotton ฝ้าย
  • Glass แก้ว
  • Jewelry เครื่องประดับ
  • Perfume น้ำหอม
  • Soap สบู่
  • Paper กระดาษ
  • Wood ไม้
  • Petrol น้ำมันเบนซิน
  • Gasoline น้ำมันเบนซิน
  • Baggage สัมภาระ
  • Hair เส้นผม
  • Traffic การจราจร

Food อาหาร

  • Flour แป้ง
  • Meat เนื้อ
  • Rice ข้าว
  • Cake เค้ก
  • Bread ขนมปัง
  • Ice cream ไอศกรีม
  • Cheese ชีส
  • Toast ขนมปังปิ้ง
  • Pasta พาสต้า
  • Spaghetti สปาเกตตี
  • Butter เนย
  • Oil น้ำมัน
  • Honey น้ำผึ้ง
  • Soup ซุป
  • Fish ปลา
  • Fruit ผลไม้
  • Salt เกลือ
  • Tea ชา
  • Coffee กาแฟ

Subjects สาขาวิชา

  • Mathematics คณิตศาสตร์
  • Economics เศรษฐศาสตร์
  • Physics ฟิสิกส์
  • Ethics จริยธรรม
  • Recreation สันทนาการ
  • Civics พลเมือง
  • Art ศิลปะ
  • Architecture สถาปัตยกรรม
  • Music ดนตรี
  • Photography การถ่ายภาพ
  • Grammar ไวยากรณ์
  • Chemistry เคมี
  • History ประวัติศาสตร์
  • Commerce พาณิชย์
  • Engineering วิศวกรรม
  • Politics การเมือง
  • Sociology สังคมวิทยา
  • Psychology จิตวิทยา
  • Vocabulary คำศัพท์
  • Archaeology โบราณคดี
  • Poetry บทกวี

Abstract นามธรรม

  • Advice คำแนะนำ
  • Help ช่วยเหลือ
  • Fun สนุก
  • Enjoyment ความเพลิดเพลิน
  • Information ข้อมูล
  • Knowledge ความรู้
  • News ข่าว
  • Patience ความอดทน
  • Happiness ความสุข
  • Progress ความคืบหน้า
  • Confidence ความมั่นใจ
  • Courage ความกล้าหาญ
  • Education การศึกษา
  • Intelligence ปัญญา
  • Space ช่องว่าง
  • Energy พลังงาน
  • Laughter เสียงหัวเราะ
  • Peace ความสงบ
  • Pride ความภาคภูมิใจ

Weather สภาพอากาศ

  • Thunder ฟ้าร้อง
  • Lightning ฟ้าผ่า
  • Snow หิมะ
  • Rain ฝน
  • Sleet ลูกเห็บ
  • Ice น้ำแข็ง
  • Heat ความร้อน
  • Humidity ความชื้น
  • Hail ลูกเห็บ
  • Wind ลม
  • Light แสงสว่าง
  • Darkness ความมืด

Sports กีฬา

  • Golf กอล์ฟ
  • Tennis เทนนิส
  • Baseball เบสบอล
  • Basketball บาสเกตบอล
  • Cricket คริกเก็ต
  • Hockey ฮอกกี้
  • Rugby รักบี้
  • Chess หมากรุก
  • Poker โป๊กเกอร์
  • Bridge สะพาน

Languages ภาษา

  • English ภาษาอังกฤษ
  • Portuguese โปรตุเกส
  • Hindi ฮินดี
  • Arabic ภาษาอาหรับ
  • Japanese ญี่ปุ่น
  • Korean เกาหลี
  • Spanish สเปน
  • French ภาษาฝรั่งเศส
  • Russian ภาษารัสเซีย
  • Italian ภาษาอิตาลี
  • Hebrew ภาษาฮีบรู
  • Chinese ชาวจีน

Activities กิจกรรม

  • Swimming การว่ายน้ำ
  • Walking ที่เดิน
  • Driving ขับรถ
  • Jogging วิ่งออกกำลังกาย
  • Reading การอ่าน
  • Writing การเขียน
  • Listening การฟัง
  • Speaking การพูด
  • Cooking การทำอาหาร
  • Sleeping นอนหลับ
  • Studying กำลังเรียน
  • Working การทำงาน

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


‘การ์ทเนอร์’ คาด ‘AI’ ดันอุตฯเซมิคอนดักเตอร์ปี 68 โต 14%

“การ์ทเนอร์” คาดการณ์รายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก สำหรับปีนี้ตลาดจะเติบโตที่ 19% มีมูลค่าแตะ 6.3 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนในปี 2568 จะเติบโตขึ้นราว 14% คิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ 7.17 แสนล้านดอลลาร์

ราจีฟ ราชบุตร นักวิเคราะห์อาวุโส การ์ทเนอร์ กล่าวว่า หลังจากตลาดถดถอยในปี 2566 รายได้ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังฟื้นตัวและคาดว่าจะกลับมาเติบโตระดับเลขสองหลักในปีนี้และปีหน้า

การเติบโตนี้มาจากปัจจัยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และการฟื้นตัวในภาคการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ความต้องการภาคยานยนต์และภาคอุตสาหกรรมยังคงอ่อนแอ

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในระยะสั้นตลาดหน่วยความจำ (Memory) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จะเป็นปัจจัยกระตุ้นรายได้ให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก

สำหรับตลาด Memory ทั่วโลกจะมีรายได้เติบโต 20.5% ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.963 แสนล้านดอลลาร์โดยปัญหาการขาดแคลนอุปทานอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะส่งผลให้ราคาหน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 60% ในปีนี้

แต่คาดว่าราคาในปีหน้ามีแนวโน้มลดลง 3% เนื่องจากอุปทานและราคาที่ลดลงในปี 2568 คาดว่ารายได้หน่วยความจำแฟลช NAND จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 75.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2567

ขณะที่ ปัญหาการขาดแคลนอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้อุปสงค์และอุปทานของชิป DRAM กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) ที่สูงเป็นประวัติการณ์

ผนวกกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และราคา Double Data Rate 5 หรือ DDR5 ที่สูงขึ้น คาดว่าภาพรวมรายได้ชิป DRAM ในปี 2568 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 1.156 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 9.01 หมื่นล้านดอลลาร์จากในปีนี้

หากมองถึง ผลกระทบ AI กับตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งแต่ปี 2566 ชิป GPU มีส่วนสำคัญต่อการใช้ฝึกฝนและพัฒนาโมเดล AI ต่างๆ โดยคาดว่าตลาดนี้จะมีรายได้รวมที่ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์และเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2568

จอร์จ บร็อคเคิลเฮิร์สต์ รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ เผยว่า “ตลาดนี้กำลังเปลี่ยนไปสู่ระยะที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ซึ่งต้องการเห็นรายได้เติบโตเป็นหลายเท่าจากเม็ดเงินที่ลงทุนไปกับการฝึกฝนนั่นเอง

หนึ่งในนั้นคือการเพิ่มขึ้นอย่างมากของความต้องการชิป HBM ซึ่งเป็นโซลูชันหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงของเซิร์ฟเวอร์ AI

ผู้ผลิตกำลังลงทุนกับการผลิตและบรรจุภัณฑ์ของชิป HBM อย่างมาก เพื่อให้สอดรับความต้องการของชิป GPU และชิป AI Accelerator รุ่นใหม่ๆ

การ์ทเนอร์คาดด้วยว่ารายได้ชิป HBM ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 284% และเพิ่ม 70% ในปี 2568 โดยคิดเป็นมูลค่า 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ตามลำดับ

นอกจากนี้ ภายในปี 2569 ชิป HBM กว่า 40% จะรองรับการประมวลผล AI แบบอนุมาน เทียบกับในปัจจุบันที่มีน้อยกว่า 30% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้งานการอนุมานที่เพิ่มขึ้นและข้อจำกัดในการนำชิป GPU สำหรับการฝึกฝนมาใช้ใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


6 ประโยชน์ของ “ลูกพลับ” ต่อสุขภาพ

ช่วงนี้หากเดินผ่านซุปเปอร์มาร์เกตหรือร้านผักตามญี่ปุ่นก็จะเห็นลูกพลับพันธุ์ต่างๆวางจำหน่ายอยู่มากมาย นอกจากความอร่อยที่สร้างความติดใจให้กับคนญี่ปุ่นและต่างชาติแล้วลูกพลับมีประโยชน์มากมาย หากได้รู้แล้วจะยิ่งหลงรักลูกพลับมากขึ้นค่ะ มาดูประโยชน์ของลูกพลับกันนะคะ

คุณค่าทางอาหารของลูกพลับ

ลูกพลับผลเล็กๆอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซี, อี, บี6 เส้นใยอาหาร แมงกานีส ทองแดง แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารประกอบอินทรีย์ที่มีประโยชน์สำคัญได้แก่ คาเทชิน (catechin), แกลโลคาเทชิน (gallocatechin), เบทูลินิก แอซิด (betulinic acid) และสารประกอบแคโรทีนอยด์ ด้วยความที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและสารประกอบอินทรีย์ที่สำคัญทำให้ลูกพลับกลายเป็นผลไม้ที่มีคุณค่ามากมายดังต่อไปนี้

ประโยชน์ของลูกพลับต่อร่างกาย

1. ป้องกันโรคมะเร็ง

ลูกพลับอุดมไปด้วยวิตามินซี, เอ และสารประกอบฟีโนลิก ได้แก่ คาเทชินและแกลโลคาเทชิน ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้

2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก โดยในลูกพลับหนึ่งผลจะมีปริมาณวิตามินซีถึงร้อยละ 80 ของวิตามินซีที่ควรรับในแต่ละวัน การรับประทานลูกพลับจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต้านทานต่อแบคทีเรีย ไวรัสและราที่ก่อให้เกิดโรคได้

3. ช่วยในระบบการย่อยอาหาร

ลูกพลับประกอบไปด้วยเส้นใยอาหารประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณเส้นใยอาหารที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นการรับประทานลูกพลับจะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียได้ดีขึ้นลดอาการท้องผูก

4. ชะลอความชรา

ลูกพลับอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารประกอบพวกบีต้า แคโรทีน, ลูทีน (lutein), ไลโคพีน (lycopene) และคริปโทแซนทิน (cryptoxanthin) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลในการป้องกันและชะลอสิ่งบ่งชี้ของความชรา เช่น รอยเหี่ยวย่น จุดกระ ความเหนื่อยล้า สายตายาวและกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น

5. ช่วยในเรื่องสายตา

ลูกพลับอุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพของดวงตา โดยช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคตาที่สำคัญ ได้แก่ โรคต้อกระจกและโรคจุดรับภาพเสื่อม

6. ช่วยควบคุมระดับความดันเลือด

ลูกพลับอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆซึ่งมีคุณสมบัติในการเป็นสารขยายหลอดลือดและลดแรงดันเลือด ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนที่ดีของเลือดและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

ลูกพลับเป็นผลไม้ที่เป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นและต่างชาติ ผู้เขียนพบว่าลูกพลับเป็นของฝากที่ถูกใจญาติผู้ใหญ่เมืองไทยมากกว่าขนมของฝากขึ้นชื่อหลายชนิดจากญี่ปุ่น ทั้งนี้ปัจจุบันโครงการหลวงของเมืองไทยสามารถผลิตลูกพลับหวานกรอบอร่อยจำหน่ายในเมืองไทยมากขึ้น เมื่อได้รู้ประโยชน์มากมายของลูกพลับแล้วอย่าลืมหาลูกพลับอร่อยราคาสมเหตุสมผลมารับประทานดูนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/11/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a43,250.0043,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,802.0042,478.3243,850.00
ทองรูปพรรณ 90%2,521.8038,230.49n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,241.6033,982.66n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,261.0019,116.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%981.0014,871.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,904.0044,024.64n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/11/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.3536.3536.9536.3536.3536.3536.3536.3536.3536.35
แก๊สโซฮอล์ 9135.9835.9836.5835.9835.9835.9835.9835.9835.9835.98
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.8434.2434.2434.2434.2434.2434.24
แก๊สโซฮอล์ E8533.9933.9933.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.9449.8449.8449.8444.94
เบนซิน 9544.6449.8145.1444.7944.64
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า