สาระน่ารู้ประจำวันที่ 27 ธันวาคม 2567

เพลิตจิต-ชิดลมที่แพงสุดตร.วาละ 3.75 ล้าน ปี68 ราคาที่ดินทั่วปท.ขึ้น5-15%

เผยปี68 ราคาที่ดินทั่วปท.ขึ้น5-15% ทำเล “เพลิตจิต-ชิดลม” รั้งแชมป์ราคาที่ดินแพงสุดตร.วาละ 3.75 ล้านตามด้วยถนนวิทยุ 3.1ล้านต่อตร.วา สุขุมวิทตอนต้น 2.9ล้าน ต่อตร.วา ต่างจังหวัดที่มีราคาซื้อ-ขายที่ดินสูงสุด สงขลา เฉลี่ย 4แสนต่อตร.วา

โปรสเปค แอพเพรซัล รายงานการสำรวจและวิเคราะห์ภาพรวมราคาที่ดินปี 2567 และแนวโน้มราคาที่ดินในปี 2568 ดังนี้

ทำเลที่มีราคาซื้อ-ขายสูงสุดในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล 10 อันดับแรก
ถนนชิดลม-เพลินจิต 3,750,000 บาท/ตารางวา
ถนนวิทยุ 3,100,000 บาท/ตารางวา
ถนนสุขุมวิทตอนต้น 2,940,000 บาท/ตารางวา
ถนนสุขุมวิท 21 อโศก 2,730,000 บาท/ตารางวา
ถนนสีลม  2,700,000 บาท/ตารางวา
ถนนสาทร 2,400,000 บาท/ตารางวา
ถนนสุขุมวิท เอกมัย 1,950,000 บาท/ตารางวา
ถนนเยาวราช 1,900,000 บาท/ตารางวา
ถนนพญาไท 1,850,000 บาท/ตารางวา
ถนนพหลโยธินตอนต้น 1,800,000 บาท/ตารางวา

ทำเลต่างจังหวัดที่มีราคาซื้อ-ขายที่ดินสูงสุด

สงขลา สูงสุดเฉลี่ย 400,000 บาทต่อตารางวา
เชียงใหม่ สูงสุดเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตารางวา
 แนวโน้มราคาที่ดินทั่วประเทศปี 2568 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 5-15% ปัจจัยหลัก มาจากการ”ขยายตัว”ของเมือง และการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่ม

จำแนกการคาดการณ์รายพื้นที่ ดังนี้

1.พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับตัวสูงขึ้นสุด 3.75 ล้านบาท/ตารางวา

ทำเลที่ดินที่ได้รับความสนใจและมีการปรับราคาสูงขึ้นจะอยู่ในทำเลที่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า ส่วนบริเวณพื้นที่ปริมณฑล เป็นโซนรองรับการขยายตัวของเมือง
ทำเลสุดน่าสนใจ กทม. คือ เขตทวีวัฒนา  บางแค บางพลัด ธนบุรี ตลิ่งชัน ดอนเมือง บางนา วัฒนา สะพานสูง สายไหม  มีนบุรี สวนหลวง
ทำเลน่าสนใจใน นนทบุรี คือ อำเภอเมืองนนบุรี อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่
ทำเลน่าสนใจ ปทุมธานี คือ อำเภอลำลูกกา อำเภอธัญบุรี
ทำเลน่าสนใจ สมุทรปราการ คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี

2.พื้นที่ในต่างจังหวัดที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจะอยู่ในจังหวัดที่เป็น “เมืองท่องเที่ยว” 

โซนภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ มีแนวโน้มที่ราคาที่ดินจะปรับตัวสูงขึ้น ในปี 2568 ประมาณเฉลี่ย 5-10% (YoY) ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่เมืองออกไปทาง อำเภอสันทราย อำเภอสันกำแพง และอำเภอฝาง ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ชุมชนพักอาศัย และพาณิชยกรรม ออกจากเมืองเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น ที่น้ำไม่ท่วม ประกอบกับมีโครงการสนามบินนนานาชาติ เชียงใหม่แห่งที่ 2 ในพื้นที่  ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา จะมีแนวโน้มปรับตัวของราคาที่ดินสูงขึ้นเฉลี่ย 5-10% (YoY) โดยเฉพาะอำเภอปากช่อง (เขาใหญ่) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น


ภาคตะวันออก ได้แก่  ชลบุรี จะมีแนวโน้มปรับตัวของราคาที่ดินสูงขึ้นในปี 2568 ประมาณเฉลี่ย 5-10% (YoY) โดยเฉพาะอำเภอบางละมุง เมืองพัทยา  ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด เกิดขึ้นจำนวนมาก  ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น  


ภาคใต้ คือ ภูเก็ต จะมีแนวโน้มปรับตัวของราคาที่ดินสูงขึ้นในปี 2568 ประมาณเฉลี่ย 10-15% (YoY) โดยเฉพาะพื้นที่ที่ติดหาดที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยได้  ซึ่งมีการขยายตัวของโครงการที่พักอาศัย ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด เกิดขึ้นจำนวนมาก  ทำให้ราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้น  

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


คอนโดปี68 จ่อนิวโลว์!ตลาดปรับสมดุลหลังเปิดใหม่ต่ำสุดรอบ 15 ปี

ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ ปี 2567 เปิดขายใหม่ทั้งหมด 51 โครงการ 21,891 ยูนิต “ลดลง” จากปีก่อนหน้าถึง 48.51% ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 116,362 ล้านบาท ปรับตัวลดลงกว่า 12,300 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าคอนโดปี68 จ่อนิวโลว์!

ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ มีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ทั้งหมด 365,206 ยูนิต หรือเฉลี่ยปีละ 36,520 ยูนิต แต่ในปี 2567 ด้วยปัจจัยลบเข้ามากระทบ ทำให้มีอุปทานเปิดขายใหม่เพียงแค่ 21,891 ยูนิตเท่านั้น! สำหรับคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ ในปี 2567 พื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอกมากที่สุด 7,217 ยูนิต หรือ คิดเป็นสัดส่วน 32.96%

ทั้งนี้ ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในพื้นที่ใจกลางเมืองเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยังคงมีอุปทานคอนโดมิเนียมรอการขายในพื้นที่ดังกล่าวอีกเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน เป็นเหตุให้ปี 2567 ดีเวลลอปเปอร์เลือกที่จะ “ชะลอ” การเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลย่านนี้ออกไป

“ผู้ประกอบการบางรายเลือกที่จะหยุดการขายชั่วคราวกว่า 5 โครงการ และมีการนำที่ดินไปพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอื่น หรือบางรายเลือกที่จะประกาศขายที่ดินบางแปลง”

นอกจากพื้นที่ใจกลางเมือง รองลงมา คือ พื้นที่รอบเมืองทางทิศเหนือ (รัชดา, พหลโยธิน ) จำนวน 6,359 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 29.04% ตามมาด้วย พื้นที่รอบเมืองทางทิศตะวันออก (สุขุมวิท) ประมาณ 2,749 หน่วย หรือคิดเป็น 12.55%

ภัทรชัย กล่าวว่า ในปี 2567 ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอกมากขึ้น หรือพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงรามคำแหง-ลำสาลี รถไฟฟ้าสายสีเหลืองบริเวณถนนลาดพร้าวและศรีนครินทร์ และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ถนนรามอินทรา

สำหรับคอนโดมิเนียม “พื้นที่ใจกลางเมือง” หรือกรุงเทพฯ เขตชั้นใน มีการพัฒนามากขึ้นกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงกว่า 1 ล้านบาท เปิดขายใหม่ย่านสุขุมวิท แต่คอนโดมิเนียมในพื้นที่ใจกลางเมืองยังคงต้องเผชิญกับปัญหา “ราคาที่ดิน” ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องเลือกพัฒนาใน “พื้นที่รอบใจกลางเมือง” หรือเขตกรุงเทพฯ ชั้นกลางมากขึ้น

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปี 2567 อุปทานมากกว่า 66.21% หรือ 14,495 ยูนิต อยู่ในช่วงราคา 50,001-100,000 บาทต่อตารางเมตร ตามมาด้วยช่วงราคา 100,001-150,000 บาทต่อตารางเมตร จำนวน 4,233 ยูนิต สัดส่วน 19.33%  และช่วงระดับราคามากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร จำนวน 958 ยูนิต สัดส่วน 4.37%

“ในภาวะที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงปัจจัยลบที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนของกลุ่มผู้ซื้อ เป็นผลมาจากการปฏิเสธสินเชื่อบางโครงการสูงมากกว่า 50% แม้ว่าจะขายได้แต่โอนไม่ได้ “

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะมีแฟลกชิปคอนโดมิเนียมที่น่าจับตามองใน “พื้นที่ใจกลางเมือง” ที่จะกลับมาสร้างกระแสให้คอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพฯ กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยรูปแบบโครงการและราคาเสนอขายที่อาจสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาของตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองไทย รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่มียูนิตขายน้อย หรือ One Floor One Unit จะยังคงเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าที่มีกำลังซื้อ

โดยคอนโดมิเนียมระดับราคา 100,000-150,000 บาทต่อตารางเมตร ยังคงเป็นเซกต์เมนต์ที่น่าจับตามองในปี 2568 เนื่องจากเป็นระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายในภาวะที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว! ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงราคาขายเฉลี่ยต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อดึงดูดกำลังซื้อในกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าในหลายทำเล ในรูปแบบ “แคมปัสคอนโด” รวมถึงคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง!

“แนวโน้มการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในปี 2568 จะเป็นอีกปีที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกลับไปสู่จุดสมดุลของตลาด หรือ มียูนิตเปิดขายใหม่อยู่ที่ 20,000-25,000 ยูนิต”

อย่างไรก็ดี ปัจจัยความสำเร็จในการกระตุ้นกำลังซื้อในภาวะที่ตลาดชะลอตัวในปี 2568  กลยุทธ์หลักที่สำคัญ คือ “ราคาขาย” และ “ดีไซน์”  ส่วนซัพพลายในตลาดโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ หลายโครงการทยอยปิดการขายลงอย่างต่อเนื่องหลังจากปรับลดราคาลงมาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ขณะเดียวกัน ดีเวลลอปเปอร์ระมัดระวังในการกำหนดราคาขายมากขึ้น หากสูงกว่าราคาตลาดอาจทำให้โครงการไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อ แต่หากราคาขายที่เปิดตัวมาต่ำกว่าราคาขายในตลาด รูปแบบโครงการน่าสนใจ ทำเลดี เชื่อว่าจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ สวนทางกับภาพรวมตลาดและสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้27ธ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.14 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในระหว่างวันการเคลื่อนไหวอาจขึ้นอยู่กับ แนวโน้มราคาทองคำที่อาจย่อตัวลงบ้าง มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.25 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้27ธ.ค. 2567 ที่ระดับ  34.14 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.22 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมองว่า เงินบาทก็อาจแกว่งตัว Sideways เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม

 โดยเราประเมินว่า โซนแนวรับเงินบาทอาจอยู่แถว 34.10 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นแนวรับสำคัญเชิงจิตวิทยา) ขณะที่โซนแนวต้านอาจยังคงอยู่แถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์

 ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา จนทะลุโซน 34.15 บาทต่อดอลลาร์ ได้ทำให้สัญญาณจากกลยุทธ์ Trend-Following กลับมาสะท้อนว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways

ซึ่งเรามองว่า ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ว่าเงินบาทจะยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าต่ำกว่าโซนดังกล่าวได้อย่างชัดเจนหรือไม่

และเราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากเห็นการแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์ จนมาทดสอบโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยภาพดังกล่าวก็จะสอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่รัฐบาล Trump 2.0 จะเริ่มดำเนินนโยบายต่างๆ

ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทก็อาจขึ้นอยู่กับ แนวโน้มราคาทองคำ ซึ่งมีโอกาสที่ราคาทองคำอาจย่อตัวลงบ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways ท่ามกลางแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ในช่วงเช้าวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ยังคงออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคงคาดหวังแนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งภาพดังกล่าวได้ช่วยหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่นทยอยแข็งค่าขึ้นและอาจจำกัดการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ได้

อนึ่ง นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ควรติดตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติเช่นกัน หลังหลายตลาดการเงินจะเริ่มกลับมาทำการตามปกติ ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อ ขาย สินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจคึกคักมากขึ้น

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.25 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 34.12-34.27 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD และผู้เล่นบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีไม่มาก ทว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจก็ออกมาผสมผสาน โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 2.19 แสนราย น้อยกว่าที่ตลาดคาด ทว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) กลับเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 1.91 ล้านราย มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้

สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก (แม้จะมีการเลิกจ้างไม่มาก แต่แรงงานในสหรัฐฯ ก็ใช้เวลานานมากขึ้น ในการหางานใหม่ หรือกล่าวได้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีลักษณะ Slow to Fire and Slow to Hire)

นอกจากนี้ เงินบาทยังได้อานิสงส์จากการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถกลับมาแกว่งตัวแถวโซน 2,630-2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำ ทว่าราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน ท่ามกลางความต้องการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำ ของบรรดาผู้เล่นในตลาด

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทยอยขายกำไรหุ้น ในช่วงปลายปีออกมา โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่สามารถปรับตัวได้โดดเด่นในปีนี้ อาทิ Tesla -1.8%, Amazon -0.9% ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.04%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะทยอยปรับตัวสูงขึ้นทะลุโซน 4.60% อีกครั้ง ทว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์สูงขึ้น ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง กลับสู่ระดับ 4.58%

โดยการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีลักษณะดังกล่าวไปก่อนได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการดำเนินกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip บอนด์ระยะยาว ที่ยังมีความน่าสนใจอยู่ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 4.50%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะที่แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 158 เยนต่อดอลลาร์

ก่อนที่เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรสถานะ Long USD และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 108 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.0-108.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยย่อตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,650-2,660 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นต่อเนื่องชัดเจนได้ยาก ท่ามกลางแรงขายทำกำไรสถานะ Long ทองคำ ของผู้เล่นในตลาดในช่วงปลายปี

สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มากนัก โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังในฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้บ้าง

ส่วนในฝั่งไทยจะมีรายงานสรุปดุลบัญชีเดินสะพัดและภาวะเศรษฐกิจรายเดือน ประจำเดือนพฤศจิกายน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ลิเวอร์พูล พบ เลสเตอร์ : คักโป โคตรแจ่ม! ตัดเกรดแข้งหงส์เกมพลิกสอยจิ้งจอกสยาม

ถึงแม้เป็นเกมที่ยากเกินคาด แต่ก็ไม่พลาดสำหรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ที่เปิดบ้านพลิกสอย เลสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ในเกมบ็อกซิงเดย์ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และนี่คือผลสอบของลูกทีม อาร์เนอ สล็อต แต่ละคนในแมตช์นี้ที่เต็มไปด้วยหมอก ณ สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์

หมดสิทธิ์ป้องกันในจังหวะเสียประตูช่วงต้นเกม แต่หลังจากนั้นแทบไม่ได้โดนทดสอบอะไร ถือเป็นเกมที่งานค่อนข้างเบา 

– เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ : 7

ขึ้นมาช่วยเกมแดนกลางได้ค่อนข้างดี มีลูกเปิดลูกครอสสวยๆ ให้เห็น 2-3 หน 

– โจ โกเมซ : 7

ฟอร์มโดยรวมถือว่าโอเคเลย ช่วยคุมพื้นที่หลังบ้านฝั่งขวาได้ดี โดยเฉพาะตอนที่ เทรนต์ ทิ้งตำแหน่งตัวเองไปช่วยเกมแดนกลาง 

– เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ : 7

โชคร้ายที่บอลมาแฉลบเท้าในจังหวะเสียประตู แต่นอกนั้นทำได้ดีตามมาตรฐาน ทั้งการแท็กเกิ้ลและการรับมือลูกกลางอากาศ

– แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน : 7

เสียท่าให้ จอร์แดน อายิว ในจังหวะเสียประตูให้ทีมเยือน แต่หลังจากนั้นถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะการช่วยเกมรุกฝั่งซ้าย มีลูกเปิดเข้ากลางสวยๆ แถมเกือบทำประตูได้จากลูกโหม่ง 

– ไรอัน กราเฟนแบร์ค : 6.5

ครึ่งแรกค่อนข้างเงียบ แต่สามารถยกระดับการเล่นขึ้นมาได้ในช่วงครึ่งหลัง มีลูกเปิดตามช่องสวยๆ ให้เห็น 

– อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ : 8

มีอิทธิพลในเกมแดนกลางสูงมาก และนัดนี้มีสองแอสซิสต์ที่ผ่านบอลให้ คักโป กดประตูตีเสมอ 1-1 และแตะบอลเข้ากลางให้ โจนส์ ทำประตูพลิกนำ 2-1 ส่วนเกมรับก็ช่วยได้อย่างแข็งแกร่ง มีสถิติแท็กเกิ้ลชนะ 100% (4/4)

– เคอร์ติส โจนส์ : 7

ได้รับโอกาสสตาร์ทเป็นตัวจริง โดยครึ่งแรกเล่นไม่ละเอียด แถมบางจังหวะชอบเล่นยากเอง แต่ก็เป็นคนทำประตูช่วยทีมพลิกนำ 2-1 ช่วงต้นครึ่งหลัง ทำให้ทีมเล่นด้วยความมั่นใจมากขึ้น 

– โมฮาเหม็ด ซาลาห์ : 7.5

ถึงแม้เป็นเกมที่ยากลำบาก ไม่ใช่วันที่เล่นได้โดดเด่น แต่ก็ยังเป็นตัวทีเด็ดได้เหมือนเดิม โดยมีส่วนขึ้นเกมจังหวะที่ทีมได้ประตูพลิกนำ 2-1 ก่อนยิงเองอย่างเฉียบขาดกับประตูปิดเกม 

– โกดี คักโป : 8.5

เล่นด้วยความมั่นใจ มีความเร็ว บุกตะลุยฝั่งซ้ายได้อย่างน่ากลัว โดยยิงได้งดงามเหลือเกินกับประตูตีเสมอ 1-1 และยังเป็นคนแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ เข้าไปยิงประตูปิดกล่อง 3-1 อีกด้วย 

– ดาร์วิน นูนเญซ : 5.5

เป็นอีกนัดที่มีโอกาส แต่จบไม่คม แถมจังหวะการเล่นในหลายๆ ครั้งมักไม่เป็นใจ 

สำรองที่ได้ลงเล่น 

– โดมินิค โซโบซไล (แทน โจนส์ น. 77) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้ 

– ดีโอโก้ โชต้า (แทน นูนเญซ น. 78) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้ 

– คอสตาส ซิมิกาส (แทน โรเบิร์ตสัน น. 86) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้ 

– วาตารุ เอ็นโด (แทน กราเฟนแบร์ค น. 87) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้   

– ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (แทน แม็ค อัลลิสเตอร์ น. 90) : –

ไม่สามารถให้คะแนนได้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


วิธีแก้อาการ “ง่วงตอนบ่าย” แม้ในวันที่นอนเพียงพอ

วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยเรียน หลายๆ คนมักจะง่วงหงาวหาวนอนในตอนบ่ายๆ จนอยากจะงีบยาวๆ สักชั่วโมง ซึ่งน่าจะลำบากหน่อย ถ้าเมื่อคืนนอนดึกก็เข้าใจได้ แต่ถ้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มแล้วยังง่วงตอนบ่ายอยู่อีก มีสาเหตุเพราะอะไร และเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร Sanook Health มีข้อมูลจาก พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท มาฝากกัน

สาเหตุอาการ “ง่วง” ในตอนบ่าย

รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป

การรับประทานอาหารประเภทแป้ง หรือน้ำตาลในมื้อเที่ยงมากเกินไป อาจส่งผลน้ำตาลในเลือดสูง จึงทำให้รู้สึกง่วงๆ เพลียๆ และอาจเผลอหลับไป หากตื่นขึ้นมาใหม่ ก็มักจะหิวใหม่อีกครั้ง

ตัวอย่างอาหารกลางวันที่มีแป้ง หรือน้ำตาลเยอะ

  • ข้าวขาว
  • พิซซ่า สปาเก็ตตี้
  • ข้าวเหนียว
  • ขนมไทยใส่กะทิ
  • ของหวานต่างๆ

วิธีแก้อาการ “ง่วงตอนบ่าย” 

  1. พยายามไม่รับประทานแป้งขัดขาวหรือน้ำตาลมากไปในมื้อกลางวัน 
  2. เดินย่อยหลังมื้ออาหารเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
  3. อย่าลืมพักผ่อนในตอนกลางคืนให้เพียงพอ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


‘อัลฟ่าเซค’ เผย 10 เทรนด์ไฮเทค กระทบโลกการเงินปี 2025

‘อัลฟ่าเซค’ เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยี ทรงอิทธิพลต่อระบบชำระเงิน – ผู้บริโภคปี 2025 “AI” ปราการด่านสำคัญป้องกันภัยไซเบอร์ “ดิจิทัล” ผสานไปในหลายมิติ “บล็อกเชน” เพิ่มความเร็ว เผยอัปเดทล่าสุด “เดอะมอลล์กรุ๊ป” ผ่านการรับรองมาตรฐาน PCI DSS v4.0.1 เสริมความปลอดภัยระบบชำระเงิน

นิพนธ์ นาชิน ผู้ตรวจประเมิน QSA จากบริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด กล่าวถึง แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของระบบการชำระเงินในอนาคตที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2025 โดยเน้นไปที่ 10 เทรนด์สำคัญที่จะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคประกอบด้วย

1. การชำระเงินแบบไร้ตัวเลขบัตร: ภายในปี 2030 การชำระเงินออนไลน์จะไม่จำเป็นต้องใช้หมายเลขบัตรหรือรหัสผ่านอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยี tokenization, การยืนยันตัวตนทางชีวมิติ และกระเป๋าเงินดิจิทัล Click to Pay

2. AI ป้องกันการโจมตีจาก AI: AI ถูกนำมาใช้ในการป้องกันภัยไซเบอร์  ที่สามารถตรวจจับการฉ้อโกงในเวลาเพียงระดับมิลลิวินาทีเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันได้สูงสุดถึง 300%

3. เครื่องมือดิจิทัลสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก: ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มที่รวมฟังก์ชันจัดการงานธุรการและการตลาด พร้อมข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการตัดสินใจ

4. การรวมตัวทางดิจิทัล: กระเป๋าเงินดิจิทัลกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ไม่มีบัญชีธนาคาร โดยสามารถเชื่อมโยงกับระบบการชำระเงินแบบดั้งเดิม

5. การยืนยันตัวตนดิจิทัล: เทคโนโลยี passkeys และการยืนยันตัวตนทางชีวมิติกำลังขยายตัวในหลากหลายภาคส่วน เช่น สุขภาพ การศึกษา และบริการสาธารณะ

6. การชำระเงิน B2B ที่ง่ายขึ้น: การใช้บัตรเสมือน (virtual cards) ช่วยลดข้อผิดพลาด เพิ่มความปลอดภัย และให้ข้อมูลเรียลไทม์แก่ธุรกิจ

7. เทคโนโลยี Tap on Phone: อุปกรณ์ใดๆ สามารถกลายเป็นเครื่องรับชำระเงินได้ ลดโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน และยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้

8. การชำระเงินแบบเรียลไทม์: การชำระเงินแบบเรียลไทม์ขยายตัวสู่ 100 ประเทศ และเริ่มเชื่อมโยงกับสกุลเงินดิจิทัลเพื่อการทำธุรกรรมที่ราบรื่นยิ่งขึ้น

9. การร่วมมือในระบบนิเวศดิจิทัล: การร่วมมือระหว่างฟินเทค รัฐบาล และสถาบันการเงินช่วยสร้างโซลูชันที่ง่ายต่อการเข้าถึงและเพิ่มความไว้วางใจในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล

10. เทคโนโลยีบล็อกเชนและเศรษฐกิจโทเคน: การใช้ tokenization และบล็อกเชนช่วยเพิ่มความเร็ว ความปลอดภัย และลดต้นทุนในระบบการเงิน โดยเฉพาะในธุรกรรม B2B และการจัดการสินทรัพย์

แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการชำระเงินในอนาคต ที่จะทำให้ผู้บริโภคและธุรกิจสามารถเข้าถึงระบบที่สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับในประเทศไทย ล่าสุด บริษัท อัลฟ่าเซค ได้รับรอง มาตรฐาน PCI DSS v4.0.1  (The Payment Card Industry Data Security Standard ) ให้แก่ เดอะมอลล์กรุ๊ป ซึ่งนับเป็นมาตรฐานที่เข้มงวดในการปกป้องข้อมูลการชำระเงิน ขณะเดียวกันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต

การได้รับการรับรองครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ส่วนของธุรกิจหากได้ทำตามมาตรฐานแล้วจะทำให้ระบบขององค์กรมีความมั่นคงปลอดภัย และจะช่วยลดโอกาสและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการรั่วไหลของข้อมูลบัตรเครดิต ถือเป็นก้าวสำคัญของเดอะมอลล์กรุ๊ปในการสร้างระบบที่มีความปลอดภัยสูงสุดและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จิรยุทธ์ กาญจนมยูร CHIEF INFORMATION OFFICER (CIO) บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด เผยว่า การผ่านมาตรฐาน PCI DSS 4.0.1 เป็นผลลัพธ์ของการทำงานที่ต่อเนื่องและทุ่มเทของทีมงานทุกฝ่าย โครงการนี้เริ่มจากการวางแผนที่ครอบคลุมและการประเมินจุดเสี่ยงต่างๆ เพื่อให้ระบบ POS มีความปลอดภัยสูงสุดและตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัล

มาตรฐาน PCI DSS เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยของระบบ POS  การได้รับการรับรองครั้งนี้ไม่เพียงแสดงถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องข้อมูลของลูกค้า แต่ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้แข็งแกร่ง เพื่อสร้างความมั่นใจในบริการทุกมิติ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


หลากหลาย วิธีพูด ‘I Don’t Know’ ให้ดูเป็นมืออาชีพ

เรียนรู้วิธีพูดแทนประโยค “I Don’t Know” อย่างมืออาชีพ ทั้งสุภาพ สร้างสรรค์ และเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ พร้อมตัวอย่างประโยคที่ช่วยเสริมความมั่นใจในบทสนทนา

ทำไมการหลีกเลี่ยงคำว่า “I Don’t Know” ตรง ๆ ถึงสำคัญ

ในการสนทนา การพูด “I don’t know” ตรง ๆ อาจทำให้เราดูเหมือนไม่มีความรู้หรือไม่มีความมั่นใจในตัวเอง นอกจากนี้ยังอาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ฟัง โดยเฉพาะในบริบททางธุรกิจหรือการทำงาน การหลีกเลี่ยงการพูดประโยคนี้ตรง ๆ และเปลี่ยนเป็นการสื่อสารที่สร้างสรรค์มากขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแสดงถึงความตั้งใจในการหาคำตอบหรือแก้ไขปัญหา

ข้อดีของการหลีกเลี่ยง “I Don’t Know” แบบตรง ๆ

  • แสดงถึงความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้หรือหาคำตอบ
  • ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ
  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ร่วมสนทนา
  • ช่วยหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดว่าเราไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจในเรื่องนั้น

วิธีพูด ‘I Don’t Know’ อย่างสุภาพ

  1. ใช้คำพูดที่เปิดโอกาสให้ค้นหาคำตอบ ที่แสดงถึงความตั้งใจที่จะหาคำตอบนั้น ๆ ตัวอย่างประโยค เช่น

“I’m not sure about that, but let me find out for you.”

ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ให้ฉันไปหาคำตอบให้คุณนะ

ข้อดี – แสดงถึงความใส่ใจและความกระตือรือร้นในการหาคำตอบ

“I don’t have the information right now, but I can check and get back to you.”

ในตอนนี้ฉันยังไม่มีข้อมูล แต่ฉันจะตรวจสอบและกลับมาบอกคุณอีกครั้ง

ข้อดี – สร้างความมั่นใจให้กับผู้ฟังว่าเราจะติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง

  1. บอกความจริงว่าเราไม่รู้ในสิ่งใดอย่างจริงใจ แต่ยังมีความรับผิดชอบ ตัวอย่างประโยค เช่น

“That’s a great question. I’ll need to look into it.”

นั่นเป็นคำถามที่ดีมาก ฉันจะต้องไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้

ข้อดี – สื่อถึงความชื่นชมในคำถามและความตั้งใจที่จะค้นหาคำตอบ

“I’m not certain, but I’ll make sure to find out.”

ฉันไม่มั่นใจนัก แต่ฉันจะทำให้แน่ใจว่าได้คำตอบแน่นอน

ข้อดี – แสดงถึงความรับผิดชอบและความพยายามในการแก้ปัญหา

  1. เสนอคำตอบหรือแนวทางเบื้องต้น แม้ว่าเราอาจไม่แน่ใจ แต่การให้คำแนะนำหรือข้อมูลเบื้องต้นสามารถทำได้ ตัวอย่างประโยค เช่น

“I don’t have the exact details, but based on what I know, here’s what I think…”

ฉันไม่มีรายละเอียดที่แน่นอน แต่จากสิ่งที่ฉันรู้ นี่คือสิ่งที่ฉันคิดว่า…

ข้อดี – สร้างความเชื่อมั่นว่าเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหัวข้อนั้น

“I’m not completely sure, but here’s an idea to consider.”

ฉันไม่มั่นใจทั้งหมด แต่มีแนวคิดหนึ่งที่อยากให้พิจารณา

ข้อดี – เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความคิดสร้างสรรค์

วิธีพูด ‘I Don’t Know’ ในสถานการณ์ต่างๆ

  1. ในการสนทนาทางธุรกิจ

“I don’t have the data on that at the moment, but I can gather it for you.”

ฉันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้ แต่ฉันสามารถรวบรวมมาให้คุณได้

“Let me consult with the team and get back to you.”

ขอฉันปรึกษากับทีมก่อน แล้วจะกลับมาบอกคุณอีกครั้ง

“I haven’t had the chance to study that yet, but I’d be happy to look into it.”

ฉันยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาหัวข้อนั้น แต่ฉันยินดีที่จะค้นคว้าเพิ่มเติม

“I’m not directly involved in that project, but I can connect you with the person in charge.”

ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในโครงการนั้น แต่ฉันสามารถให้คุณกับผู้รับผิดชอบได้ติดต่อกันได้

  1. ในการตอบคำถามของลูกค้า

“That’s an interesting question. Let me double-check and confirm it for you.”

นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจ ขอฉันตรวจสอบอีกครั้งเพื่อยืนยันให้คุณ

“I’ll need to verify that information and follow up with you shortly.”

ฉันต้องตรวจสอบข้อมูลนั้นและจะติดตามผลให้คุณในไม่ช้า

“I’ll need to check with the appropriate department and get back to you with precise information.”

ฉันต้องตรวจสอบกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และจะกลับมาพร้อมข้อมูลที่ถูกต้องให้คุณ

  1. ในการสนทนาส่วนตัว

“I’m not sure about that, but I’d love to learn more.”

ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ฉันอยากเรียนรู้เพิ่มเติม

“I’ll have to think about it and get back to you.”

ฉันต้องขอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน แล้วจะกลับมาบอกคุณอีกที

“I’m not familiar with that, but it sounds intriguing! Let’s find out together.”

ฉันยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนั้น แต่มันฟังดูน่าสนใจ! มาหาคำตอบด้วยกันเถอะ

  1. ในการเรียนหรือการศึกษา

“I’ll need to review my notes to give you a precise answer.”

ฉันต้องทบทวนบันทึกของฉันเพื่อให้คำตอบที่แม่นยำแก่คุณ

“I’m not familiar with that topic yet, but I’m interested in finding out.”

ฉันยังไม่คุ้นเคยกับหัวข้อนั้น แต่ฉันสนใจที่จะหาคำตอบ

ประโยคตัวอย่างที่ใช้แทน ‘I Don’t Know’

  1. แสดงความสนใจ

“That’s a fascinating question. I’ll need to explore it further.”

นั่นเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ฉันต้องสำรวจเพิ่มเติม

  1. เสริมความกระตือรือร้น

“I’m not sure, but I’ll make it my priority to find out.”

ฉันไม่มั่นใจ แต่ฉันจะให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหาคำตอบ

  1. แสดงความรับผิดชอบ

“Let me confirm that and get back to you.”

ขอฉันยืนยันเรื่องนี้ก่อน แล้วจะกลับมาบอกคุณ

  1. ชี้แจงว่าไม่มีข้อมูลในขณะนั้น

“I’m sorry, I don’t have that information with me right now.”

ขอโทษ ฉันไม่มีข้อมูลนั้นกับตัวตอนนี้

ตัวอย่างประโยคในการพูด ‘I Don’t Know’ ให้เหมาะกับสถานการณ์

  • สถานการณ์: หัวหน้าเรียกประชุมและถามข้อมูลที่คุณยังไม่มี

“I don’t have that information at the moment, but I can prepare it and share it after this meeting.”

ฉันไม่มีข้อมูลในตอนนี้แต่ฉันจะเตรียมข้อมูลและส่งให้หลังจากการประชุมนี้

  • สถานการณ์: ลูกค้าถามคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

“Let me verify that with the technical team and get back to you with accurate details.”

ฉันขอตรวจสอบข้อมูลกับทีมทางเทคนิคแล้วจะกลับมาให้รายละเอียดที่ถูกต้องแก่คุณ

  • สถานการณ์: เพื่อนร่วมงานขอความคิดเห็นในเรื่องที่คุณไม่เชี่ยวชาญ

“I’m not an expert on this, but I can connect you with someone who is.”

ฉันไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่ฉันสามารถให้คุณติดต่อกับบางคนที่เก่งในเรื่องนี้ได้

  • สถานการณ์: นักเรียนถามคำถามที่คุณไม่รู้คำตอบ

“That’s a great question. Let me research it and I’ll get back to you in the next class.”

นั่นเป็นคำถามที่ดีมากเลย ให้ฉันได้ไปค้นคว้าและนำคำตอบมาให้คุณในคาบเรียนหน้า

  • สถานการณ์: ถูกถามความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่ยังไม่ได้ศึกษา

“I haven’t had the chance to study that yet, but I’d be happy to look into it.”

ฉันยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาหัวข้อนั้น แต่ฉันยินดีที่จะค้นคว้าเพิ่มเติม

  • สถานการณ์: เจ้านายถามเกี่ยวกับกำหนดการที่คุณไม่แน่ใจ

“I’m not sure about the timeline, but I can confirm it with the team and update you soon.”

ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับกำหนดการ แต่ฉันสามารถยืนยันกับทีมและอัปเดตให้คุณได้ในเร็ว ๆ นี้

  • สถานการณ์: เพื่อนถามคำถามเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่คุ้นเคย

“I’m not familiar with that, but it sounds intriguing! Let’s find out together.”

ฉันยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนั้น แต่มันฟังดูน่าสนใจ! มาหาคำตอบด้วยกันเถอะ

  • สถานการณ์: ลูกค้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ

“I’ll need to check with the appropriate department and get back to you with precise information.”

ฉันต้องตรวจสอบกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และจะกลับมาพร้อมข้อมูลที่ถูกต้องให้คุณ

  • สถานการณ์: เพื่อนร่วมงานถามถึงผลลัพธ์ของโครงการที่คุณไม่ได้ดูแล

“I’m not directly involved in that project, but I can connect you with the person in charge.”

ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในโครงการนั้น แต่ฉันสามารถให้คุณกับผู้รับผิดชอบได้ติดต่อกันได้

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


“แตงโม” กับผลกระทบที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน

แตงโม เป็นส่วนสำคัญของอาหารเพื่อสุขภาพ เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ แตงโม เป็นแหล่งที่ดีเยี่ยมของวิตามิน A และ C รวมถึงไลโคปีนสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด อย่างไรก็ตามคุณอาจกังวลเกี่ยวกับการรับประทานผลไม้มากเกินไป การรับประทานอะไรก็ตามมากเกินไป รวมถึงผลไม้ อาจส่งผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้

ผลกระทบจากการกินแตงโม

1.อาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร การรับประทานแตงโมมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสีย เนื่องจากมีปริมาณ FODMAP สูง FODMAP เป็นตัวย่อที่หมายถึงกลุ่มคาร์โบไฮเดรตสายสั้นที่หมักได้ง่ายและไม่สามารถย่อยได้หรือดูดซึมได้ช้าในลำไส้เล็ก ซึ่งรวมถึงโอลิโกแซ็กคาไรด์ ไดแซ็กคาไรด์ โมโนแซ็กคาไรด์ และโพลิออล

นักโภชนาการทั่วไปแนะนำให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะลำไส้แปรปรวน (IBS) รับประทานอาหารที่มี FODMAP ต่ำ เนื่องจากอาการของโรคนี้ ได้แก่ ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสีย อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารที่มี FODMAP สูงอาจทำให้เกิดอาการคล้าย IBS และทำให้โรคกรดไหลย้อน (GERD) รุนแรงขึ้นได้ในผู้ที่มีสุขภาพดีที่ไม่ได้เป็นโรค IBS

นักโภชนาการจัดให้แตงโมเป็นอาหารที่มี FODMAP สูง เนื่องจากมีปริมาณฟรุกโตสสูง ฟรุกโตสเป็นโมโนแซ็กคาไรด์ หรือน้ำตาลชนิดง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือไม่สบายท้องเมื่อรับประทานในปริมาณมาก แม้ว่าสถานะ FODMAP สูงของแตงโมอาจบ่งชี้ว่าทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารในผู้ที่แพ้ฟรุกโตส แต่คุณไม่ควรคาดหวังว่าจะปวดท้องทุกครั้งที่รับประทานแตงโมในปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นโรค IBS อาจต้องรับประทานแตงโมในปริมาณที่น้อยลง

2.อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

นอกจากจะมีปริมาณ FODMAP สูงแล้ว แตงโมยังมีดัชนีน้ำตาลในเลือด (GI) สูง ดังนั้น การรับประทานแตงโมมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากคุณเป็นเบาหวาน ดัชนีน้ำตาลในเลือด (GI) ของอาหารวัดผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณในช่วงเวลา 2 ชั่วโมง อาหารที่มี GI สูงมักจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณพุ่งสูงขึ้น ในขณะที่อาหารที่มี GI ต่ำจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างคงที่

อาหารที่จัดอยู่ในกลุ่ม GI ต่ำจะมีระดับ GI ต่ำกว่า 55 อาหารที่จัดอยู่ในกลุ่ม GI ปานกลางจะมีค่าอยู่ระหว่าง 56-69 และอาหารที่มี GI สูงจะมีค่ามากกว่า 70 แตงโมมีค่า GI อยู่ที่ 72-80 อย่างไรก็ตาม แม้ว่า GI จะบ่งชี้ว่าน้ำตาลในเลือดของคุณจะตอบสนองต่ออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเฉพาะอย่างไร แต่ค่าโหลดน้ำตาลในเลือด (GL) จะคำนึงถึงขนาดของส่วนรับประทาน ดังนั้น ค่า GL จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นตัววัดผลกระทบของอาหารที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ดัชนี GL ยังจัดประเภทอาหารออกเป็นต่ำ กลาง และสูง ค่าที่น้อยกว่า 10 ถือว่าต่ำ 11-19 ถือว่าปานกลาง และมากกว่า 20 ถือว่าสูง ด้วยค่า GL ที่ 5-6 ต่อถ้วย (152 กรัม) แตงโมจึงจัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีค่า GL ต่ำ ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าสถานะ GI สูงของแตงโมจะเป็นอย่างไร การรับประทานแตงโมเพียง 1 ถ้วย (152 กรัม) จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ

อย่างไรก็ตามการรับประทานแตงโมมากเกินไปจะเพิ่มค่า GL ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ การเฝ้าระวังระดับน้ำตาลในเลือดของคุณมีความสำคัญอย่างยิ่งหากคุณเป็นเบาหวาน

3.การรับประทานแตงโมในปริมาณมากอาจทำให้เกิดภาวะไลโคปีเนเมีย ซึ่งเป็นภาวะที่ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม เนื่องจากไลโคปีน ซึ่งเป็นสารสีแดงในแตงโม อาจสะสมในชั้นผิวหนังเมื่อรับประทานในปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้พบได้น้อยมาก และสามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้เองเมื่อลดการรับประทานอาหารที่มีไลโคปีนสูงลง

แตงโมเป็นผลไม้ที่สดชื่นและดีต่อสุขภาพ แต่การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหรือทำให้เกิดอาการไม่สบายทางเดินอาหารในผู้ที่แพ้สาร FODMAP ดังเช่นอาหารอื่นๆ การบริโภคแตงโมในปริมาณที่พอเหมาะจึงสำคัญที่สุด ลองจำกัดปริมาณการรับประทานแตงโมให้เหลือประมาณ 2 ถ้วย (300 กรัม) ต่อวัน หากคุณจะรับประทานแตงโมเพียงอย่างเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/12/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a42,500.0042,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,753.0041,735.4843,100.00
ทองรูปพรรณ 90%2,477.7037,561.93n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,202.4033,388.38n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,239.0018,783.24n/a
ทองรูปพรรณ 40%964.0014,614.24n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,853.0043,251.48n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/12/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.2536.2536.7536.2536.2536.2536.2536.2536.2536.25
แก๊สโซฮอล์ 9135.8835.8836.3835.8835.8835.8835.8835.8835.8835.88
แก๊สโซฮอล์ E2034.1434.1434.6434.1434.1434.1434.1434.1434.14
แก๊สโซฮอล์ E8533.8933.8933.89
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.8449.8449.8449.8444.84
เบนซิน 9544.5449.8145.0444.6944.54
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9431.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า