อาคารสำนักงานครึ่งหลังจ่อเพิ่ม2.5แสนตร.ม. ศก.ฝืดลดใช้พื้นที่

ซัพพลายอาคารสำนักงานครึ่งหลังจ่อเพิ่ม2.5แสนตร.ม. ศก.ฝืด‘ลดใช้พื้นที่’แข่งสัญญาเช่ายืดหยุ่น จูงใจคนเช่า อาคารเก่าเริ่มปรับลดราคาลงเพื่อรับมือแข่งขันอาคารใหม่
เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2568 แต่ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ไตรมาส 2 ยังเดินหน้าต่อด้วยความต้องการเช่าที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอาคารคุณภาพสูงและ “สำนักงานสีเขียว” หนุนดีกรีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจาก “ซัพพลายใหม่” และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ หุ้นส่วนและกรรมการบริหาร หัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณสะดุด! จากแรงกดดันภาคการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชนในครึ่งหลังปี 2568 หากแต่ภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 2 กลับเติบโต โดยมีการเช่าพื้นที่สูงเกือบ 200,000 ตร.ม.
ข้อมูลล่าสุดพบว่า พื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ ขยายตัว 1.7% จากไตรมาสก่อนหน้า แตะ 6.42 ล้านตร.ม. โดยมี 4 อาคารใหม่เปิดตัว ได้แก่ APAC Tower, KingBridge Tower, BTS Visionary Park และ One Origin Sanampao รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 180,000 ตร.ม. ทว่าไม่ใช่ทุกพื้นที่จะพร้อมให้เช่าทันที บางส่วนถูกใช้โดยเจ้าของ ทำให้การดูดซับสุทธิอยู่ที่ 67,000 ตร.ม.
“น่าสังเกตว่า อาคารใหม่เหล่านี้ล้วนผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เช่น LEED Gold สะท้อนทิศทางความต้องการพื้นที่สำนักงานที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะยุคหลังโควิด-19 ที่องค์กรต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาวะ พลังงาน และภาพลักษณ์องค์กร”
แม้จะมีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น แต่ “การเลือก” ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ จะเห็นว่าอัตราการเข้าใช้งานโดยรวมลดลง 0.7% เหลือ 76.8% อาคารเกรด A และ B เผชิญการแข่งขันอย่างหนัก โดยอาคารเกรด A อัตราใช้งานลดลงเหลือ 75.3% อาคารเกรด B ลดลงชัดเจน เหลือเพียง 74% ขณะที่อาคารเกรด C กลับปรับเพิ่มขึ้นเป็น 80.5% สะท้อนการขยับตัวขององค์กรที่มุ่งเน้นควบคุมต้นทุนอีกด้วย
ค่าเช่าขยับขึ้น? แค่บางส่วน
สำหรับค่าเช่าเฉลี่ยของตลาดปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 847 บาท/ตร.ม./เดือน แต่หากเจาะลึกค่าเช่าแต่ละเกรดกลับ “ลดลง” อาคารเกรด A ลดลง 1.2% เหลือ 1,233 บาท เกรด B ลดลง 0.7% เหลือ 866 บาท เกรด C ทรงตัวที่ 543 บาท
“การเพิ่มขึ้นของค่าเช่าตลาดโดยรวมมาจากอาคารใหม่ที่เข้าสู่ตลาด แม้ตั้งราคาต่ำกว่าเกรดเดียวกัน แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด อีกทั้งอาคารเก่าเริ่มปรับลดราคาลงเพื่อแข่งขัน จึงทำให้ช่องว่างราคาแต่ละเกรดแคบลง”
ปัจจุบัน ตลาดในเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ยังมีสัญญาณอ่อนตัว โดยค่าเช่าลดลงเฉลี่ย 1.3% เหลือ 957 บาท/ตร.ม./เดือน ขณะที่อัตราการเข้าใช้งานลดลงเล็กน้อย เหลือ 76% ทำเล “เพลินจิต-ชิดลม-วิทยุ” ค่าเช่าลดลงมากสุด 2.6% ทำเล “นานา-อโศก-พร้อมพงษ์” ค่าเช่าลดลงแต่การใช้งานเพิ่มขึ้น ทำเล “สีลม-สาทร-พระราม 4” ค่าเช่าคงที่ แต่อัตราใช้งานลดลง
ขณะที่ทำเลนอก CBD กลับมาแรงสวนทาง! พื้นที่สำนักงานนอกเขตธุรกิจเริ่มฟื้นตัว มีค่าเช่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.2% เป็น 688 บาท/ตร.ม./เดือน ทำเล “เพชรบุรี-รัชดา” ค่าเช่าขยับเล็กน้อย แต่มีอัตราการเข้าใช้งานสูง ทำเล “พหลโยธิน-วิภาวดี” ค่าเช่าเพิ่มสูงสุด 5.8% จากโครงการใหม่ แต่การเข้าใช้งานลดลงถึง 6.2% ทำเล “บางนา-ศรีนครินทร์” ค่าเช่าเพิ่มเล็กน้อย อัตราใช้งานลดลงตาม
“ประคองตัว” มากกว่า “ขยับขยาย”
แม้ภาพรวมไตรมาส 2 จะสดใส แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง อาจกดดันการ “ตัดสินใจเช่าใหม่” โดยเฉพาะจากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐ ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ผู้เช่าหลายรายเลื่อนการลงทุน หันมาใช้วิธี “ประคองตัว” มากกว่า “ขยับขยาย”
นอกจากนี้ ยังมีอุปทานใหม่อีกราว 250,000 ตารางเมตร ที่เตรียมเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปี ทำให้การแข่งขันยิ่งรุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบการหลายรายจึงเริ่มปรับตัวด้วยการเสนอสัญญาเช่าที่ยืดหยุ่น สนับสนุนค่าใช้จ่ายตกแต่งภายใน และบริการเสริมอื่นๆ เพื่อดึงดูดผู้เช่า
“วันนี้การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่เป็น ‘คุณค่า’ ที่ผู้เช่าจะได้รับในช่วงเวลาที่ต้องบริหารความไม่แน่นอน”
ความยืดหยุ่น = ความอยู่รอด
หากมีคำหนึ่งที่นิยามตลาดอาคารสำนักงานปีนี้ได้ชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้น “ความยืดหยุ่น” ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบพื้นที่ การตั้งราคาค่าเช่า หรือการเจรจาสัญญา ที่ต้องตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่ที่พร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ สิ่งที่เห็นได้ชัดจากไตรมาสนี้คือ แม้เศรษฐกิจจะเผชิญความท้าทาย แต่ “ตลาดออฟฟิศ” หรือ อาคารสำนักงาน ยังไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ผู้เล่นในตลาด ต้องเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงมากกว่าเพียงแค่แข่งขันกันด้านตัวเลข
ตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ กำลังเดินเข้าสู่ “ยุคแห่งการปรับตัว” ที่ความยืดหยุ่น และความเข้าใจความต้องการเชิงลึกของผู้เช่า จะเป็นตัวชี้วัดความอยู่รอดของเจ้าของอาคารในอนาคตอันใกล้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผวาการเมืองวุ่น ฉุดลงทุนเอกชน ลุ้นคดีคลิปเสียงนายกฯ 29 ส.ค. ผวาสุญญากาศทุบเชื่อมั่นดิ่ง

คดีคลิปเสียง” แพทองธาร” ภาคเอกชน-ธุรกิจ-นักวิชาการ หวั่นการเมืองวุ่น เกิดภาวะสุญญากาศ ทุบความเชื่อมั่นและการลงทุนชะงัก กังวลยุบสภาฯ กระทบการบริโภคชะลอตัว เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ขณะที่ สบน.เชื่ออันดับเครดิตประเทศยังดีอยู่
คดีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่วุฒิสภาส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ตีความตัดสินว่าจะฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งจะมีการพิจารณาตัดสินคดีในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 กำลังเป็นที่จับตาของทุกภาคส่วนว่าผลการตัดสินใจจะออกมาอย่างไร เพราะหากมีความผิด จะส่งผลให้นายกรัฐมนตรี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หากพิจารณาตัดสินแล้วไม่พบมีความผิด นางสาวแพทองธาร จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
จากการพิจารณาคดีดังกล่าว”ฐานเศรษฐกิจ”ได้สำรวจความคิดเห็นของภาคส่นต่าง ๆ ทั้งนักวิชากการและภาคธุรกิจ ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศว่าจะมีผลอย่างไรหรือไม่
ชี้ไม่มีผลกระทบเครดิตประเทศ
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร จะไม่ได้มีผลกับภาพรวมการประเมินเครดิตของประเทศไทย ซึ่งปีนี้ยังเหลือการประเมินเครดิตจาก Fitch Ratings หรือฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่จะออกมาช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยคาดว่าจะยังคงอันดับเครดิตไทยเช่นเดียวกันกับปีที่แล้ว แต่อาจจะมีความกังวลในเรื่องผลกระทบทางการเมืองที่จะมีผลต่อ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่อาจจะมีผลบังคับใช้ล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าสถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าว จะไม่มีผลต่องบประมาณปี 2569 เนื่องจากขณะนี้งบประมาณได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แล้ว

ส่วนในเรื่องพื้นที่ทางการคลัง สถานการณ์หนี้สาธารณะของไทยนั้น มองว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตไม่ได้โฟกัสในเรื่องดังกล่าวมาก เนื่องจากมีข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว ที่สามารถวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้
หวั่นเกิดสุญญากาศทางการเมือง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภาคเอกชนไม่ต้องการให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองขึ้นในประเทศไทย เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงและซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้านในช่วงเวลานี้ ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรักษาตัวเลขการลงทุนและภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรี ยังอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อจะช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพและความมั่นใจให้แก่ทั้งภาคธุรกิจ นักลงทุน รวมถึงประชาชนโดยรวม อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
ส่วนกรณีที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง ภาคเอกชนต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ สามารถดำเนินนโยบายระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงภาคการเมืองไทยจะต้องเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยการเคารพหลักการของประชาธิปไตยและกฎหมายอย่างเข้มงวด
เชื่อเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า กรณีของนางสาวแพทองธาร นั้น ไม่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง เพราะนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นรายใหญ่ คุ้นเคยกับสถานการณ์การเมืองไทยอยู่แล้ว และการลงทุนที่ปักหลักไปแล้วจะไม่ถอนกิจการ จากปัจจัยทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเดียว
รวมถึงนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามา จะมุ่งไปที่เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของทุกรัฐบาล แต่ตอนนี้ก็ต้องอดใจดูว่ากรณีนายกฯ จะออกหัวออกก้อยอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าการเมืองจะมาในรูปแบบใด กลุ่มทุนและนักลงทุนก็สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ดี และต่างชาติก็เข้าใจภาพการเมืองไทยเช่นนี้
ดร.ธนิต กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังว่า ยังคงเดินหน้าไปต่อได้ เห็นได้จากการส่งออก ล่าสุดในช่วง 7 เดือนของปีนี้ยังขยายตัวได้ดี แม้จะมีความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ เพราะก็ยังเห็นสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่องถึงเดือนสิงหาคม จะมีแค่การส่งออกไปกัมพูชาที่กระทบเท่านั้น ส่วนการท่องเที่ยว อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่ 33 ล้านคน และอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนบ้าง
นักวิชาการประเมิน 3 ฉากทัศน์
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบต่าง ๆ หากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกหรือหลุดจากตำแหน่งหรือยังดำรงต่ำแหน่งอยู่ สถานการณ์ดังกล่าวต้องแบ่งออก เป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.หากนายกฯ มีการประกาศลาออกหรือหลุดออกจากตำแหน่ง แต่รัฐสภายังคงดำเนินการต่อ ต้องมีการโหวตเลือกตั้งนายกฯคนใหม่ ว่าจะมาจากพรรคเดิม คือ พรรคเพื่อไทย หรือ จากมาพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ หากยังคงเป็นพรรคเดิม คาดว่าเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าต่อ เนื่องจากมีนโยบายคงเดิม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาดูว่าใครเป็นนายกฯ จะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องตามถ้าสมมุติว่าการได้รับการยอมรับจากประชาชนเพียงแค่เปลี่ยนตัวนายก แต่ภายใต้พรรคร่วมเดิม เศรษฐกิจก็เดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่น่ามีปัญหาอุปสรรค
2. หากมีการยุบสภาฯ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ จะทำให้การบริโภคชะลอลง เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าเพราะประชาชนไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งอาจจะกระทบเศรษฐกิจไตรมาส 4 และ 3. นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง และมีการยุบสภา ก่อนมีการตัดสินคดี ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ซึ่งต้องมีการจัดสรรเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 45-60 วัน จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า รัฐบาลรักษาการก็จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้
กระทบความเชื่อมั่นแค่ระยะสั้น
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) สะท้อนว่า ไม่ว่านางสาวแพทองธาร จะอยู่หรือไปในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ธุรกิจยังเดินหน้าต่อ เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องมีผู้ทำหน้าที่นายกฯไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ต้องทำงานแบบ 100% อีกทั้งการพิจารณางบประมาณปี 2569 ผ่านได้แล้ว ก็ถือว่าไม่ได้เป็นความน่ากังวลมากนัก รวมถึงเชื่อว่า จะยังไม่มีการยุบสภาในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภาฯในช่วงต้นปี 2569 ถือเป็นโอกาสที่จะมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ขอให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะในทางธุรกิจกับนักธุรกิจด้วยกัน ความมีเสถียรภาพเป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุด
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทอิตัลไทย และผู้ก่อตั้งออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) สะท้อนว่า ไม่ว่านายกฯจะอยู่หรือไป ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ธุรกิจยังต้องอยู่และเดินหน้าต่อเหมือนเดิม เพียงแต่มีผลกระทบในด้านความเชื่อมั่นหรือภาพลักษณ์ระยะสั้นเท่านั้น เพราะประเทศไทยมีการเปลี่ยนตัวนายกฯบ่อยอยู่แล้ว
“สิ่งที่รัฐบาลต้องทำตอนนี้คือ เลิกทะเลาะกัน มองประเทศชาติมากขึ้น ว่าต้องการอะไร ทั้งความสมานฉันท์ การเดินไปข้างหน้า และปากท้องของประชาชน เพราะคนทำงานเหนื่อยมาก รวมถึงผู้ประกอบการด้วย เพราะหากคนทำงานเหนื่อยแล้ว เจ้าของกิจการก็เหนื่อยไม่แพ้กัน เนื่องจากกำลังซื้อลดลง”
ขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวในปี 2568 นี้ มองว่า คงไปไม่ถึงเป้าหมายที่ 35 ล้านคน ส่วนปี 2569 หวังว่าจะดีกว่านี้ แต่ก็ยังมองว่าคงทรงตัว จำนวนคงไม่ได้พุ่งเหมือนช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้ดีมากนัก กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง รวมถึงคนไทยที่ขณะนี้เหนื่อยกันหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้าหรือธุรกิจส่วนใหญ่ เพราะปัญหาหลักคือ การหารายได้ ทำให้ไตรมาส 3 ปี 2568 เริ่มมีหลายบริษัทในหลายเซกเตอร์เริ่มลดคนทำงานแล้ว
เอกชน-นักลงทุนเกาะติดสถานการณ์
ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป หรือ TFPA กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทย ที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ 2 แนวทางที่ส่งผลกระทบแตกต่างกัน กรณีแรก หากนายกรัฐมนตรีลาออกหรือหลุดจากตำแหน่ง จะเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองทันที บั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาคเอกชนและนักลงทุนต้องรอดูสถานการณ์ รอความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ อาจจะต้องประคองตัวเองให้ดี เพราะการพึ่งพาภาครัฐอาจเป็นไปได้ยาก ซึ่งกระบวนการจัดตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรืออาจรวมถึงผู้บริหารฝ่ายต่างๆ อาจล่าช้าและส่งผลกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวมได้
ส่วนกรณีหากนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป แม้จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในระยะสั้นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะศรษฐกิจที่ซบเซาในปัจจุบันได้ เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ มากระตุ้นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่พลิกผันหรือไม่เป็นไปตามครรลอง อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว และส่งผลให้เศรษฐกิจที่ยังเปราะบางอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง
การเมืองปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจีดีพีในไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตเพียง 2.8% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนามที่เติบโต 8.0% และฟิลิปปินส์ 5.5% ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจชุมชนที่ซบเซา กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง รายได้ที่สวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นผลมาจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นที่ไม่เพียงพอ
นอกจากนี้การขาดความเชื่อมั่นทางการเมืองยังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) และนักท่องเที่ยว ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการบริโภคโดยตรง
หวั่นกระทบความเชื่อมั่นต่างชาติ
นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ทายาทรุ่นที่ 2 บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด หรือแบรนด์ ‘ศรีฟ้า’ เบเกอรี่กาญจน์ แสดงความเห็นว่า แม้เหตุการณ์ทางการเมืองจะมีความสำคัญ แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับธุรกิจซึ่งเป็น SME ที่เน้นทำตลาดกับผู้บริโภคโดยตรง ราคาสินค้าเข้าถึงง่ายและไม่ต้องพึ่งนโยบายรัฐหรือใช้อำนาจทางราชการในการดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม หากการลาออกหรือหลุดจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี อาจส่งผลต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติลดลง เพราะนักลงทุนมักจับตาสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน แต่หากอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อ เชื่อว่าจะช่วยให้ความเชื่อมั่นและความต่อเนื่องของนโยบายรัฐยังไม่เกิดการสะดุด ส่งผลให้การวางแผนลงทุนของนักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นใจ
อสังหาฯ ชี้ เศรษฐกิจขาดเชื่อมั่น
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนว่า หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากชี้ว่าผิด มองว่าอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการบริหารประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องรอการจัดทัพใหม่ไม่ให้เกิดสุญญากาศนาน แต่สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อและสถาบันการเงินปฎิเสธสินเชื่อมาอย่างยาวนานผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างช่วยเหลือตัวเอง เพื่อสร้างยอดขาย ระบายสต๊อก แต่ในทางกลับกันผู้ประกอบการยังต้องการมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามมองว่า ครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยง อย่างภาษีทรัมป์ แม้จะลงตัวที่19% แต่รายละเอียดของแต่ละเซ็กเตอร์ธุรกิจยังไม่ออกมา ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าจะกระทบหรือไม่ ที่น่าจับตาคือความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มองว่าไม่สงบโดยง่ายและเสี่ยงปะทะรอบสอง จะทำให้เศรษฐกิจชายแดนได้รับผลกระทบ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27ส.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทและเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้27ส.ค.2568 ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของรายงานผลประกอบการของ Nvidia
ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในช่วงปกติ หรือ ช่วง After Close โดยหากบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ก็อาจจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
นอกจากนี้ ในช่วงระยะสั้น นอกเหนือจากปัจจัยแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด เงินดอลลาร์อาจผันผวนไปตามการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลัก
อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่อาจเผชิญแรงกดดันจากความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสได้ หลังนายกฯ ฝรั่งเศส ได้กำหนดวันลงมติไว้วางใจ ในวันที่ 8 กันยายน นี้
ซึ่งมีโอกาสสูงที่เสียงส่วนใหญ่จะไม่เห็นชอบกับมติไว้วางใจดังกล่าว และนำไปสู่การลาออกของนายกฯ François Bayrou โดยหลังจากนั้น ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะคัดเลือกนายกฯ ใหม่ หรือประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่
เราประเมินว่า ประธานาธิบดี Emmanuel Macron อาจเลือกประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยอาจมีการเลือกตั้งเร็วสุดในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้ในระยะสั้นนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส อาจกดดันสินทรัพย์ฝั่งยุโรป โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) ได้ และอาจพอช่วยหนุนเงินดอลลาร์บ้าง
อย่างไรก็ดี เรามองว่า สุดท้ายศทางของเงินดอลลาร์อาจขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทั้ง อัตราเงินเฟ้อ PCE ที่จะรับรู้ในสัปดาห์นี้ และข้อมูลการจ้างงานเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในสัปดาห์หน้า โดยข้อมูลดังกล่าวจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ
เราประเมินว่า หากเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าลงได้ชัดเจนอีกครั้ง อาจต้องรอรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน เพื่อรอลุ้นโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างชัดเจน
หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงานยังคงออกมาสดใสหรือดีกว่าคาด โดย หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following การอ่อนค่าอย่างชัดเจนของเงินบาททะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ จะเพิ่มโอกาสที่เงินบาทกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.50 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.42-32.50 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในปีหน้า ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 21% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 4 ครั้ง (ส่วนในปีนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินเฟดมีโอกาสราว 16% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง) จากประเด็นความกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways และยังพอได้แรงหนุนจากอานิสงส์ของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใสและดีกว่าคาด อาทิ ยอดคำสั่งซื้อพื้นฐานสินค้าคงทน ซึ่งไม่รวมอากาศยานและอาวุธ (Core Durable Goods ex. Air & Defense) ในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวขึ้น +1.1%m/m ดีกว่าคาด ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนสิงหาคม แม้จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 97.4 จุด แต่ก็ดีกว่าคาดที่ระดับ 96.4 จุด
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาสดใส นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia +1.1% (ก่อนจะรับรู้รายงานผลประกอบการในวันพุธนี้) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.41%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.83% กดดันโดยแรงขายหุ้นฝรั่งเศส ซึ่งกดดันให้ดัชนี CAC40 ของฝรั่งเศสดิ่งลงกว่า -1.7% ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองของฝรั่งเศส หลังนายกฯ François Bayrou ประกาศกำหนดการลงมติไว้วางใจในวันที่ 8 กันยายนนี้ ทว่าบรรดาพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาต่างออกมาระบุจุดยืนไม่สนับสนุนการลงมติไว้วางใจ เพิ่มความเสี่ยงที่ฝรั่งเศสอาจต้องมีการเลือกตั้งในเร็วนี้
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.27% ทว่าการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ในช่วงนี้ก็ออกมาสดใสอยู่
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนไปตามการมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยยังพอมีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังจากนี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะพอได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส ทว่าความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันเงินดอลลาร์ ผ่านการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 98.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ซึ่งยังคงหนุนการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในปีหน้านั้น ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทดสอบโซนแนวต้าน 3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ แม้จะมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะมีไฮไลท์สำคัญ คือ Nvidia ที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินและทิศทางของบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.27 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยแม้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่มี bias ในด้านอ่อนค่าเช่นเดียวกับค่าเงินเยนและสกุลเงินเอเชียอื่น นอกจากนี้ การปรับตัวลงของราคา Spot ของทองคำในตลาดโลก และความไม่แน่นอนของปัจจัยการเมืองในประเทศยังเป็นปัจจัยลบของเงินบาทด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงประเด็นทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วอลเลย์บอลหญิงไทยปรับลิเบอโร่! จิดาภาเสียบแทนกัลยรัตน์บาดเจ็บ ก่อนดวลเนเธอร์แลนด์ 26 ส.ค. 68

ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยเจอข่าวร้าย “เอย” กัลยรัตน์ คำวงษ์ ลิเบอโร่ เจ็บต้นขาพักยาว ถอนตัวก่อนพบเนเธอร์แลนด์ ศึกชิงแชมป์โลก 2025 คืนนี้ 20.30 น. ส่ง “แบม” จิดาภา นาหัวหนอง ลงแทน
ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ต้องเจอปัญหาสำคัญก่อนลงสนามพบกับ เนเธอร์แลนด์ ในศึก วอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ นัดสุดท้าย คืนวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568
หลังจบเกมที่เอาชนะ สวีเดน 3-0 เซต เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “เอย” กัลยรัตน์ คำวงษ์ ลิเบอโร่คนสำคัญของทีม มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) โดยผลตรวจอย่างละเอียดระบุว่าอาการรุนแรงเกินกว่าจะลงแข่งขันต่อได้
ทำให้ทีมงานต้องเร่งดำเนินการยื่นเรื่องเปลี่ยนตัวผู้เล่นฉุกเฉิน และเรียก “แบม” จิดาภา นาหัวหนอง เข้ามาเสริมแทนทันที เพื่อเตรียมพร้อมลงช่วยทีมในเกมสำคัญกับเนเธอร์แลนด์
ทั้งสองทีมการันตีเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว โดยแมตช์คืนนี้จะเป็นการตัดสินแชมป์กลุ่ม แข่งขันเวลา 20.30 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
สปส. แจ้งเตือน ม.33 -ม.39 ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2568 ถึง 31 ส.ค.นี้

ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2568 สปส. แจ้งเตือนผู้ประกันตน ม.33 ม.39 อายุ 50 ปีขึ้นไปอย่าลืมใช้สิทธิประกันสังคมฉีดวัคซีนฟรี ถึง 31 ส.ค.นี้เท่านั้น เช็กเงื่อนไขได้ที่นี่
เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2568 โดย สำนักงานประกันสังคมเชิญชวนผู้ประกันตนมาตรา 33 (ม.33) และมาตรา 39 (ม.39) ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่สถานพยาบาลตามสิทธิการรักษาพยาบาลฟรี ถึง วันที่ 31 สิงหาคม 2568 นี้เท่านั้น
ทั้งนี้ เป็นประจำทุกปีที่สำนักงานประกันสังคมจัดให้มีการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคกรณีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine) ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 (ม.33 ) และผู้ประกันตนมาตรา 39 (ม.39) ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปเพื่อให้การคุ้มครองดูแลผู้ประกันตนให้ได้รับวิธีป้องกันมากกว่าการรักษาอย่างทันท่วงทีเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ณ สถานพยาบาลตามสิทธิการรักษาพยาบาลของตนในสถานพยาบาลโครงการสำนักงานประกันสังคมทุกแห่งกำหนดปีละ 1 ครั้ง
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมการให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ชนิด 3 สายพันธุ์ หรือ 4 สายพันธุ์ ให้แก่ผู้ประกันตนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และให้เกิดประโยชน์ในการเข้ารับบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคกรณีวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ผู้ประกันตนอย่างแท้จริงโดย คณะกรรมการประกันสังคมได้มีมติล่าสุด เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับผู้ประกันตน
ไข้หวัดใหญ่
เป็นอาการป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยสามารถพบได้ในทุกฤดูกาลแต่ในฤดูหนาวจะมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุด คือ การได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
คำแนะนำ
ผู้ประกันตนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่มีความประสงค์จะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรติดต่อนัดหมายการฉีดวัคซีนกับสถานพยาบาลของท่านก่อนเข้ารับบริการ
กรณีสถานพยาบาล ตามสิทธิของผู้ประกันตนไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถติดต่อสำนักงานประกันสังคมโทร. 0 2956 2502 และ 2510 หากมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติการแพ้วัคซีน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการเข้ารับบริการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ สำนักงานประกันสังคม หรือ โทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘AI’ เร่งปฏิกิริยา คลื่นลูกใหม่ ‘ลงทุนไอที’ ปฏิรูปธุรกิจ

กระแสการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์กำลังเร่งให้ตลาดบริการคลาวด์ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด
องค์กรต่างๆ เริ่มวางกลยุทธ์เพื่อย้ายโครงสร้างพื้นฐานขึ้นคลาวด์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ขณะเดียวกันผู้ให้บริการต่างเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทั้งความทันสมัย ประสิทธิภาพ และการกำกับดูแลข้อมูล…
การ์ทเนอร์ เผย ตลาดบริการคลาวด์สาธารณะ รูปแบบ อินฟราสตรักเจอร์ แอส อะเซอร์วิส (Infrastructure as a Service: IaaS) ทั่วโลกเติบโต 22.5% ในปี 2567 มีมูลค่า 171.8 พันล้านดอลลาร์ โดยอะเมซอนยังเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด ตามด้วยไมโครซอฟท์, กูเกิล, อาลีบาบา และหัวเว่ยตามลำดับ
ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI ที่เพิ่มขึ้น และการเร่งย้ายโปรเจกต์ไปบนคลาวด์ รวมถึงการปรับปรุงให้ทันสมัย

ฮาร์ดีป ซิงห์ นักวิเคราะห์ การ์ทเนอร์ กล่าวว่า ขณะที่องค์กรต่างๆ ยังคงมองหาความยืดหยุ่นที่สูงขึ้น และประสิทธิภาพที่เหมาะสม จึงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องสำหรับบริการคลาวด์ในการย้ายข้อมูลและการปรับปรุงให้ทันสมัย
องค์กรต่างๆ ต้องการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานไอทีของตน โดยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม AI หลากหลาย และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงให้มีความทันสมัย
โดยการย้ายงานที่มีอยู่ไปยังคลาวด์ พวกเขายังปรับใช้แอปพลิเคชันที่เป็น “cloud-native” ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
ปูทางสู่อำนาจ ‘อธิปไตยข้อมูล’
การ์ทเนอร์เผยว่า แนวโน้มนี้ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากความต้องการในเรื่องความยืดหยุ่นเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลในท้องถิ่นและอำนาจอธิปไตยข้อมูล เนื่องจากองค์กรต่างๆ ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่คลาวด์อย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมกับการรักษา ควบคุมข้อมูล และการดำเนินงานของตน
ที่ผ่านมา ผู้ให้บริการคลาวด์กำลังลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถด้าน AI เพื่อเป็นผู้นำในตลาด AI-optimized IaaS ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
พวกเขาคาดหวังว่า AI จะกลายเป็นผู้สนับสนุนรายได้ที่ใหญ่กว่าในอนาคต แม้ว่าขณะนี้จะยังคงเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของรายได้โดยรวมในพื้นที่อินฟราสตรักเจอร์ แอส อะเซอร์วิส
ผลิตภัณฑ์ AI-optimized IaaS ใหม่จากผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ hyperscalers หรือผู้ให้บริการ GPU as a service (GPUaaS) แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองความต้องการด้านความจุในทันทีโดยการเสนอการประมวลผลประสิทธิภาพสูงที่ยืดหยุ่นตามความต้องการ
ในปี 2567 ผู้ให้บริการอินฟราสตรักเจอร์ แอส อะเซอร์วิส 5 อันดับแรกครองส่วนแบ่งตลาดถึง 82.1% โดย อเมซอนยังเป็นผู้นำตลาดทั่วโลกด้วยรายได้ 64.8 พันล้านดอลลาร์และมีส่วนแบ่งตลาด 37.7%
ตามด้วยไมโครซอฟท์ที่มีส่วนแบ่งตลาด 23.9% ส่วนกูเกิล, อาลีบาบา กรุ๊ป และหัวเว่ยยังคงรักษาตำแหน่งของตนเมื่อเทียบกับปีก่อน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
การ ตอบตกลงภาษาอังกฤษ เรื่องไม่ยาก แต่มีให้เลือกใช้หลายสถานการณ์

ต่อให้คุณคือคนที่เริ่มจาก เรียนภาษาอังกฤษไม่มีพื้นฐานเลย คุณก็คงรู้ว่า Yes คือการตอบรับ และ No คือการตอบปฏิเสธ จุดเด่นหนึ่งของแทบทุกภาษาก็คือเรื่องเดียวกันสามารถพูดได้หลายแบบ การตอบรับในภาษาอังกฤษก็เช่นกัน มีให้เลือกใช้ทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในแต่ละรูปแบบเองก็มีให้เลือกใช้หลายคำตามสถานการณ์ จบจากบทความนี้ รับรองว่าทุกคนจะ ตอบตกลงภาษาอังกฤษ ได้มากกว่าแค่ Yes อย่างแน่นอน และจะนำเรื่องนี้ไปต่อยอดกับการ เรียนภาษาอังกฤษ ในส่วนอื่นได้อีกด้วย
การตอบตกลงภาษาอังกฤษ แบบไม่เป็นทางการ
หากเรา เรียนภาษาอังกฤษ ในคลาสที่เน้นการสนทนา ก็คงมีบ้างเหมือนกันที่บทสนทนาในคลาสนั้นเน้นการพูดคุยแบบเป็นกันเอง หรือหลายครั้งที่เรามีเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นชาวต่างชาติ เมื่อเขาตอบตกลงหรือตอบรับ เราก็จะได้ยินคำอื่นที่นอกจาก Yes! และต่อไปนี้คือตัวอย่างส่วนหนึ่งของคำตอบที่นำไปใช้ได้
- Yeah / Yup / Yep
คำตอบแบบเป็นกันเองสุด ๆ ใช้ได้ในทุกบริบทที่ไม่เป็นทางการ เช่น
ตัวอย่างที่ 1:
A: Are you coming to the party?
(เธอจะไปงานปาร์ตี้มั้ย)
B: Yep, I’ll be there!
(ไปแน่นอน)
ตัวอย่างที่ 2:
A: Great party, isn’t it?
(ปาร์ตี้สุดยอดเลยใช่มั้ย)
B: Yeah. It’s cool.
(ใช่ เยี่ยมมากเลย)
- Sure / Sure thing
ฟังดูสุภาพแต่ยังคงไม่เป็นทางการ เหมาะกับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน และสถานการณ์ที่ต้องการเน้นย้ำว่าทำได้ตามนั้นจริง ๆ เช่น
A: Can I switch the TV on?
(ผมขอเปิดทีวีได้มั้ย)
B: Sure, go ahead.
(ได้สิ เปิดเลย)
- Of course / Definitely / Absolutely
เน้นความเต็มใจหรือยืนยันชัดเจน เหมาะในสถานการณ์ที่อยากแสดงความเห็นด้วยอย่างชัดเจน เช่น
A: Do you want to join our team for lunch?
(คุณจะไปกินมื้อเที่ยงกับพวกเรามั้ย)
B: Absolutely!
(ไปแน่นอนอยู่แล้ว!)
นอกจากสามแบบนี้แล้ว ก็ยังมีรูปแบบอื่นอีก เช่น
- No problem! / Not a problem! / You got it! เหมาะกับการตอบรับว่าเรายินดีให้ความช่วยเหลือ
- Sounds good! ใช้ตอบรับข้อเสนอ
- Alright / Okay / OK คำเรียบง่ายและมีความเป็นกลาง ใช้ตอบตกลงได้ในหลากหลายสถานการณ์ ซึ่งคำตอบเหล่านี้หากคุณ เรียนภาษาอังกฤษ และได้เห็นการนำไปใช้จริง ก็จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น
การ ตอบตกลงภาษาอังกฤษ แบบเป็นทางการ
สำหรับคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อธุรกิจหรือการทำงาน ก็อาจมีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องนำภาษาอังกฤษที่เรียนไปใช้ในแบบที่เป็นทางการ (เช่น พูดกับหัวหน้าหรือลูกค้า) และต่อไปนี้คือตัวอย่างการตอบรับหรือตอบตกลงในแบบที่เป็นทางการ
- Yes, certainly / Yes, of course
เป็นการตอบตกลงแบบสุภาพ เหมาะสำหรับการสนทนาในเชิงธุรกิจ การประชุม หรือใช้ตอบรับเมื่อมีคนขอความช่วยเหลือเราโดยแสดงออกถึงความเกรงใจ เช่น
ตัวอย่างที่ 1:
A: Could you make me a cup of tea, please?
(รบกวนช่วยชงชาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ)
B: Yes, of course.
(ได้เลยค่ะ)
ตัวอย่างที่ 2:
A: Could you prepare the report by Friday?
(คุณช่วยเตรียมรายงานให้พร้อมภายในวันศุกร์ได้ไหม)
B: Yes, certainly.
(ได้แน่นอนครับ)
- I‘d be happy to / I‘d be glad to
เป็นการตอบรับด้วยความเต็มใจ พร้อมด้วยท่าทีเชิงบวก แสดงให้อีกคนเห็นว่าเรายินดีทำสิ่งนั้นให้จริง ๆ เช่น
A: Can you give the presentation next week?
(อาทิตย์หน้าคุณช่วยเป็นคนนำเสนองานได้หรือเปล่าครับ)
B: I’d be happy to.
(ด้วยความยินดีครับ)
- Absolutely / Definitely
แม้สองคำนี้จะพบในบทสนทนาไม่เป็นทางการด้วย แต่หลายครั้งเรื่องที่คุยกันอยู่ก็จะเป็นตัวกำหนดว่าเราใช้คำนี้ในแบบที่เป็นทางการหรือกึ่งทางการได้เช่นกัน
A: Do you support this strategy?
(คุณเห็นด้วยกับกลยุทธ์นี้หรือเปล่า)
B: Absolutely.
(เห็นด้วยแน่นอนครับ)
สังเกตว่าเรื่องที่คุยกันในตัวอย่างนี้ดูเป็นทางการมากกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ (การไปกินมื้อเที่ยง) แต่ก็สามารถใช้คำตอบเดียวกันได้ โดยโทนเสียงและเรื่องที่คุยจะเป็นตัวบอกว่าคุยแบบเป็นทางการหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“ส้มควาย” ผลไม้รสเปรี้ยวจัดจากภาคใต้ ที่อุดมด้วยประโยชน์เกินตัว

เมื่อพูดถึงผลไม้รสเปรี้ยว หลายคนคงนึกถึงมะนาวหรือมะขาม แต่ยังมีผลไม้พื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งจากภาคใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเปรี้ยวจัดไม่แพ้กัน นั่นคือ ส้มควาย หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia cowa ผลไม้ที่ไม่ได้มีดีแค่รสชาติ แต่ยังอัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ทางยาและสุขภาพที่น่าสนใจ
ส้มควายคืออะไร?
ส้มควาย เป็นไม้ยืนต้นในตระกูลเดียวกันกับส้มแขก (Garcinia) มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงภาคใต้ของประเทศไทย ผลส้มควายมีรูปร่างกลมแป้นคล้ายฟักทองขนาดเล็ก ผิวเปลือกมีสีเขียวอมเหลืองหรือเหลืองเข้มเมื่อสุก เมื่อผ่าออกจะพบเนื้อสีเหลืองอ่อน เนื้อแน่น มีรสชาติเปรี้ยวจัดและฝาดเล็กน้อย เนื่องจากมีกรดสูง
ด้วยรสชาติที่เปรี้ยวจัด ทำให้ส้มควายไม่นิยมรับประทานสด แต่จะนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ส้มควายแช่อิ่ม หรือนำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติเปรี้ยวแทนมะนาวหรือมะขาม เช่น แกงส้ม แกงเหลือง หรือนำไปทำเป็นน้ำพริกและเครื่องแกง
ประโยชน์ของส้มควาย: สรรพคุณทางยาและสุขภาพ
แม้จะมีรสชาติเปรี้ยวจัด แต่ส้มควายก็อุดมไปด้วยสารอาหารและมีสรรพคุณทางยามากมายที่คนไทยในอดีตใช้เป็นยาสมุนไพรมาอย่างยาวนาน
- ช่วยในการลดน้ำหนัก: ส้มควายมีสาร ไฮดรอกซีซิตริกแอซิด (HCA) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบได้ในตระกูลส้มแขก สารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการช่วยยับยั้งการสะสมไขมันในร่างกาย และช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ส้มควายเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- ระบบขับถ่ายดีขึ้น: ส้มควายมีใยอาหารสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นและป้องกันอาการท้องผูกได้
- อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ และช่วยชะลอวัย
- บำรุงสุขภาพ: มีวิตามินซีและแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่างๆ
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ส้มควายจึงเป็นมากกว่าแค่ผลไม้รสเปรี้ยว แต่เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยาและสุขภาพที่น่าสนใจ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนไทยในการนำพืชพรรณธรรมชาติมาใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/08/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,900.00 | 52,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,355.00 | 50,861.80 | 52,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,019.50 | 45,775.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,684.00 | 40,689.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,509.75 | 22,887.81 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,174.25 | 17,801.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,476.68 | 52,706.47 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/08/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.95 | 32.95 | 33.45 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 | 32.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.58 | 32.58 | 33.08 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 | 32.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.74 | 30.74 | 31.24 | 30.74 | 30.74 | – | 30.74 | 30.74 | 30.74 | 30.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 41.24 | – | – | – | 49.81 | – | 41.74 | 41.39 | – | 41.24 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | – | 18.55 |