จับตา!คลื่นการลงทุนอสังหาฯ เมื่อโรงงานถูกโรงแรม – Data Center แซง

คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ชี้คลื่นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 โรงแรม -Data Center แซงหน้าโรงงาน เหตุการท่องที่ยวฟื้น โครงสร้างพื้นฐานดี ความมั่นคงทางพลังงาน
Southeast Asia Outlook 2025 เจาะลึกปรากฏการณ์ตลาดอสังหาฯ ไทย – เมื่อโลกกำลังเปลี่ยน และไทยต้องพร้อมเปลี่ยนไปด้วย จุดเปลี่ยนของภูมิภาค…เริ่มต้นที่ “อุตสาหกรรม”
ปี 2567 ที่เพิ่งผ่านไป การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งขึ้น 16% เมื่อเทียบปีต่อปี โดย “ภาคอุตสาหกรรม” ก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ครั้งแรกในรอบทศวรรษ แซงหน้าสำนักงาน และค้าปลีกแบบไม่เห็นฝุ่น
หลายเสียงบอกว่า นี่คือผลพวงของ “การย้ายฐานการผลิต” และ “การแตกสายโซ่อุปทาน” ที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของการเมืองโลก และนโยบายสหรัฐ แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้น โลกกำลังเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง และอาเซียนคือ สมรภูมิใหม่ที่ทุกคนอยากเข้ามาปักหมุด
ในบรรยากาศที่ GDP ทั้งภูมิภาคคาดว่าจะโตถึง 4.8% ในปี 2024 ความต้องการ ด้านโลจิสติกส์ พื้นที่คลังสินค้า และโรงงานผลิตกำลังพุ่งทะยาน แต่ในประเทศไทย กลับมีบางสิ่งที่ “ต่างออกไป”
ได้เวลา ไทยแลนด์…
แม้กระแสภูมิภาคจะหนุนภาคอุตสาหกรรม แต่ “ไทย” กลับเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ภาคโรงแรมยังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมากที่สุดในปี 2567 – ถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมตามมาห่างๆ ที่ 200 ล้านดอลลาร์
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก…ในเมื่อไทยคือ หนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “แรง และจริง” จนดึงดูดนักลงทุนให้หันกลับมาให้ความสนใจอสังหาฯ เพื่อการบริการอีกครั้ง
Data Center พระเอกหน้าใหม่
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นโครงการระดับบิ๊กเนมทยอยเข้ามาประกาศลงทุนใน Data Center อย่างต่อเนื่อง – ตั้งแต่ TikTok ที่ลงทุนกว่า 8,800 ล้านดอลลาร์ ไปจนถึง Google ที่เพิ่งเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งที่ 5 ในไทย
เหตุผล? ไม่ใช่แค่เพราะประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตแรง…แต่เพราะเราคือ “ศูนย์กลางใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล” ในสายตานักลงทุนระดับโลก
แกเร็ธ ไมเคิล พาวเวลล์ ผู้บริหารสูงสุดประจำประเทศไทย คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า ไทยยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของ Data Center เพราะมีทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ความมั่นคงทางพลังงาน และต้นทุนที่ยังสามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค
สงครามภาษี: เมฆครึ้มที่ยังต้องจับตา
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น…หนึ่งในประเด็นใหญ่ที่ฉุดให้นักลงทุนต้องระวังคือ “กำแพงภาษีนำเข้า” ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับขึ้นต้นปี 2568 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอาเซียนหลายประเทศรวมถึงไทย
สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยฯ ของคุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ มองว่า ไทยยังมีช่องในการเจรจา เพราะเราเองก็มีอาวุธในการต่อรอง ทั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ และการควบคุมสินค้าเกษตรบางประเภท แต่สุดท้าย ข้อสรุปจะเป็นอย่างไร ยังต้องจับตาการเจรจาระดับนโยบาย ที่อาจพลิกแนวโน้มการส่งออก และการลงทุนได้ในพริบตา
นักลงทุนจีนเดินเกมก่อนปะทะ
สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนจีนหลายรายเริ่มเข้ามาปักหมุดในไทยก่อนที่ผลกระทบจากกำแพงภาษีจะเกิดจริง เพราะเข้าใจเกมการค้าสหรัฐ ดีกว่าใคร
พงษ์พันธ์ พลอยเพ็ชร ผอ.ฝ่ายโลจิสติกส์ ชี้ว่า นักลงทุนจีน “รู้ทัน” และเชื่อว่าแม้ไทยจะโดนผลกระทบบ้าง แต่ก็ยังเบากว่าจีนแน่นอน เพราะไทยมีความยืดหยุ่นทางการทูตและการค้า
การลงทุนในปี 2568 จึงเต็มไปด้วยความหลากหลาย
ภาคอุตสาหกรรม ยังมาแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC และโลจิสติกส์
ภาคโรงแรมและค้าปลีก ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
ภาคสำนักงาน เริ่มฟื้นแต่ยังต้องแข่งกับเทรนด์ไฮบริด
ภาคที่อยู่อาศัย บ้านแนวราบยังเติบโต แต่คอนโดมิเนียมสูงอาจชะลอ
ภาคโลจิสติกส์ ค่าเช่าเริ่มขยับ รับกระแสอีคอมเมิร์ซ และกระจายศูนย์คลังสินค้า
แล้วนักลงทุนควรทำอย่างไร?
เกาะกระแสใหญ่ – อุตสาหกรรม, Data Center และโลจิสติกส์คือ กระแสหลักที่ยังโตต่อ
เลือกทำเลให้ถูก – เขต EEC, รอบกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญยังน่าจับตา
ตามเกมการเมืองโลกให้ทัน – กำแพงภาษีอาจดูไกลตัว แต่มีผลกระทบจริง
ปี 2568 อาจไม่ใช่ปีที่ราบเรียบสำหรับอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่เป็นปีแห่ง “การเปลี่ยนทิศทาง” ที่ใครมองเห็นก่อน ย่อมได้เปรียบในเมื่อโรงแรมแซงโรงงานData Center มาแทนสำนักงาน คำถามสำคัญคือ…นักลงทุนไทย พร้อมหรือยัง?
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แสนสิรินำทัพปั้นภูเก็ตสู่เวทีโลก ผุดInclusive Growth Hub

แสนสิริเดินหน้าลงทุนในภูเก็ต World Class Destination ที่ทั้งนักท่องเที่ยว นักลงทุน และคนท้องถิ่น “เติบโตไปด้วยกัน” ภายใต้แนวคิด Inclusive Growth Hub
จาก Sandbox สู่ Soft Power
ย้อนกลับไปในช่วงโควิด-19 ชื่อของ “Phuket Sandbox” โด่งดังไปทั่วโลกในฐานะโมเดลแรก ๆ ที่เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมีระบบ ปลุกชีพเศรษฐกิจให้กลับมาหายใจได้อีกครั้ง และในวันนี้ Sandbox นั้นกลายเป็นรากฐานที่แสนสิรินำมาต่อยอดเพื่อสร้างภูเก็ตให้เป็นศูนย์กลางของ “เศรษฐกิจใหม่” ที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรม การออกแบบ และไลฟ์สไตล์ระดับโลก
แสนสิริมองเห็นแล้วว่า “การเติบโต” จะไม่มีความหมาย ถ้าไม่สามารถแบ่งปันผลประโยชน์นั้นให้กับสังคมโดยรอบ จึงได้วางหมากใหม่ผ่าน 3 กลยุทธ์สำคัญ ที่ไม่ใช่แค่ขายบ้าน แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่ยั่งยืน
ที่อยู่อาศัย = จุดเริ่มต้นของโอกาส
ตลอด 14 ปีที่แสนสิริเดินเคียงข้างภูเก็ต บริษัทสามารถพัฒนาโครงการมาแล้วกว่า 28 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 28,300 ล้านบาท ครองตำแหน่งผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเกาะ ปีนี้ก็ไม่ต่างจากเดิม โครงการอย่าง “ดีคอนโด รีฟ” และ “สราญสิริ เกาะแก้ว รีทรีต” จ่อคิวปิดการขาย ขณะที่ “เดอะ เบส เชิงทะเล” ฟาดยอดขายไปแล้วกว่า 90% ด้วยการออกแบบและมาตรฐานที่เหนือชั้น แสนสิริกำลังเปลี่ยน “บ้าน” ให้เป็น “สินทรัพย์ลงทุน” ที่ทั้งอยู่ได้ และโตได้
The Society สเปซ เป็นเวทีกลาง
แสนสิริไม่ได้มองแค่เรื่องที่อยู่อาศัย แต่กำลังสร้าง “เวทีกลาง” ชื่อว่า The Society — โซเชียลสเปซแห่งแรกในภูเก็ต ใจกลางเชิงทะเล-บางเทา ที่ออกแบบมาเพื่อ “เชื่อมโยง” ผู้คน วัฒนธรรม และแนวคิดจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน เพราะที่นี่จะเป็นทั้งแกลเลอรี ไลฟ์สไตล์โซน และพื้นที่จัดกิจกรรม ที่นำเสนอพลังของ Soft Power ผ่านความร่วมมือกับแบรนด์ไทยอย่าง VINN PATARARIN ที่นำแรงบันดาลใจจากแสงแดดและชายหาดภูเก็ตมารังสรรค์แฟชั่นโชว์บนรันเวย์ใน The Society ครั้งแรกของการจับมือระหว่างอสังหาฯ กับวงการแฟชั่นในระดับโลก เป้าหมายสร้างวัฒนธรรมไทยและเทศให้มีส่วนร่วม
พัฒนาเมือง = พัฒนา “คน”
Inclusive Growth ที่แท้จริง ต้องไปไกลกว่าธุรกิจ — แสนสิริลงทุนใน “อนาคตของภูเก็ต” ผ่านโครงการเพื่อสังคมแบบลึกและจริงจัง เช่น การฝึกทักษะฟุตบอลให้เยาวชนผ่าน Sansiri Academy ที่สร้างโอกาสให้น้อง ๆ กว่า 5,000 คนได้สัมผัสฝันของการเป็นนักเตะมืออาชีพ ยังไม่นับการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนตำบลกมลา สร้างชุดพนักงานจากผ้ามัดย้อมซาโนติก เพื่อเพิ่มรายได้และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือการร่วมสืบสานประเพณีถือศีลกินผักของชาวภูเก็ตเป็นปีที่ 12 เพื่อ “รักษาราก” ของวัฒนธรรมให้เติบโตเคียงข้างอนาคตใหม่
Inclusive Growth Hub ไม่ใช่แค่แผนธุรกิจในโลกที่ทุกเมืองพยายามแข่งขันเพื่อ “โต” ให้เร็วที่สุด แสนสิริกลับเลือกโต “ไปด้วยกัน” กับเมือง คน และวัฒนธรรมอย่างภูเก็ตเพราะในยุคใหม่ที่อสังหาฯ ไม่ใช่แค่เรื่อง “ที่ดิน” แต่คือ “วิสัยทัศน์” — ใครที่เข้าใจวัฒนธรรม เข้าใจผู้คน และเข้าใจการเชื่อมโยงเศรษฐกิจเข้ากับสังคมอย่างแท้จริง… นั่นแหละ คือผู้เล่นที่แท้จริงบนเวทีโลกนี่คือแผนปฏิบัติการที่กำลังจะเปลี่ยนเมืองเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ ให้กลายเป็น “Global Hub”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28เม.ย. “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลง “Sideways Up” ท่ามกลางแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ราคาทองคำอาจยังอยู่ในช่วงการพักฐานต่อ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28เม.ย.ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์“ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แกว่งตัวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.49-33.63 บาทต่อดอลลาร์)
สอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำด้วยเช่นกัน หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง และช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นเหนือโซน 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งภาพดังกล่าวก็พอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง ทำให้เงินบาทยังคงแกว่งตัวแถวโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ได้แรงหนุนจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน (Risk-On) ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงหนักจากจุดสูงสุดใหม่ล่าสุด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมรอลุ้น ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย และผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) รวมถึงยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings)
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนเมษายน
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ในกลุ่ม The Magnificent 7 รวมถึงบรรดาหุ้นในธีม AI/Semiconductor ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ
อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรกของปี 2025 อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนเมษายน และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ของยูโรโซน ในระยะสั้นและระยะยาว
พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้ง ส่วน BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 3-4 ครั้ง ในปีนี้
▪ฝั่งเอเชีย – เราประเมินว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ให้แน่ชัด แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่น
โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ BOJ ชัดเจน จะเปิดโอกาสให้ BOJ เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมก็ตาม อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 72% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้
ในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนเมษายน ซึ่งจะมีการรายงานทั้งดัชนี Official PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ที่เน้นบริษัทขนาดใหญ่และ SOEs เป็นหลัก รวมถึง ดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิต ที่จะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง
▪ฝั่งไทย – เราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.75% เพื่อประคองเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากภาคการผลิตที่ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง
แรงกดดันเพิ่มเติมจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายดังกล่าว (หากเกิดขึ้นจริงตามคาด) จะสอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกเหนือจากผลการประชุม กนง. ดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมีนาคม รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนเมษายน
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น ทำให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up
โดยในสัปดาห์ 28 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคม นั้น เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่อาจสูงราว 5-6 พันล้านบาท (ประเมินจากบรรดาบริษัทจดทะเบียน)
ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด โดยหากราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงการพักฐาน (Correction) ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ ในเชิงเทคนิคัลนั้น เงินบาทจะกลับมายังอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่าได้อีกครั้ง
หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.85 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ทั้งนี้ แนวรับแรกของเงินบาทยังอยู่ในช่วง 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านจะอยู่แถว 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านสำคัญถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์)
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงทยอยอ่อนค่าลง “Sideways Up” ท่ามกลางแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ ส่วนราคาทองคำอาจยังอยู่ในช่วงการพักฐานต่อ ทว่าบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาด อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยได้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุน หากตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (ซึ่งอาจกดดันเงินเยนญี่ปุ่นไปพร้อมกัน) โดยต้องรอลุ้นรายงานผลประกอบการบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูง ขึ้นกับรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ว่าจะออกมาในทิศทางใด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.05-33.80 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.65 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.70-33.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.06 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 33.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินอื่นในภูมิภาค และการย่อตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก สวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่ทยอยแข็งค่ากลับมา รับข่าวที่จีนประกาศยกเว้นภาษีสินค้าบางรายการให้กับสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่าง 2 ประเทศนี้อีกครั้งเพื่อประเมินสถานการณ์ในระยะข้างหน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.40-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายประเทศ และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ขณะที่จุดสนใจของตลาดในช่วงที่เหลือของสัปดาห์จะอยู่ที่ผลการประชุม กนง. ของไทย และอัตราเงินเฟ้อ PCE/Core PCE ของสหรัฐฯ (พ.) และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (ศ.)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แบดมินตันไทย ถล่มฮ่องกง 5-0 เปิดหัวสวยศึกสุธีรมาน คัพ 2025

ทีมแบดมินตันไทยออกสตาร์ตแรงไล่ถล่มฮ่องกง 5-0 คู่ ประเดิมเก็บชัยในศึกสุธีรมาน คัพ 2025 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ พร้อมลุ้นต่อแมตช์หน้าพบแอลจีเรีย
การแข่งขันแบดมินตันประเภททีมผสมชิงแชมป์โลก “สุธีรมาน คัพ 2025” (BWF Sudiraman Cup 2025 Finals) เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 27 เม.ย.68 ที่เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ แมตช์แรก
คู่แรก ประเภทชายคู่ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล พบกับ ฮุง เกว่ยชุน กับ ลอว ชุคฮิม เกมนี้ บาส กับ โอโม่ เปิดเกมบุกทีหนักหน่วงใส่คู่ฮ่องกงได้ตลอด จนเอาชนะไปได้ 2-0 เกม 21-14 และ 21-10 ทีมไทย ขึ้นนำก่อน 1-0 คู่
คู่ที่สอง ประเภทหญิงเดี่ยว “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือดันดับ 6 ของโลก เอาชนะ โลว ซิน ยาน แฮปปี้ มืออันดับ 50 ของโลก 2-0 เกม 21-18 , 21-12 ทีมไทย ขยับแต้มออกนำเป็น 2-0 คู่
คู่ที่สาม ประเภทชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตซานต์ มืออันดับ 2 ของโลก พบกับ อึ้ง กาลอง อังกุส มืออันดับ 19 ของโลก เกมนี้ วิว กุลวุฒิ อาศัยความนิ่งที่เด็ดขาดก่อนพลิกแซงเอาชนะไปแบบสนุก 2-1 เกม 16-21 ,10-21,21-11 ทีมไทย ทำแต้มหนีห่าง 3-0 คู่
คู่ที่สี่ ประเภทหญิงคู่ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ตบเอาชนะ หยาง งาติง กับ หยาง ปุยแลม คู่มืออันดับ 13 ของโลก 2-0 เกม 21-16, 21-18 ทีมไทยนำห่างเป็น 4-0 คู่
คู่ที่ห้า ประเภทคู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 11 ของโลก คัมแบ็กแซงกลับมาเอาชนะ ตัง ชุนมาน กับ ซื่อ หยิงซวด คู่มืออันดับ 5 ของโลก ไปได้สนุก 2-1 เกม 14-21 , 21-18 และ 21-16
สรุปผลการแข่งขันทีมไทย เอาชนะ ไปได้แบบขาดลอย 5-0 คู่ เก็บคะแนนแรกไปได้สำเร็จ
สำหรับโปรแกรมแมตช์ต่อไปของ ทีมแบดมินตันไทย จะพบกับ แอลจีเรีย ในวันจันทร์ที่ 28 เม.ย.68 เวลา 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
หมอแนะลดเสี่ยง “มะเร็งลำไส้” ด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

หมอแนะลดเสี่ยง “มะเร็งลำไส้” ด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก : Tricks for Life
“โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่” จะพบใกล้เคียงกันทั้งเพศหญิงและเพศชาย คือประมาณ 1 ต่อ 25 คน ความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามความเสี่ยงอื่น ๆ ของผู้ป่วย เพราะฉะนั้น ในปัจจุบันจึงมีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพื่อให้สามารถตรวจพบรอยโรคได้ตั้งแต่ระยะเนิ่น ๆ โดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
พันโทหญิงแพทย์หญิงจรรยวรรธน์ สร้างสมวงษ์ ศัลยแพทย์ชำนาญการด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โรงพยาบาเวชธานี กล่าวว่า โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดขึ้นจากติ่งเนื้อ (Polyp) บริเวณผนังลำไส้ใหญ่ โดยปกติมักจะไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติในระยะแรก แต่หากติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ อาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น การขับถ่ายมีเลือดหรือมูกเลือดปน ถ่ายอุจจาระก้อนเล็กลง ท้องผูกสลับท้องเสีย แน่นท้อง ท้องโต หรือคลำเจอก้อนในท้อง
ปัจจุบันยังไม่สามารถทราบสาเหตุการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ได้อย่างแน่ชัด แต่สามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้ 2 ประเภท
ปัจจัยความเสี่ยงจากตัวบุคคล
- อายุ ในอดีตพบว่ามากกว่า 90% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ มีอายุมากกว่า 50 ปี และอายุเฉลี่ยที่พบคือ 60 – 65 ปี แต่ในช่วง 10 ปีหลังมานี้ อุบัติการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 50 ปี เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ป่วยที่อายุน้อยที่สุดตามรายงานคือ 18 ปี
- ประวัติในครอบครัวและถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่า 20% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อน
- ประวัติการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ มีการศึกษาพบว่า ติ่งเนื้อบางชนิดสามารถพัฒนากลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่หากมีการตรวจพบและรักษาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นติ่งเนื้อ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้
ปัจจัยความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม
- ภาวะน้ำหนักเกินและขาดการออกกำลังกาย จากการศึกษาพบว่าน้ำหนักตัวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรค ขณะเดียวกันการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ทำให้ลำไส้มีการทำงานและเคลื่อนตัวมากขึ้น ผลในระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
- อาหาร ในอาหารบางประเภทจะมีสารก่อมะเร็งซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แหนม หมูยอ ลูกชิ้น กุนเชียง และเนื้อแดงที่ถูกประกอบอาหารในความร้อนสูงจนเกรียมแบบปิ้งย่าง
- การสูบบุหรี่ พบว่า 12%ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีพฤติกรรมสูบบุหรี่
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันแพทย์สามารถตรวจหาติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ได้ ด้วยเทคโนโลยีการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ทำให้สามารถตรวจพบติ่งเนื้อได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้ว่าติ่งเนื้อนั้นจะมีขนาดเล็กเพียง 2 มิลลิเมตร หรือขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว นอกจากนี้ยังใช้ร่วมกับเทคนิคการประเมินสีพื้นผิวและเส้นเลือดของติ่งเนื้อ ด้วยแสงชนิดพิเศษที่เรียกว่า Magnified digital chromoendoscopy
ทำให้สามารถบอกได้ว่าติ่งเนื้อที่พบเป็นติ่งเนื้อชนิดใด กลายเป็นมะเร็งแล้วหรือยัง มีการลุกลามลงเนื้อเยื่อชั้นลึกแล้วหรือไม่ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมกับติ่งเนื้อนั้น ๆ ทั้งนี้ เมื่อมีการตรวจพบติ่งเนื้อจากการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แล้ว แพทย์ยังสามารถทำการตัดติ่งเนื้อออก ก่อนที่ติ่งเนื้อนั้นจะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคตได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ด้วยเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่า Endoscopic Submucosal Dissection หรือ ESD ทำให้สามารถตัดติ่งเนื้อขนาดใหญ่ ที่แม้บางส่วนมีการกลายเป็นมะเร็งแล้ว แต่ยังไม่มีการลุกลามไปยังเนื้อเยื่อชั้นลึกและต่อมน้ำเหลือง ออกได้ผ่านทางกล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่
ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องมีแผลผ่าตัดหน้าท้อง และในบางรายไม่ต้องยกลำไส้เปิดทางหน้าท้อง (colostomy)โดยไม่จำเป็น แต่ทั้งนี้ หลังจากการผ่าตัดผ่านกล้องแล้วผู้ป่วยควรเข้ารับการส่องกล้องติดตามอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
การเตรียมตัวก่อนส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนปลาย
- ถ่ายท้องลำไส้สะอาดก่อนถึงวันส่องกล้องเพื่อให้แพทย์เห็นภาพลำไส้ได้ชัดเจนที่สุด โดยใช้วิธีดื่มของเหลวที่ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานและถ่ายง่าย หรืออาจใช้วิธีสวนล้างลำไส้
- งดกินยาบางประเภทตามที่แพทย์สั่ง ก่อนถึงวันเข้ารับการส่องกล้อง
- ก่อนวันนัดตรวจ 2 วัน ควรทานแต่อาหารเหลวที่ไม่มีกากใย เช่น ซุป อาหารอ่อน หรือโจ๊ก หรือน้ำผลไม้ชนิดใส
- หลังการตรวจส่องกล้อง ผู้ป่วยควรนอนพักนิ่ง ๆ 1 ชั่วโมงก่อนกลับบ้าน เพื่อสังเกตอาการ เพราะอาจมีอาการอึดอัดท้อง ท้องอืด เนื่องจากมีลม โดยอาการจะทุเลาลงหลังการตรวจ และไม่ควรขับรถกลับบ้านเอง ควรมีญาติพากลับบ้าน
การส่องกล้องเพื่อตรวจหาติ่งเนื้อ เปรียบเสมือนการตรวจเช็กร่างกาย โดยไม่ต้องรอให้เกิดความผิดปกติ โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรได้รับการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารอย่างสม่ำเสมอ และควรเลือกตรวจกับแพทย์ที่มีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีการส่องกล้อง เพื่อให้เกิดการวินิจฉัยที่แม่นยำ
พร้อมกันนี้ ควรลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติกับลำไส้ใหญ่ร่วมด้วย เช่น รับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการปิ้งย่างมีเขม่าไหม้, อาหารแช่แข็ง, หรืออาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น เนื้อแดงและไส้กรอก เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิด’แผนเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ’ มือถือ-ทีวี-วิทยุ (ยัง) จำเป็นอยู่ไหม

ปภ.ดีเดย์ 2 พ.ค.นี้เทส Cell Broadcast โดยแจ้งเตือนภัยพิบัติผ่านมือถือ 3 ราย ส่วนกสทช. เร่งทบทวนกฎหมาย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับการแจ้งเตือนผ่านทีวีดิจิทัล 14 พ.ค. นี้
หลังจากยืดเยื้อมานาน และเป็นประเด็นที่สังคมพูดถึงกันมานานหลายปีว่าเมื่อไร ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) ที่ประเทศไทยยังไม่มีการใช้งานเสียที แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยได้ข้อสรุปแล้วถึงระบบเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งระหว่างรอทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ทำระบบ Cell Broadcast แล้วเสร็จภายในกลางปีนี้ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือจะเป็นผู้ให้บริการระบบแบบเสมือนไปก่อน
ดังนั้น การแจ้งเตือนภัยจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อระบบกันทุกช่องทาง หากระบบใด ระบบหนึ่งล่ม ดังนั้น การแจ้งเตือนภัยผ่านทีวีดิจิทัล และ วิทยุกระจายเสียง ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ
โดย สำนักงาน กสทช.ได้ร่วมกับ ผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย คือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที ได้ทำการทดสอบ Cell Broadcast ในระหว่างที่รอระบบ Cell Broadcast Entity หรือ CBE จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ที่ยังดำเนินการไม่เสร็จโดยหารือผู้ให้บริการมือถือในการพัฒนาระบบ CBE เสมือนจริง เพื่อใช้เตือนภัยให้กับประชาชนได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นในระหว่างนี้ โดยทาง 3 ค่ายมือถือ คือ เอไอเอส , ทรู และเอ็นที ยืนยันว่ามีความพร้อมแล้ว
สำหรับรูปแบบการส่งข้อความเตือนภัยในปัจจุบัน แบ่งดังนี้ 1. กรณีภัยพิบัติประเภทแผ่นดินไหว จะมีการส่งข้อความแจ้งเตือนโดยกรมอุตุนิยมวิทยา และ ปภ. โดยไม่ต้องผ่านสำนักงาน กสทช. และ 2. กรณีภัยประเภทอื่น ๆ เช่น อุทุกภัย หรือวาตภัย ปภ.จะเป็นหน่วยงานที่แจ้งให้ผู้ให้บริการทั้ง 3 รายโดยตรง เพื่อส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนด้วยตนเอง
กรณีโทรศัพท์มือถือที่จะไม่ได้รับการแจ้งเตือน Cell Broadcast คือ 1. ปิดเครื่อง 2. โทรศัพท์เป็นรุ่นที่เชื่อมต่อ 2G หรือ 3G กรณีนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์จะใช้วิธีส่ง SMS แจ้งเตือนให้แก่ผู้ใช้งาน ปัจจุบันเอไอเอส มีผู้ใช้บริการกลุ่มนี้ประมาณ 1.6 ล้านเบอร์ และทรู มีผู้ใช้ประมาณ 900,000 เบอร์ โดยทางค่ายมือถือยืนยันว่าสามารถส่ง SMS ได้ 30 ล้านเบอร์ใน 1 ชั่วโมง 3. ใช้ Wi-Fi (ไม่ใช้ซิมการ์ด) และ 4. เปิดใช้ Airplane mode
ขณะเดียวกัน สำหรับมือถือระบบแอนดรอยด์ จะใช้ได้ตั้งแต่ เวอร์ชัน 12 ขึ้นไป ส่วนระบบไอโอเอสใช้ได้ในเวอร์ชั่น iOS 18 รุ่นที่ไม่สามารถรับ CBS ได้ คือ iPhone X หรือ ไอโฟน 10 ลงมา ที่ยังอัปเดต iOS 18 ไม่ได้ โดยจะได้รับ SMS แจ้งแทนเหมือน มือถือระบบ 2G และ 3G โดย ปภ. จะเป็นผู้กำหนดการส่งข้อความแจ้งเตือน พร้อมระบุพื้นที่โลเคชั่น และจังหวัดที่จะส่ง มายังโอเปอเรเตอร์ โดยใช้ SMS Sender Name เป็น DDPM ย่อมาจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่วน TMD ย่อมาจาก กรมอุตุนิยมวิทยา
ล่าสุด 3 ค่ายมือถือยังได้ร่วมกับ ปภ. กำหนดวันทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast ใน 3 ระดับ ในวันที่ 2 , 7 และ 13 พ.ค.68 ซึ่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่ตามแผนการทดสอบนี้ จะได้รับข้อความทดสอบการแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทั้งรูปแบบเสียงเตือนและข้อความบนหน้าจอ
โดยประชาชนในบริเวณพื้นที่ทดสอบดังกล่าวจะได้ยินเสียงดังแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ พร้อมข้อความต่อไปนี้ “ทดสอบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required.”
อย่างไรก็ตาม การแจ้งเตือนภัยจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อระบบกันทุกช่องทาง หากระบบใดระบบหนึ่งล่ม ดังนั้น การแจ้งเตือนภัยผ่านทีวีดิจิทัล และ วิทยุกระจายเสียง ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ
นางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ และ พลอากาศโท ธนพันธุ์ หร่ายเจริญกรรมการ กสทช. ด้านกิจการกระจายเสียง ได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมของระบบการสื่อสารผ่านวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ รวมทั้งแนวทางในการปฏิบัติของผู้ประกอบการในกรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน
ภายหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวซึ่งมีจุดศูนย์กลางบริเวณเมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายพื้นที่
เตรียมทดสอบระบบปิดแจ้งเตือนผ่านทีวีดิจิทัล 14 พ.ค.นี้
นางสาวพิรงรอง กล่าวว่า นอกจากเร่งรัดให้มีระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcasting System Mobile Alert System) แล้ว กสทช. และสำนักงาน กสทช. ปภ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีการสื่อสารแจ้งเหตุภัยพิบัติผ่านช่องทีวีดิจิตอลได้อย่างรวดเร็ว และบูรณาการการให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสาธารณชนผ่านหลากหลายช่องทาง
โดยสอดคล้องตามที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อสาธารณะในช่วงเกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่กรณีเกิดเหตุภัยพิบัติรุนแรงให้เชื่อมโยงสัญญาณจากแม่ข่ายคือโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทรท.) หรือกรณีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้อง การแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ ให้ถ่ายทอดสดโดยสถานีโทรทัศน์ ช่อง NBT กรมประชาสัมพันธ์ และ สถานีโทรทัศน์อื่นๆ สามารถเชื่อมสัญญาณหรือนำเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อได้ตามความเหมาะสม
นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการพัฒนาช่องทางในการแจ้งเตือนภัยพิบัติเพิ่มเติม โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิตอล (มักซ์) เพื่อให้มักซ์สามารถเป็นจุดรวมในการแจ้งเตือนภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินผ่านช่องทีวีดิจิตอลได้อย่างทันท่วงที และสามารถกำหนดพื้นที่แจ้งเหตุได้ตามพื้นที่ให้บริการซึ่งเกิดเหตุภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานเพื่อศึกษาและเตรียมการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน (Emergency Warning System: EWS) ผ่านโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล
อีกทั้งยังอำนวยการให้มีช่องโทรทัศน์ระดับชาติซึ่งมีหน้าที่แจ้งเตือนภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินทั้งในลักษณะทดลองออกอากาศเพื่อนำไปสู่การให้อนุญาตกับหน่วยงานที่มีความพร้อม และคำนึงถึงภารกิจและวัตถุประสงค์ของหน่วยงานที่ขอรับใบอนุญาตเป็นสำคัญ
ในส่วนของ EWS จะมีการทดลองทดสอบแจ้งเตือนภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน โดยเป็นระบบปิดบนโครงข่ายเสมือน ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกภายใน 14 พ.ค. 2568
ตอนนี้ทุกฝ่ายก็เห็นพ้องถึงความสำคัญของการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องได้อย่างทันท่วงทีผ่านช่องทางที่หลากหลาย และได้ตกลงกันถึงแนวทางและขั้นตอนตั้งแต่การกำหนดเนื้อหาไปจนถึงวิธีการเผยแพร่ การทดลองทดสอบจะทำให้มองเห็นทั้งความพร้อม ศักยภาพ และปัญหา อันจะทำให้สามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนาระบบการแจ้งเตือนและให้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ได้ดียิ่งขึ้น
กรมประชาสัมพันธ์พร้อมเป็นแม่งานประสานวิทยุทั่วประเทศ
สำหรับด้านกิจการกระจายเสียง กสทช. ธนพันธุ์ ได้ถอดบทเรียนการดำเนินงานทั้งของสำนักงาน กสทช.และผู้ประกอบการด้านกิจการกระจายเสียง พบว่า กสทช.ได้เคยออกประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติงานของผู้ประกอบการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ในกรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 แล้ว โดยผู้ประกอบการต้องร่วมมือและออกอากาศเมื่อรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร้องขอ
อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญในประกาศฯ กำหนดเพียงให้ผู้ประกอบการต้องจัดทำแผนขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ในการออกอากาศและแจ้งรายชื่อผู้ประสานงาน ให้สำนักงาน กสทช. เป็นประจำทุกปี โดยประกาศฯ ดังกล่าวยังขาดวิธีปฏิบัติในการเชื่อมสัญญาณข่าวที่จะต้องออกอากาศ รวมทั้งความไม่ชัดเจนของภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินตลอดจนหน่วยงานที่มีหน้าที่กลั่นกรองและแจ้งข่าวดังกล่าว
เมื่อปัจจุบันรัฐบาลได้มอบหมายให้ ปภ. เป็นหน่วยงานหลักในการออกข้อความแจ้งเตือนไปยังประชาชนจึงมีความชัดเจนถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่กลั่นกรองและแจ้งข่าว รวมทั้งได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือผ่านระบบ Cell Broadcast แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากสัญญาณเครือข่ายมือถือล่มใช้งานไม่ได้ ประชาชนก็จะไม่ได้รับข่าวดังกล่าว จึงสมควรที่จะดำรงไว้ซึ่งสื่อกระจายเสียงให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งเพื่อให้ประชาชนสามารถรับข่าวกรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งตามกลุ่มเป้าหมายระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศ เช่นกัน
เบื้องต้นได้มีการประชุมหารือต่อแนวปฏิบัติเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายเชื่อมสัญญาณเสียงจากกรมประชาสัมพันธ์กรณีได้รับคำสั่งและข่าวสารจาก ปภ. โดยตรง เพื่อแจ้งข่าวสู่กลุ่มเป้าหมายในระดับใด
ปัจจุบันกรมประชาสัมพันธ์มีความพร้อมในการแจ้งข่าวพร้อมกันภายใต้เครือข่ายตนเองจำนวน 104 สถานี (FM 79 สถานี และ AM 25 สถานี)
อย่างไรก็ตาม ด้วยขีดจำกัดของเทคโนโลยีอนาล็อกทำให้ไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่หรือกำหนดเป้าหมายพื้นที่ได้ จึงได้กำหนดแนวทางดำเนินการในระยะสั้น กลาง และยาว ดังนี้
- ระยะสั้น: เชื่อมสัญญาณข่าวจากการกระจายเสียงโดยตรงจากสถานีที่ใช้แจ้งเตือนภัย 5 สถานี AM หลัก (ภาคกลาง 1467 kHz ภาคอีสาน 621 kHz ภาคเหนือ 549 kHz ภาคใต้ 1242 kHz และ กรุงเทพฯ 891 kHz) ที่ครอบคลุมเกือบทั้งประเทศแต่อาจจะมีคุณภาพเสียงไม่ชัดเจน หรือจากสถานีอื่นที่รับสัญญาณในพื้นที่ นั้นได้แล้วแต่กรณี เพื่อแจ้งข่าวต่อไป
- ระยะกลาง: เชื่อมสัญญาณข่าวจากสัญญาณดาวเทียมที่กรมประชาสัมพันธ์ได้มีการส่งสัญญาณไปสู่เครือข่ายของตนเองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการรายอื่นต้องมีอุปกรณ์ที่รับสัญญาณดาวเทียมเพิ่มเติม รวมทั้งพัฒนาระบบการกำหนดเป้าหมายพื้นที่แบบอัตโนมัติที่กำหนดรหัสการรับสัญญาณแต่ละสถานี ซึ่งจะตัดปัญหาในเรื่องการรับสัญญาณให้มีความเสถียรและครอบคลุมได้ทั่วประเทศจากแผนระยะสั้น
- ระยะยาว: พัฒนาโครงข่ายวิทยุดิจิทัลในระบบ DAB+ ซึ่งจะเป็นการกระจายเสียงที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศ เช่นเดียวกับสัญญาณมือถือ รวมทั้งมีขีดความสามารถในการส่งข้อความสั้นหรือรูปภาพและการตัดสัญญาณเสียงได้ทันทีกรณีที่ต้องการแจ้งข่าวด่วนหรือรูปภาพไปยังเครื่องรับวิทยุ เพื่อเป็นโครงข่ายสำรองกรณีเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน
ดังนั้น ช่องทางการแจ้งเตือนภัยทางด้านกระจายเสียงและโทรทัศน์ยังมีความจำเป็นและต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยสำนักงาน กสทช.จะดำเนินการเร่งรัดจัดทำคู่มือการปฏิบัติให้ผู้ประกอบการได้ดำเนินการให้ถูกต้องชัดเจนในแผนระยะสั้น และประกาศที่เกี่ยวข้องตามแผน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนยิ่งขึ้นต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
กิน “กล้วยน้ำว้า” หรือ “กล้วยหอม” ได้ประโยชน์มากกว่ากัน

ยืนงงหน้าแผงผลไม้ ไม่รู้จะเลือกกล้วยชนิดไหนดีระหว่างกล้วยน้ำว้ากับกล้วยหอม? ทั้งคู่ต่างก็มีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่ากล้วยแต่ละชนิดนั้นมีคุณค่าทางอาหารที่แตกต่างกันด้วยนะ การเลือกทานกล้วยให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงคุณประโยชน์ของกล้วยทั้งสองชนิด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกทานให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
กิน “กล้วยน้ำว้า” หรือ “กล้วยหอม” ได้ประโยชน์มากกว่ากัน
กล้วยแต่ละชนิดล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะสารทริปโตเฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนแห่งความสุขอย่างเอ็นโดรฟิน ทำให้การรับประทานกล้วยช่วยให้เรารู้สึกอารมณ์ดี แถมยังช่วยเพิ่มความสุขในการออกกำลังกายได้อีกด้วย
นอกจากนี้ กล้วยยังเป็นแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลาย อาทิ วิตามินบีรวม วิตามินซี แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งล้วนมีส่วนสำคัญในการทำงานของร่างกาย สารทริปโตเฟนในกล้วยยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลาย การรับประทานกล้วยก่อนนอนจึงช่วยให้นอนหลับสบายและลดอาการซึมเศร้า
อีกทั้ง กล้วยยังมีใยอาหารสูง ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และควบคุมน้ำหนักได้ดี นอกจากนี้ น้ำตาลในกล้วยยังถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อการกินจุบจิบ และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่เพียงเท่านี้ กล้วยยังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพที่ดี แต่ทราบหรือไม่ว่าระหว่างกล้วยน้ำว้า กับ กล้วยหอมกินอะไรได้ประโยชน์มากกว่ากัน
กินกล้วยน้ำว้าดีกว่ากล้วยหอมอย่างไรบ้าง
1.กล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยกรดอะมิโนชนิดสำคัญอย่างอาร์จีนินและฮีสตีดิน ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบมากในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีคุณค่าเทียบเคียงกับน้ำนมแม่ ทำให้กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
2.กล้วยน้ำว้าสุกห่าม 1 ผล มีปริมาณน้ำตาลเพียงประมาณ 1 ช้อนชาเท่านั้น จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากให้พลังงานต่ำและมีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.กล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งแคลเซียมชั้นดี โดยมีปริมาณแคลเซียมสูงกว่ากล้วยชนิดอื่นๆ และเมื่อนำไปผ่านความร้อน เช่น ปิ้งหรือต้ม ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกถึง 5-6 เท่า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ต้องการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
4.การรับประทานกล้วยน้ำว้าเป็นประจำ ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากใยอาหารในกล้วยน้ำว้าช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ทำให้ลำไส้สะอาด และยังช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นอุจจาระที่ไม่พึงประสงค์
5.กล้วยน้ำว้ายังมีแคลเซียมสูงกว่ากล้วยชนิดอื่น ๆ ยิ่งเมื่อถูกความร้อนปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มขึ้น เมื่อนำไปปิ้งหรือต้ม สำหรับผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน กินกล้วยน้ำว้าปิ้งจะช่วยเสริมให้ได้แคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอลดความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
ส่วนกล้วยหอมมีโพสแทสเซียมและแม็กนีเซียมสูงกว่ากล้วยชนิดอื่น จึงช่วยในการลดอาการอยากนิโคตินในผู้ที่ติดบุหรี่ได้ ดังนั้นใครอยากเลิกบุหรี่ต้องกินกล้วยหอม แต่ราคาแพงกว่า น้ำตาลมากกว่าเพราะต้องกินตอนสุกแล้ว กินนอนห่ามจะทำให้ท้องอืด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือแบบสุภาพ Formal Language

หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ Formal Language
การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจและการทำงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างประสิทธิภาพและความมั่นใจระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยจำเป็นต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักการ มีความจริงจัง และเป็นแบบแผน เพื่อช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้มีความสุภาพเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
โดยจะมีหลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน
เข้าใจว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ
ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสถานการณ์การใดบ้างที่เราควรใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการ
- การนำเสนองาน
- การสัมภาษณ์งาน
- การพูดในที่สาธารณะ
- งานเขียนเชิงวิชาการ
- เอกสารทางการ
- เอกสารทางกฏหมาย
- อีเมลธุรกิจ
การใช้ภาษาที่ชัดเจนสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา
ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการควรเลือกใช้คำศัพท์ และเรียบเรียงประโยคที่สื่อความหมายได้ชัดเจนไม่เกิดความสับสนให้แก่ผู้ฟัง หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
รูปแบบการใช้แกรมม่าในประโยค
ในการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการการใช้แกรมม่าโดยทั่วไปจะมีความซับซ้อนและยาวกว่าการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทั่วไป
- Have you seen my glasses? [Formal]
Seen my glasses? - I am sorry to have kept you waiting [Formal]
Sorry to keep you waiting
วิธีการเลือกใช้สรรพนามในประโยค
ภาษาอังกฤษทางการจะใช้คำที่มีความเป็นส่วนบุคคลน้อยลง เช่น เราจะเลือกใช้ “ We ” เป็นสรรพนามแทนที่ “ I ”
- We can assist in the resolution of this matter. Contact us on our help line number [Formal]
I can help you solve this problem. Call me! - We regret to inform you that……[Formal]
I’m sorry, but….
รูปแบบคำศัพท์ที่เลือกใช้
การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการจะมีการเลือกใช้คำศัพท์ที่มีระดับภาษาสูงขึ้น ตัวอย่าง เช่น
- เลือกใช้คำว่า Discuss แทนคำว่า talk
- เลือกใช้คำว่า Generate แทนคำว่า make
- เลือกใช้คำว่า Inform แทนคำว่า tell
- เลือกใช้คำว่า Illustrate แทนคำว่า show
- เลือกใช้คำว่า Provide แทนคำว่า give
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/04/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,400.00 | 52,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,394.00 | 51,453.04 | 53,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,054.60 | 46,307.74 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,715.20 | 41,162.43 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,527.00 | 23,153.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,188.00 | 18,008.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,517.00 | 53,319.21 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/04/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |