สาระน่ารู้ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

อสังหาฯ แข่งยกระดับ‘มาตรฐานแผ่นดินไหว’ชูจุดขายอยู่ปลอดภัย

จากภัยพิบัติสู่จุดขายใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ บรรดาบิ๊กคอร์ป เร่งยกเครื่องดีไซน์ โครงสร้าง บริการ หลังลูกค้าหันเลือกโครงการที่พิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยจริงมากขึ้น

“ความปลอดภัย” จุดเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์ไทย จากแรงสั่นสะเทือนสู่กลยุทธ์หลักเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาไม่ได้แค่เขย่าอาคารสูง แต่ยังเขย่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาด เมื่อคำถามสำคัญไม่ใช่แค่ “อยู่สบาย” แต่กลายเป็น “อยู่ปลอดภัยแค่ไหน” ยักษ์อสังหาริมทรัพย์อย่าง แสนสิริ  อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ต่างเร่งวางหมากใหม่ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยจาก “รากฐาน” เพื่อสร้างความมั่นใจเชิงโครงสร้าง และกลายเป็นกลยุทธ์หลักในการชิงลูกค้าในยุคที่โลกไม่แน่นอน

“เราไม่ได้แค่รอดพ้น แต่ต้องทำให้วงการนี้แข็งแกร่งกว่าเดิม”  อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด กล่าว 

รับมือแรงสั่นสะเทือนด้วย Beyond the Blueprints

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว แสนสิริ เปิดตัวแผน “Beyond the Blueprints” ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารสูง ผ่านการระดม “War Room” เข้าตรวจสอบโครงสร้างทุกโครงการ ตั้งแต่โครงการที่ขายอยู่ ก่อสร้างอยู่ หรือแม้แต่บ้านตัวอย่าง พร้อมเสริมระบบความปลอดภัย LIV-24 ให้เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

“เราไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งรับ สิ่งที่ทำได้คือบริหารความโกลาหล และดูแลความปลอดภัยของลูกบ้าน” องอาจ สุวรรณกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส แสนสิริ กล่าวต่อว่า

แนวทางใหม่ของแสนสิริรวมถึงการรีวิวมาตรฐานโครงสร้างให้ยืดหยุ่นต่อแผ่นดินไหวมากขึ้น เช่น ระบบฝ้า-ผนังที่สามารถรับแรงสั่นได้ และอัปเกรดคู่มือก่อสร้างร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันต่างประเทศ เพื่อรองรับสถานการณ์อนาคตที่ไม่อาจคาดเดา

ANANDA SURE มาตรฐานใหม่ 

ขณะที่ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เลือกส่งแคมเปญ ANANDA SURE มั่นใจตั้งแต่รากฐาน ขึ้นแท่นแนวทางหลักสำหรับปี 2568 ย้ำว่า “ความมั่นใจ” ของลูกค้าในโลกที่ไร้ความแน่นอน คือจุดขายที่ต้องพิสูจน์ได้ “ความมั่นใจของผู้อยู่อาศัย ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่ต้องพิสูจน์ได้ ตรวจสอบได้ ไว้วางใจได้” ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต CEO สายธุรกิจอสังหาฯ อนันดา

อนันดาฯ วาง 3 เสาหลัก ประกอบด้วย “QUALITY” ตรวจสอบคุณภาพกว่า 120 รายการในแต่ละยูนิต “COMMUNITY” แอป COCORO สำหรับการแจ้งซ่อม ตรวจสถานะ และทีม The Works ที่ดูแลหน้างานจริง “WORRY-FREE” บริการใหม่  “WARRANTY อุ่นใจชัวร์” ตรวจห้องฟรีปีละ 1 ครั้ง ครอบคลุม 46 รายการ พร้อมทีม Service Care+ ลงพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง

“อนันดาฯ ไม่ได้แค่สร้างคอนโดมิเนียมแต่สร้าง ‘ชีวิตเมือง’ ที่เดินต่อได้อย่างมั่นใจ” พงศ์อนันต์ สุขเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ สายการตลาด อนันดา กล่าว

พร้อมวางแนวทางปรับรากฐานสู่จุดแข็งใหม่ในยุคที่ลูกค้า “ไม่เสี่ยง” การตอบสนองของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหว สะท้อนการปรับกลยุทธ์จาก “ความสะดวก” เป็น “ความมั่นใจ” ในระยะยาว

ในยุคที่ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว และลูกค้าไม่ยอมแลกความเสี่ยงด้วยราคา ความสามารถในการพิสูจน์ว่า “ปลอดภัยจริง” พร้อมโซลูชันที่รับมือได้ในทุกสถานการณ์ จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาดอสังหาฯ ที่มีคุณภาพ และกลายเป็นแต้มต่อสำคัญในการครองใจผู้ซื้อยุคใหม่

 ถอดบทเรียนจากญี่ปุ่นสู่ SENA Next Level Standard

ขณที่ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เลือกแนวทาง “พัฒนาเชิงลึก” ด้วยการเปิดตัวมาตรฐาน SENA Next Level Standard ที่นำแนวคิดจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ ทั้ง Geo Fit+ (ออกแบบเพื่อการใช้ชีวิต) และ Geo Check+ (ควบคุมการก่อสร้าง 5 ขั้นตอน)

“เรานำบทเรียนจากญี่ปุ่นที่มีภัยพิบัติปีละพันครั้งมาสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในไทย”

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวและว่า เสนาแบ่งการพัฒนาเป็น 3 เสาหลัก ประกอบด้วย SENA TRUST ห้องปลอดภัย ระบบเตือนภัย อุปกรณ์ฉุกเฉินในลิฟต์ SENA CARE แอป SENA 360 บริการหลังการขายระดับ 5 ดาว และ SENA LOW CARBON  ติดตั้งโซลาร์รูฟทุกโครงการ เดินหน้าสู่ Zero Energy House 

ทุกมาตรการไม่ใช่แค่ “เครื่องมือการตลาด” แต่เป็นกลไกเชิงระบบที่ฝังลงในองค์กร และส่งต่อผ่านการอบรมเชิงลึกให้ทุกทีม ตั้งแต่ก่อสร้างจนถึงหลังการขาย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“สถานีวงเวียนใหญ่”ฮอต! จุดตัดรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้-สายสีเขียวดันราคาที่ดินพุ่ง

คอนโดฯย่านฝั่งธนบุรีระอุ “สถานีวงเวียนใหญ่”ฮอต!จุดตัดรถไฟฟ้าสาย”สีม่วงใต้-สีเขียว” ดันราคาที่ดินพุ่ง ตร.ว.ละ7แสน

ราคาที่ดินในพื้นที่เขตกรุงเทพ มหานครและปริมณฑลแนวเส้นทางรถไฟฟ้าปรับตัวสูงสวนทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว เนื่องจากมีการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัย การพัฒนาเชิงพาณิชย์กันอย่างต่อเนื่องที่เปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือ คือ “ทำเลย่านฝั่งธนบุรี” จากการมาของรถไฟฟ้าสายสีนํ้าเงิน 

รวมถึงเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายสีลมวิ่งไปบางหว้า และอนาคตกรุงเทพ มหานครมีแผนก่อสร้างเส้นทางต่อขยายออกไปช่วงบางหว้า-ตลิ่งชันระยะทาง 7.5 กิโลเมตร  ล่าสุดโครงการรถไฟฟ้า

สายสีม่วงได้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ช่วยต่อจิ๊กซอว์ การเดินทาง ตลอดจนการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะทำเลจุดตัดเปลี่ยนถ่ายการเดินทาง กับสายสีเขียว (สีลม) บริเวณสถานีวงเวียนใหญ่ขณะเดียวกันผังเมืองรวมกรุงเทพ มหานคร (ปรับปรุงครั้งที่4) ได้เปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินรองรับการขยายตัวของเมืองไว้เรียบร้อยแล้ว

ฝ่ายวิจัย และที่ปรึกษา คุชแมนแนอด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย พบว่าการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าโดยทั่วไปที่อาจจะเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม เช่นเดียวกับทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน–ราษฎร์บูรณะ

แม้บางพื้นที่มีข้อจำกัดในการพัฒนา เพราะแนวเส้นทางทางผ่านพื้นที่ที่มีการพัฒนามาอย่างยาวนานของกรุงเทพมหานคร และมีเส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นๆ เปิดให้บริการไปก่อนหน้านี้  ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่บางพื้นที่ และราคาที่ดินมีมาก่อนหน้านี้หลายปีมากแล้วเช่นกัน

ราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้จึงอาจจะสูงเกินกว่าจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ได้ มีเพียงการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเท่านั้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในการลงทุนและเหมาะสมกับราคาที่ดินเพราะราคาที่ดินที่สูงอยู่แล้วปรับเพิ่มขึ้นมากว่าเท่าตัวจากก่อนหน้านี้

ราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ขั้นตํ่าเสนอขายกันที่ไม่ตํ่ากว่า 1-1.5 แสนบาทต่อตารางวา ถ้าเป็นพื้นที่รอบสถานีที่เป็นจุดตัดสำคัญของเส้นทาง 2 เส้นทาง เช่น พื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซึ่งในอนาคตจะเป็นสถานีร่วมของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และสายสีเขียวราคาที่ดินไม่ตํ่ากว่า 6-7 แสนบาทต่อตารางวา

ไกลออกไปในพื้นที่ตามแนวนถนนสุขสวัสดิ์ราคาที่ดินไม่ตํ่ากว่า 100,000 บาทต่อตารางวา และมีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มมากขึ้นไปอีกในอนาคต ตามความคืบหน้าในการก่อสร้าง

DDproperty สะท้อนว่า ทำเลรอบสถานีวงเวียนใหญ่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้  (เตาปูน–ราษฎร์บูรณะ) กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยเติมเต็มการเดินทางเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นที่เปิดให้บริการไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์เพื่มขึ้น

 เช่นเดียวกับ TerraBKKประเมิน ว่าศักยภาพทำเลรอบสถานีวงเวียนใหญ่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ สายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) จากสนามกีฬาแห่งชาติถึงบางหว้า สายสีม่วงใต้ (เตาปูน–ราษฎร์บูรณะ) เส้นทางสายสีแดงเข้ม (หัวลำโพง–บางบอน)

“การมีสถานี Interchange ที่เชื่อมต่อหลายสายทำให้วงเวียนใหญ่เป็น Node หรือศูนย์กลางการเชื่อมโยง สำคัญในระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางและส่งผลดีต่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่”

ส่งผลให้สถานีวงเวียนใหญ่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ และมีศักยภาพในการพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ในอนาคต การมีสถานี Interchange ที่เชื่อมต่อหลายสายจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางและส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ ย่านวงเวียนใหญ่มีศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

เนื่องจากเป็นทำเลที่มีการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนที่ดี และอยู่ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจ เช่น สีลมและสาทร  ปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการในพื้นที่นี้ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนและผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ระบบขนส่งมวลชน

นอกจากโครงการรถไฟฟ้าแล้ว ยังมีโครงการพัฒนาอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีวงเวียนใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาชุมชนตลาดพลูและการยกระดับการให้บริการขนส่งมวลชนในเส้นทางวงเวียนใหญ่–มหาชัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ

 สำหรับคอนโดมิเนียมรวมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน -ราษฎร์บูรณะ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15,011 ยูนิต อัตราการขายเฉลี่ยตลอดแนวเส้นทางอยู่ที่ประมาณ 80% ซึ่งโครงการส่วนใหญ่เปิดขายมาก่อนหน้านี้แบบชัดเจนไม่ใช่หลังจากที่เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เริ่ม

การก่อสร้าง แต่หลังจากที่เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เริ่มการก่อสร้างในปี2565 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย และตลาดคอนโดมิเนียม

ทั้งนี้โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้โดยเฉพาะในฝั่งธนบุรีอาจจะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ค่อนข้างมากในช่วงก่อนปี2560 เพราะผู้ประกอบการเลือกพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ในการพัฒนาโครงการไม่ได้คาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตจากเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้

คอนโดมิเนียมที่เปิดขายในพื้นที่ตามแนวเส้นทางสายสีม่วงใต้มีอัตราการขายที่ค่อนข้างสูง เพราะโครงการส่วนใหญ่เปิดขายมามากกว่า 5 ปีแล้ว แทบไม่มียูนิตเหลือขายแล้ว โครงการที่เหลือขายอยู่ คือ โครงการที่เปิดขายในช่วงปี2565 เป็นต้นมา ราคาขายของโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนว

เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ในปี2565 เป็นต้นมา อยู่ในช่วงระหว่าง 60,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร อาจจะมีบางโครงการที่เปิดขายในระดับราคามากกว่า 160,000 บาทต่อตารางเมตรหรือมากกว่า 7.5 ล้านบาทต่อยูนิต ราคาขายของคอนโดมิเนียมในพื้นที่ยังมีราคาขายที่ไม่สูงมาก และยังเป็นทางเลือกของคนที่มีกำลังซื้อไม่สูงแต่ต้องการอยู่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า

นอกจากนี้ยังสามารถรอคอยโครงการรถไฟฟ้าเปิดให้บริการได้ เพราะโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายส่วนใหญ่สร้างเสร็จก่อนรถไฟฟ้าเปิดให้บริการแน่นอน ราคาขายคอนโดมิเนียมมีทิศทางในการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับว่ามีโครงการเปิดขายใหม่ต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน และราคาขายอาจจะยังแตกต่างกันไปในแต่ละทำเลของแนวเส้นทางรวมไปถึงระดับของโครงการตามแนวทางของผู้ประกอบการด้วย

ต้องจับตาทำเลสำคัญและจุดตัดใหญ่ เมื่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เปิดให้บริการ ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญเติมเต็มการเดินทางและการพัฒนาในอนาคต!!!

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้28 พ.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.69 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงนี้การเคลื่อนไหว สะท้อนตลาดค่าเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนสูง ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น /พิจารณาใช้ Local Currency อย่าง CNYTHB มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28พ.ค.2568ที่ระดับ  32.69 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.74 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่อาจทำให้เงินบาทสามารถเคลื่อนไหวแข็งค่า หรือ อ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางราคาทองคำ ดังจะเห็นได้จากในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังราคาทองคำสามารถรีบาวด์สูงขึ้นได้

อย่างไรก็ดี เรามองว่า หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็เริ่มลดความสนใจในธีม Sell US Assets ลงบ้าง ก็อาจจำกัดการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ และทำให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways หรืออาจกล่าวได้ว่า ราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงของการพักฐานอยู่

 โดยหากราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านก่อนหน้า เช่นโซน 3,350-3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจหนุนให้เงินบาทสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง (แนวรับถัดไปของเงินบาทจะอยู่แถว 32.35 บาทต่อดอลลาร์)

แต่หากราคาทองคำย่อตัวลงบ้างจากโซนแนวต้าน หรือจากระดับปัจจุบัน เข้าหาโซนแนวรับแถวโซน 3,200-3,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจช่วยหนุนให้เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ไม่ยาก แต่โดยรวมการอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยมีโซนแนวต้านแถว 32.85 บาทต่อดอลลาร์ และโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 33.00 บาทต่อดอลลาร์

โดยรวมเราประเมินว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways ที่กว้างพอสมควร แต่ก็มีโอกาสเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up หรือทยอยอ่อนค่าลงมากขึ้น ตราบใดที่ตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง

และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาสดใส ดีกว่าคาด และที่สำคัญ ตลาดควรทยอยคลายกังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่หนุนธีม Sell US Assets ได้

 นอกจากนี้ เราขอเน้นย้ำว่า พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงนี้ ได้สะท้อนว่า ตลาดค่าเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนสูง ทำให้เรายังคงแนะนำผู้เล่นในตลาดว่า ควรใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.85 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.68-32.82 บาทต่อดอลลาร์)

แม้ว่าในช่วงแรกเงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ออกมาดีกว่าคาด

อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ในเดือนพฤษภาคม ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98 จุด ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้แถวระดับ 87 จุด ท่ามกลางความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า

โดยเฉพาะจีน นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังบอนด์ยีลด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงบ้าง ทว่า การย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ กลับเป็นปัจจัยที่จำกัดการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

ขณะเดียวกันก็ช่วยหนุนให้ราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น (นอกเหนือจากปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ร้อนแรงขึ้น และช่วยหนุนความต้องการถือทองคำ) โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ทำให้เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามอานิสงส์การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังทางการสหรัฐฯ เลื่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าในอัตรา 50% กับสินค้าจากยุโรป ขณะเดียวกันรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ส่วนใหญ่ก็ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้อานิสงส์จากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Tesla +6.9%, Nvidia +3.2% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด พุ่งขึ้น +2.05%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.33% ท่ามกลางความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป นอกจากนี้ การย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ระยะยาวฝั่งยุโรป ก็พอช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ส่วนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารยังคงได้แรงหนุนจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงร้อนแรงอยู่

ในส่วนตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของทางการสหรัฐฯ ลงบ้าง ขณะเดียวกัน ความพยายามในการช่วยประคองตลาดบอนด์ของทางการญี่ปุ่น ที่ล่าสุดส่งสัญญาณชะลอการออกบอนด์ระยะยาว ก็มีส่วนช่วยกดดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวของญี่ปุ่นปรับตัวลดลง และภาพดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง

โดยล่าสุด บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ทยอยปรับตัวลดลงสู่โซน 4.45% อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงผันผวนสูงได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดกลับมามีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ มากขึ้น ทว่า เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ก็จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip) ได้

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า จังหวะย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรการรีบาวด์ของเงินดอลลาร์ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-99.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ก็สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นและสามารถทรงตัวเหนือโซน 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ท่ามกลางการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้ หนุนความต้องการถือครองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ ตามเวลาประเทศไทยน

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง รายงานดัชนีภาคธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ส่วนในฝั่งเอเชีย-แปซิฟิก บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 3.25% ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ท่ามกลางแรงกดดันต่อเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ 

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

พร้อมทั้งรอติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.68-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.47 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแกว่งตัวเป็นกรอบ เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการฟื้นขึ้นมาของราคาทองคำในตลาดโลก แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการที่ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาเมื่อคืนดีกว่าที่ตลาดคาด (ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไปที่ 98.0 ในเดือนพ.ค. ตลาดคาดที่ 86.0 และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ลดลง 6.3% ในเดือนเม.ย.  น้อยกว่าตลาดคาดว่าหดตัว 7.6% ) 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ ประเด็นสงครามการค้า และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 6-7 พ.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เมย์ รัชนก ตบ กิลมอร์ ขาดลอย ลิ่วรอบสองสิงคโปร์ โอเพ่น 2025

“เมย์” รัชนก อินทนนท์ ฟอร์มแกร่ง ตบชนะ คริสตี้ กิลมอร์ 2 เกมรวด ทะลุรอบสองศึกแบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 ลุ้นดวล พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ หรือ ชิว ปินเชียน รอบหน้า

การแข่งขันแบดมินตันรายการ สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33 ล้านบาท จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เป็นการแข่งขันรอบแรก

ในประเภท หญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 10 ของโลก พบกับ คริสตี้ กิลมอร์ มืออันดับ 28 ของโลกจากสกอตแลนด์

ผลการแข่งขันปรากฏว่า รัชนกโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เปิดเกมรุกกดดันคู่แข่งได้ต่อเนื่อง ก่อนจะเอาชนะไปขาดลอย 2 เกมรวด 21-8 และ 21-12 ผ่านเข้าสู่รอบสองได้สำเร็จ

โดยในรอบต่อไป รัชนกจะรอพบผู้ชนะระหว่าง “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลก หรือ ชิว ปินเชียน มืออันดับ 27 ของโลกจากไต้หวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


อาการโควิด-19 อาการเบื้องต้นเป็นอย่างไร วิธีป้องกันโควิด-19

สถานการณ์ของโรคระบาดที่มีชื่ออยู่โลกออนไลน์ตลอดทุกวัน และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นอย่าง “ไวรัสโคโรนา” หรือ “โควิด-19” ทำให้ใครหลายคนเป็นกังวล และคอยติดตามข่าวสารกันอยู่ตลอดถึงจำนวนผู้ติดเชื้อ อัตราการเสียชีวิต รวมไปถึงการป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการติดเชื้ออันตรายนี้

ไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 คืออะไร?

ไวัรสโคโรนา (Coronavirus) เป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 1960 แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจนว่ามาจากที่ใด แต่เป็นไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกตอนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน คือ สายพันธุ์ที่ 7 จึงถูกเรียกว่าเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และในภายหลังถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (COVID-19) นั่นเอง ดังนั้น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และโควิด-19 จึงหมายถึงไวรัสชนิดเดียวกัน

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 มาจากไหน?

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 แรกเริ่มเดิมทีถูกค้นพบจากสัตว์ก่อน โดยเป็นสัตว์ทะเลที่มีการติดเชื้อไวรัสนี้แล้วคนที่อยู่ใกล้ คลุกคลีกับสัตว์เหล่านี้ก็ติดเชื้อไวรัสมาอีกที โดยเริ่มจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยมีข้อสงสัยว่ามาจากตลาดที่ค้าขายสัตว์ทะเล และสัตว์หายากเหล่านี้

อาการโควิดเบื้องต้น

ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก ระบุว่าอาการโควิด-19 ที่สังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองมี อาการดังนี้

  • มีไข้
  • เจ็บคอ
  • ไอแห้ง
  • น้ำมูกไหล
  • หายใจเหนื่อยหอบ
  • ปวดเมื่อยเนื้อตัว
  • ท้องเสีย
  • ปวดศีรษะ
  • สูญเสียความสามารถในการดมกลิ่นและรับรส
  • มีผื่นบนผิวหนัง
  • ตาแดง
  • นิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี

บางรายมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โดย ทางด้านแพทย์อาจจะตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยการเอกซ์เรย์ปอด แล้วพบว่าปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากมีอาการหนักมาก ๆ (พบว่าติดเชื้อในระยะหลัง ๆ แล้ว) อาจอันตรายถึงอวัยวะภายในต่าง ๆ ล้มเหลว

อัปเดตอาการโควิด-19 เพิ่มเติม

วิธีป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

  1.  หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ
  2. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
  3. สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
  4. ระมัดระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่ รวมถึงสิ่งที่มีคนจับบ่อยครั้ง เช่น ที่จับบน BTS, MRT, Airport Link ที่เปิด-ปิดประตูในรถ กลอนประตูต่าง ๆ ก๊อกน้ำ ราวบันได ฯลฯ เมื่อจับแล้วอย่าเอามือสัมผัสหน้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋า ฯลฯ
  5. ล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70% (ไม่ผสมน้ำ)
  6. งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
  7. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน
  8. รับประทานอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก
  9. สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 โดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา

อันตรายของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าอาการโดยทั่วไปจะดูเหมือนเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่ที่กลัวกันทั่วโลกเป็นเพราะเชื้อไวรัสนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มียาปฏิชีวนะตัวไหนที่สามารถรักษาให้หายได้โดยตรง การรักษาเป็นไปแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น

นอกจากนี้ อันตรายที่ทำให้เสี่ยงถึงชีวิต จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิต้านทานโรคของเราไม่แข็งแรง หรือเชื้อไวรัสเข้าไปทำลายการทำงานของปอดได้ จนทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายลุกลามมากขึ้น รวดเร็วขึ้น

กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

  • เด็กเล็ก (แต่อาจไม่พบอาการรุนแรงเท่าผู้สูงอายุ)
  • ผู้สูงอายุ
  • คนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง
  • คนที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือกินยากดภูมิต้านทานโรคอยู่
  • คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมาก (คนอ้วนมาก)
  • ผู้ที่เดินทางไปในประเทศเสี่ยงติดเชื้อ เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อิตาลี อิหร่าน ฯลฯ
  • ผู้ที่ต้องทำงาน หรือรักษาผู้ป่วย ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อย่างใกล้ชิด
  • ผู้ที่ทำอาชีพที่ต้องพบปะชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น คนขับแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ลูกเรือสายการบินต่าง ๆ เป็นต้น

หากมีอาการโควิด 19 ควรทำอย่างไร ?

  • หากมีอาการของโรคที่เกิดขึ้นตาม 5 ข้อดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด และเมื่อแพทย์ซักถามควรตอบตามความเป็นจริง ไม่ปิดบัง ไม่บิดเบือนข้อมูลใด ๆ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องมากที่สุด
  • หากเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง ควรกักตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอกเป็นเวลา 14-27 วัน เพื่อให้ผ่านช่วงเชื้อฟักตัว (ให้แน่ใจจริง ๆ ว่าไม่ติดเชื้อ)

หากสงสัยว่าตัวเองอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ควรทำอย่างไร ?

หากตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีอาการของโรค หรือเพิ่งกลับจากประเทศที่เสี่ยงติดเชื้อมา สามารถขอตรวจโรคกับทางโรงพยาบาลได้ มีทั้งแบบฟรี และแบบมีค่าใช้จ่าย

**หากไม่มีอาการใด ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจ

ตรวจเชื้อโควิด-19 ฟรี หากผู้เข้าตรวจตรงตามเกณฑ์เหล่านี้

  1. เพิ่งกลับจากการเดินทางไปในประเทศกลุ่มเสี่ยง
  2. มีอาการผิดปกติที่ระบบทางเดินหายใจ
  3. มีไข้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
  4. มีอาการไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย ปอดอักเสบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  5. มีประวัติใกล้ชิด หรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวเพิ่งกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
  6. ทำอาชีพที่ต้องพบปะชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น คนขับแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ ลูกเรือสายการบิน เป็นต้น

สามารถเข้ารับการตรวจฟรีได้ที่โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

  • โรงพยาบาลรามาธิบดี
  • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  • โรงพยาบาลราชวิถี
  • โรงพยาบาลศิริราช

และสามารถเช็กโรงพยาบาลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ กรมควบคุมโรค โทร 1422

ทางกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ การดำรงอยู่ ของ เชื้อไวรัสโควิด 19 ที่มีโอกาสอยู่บนพื้นต่างๆ โดยได้อ้างอิงจาก นพ.พิเชษฐ บัญญติ แพทย์เวชศาสตร์ผ้องกัน รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า

  1. เชื้อไวรัสโควิด 19 ที่อยู่ในละอองฝอยน้ำมูก น้ำเสมหะ น้ำลาย น้ำตา จะอยู่รอดในอากาศได้เพียง 5 นาที
  2. เชื้อไวรัสโควิด 19 มีชีวิตอยู่ในน้ำได้นาน 4 วัน
  3. เชื้อไวรัสโควิด 19 มีชีวิตอยู่ บริเวณ พื้น โต๊ะ ลูกบิดประตู ได้นาน 7-8 ชั่วโมง
  4. เชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่ในผ้าหรือกระดาษทิชชู่ได้นาน 8-12 ชั่วโมง
  5. เชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่บนวัสดุพื้นเรียบได้นาน 24-48 ชั่วโมง
  6. เชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่ในอุณภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส ได้นาน 1 เดือน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


โลกร้อนกำลังมุ่งสู่ 2.7 องศา เลี่ยงหายนะได้ แต่ยังไกลจากเป้าหมาย

แม้ว่าโลกอาจหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดได้ แต่แนวโน้มในศตวรรษนี้ยังคงน่ากังวล อุณหภูมิเฉลี่ยอาจพุ่งแตะ 2.7องศา ภายในปี 2100 ซึ่งถือเป็นระดับอันตรายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก

ท่ามกลางสถิติอุณหภูมิร้อนจัดบนบกและในมหาสมุทร และเหตุการณ์สุดขั้วที่ทวีความรุนแรงขึ้น การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเริ่มถูกตั้งคำถาม เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีสอีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2558 ข้อตกลงปารีสตั้งเป้าจำกัดภาวะโลกร้อนไม่ให้เกิน 2 องศา และในอุดมคติคือ 1.5 องศา แต่เกือบ 10 ปีให้หลัง เป้าหมาย 1.5 องศา ดูจะไกลเกินเอื้อม

แม้ยังไม่สามารถควบคุมภาวะโลกร้อนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ แต่พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และมาตรการอื่น ๆ ทำให้โลกไม่ดำดิ่งสู่จุดที่เลวร้ายที่สุด เช่น การเร่งใช้น้ำมันและถ่านหินในวงกว้าง ซึ่งแทบไม่อาจเกิดขึ้นได้แล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี 1850 โดยคาร์บอนไดออกไซต์ เป็นก๊าซหลักที่มีส่วนทำให้โลกร้อน รองลงมาคือมีเทนและไนตรัสออกไซด์ ซึ่งกักเก็บความร้อนไว้ในชั้นบรรยากาศ

ในปี 2023 คาร์บอนไดออกไซต์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก 41% มาจากถ่านหิน 32% จากน้ำมัน และ 21% จากก๊าซธรรมชาติ

ปี 2024 ถูกยืนยันว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ระบุว่าโลกแตะอุณหภูมิ 1.5 องศา ชั่วคราวเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน คลื่นความร้อน น้ำท่วม และพายุไซโคลนรุนแรงก็เกิดถี่และรุนแรงขึ้น

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ใช้แบบจำลอง RCP (Representative Concentration Pathways) แบ่งเป็น 4 สถานการณ์ ตั้งแต่การดำเนินการเข้มข้น (RCP 2.6) จนถึงไม่ดำเนินการใด ๆ (RCP 8.5) ปัจจุบันโลกกำลังเดินหน้าอยู่ระหว่าง RCP 2.6 ถึง 4.5 ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเพิ่มราว 2.7 องศา 

ภายในปี 2100 เเละยังมีการพัฒนาเส้นทางทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมืองอีก 5 แบบ ซึ่งสถานการณ์ที่โลกกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันคือเส้นทางกลาง ๆ ที่มีการพัฒนาไม่สม่ำเสมอและการใช้พลังงานลดลงบ้างแต่ยังไม่มากพอ

แม้แบบจำลองนี้มีอายุกว่า 10 ปีแล้ว แต่ยังสะท้อนความเป็นจริงอยู่มาก นักวิจัยจึงได้สร้างแบบจำลองโลกเดียว เพื่อร่างทางเลือกใหม่ที่เข้มข้นกว่า RCP 2.6 โดยจำกัดงบประมาณคาร์บอนไว้ที่ 450 กิกะตัน ก่อนจะเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero

ใครปล่อยมากที่สุด

แม้สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน จะมีประชากรรวมกันเพียง 28% ของโลก แต่กลับปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 56% ของปริมาณสะสมทั้งหมด (926 กิกะตัน) หากต้องการจำกัดโลกร้อนไม่เกิน 1.5 องศา ต้องจำกัดคาร์บอนที่ปล่อยได้อีกเพียง 243 กิกะตัน เท่านั้น และจีนต้องมีส่วนร่วมสูงสุด

หากโลกต้องการหลีกเลี่ยงภาวะโลกร้อนเกิน 1.5 องศา จะต้องใช้พลังงานสะอาด 100% และเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดภายในปี 2050 พร้อมกับหยุดการตัดไม้ทำลายป่า

จุดสูงสุดของการปล่อย เรามาถึงแล้วหรือยัง

แม้ภาพรวมการปล่อยก๊าซยังไม่นิ่ง แต่หลายประเทศเริ่มเห็นการลดลงอย่างชัดเจน

  • สหภาพยุโรป ลดลง 8.3% ในปี 2023 จากปี 2022 ขณะที่ GDP โตขึ้น 68% ตั้งแต่ปี 1990
  • ออสเตรเลีย ลดลง 28.2% จากระดับปี 2005
  • สหรัฐฯ ลดลง 20% จากระดับปี 2005
  • จีน เริ่มลดการปล่อยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ความต้องการพลังงานยังเพิ่มขึ้น จีนซึ่งปล่อยคาร์บอนราว 31% ของโลกรวม เป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถชี้ชะตาโลกร้อนได้โดยตรง

IPCC ระบุว่าเพื่อจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศา การปล่อยก๊าซจะต้องถึงจุดสูงสุดภายในปี 2025 และอาจเกิดขึ้นภายในปีนี้

แม้ยังมีข่าวร้ายรายวัน แต่สัญญาณดีเริ่มชัดเจน ปี 2024 พลังงานหมุนเวียนคิดเป็นกว่า 90% ของการเติบโตการผลิตไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนที่แข่งขันได้ ปั๊มความร้อนและโซลาร์เซลล์เติบโตอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่จำเป็นเริ่มราคาถูกและแพร่หลาย อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


15 วลีภาษาอังกฤษ “หยอกเล่น ล้อเล่น” ไว้ใช้กับเพื่อนที่ฟังดูน่ารัก

คำพูดล้อเล่น หยอกเล่น ภาษาอังกฤษ

เข้าใกล้วันเอพริลฟูล April Fool’s Day ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ที่ถือว่าเป็นวันโกหกโลก โดยผู้คนต่างเล่นมุกตลก แหย่กัน แกล้งกัน และเรื่องหลอกลวงต่อกัน เพื่อความนุกสนาน อย่าแอบไปหลงเชื่อใครง่ายๆนะคะ

มาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ กับวลีภาษาอังกฤษน่ารักๆ ปกติเราจะคุ้ยเคยกันอยู่แล้วกับคำว่า “Just kidding” หรือใช้ตัวย่อ JK ที่หมายถึง ล้อเล่นนะ แต่ยังมี วลีภาษาอังกฤษ คำอื่นๆ อีกนะ ที่เกี่ยวกับการหยอกล้อเช่นกัน ลองมาดูกัน

วลีภาษาอังกฤษ การหยอกล้อ, ล้อเล่น

I’m kidding. / I’m just kidding. ฉันล้อเล่นนะ
Just joking! แค่ล้อเล่น
I’m just fooling around. ฉันแค่หยอกเล่นเอง
I am just teasing you. ฉันหยอกเธอเล่นนิดเดียวเอง
I’m just pulling your leg. ฉันล้อเล่นนะ
I’m just messing with you. / I’m just poking fun of you. ฉันหลอกเล่นนะ
Don’t take it seriously. อย่าจริงจังน่า แค่ล้อเล่น
I’m only being silly. ฉันก็เล่นไปงั้นแหละ
It’s only a joke. มันเป็นมุขนะ
I’m just having a laugh. แค่ขำๆ นะ
I was inly playing around. ฉันแค่เล่นเรื่อยเปื่อยเอง
I’m just trying to take the mickey. ฉันแค่อยากให้ทำให้ขำแค่นั้นเอง
I was only jesting. ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


ประโยชน์ของผักหวาน สรรพคุณ และข้อควรระวัง ที่ควรรู้

ผักหวานไม่ได้เป็นเพียงแค่ผักพื้นบ้านในเมนูแกงส้มเท่านั้น แต่ยังเป็นซูเปอร์ฟู้ดจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรักสุขภาพหรือผู้ที่มองหาทางเลือกอาหารจากธรรมชาติ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของผักหวาน พร้อมเจาะลึกสรรพคุณ ประโยชน์ และข้อควรระวังที่ควรคำนึงถึง

ผักหวาน คืออะไร?

ผักหวาน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Melientha suavis) เป็นผักพื้นบ้านไทยที่มีรสชาติหวาน กรอบ นิยมบริโภคยอดอ่อน และพบมากตามธรรมชาติในป่า จึงมักเรียกกันว่า “ผักหวานป่า” ผักชนิดนี้เติบโตในสภาพอากาศร้อนชื้น พบมากในภาคเหนือและอีสานของไทย

ประโยชน์ของผักหวาน

  1. บำรุงสายตา อุดมด้วยวิตามินเอ
  2. เสริมภูมิคุ้มกัน มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันหวัด
  3. บำรุงกระดูกและฟัน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส
  4. ช่วยระบบขับถ่าย ใยอาหารสูง ช่วยลดอาการท้องผูก
  5. ต้านอนุมูลอิสระ มีสารแอนติออกซิแดนต์ ช่วยชะลอวัย
  6. แคลอรีต่ำ เหมาะกับคนลดน้ำหนัก

ข้อควรระวังในการบริโภคผักหวาน

  • ควรกินแบบปรุงสุกเท่านั้น ผักหวานดิบอาจมีสารที่ทำให้ระคายเคืองกระเพาะ
  • ล้างให้สะอาดก่อนปรุง โดยเฉพาะผักหวานปลูก อาจมีสารเคมีตกค้าง
  • ในผู้ป่วยโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพราะผักมีโพแทสเซียมสูง

เมนูยอดนิยมจากผักหวาน

  • แกงผักหวานไข่มดแดง
  • ผัดผักหวานน้ำมันหอย
  • ผักหวานลวกจิ้มน้ำพริก

สรุป

ผักหวานเป็นผักพื้นบ้านที่มีรสชาติหวานกรอบและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และใยอาหาร ซึ่งช่วยบำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมระบบขับถ่าย นอกจากนี้ผักหวานยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานผักหวานที่ปรุงสุกและล้างให้สะอาด เพื่อป้องกันการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร และลดความเสี่ยงจากสารเคมีตกค้าง โดยรวมแล้ว ผักหวานเป็นผักที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะกับการรับประทานในชีวิตประจำวันหากบริโภคอย่างถูกวิธี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/05/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a51,000.0051,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,304.0050,088.6451,900.00
ทองรูปพรรณ 90%2,973.6045,079.78n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,643.2040,070.91n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,487.0022,539.89n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,156.0017,531.02n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,424.0051,905.33n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/05/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5533.0532.5532.5532.5532.5532.5532.5532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.1832.1832.6832.1832.1832.1832.1832.1832.1832.18
แก๊สโซฮอล์ E2030.3430.3430.8430.3430.3430.3430.3430.3430.34
แก๊สโซฮอล์ E8528.6928.6928.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.1448.8449.8448.8441.14
เบนซิน 9540.8448.8141.3440.9940.84
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า