อสังหาฯ วิทยุเดือด! Upper House ดึงพอร์ตลักชัวรีระดับโลกลงสนาม

‘ซิตี้ ไดนามิค’ และ ‘สไวร์ฯ จับมือเปิดตัว Branded Residences ภายใต้แบรนด์โรงแรม Upper House แห่งแรกของโลกในกรุงเทพฯ สะท้อนการแข่งขันดุเดือดในตลาดลักชัวรีเรสซิเดนซ์ไทย ที่กำลังขยับขึ้นสู่สมรภูมิระดับโลก
การเปิดตัว Upper House Residences Bangkok และ The Wireless Residences by Upper House บนถนนวิทยุ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดที่อยู่อาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรีในกรุงเทพฯ และเป็นการประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “เมืองหลวงของไทย” กำลังถูกจับตามองจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกในฐานะสมรภูมิใหม่ของตลาด Branded Residence ที่เติบโตเร็วสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เบื้องหลังโปรเจกต์นี้ คือความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง ซิตี้ ไดนามิค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง ซิตี้ เรียลตี้ ของไทย และ สไวร์ พร็อพเพอร์ตี้ส์ จากฮ่องกง กับ สไวร์ โฮเทลส์ (Swire Hotels) ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์โรงแรม Upper House ที่ติด Top 5 ของโลกในทำเนียบ The World’s 50 Best Hotels ต่อเนื่องสองปีซ้อน การขยับตัวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่คือการ “นำแบรนด์โรงแรมหรูมาสู่การใช้ชีวิตประจำวัน”
ผ่านคอนเซปต์ Branded Residence ที่ผสานความเป็นบริการระดับโรงแรมเข้ากับการอยู่อาศัยถาวรทั้งสองโครงการ ได้แก่ Upper House Residences Bangkok อาคารสูง 52 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต และ The Wireless Residences by Upper House สูง 71 ชั้น จำนวน 239 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลทองถนนวิทยุ ซึ่งเป็นย่านที่มีศักยภาพสูงสุดด้านมูลค่าที่ดินในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมระดับ 3 แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ที่มีซัพพลายใหม่จำกัดแต่ดีมานด์ยังเหนียวแน่นจากผู้ซื้อกลุ่มทุนต่างชาติและนักลงทุนพอร์ตลักชัวรี
การเข้ามาของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Upper House ยังสะท้อนภาพ “ความร่วมมือระหว่างทุนไทยและทุนต่างชาติ” ที่กำลังกลับมามีบทบาทอีกครั้งหลังโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มทุนฮ่องกงและจีน ที่หันมาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อกระจายพอร์ตความเสี่ยง ขณะเดียวกันผู้พัฒนาไทยอย่าง “ซิตี้ เรียลตี้” ก็ได้โอกาสยกระดับภาพลักษณ์และมาตรฐานงานพัฒนาเข้าสู่ระดับสากล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เห็นได้จากหลายดีลในช่วง 2 ปีหลัง ทั้งการร่วมทุนของ MQDC กับแบรนด์ Waldorf Astoria หรือการกลับมาของ Four Seasons Private Residences ที่เจาะตลาดลูกค้าระดับบนทั่วภูมิภาค
ด้าน นายเคซี อาว และ นายโทมัส วูลซี กรรมการผู้จัดการร่วมของซิตี้ ไดนามิค ระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานดีเอ็นเอของแบรนด์ Upper House ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์เรียบหรูเหนือกาลเวลา เข้ากับประสบการณ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มซิตี้ เรียลตี้ เพื่อสร้างโครงการที่เป็น “มรดกทางสถาปัตยกรรม” และสะท้อนมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยมี Foster + Partners ร่วมออกแบบสถาปัตยกรรม และ BAR Studio ออกแบบตกแต่งภายใน พร้อมพันธมิตรด้านเวลเนสระดับโลกอย่าง GOCO ที่เข้ามายกระดับบริการสุขภาพเชิงองค์รวมให้แก่ผู้อยู่อาศัย
การเปิดตัวโครงการนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ “กลุ่ม Branded Residence” ของไทยกำลังอยู่ในช่วงเติบโตต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลของบริษัทวิจัยอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง คาดว่าปัจจุบันกรุงเทพฯ มีโครงการภายใต้แบรนด์โรงแรมชั้นนำเปิดขายแล้วกว่า 10 โครงการ รวมมูลค่าตลาดกว่า 6 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยปีละ 8-10% จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่มองหาการลงทุนระยะยาวและมูลค่าทรัพย์สินที่มีเสถียรภาพ
สำหรับ สไวร์ พร็อพเพอร์ตี้ส์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากฮ่องกง การเข้ามาพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ นับเป็นการขยายพอร์ตการลงทุนในตลาดอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม หลังประสบความสำเร็จกับโครงการ OPUS Hong Kong และ EDEN Singapore และยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Regional Expansion” ที่มุ่งกระจายสินทรัพย์ออกจากตลาดฮ่องกงและจีน ซึ่งมีการแข่งขันสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

ขณะที่ฝั่งของ ซิตี้ เรียลตี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีรากฐานมั่นคงจากตระกูลโสภณพนิช การร่วมทุนครั้งนี้ไม่เพียงเปิดตลาดใหม่ในระดับอัลตร้าลักชัวรี แต่ยังเป็นการ “ปักหมุดซิกเนเจอร์ใหม่” ที่จะต่อยอดธุรกิจในอนาคต ทั้งในมิติของมูลค่าแบรนด์และการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศ
ทั้งนี้ โครงการทั้งสองคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573 และหากประสบความสำเร็จตามแผน ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ อาจได้เห็น “แลนด์มาร์กใหม่” ที่ไม่เพียงแข่งขันด้านดีไซน์หรือทำเล แต่ยังแข่งขันกันในมิติของ “ประสบการณ์และบริการ” ซึ่งเป็นเทรนด์หลักของตลาดลักชัวรีในยุคใหม่ ที่ผู้ซื้อแสวงหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตซึ่งสะท้อนสถานะและคุณค่าของตนเอง และเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการเปลี่ยนโฉมตลาดลักชัวรีเรสซิเดนซ์ไทย ที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค Global Premium ที่กรุงเทพฯ อาจะกลายเป็นเวทีของทุนระดับโลก ที่มองเห็นศักยภาพของตลาดไทยในฐานะศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ลักชัวรีแห่งเอเชีย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แอล ดับเบิลยู เอส เปิด 3 ทำเลทอง ที่ต่างชาติสนใจซื้อ และ เช่า

แอล ดับเบิลยู เอสฯ ระบุ อโศก-พร้อมพงษ์, รัชดา-พระราม 9, สีลม-สาทร เป็น 3 ทำเลทองในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์ชาวต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาซื้อ และ เช่า
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2568 จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด 446 คน โดยการส่งแบบสอบถามทางออนไลน์และการลงพื้นที่สำรวจในพื้นที่สุขุมวิท พร้อมพงษ์ และสาทร
เจาะกลุ่มนักธุรกิจ และคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสนใจที่จะอยู่อาศัยในพื้นที่ในเมืองที่เดินทางสะดวกใกล้แนวรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ใกล้สถานที่ทำงาน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบถ้วน เช่น ร้านอาหาร ศูนย์การค้า และโรงพยาบาล โดย 3 ทำเลแรกที่ผู้ตอบแบบสอบถามชาวต่างชาติ นิยมเลือกที่จะซื้อ หรือเช่า ได้แก่ อโศก-พร้อมพงษ์,รัชดา-พระราม 9 และสีลม-สาทร
โดยทั้ง 3 ทำเลต่างมีจุดร่วมที่สำคัญ คือการเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์คนเมือง พร้อมอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวต่างชาติได้อย่างดี
จากผลการสำรวจพบว่า กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย 5 ประเทศแรกที่ตอบแบบสอบถามเป็นญี่ปุ่น สิงค์โปร์ อังกฤษ จีน และสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 46% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ที่เหลือได้แก่
ออสเตรเลีย พม่า ฝรั่งเศส อินเดีย เยอรมณี สวีเดน เกาหลีใต้ ไต้หวัน รัสเซีย และฮ่องกง เป็นกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 36 ถึง 45 ปี คิดเป็นสัดส่วน 49% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ถัดมาจะมีอายุระหว่าง 55 ปีขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วน 17% และ อายุระหว่าง 25-35 ปี คิดเป็นสัดส่วน 16% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด
วัตถุประสงค์ในการอยู่อาศัยในประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 67% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด เพื่อเข้ามาทำงานและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาในการอยู่อาศัยเฉลี่ย 5-10 นอกจากการเข้ามาอยู่อาศัยเพื่อการทำงานแล้ว ในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามคิดเป็นสัดส่วน 15% ต้องการมาอยู่อาศัยอย่างถาวรหลังจากเกษียณจากการทำงาน
ภูเก็ต-เชียงใหม่-พัทยา มาแรง
นอกจาก 3 ทำเลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติแล้ว จากผลการสำรวจยังพบว่า ชาวต่างชาติยังให้ความสนใจในการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด จากผลการสำรวจพบว่า ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยาเป็น 3 จังหวัด ที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติ เป็นอันดับต้นๆ รองจาก กรุงเทพมหานคร
โดยมีสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจซื้อ หรือ เช่าที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต คิดเป็นสัดส่วน 9% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดตามมาด้วยจังหวัดเชียงใหม่คิดเป็นสัดส่วน 7% และ พัทยา คิดเป็นสัดส่วน 5% ที่เหลือกระจายไปในพื้นที่จังหวัด ชลบุรี เกาะสมุย ระยอง หัวหิน ปทุมธานี เชียงรายและหาดใหญ่
เหตุผลสำคัญในการสนใจซื้อ หรือ เช่า ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต่างจังหวัด มีทั้งเป็นแหล่งงาน อาทิ ในพื้นที่จังหวัด ระยอง ชลบุรี ที่มีพื้นที่ใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)ในขณะเดียวกันในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ และ เกาะสมุย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย เป็นทำเลที่ชาวต่างชาติ สนใจซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองเพื่อการเกษียณอายุ
เช่า มากกว่า ซื้อ
จากผลการสำรวจพบว่า ชาวต่างชาติในกลุ่มที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเลือก การเช่ามากกว่าซื้อ โดยจากผลการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามคิดเป็นสัดส่วน 54% เลือกที่จะเช่ามากกว่าที่จะซื้อเพราะระยะเวลาในการอยู่อาศัยในประเทศไทยอยู่เพียง 5-10 ปี อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มที่ต้องการซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 46% มีทั้งกลุ่มที่เป็นวัยทำงาน และ กลุ่มที่เกษียณอายุ และมีครอบครัวอยู่ในประเทศไทย
คอนโดมิเนียม มาแรง
สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติ เลือกในการเช่า หรือซื้อ จากผลการสำรวจพบว่า 61% เลือกที่จะเช่า หรือ ซื้อ คอนโดมิเนียม มากกว่า บ้านพักอาศัย อาจจะด้วยข้อจำกัดในการเป็นเจ้าของที่ดินของชาวต่างชาติในประเทศไทย ทำให้ชาวต่างชาติเลือกที่จะเช่าหรือซื้อ คอนโดมิเนียม มากกว่า บ้านพักอาศัย
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามในสัดส่วน 39% เลือกที่จะซื้อบ้านพักอาศัย เนื่องจากบางส่วนเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่มีครอบครัวเป็นคนไทยที่สามารถใช้สิทธิของสมาชิกในครอบครัวในการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านพักอาศัยได้โดยรูปแบบของบ้านพักอาศัยที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจจะเป็นบ้านพักอาศัยรูปแบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
สำหรับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจซื้อจะอยู่ที่ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาท ไปจนถึงไม่เกิน 10 ล้านบาท สำหรับห้องชุดขนาดตั้งแต่ 30-100 ตารางเมตร ในแบบ 1-2 ห้องนอน และค่าเช่าเฉลี่ยที่ระดับราคา 10,000-30,000 บาทต่อเดือน
โดยพื้นที่ภายในต้องมีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน มีห้องทำงานตอบโจทย์การ Remote Working ห้องรับแขก ห้องครัว และระเบียงที่กว้างเพียงพอสำหรับพักผ่อน ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียม จะถูกใจในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพและการพักผ่อนเป็นหลัก อย่าง ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวน และเล้าจน์พักผ่อน สิ่งที่น่าสังเกตคือชาวต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นแบบ Pet-Friendly เนื่องจากไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงมาอยู่ด้วยหรือไม่ต้องการภาระเพิ่มเติมในการดูแล
จากผลการสำรวจจะเห็นได้ว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในประเทศไทย จะให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบทำเลที่พักอาศัย และ ให้ความสำคัญกับที่พักอาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และ ต่างชาติ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย เมื่อเทียบกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวจากความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย
จึงเป็นโอกาสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จะพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กับความต้องการของชาวต่างชาติ ในทำเลที่ตอบโจทย์กับความต้องการ เพื่อสร้างกำลังซื้อใหม่เข้ามาสู่ตลาด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28ต.ค.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจถูกชะลอการแข็งค่าในช่วงปลายเดือนจกโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า รวมทั้งโฟลว์ธุรกรรมบางส่วนที่ทยอยเข้าซื้อเงินเยน แต่ทั้งจังหวะการปรับตัวลงแรงและการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำยังส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูงขึ้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 28 ต.ค.2568 ที่ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.71 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ได้อ่อนกำลังลง หลังเงินดอลลาร์เริ่มทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ก่อนผู้เล่นในตลาดรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก
โดยเฉพาะผลการประชุม FOMC ของเฟด ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ อาจเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว ถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลงได้ และเงินบาท (USDTHB) จะยังคงอยู่ในแนวโน้มการอ่อนค่า จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
โดยในช่วงปลายเดือน เรามองว่า แม้เงินบาทจะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ประกอบการ อย่างฝั่งผู้นำเข้าในช่วงปลายเดือน (Month-end Flows)
ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ในช่วงนี้ เมื่อเทียบกับเงินบาท ก็มีส่วนหนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อเงินเยนญี่ปุ่น และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยเงินบาทก็อาจติดแถวโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า เงินบาทได้เคลื่อนไหวผันผวนสูงขึ้น จากอิทธิพลของโฟลว์ธุรกรรมทองคำ เนื่องจากในช่วงนี้ ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้ ทั้งจังหวะการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ และการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (ซึ่งในช่วงนี้ก็มักจะเห็นการปรับตัว ขึ้น-ลง ในระดับ เกิน 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงเวลาสั้นๆ) ก็ส่งผลให้ เงินบาทอ่อนค่าลง
หรือ แข็งค่าขึ้นมาบ้างได้ โดยจากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและเงินบาท เราพบว่า เงินบาทมีความอ่อนไหวต่อทิศทางราคาทองคำ (Beta, Sensitivity) ราว 0.2 ในจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง และราว 0.3 ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
โดยในช่วงระยะสั้นนี้ หากราคาทองคำ (XAUUSD) ไม่ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนหลุด โซนแนวรับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างชัดเจน เราประเมินว่า ราคาทองคำก็อาจมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง
และอาจพอช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท หรืออาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากในช่วงนั้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเช่นกัน
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.63-32.78 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ (XAUUSD) จนหลุดโซนแนวรับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทว่า เงินบาทก็ยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่
โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินยูโร (EUR) ซึ่งได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน
อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าคาด ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นจากโซน 153 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่แคบลง
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็มองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังพอมีโอกาสราว 50% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงทยอยออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.23% นำโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla +4.3%, Alphabet +3.6% เป็นต้น
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.22% หนุนโดยความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงขายบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ตามการปรับลดคำแนะนำการลงทุนจากบรรดานักวิเคราะห์ใน Roche -1.4% และผลกระทบจากการบรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการของ Novartis ที่กดดันราคาหุ้น Novartis -0.9%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่ำกว่า โซน 4.00% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตามคาด โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนตุลาคม นี้
อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมได้เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ
รวมถึงผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า
ควรระวังความผันผวนในตลาดบอนด์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว จนอาจทำให้บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้
โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยลดสถานะ Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น) ก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด
ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.7-98.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) เผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากจังหวะการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้ ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้น สู่โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนตุลาคม รวมถึง รายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขา อาทิ ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรมโดยเฟดสาขา Richmond และดัชนีภาคการบริการโดยเฟดสาขา Dallas เป็นต้น
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.60-32.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.32 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และเงินหยวนที่ยังคงแข็งค่าขึ้น หลังมีสัญญาณความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ นอกจากนี้การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ท่ามกลางการคาดการณ์ถึงโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในช่วงกลางสัปดาห์ ก็เป็นปัจจัยกดดันเงินดอลลาร์ฯ ให้อ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ค่าเงินหยวนและสกุลเงินเอเชีย รวมถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ รายงานโดย Conference Board
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าในเอเชีย และผลการประชุมเฟด (28-29 ต.ค.) ด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดสาเหตุ “พรปวีณ์” ยื่นหนังสือ กกท. ขอลาออกจากทีมแบดมินตัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33

กลายเป็นที่จับตาทันทีเกี่ยวกับการถอนตัวของ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักแบดมินตันหญิงมือ 1 ของไทย และมือ 6 ของโลก จากการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในช่วงเดือนธันวาคมนี้
โดยก่อนหน้านี้ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการประกาศรายชื่อนักกีฬาทั้งหมดจำนวน 20 คน เพื่อเข้าแข่งขันในรายการซีเกมส์ ช่วงระหว่างวันที่ 7-14 ธันวาคม นี้
ล่าสุด “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักตบลูกขนไก่หญิง ได้เดินทางไปยัง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อยื่นหนังสือขอลาออก จากการเข้าร่วมการแข่งขัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ
ซึ่ง นักตบลูกขนไก่สาววัย 27 ปี ได้เผยถึงสาเหตุการถอนตัวในครั้งนี้ว่าเป็นเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีพอจากทางสมาคม และทำให้หมดกำลังใจหลังถูกฝ่ายพัฒนากีฬาปฏิบัติไม่เป็นธรรม ย้ำไม่ได้มีปัญหาเรื่องเบี้ยเลี้ยง พร้อมวอนสมาคมฯ ทบทวนระบบเพื่อความเป็นธรรมต่อนักกีฬา
“หนูไม่ได้มีปัญหากับ กกท. หรือเรื่องเบี้ยเลี้ยง แต่ผิดหวังที่สมาคมฯ ไม่แจ้งเรื่องการทดสอบร่างกายซีเกมส์ย้อนหลัง ทั้งที่ถ้าแจ้ง หนูก็พร้อมทำตามกฎ”
ก่อนหน้านี้มีกระแสดราม่าเรื่องการหักเบี้ยเลี้ยงนักแบดมินตันทีมชาติ ซึ่งต่อมา “โค้ชท็อป” ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ ยืนยันว่า นักกีฬาไม่ได้ละเลย แต่ติดภารกิจแข่งขันเพื่อชาติ
สำหรับ นักตบลูกขนไก่มือ 1 ของไทย ตัดสินใจถอนตัวจากศึกออสเตรเลียน โอเพ่น และลีกอาชีพในประเทศจีน เพื่อเตรียมรับใช้ชาติในการแข่งขันซีเกมส์ อย่างไรก็ตามสุดท้ายเธอตัดสินใจถอนตัว
ด้าน นายอุดมศักดิ์ ชื่นครุฑ เลขาธิการสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ยืนยันว่า สมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะเร่งประชุมหารือกับ นายกสมาคมฯ, กกท. และคณะกรรมการโอลิมปิกฯ เพื่อหาทางออกอย่างเป็นรูปธรรมให้ “หมิว” กลับมาร่วมทีมชาติอีกครั้งภายใน 1-2 วันข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย ดาวรุ่งศักยภาพแข่งขันตลาดโลก

- อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ได้แก่ 1.โปรตีนจากพืชและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ 2.โภชนาการเฉพาะบุคคล 3. เทคโนโลยีการหมัก และ4.เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ
- พัฒนาโพรไบโอติกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะ
- โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ ป้องกันไขมันพอกตับ มีความเหมาะสมกับคนไทยมากกว่าสายพันธุ์ที่นำเข้า
จากข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต หรืออาหารที่ปลอดภัยเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบสนองวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารเชิงฟังก์ชัน (Functional Food) โปรตีนทางเลือก และอาหารออร์แกนิก เป็นต้น และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ประมาณการว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านบาทในไทยในปี 2570 และแม้ว่าปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ระยะทรงตัว ไม่พุ่งแรง แต่ยังคงมีการแข่งขันสูงต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีจำนวนสิทธิบัตรนวัตกรรมดังกล่าวสูง ได้แก่ จีน (ครองสิทธิบัตรมากที่สุด มากกว่า 1,500 ฉบับ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา) ญี่ปุ่น สหรัฐ และเกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศที่น่าจับตาในตลาดนี้ ได้แก่ อินเดีย ซึ่งมีการเติบโตสูงกว่า 26%ต่อปี และฟิลิปปินส์ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตในไทย
“อรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่าเมื่อเจาะลึกในรายละเอียด จะพบ 4 เทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่กำลังมาแรงหรือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่
1.โปรตีนจากพืชและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Plant-based Proteins & Bioactive Compounds) ซึ่งเคยถึงจุดอิ่มตัว ก่อนกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังช่วงโควิด-19 จากเทรนด์รักสุขภาพทั่วโลก นโยบายสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์โดยสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยเป็นผู้ถือสิทธิบัตรหลักมากกว่าภาคเอกชน ส่งผลให้ในภาพรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 2,100 – 2,900 ฉบับต่อปี
2.โภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) อยู่ในระยะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบสูตรอาหารหรืออาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลโดยสาขานี้มีผู้เล่นหลากหลาย ทั้งบริษัทยาชีวภาพ และสถาบันวิจัย รวมผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 800 – 900 ฉบับต่อปี ตัวอย่างเช่น ระบบห้องครัวอัจฉริยะ การปรับเวลา อุณหภูมิ และสูตรอาหารเฉพาะบุคคล
3. เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation Technology) คือกระบวนการใช้จุลินทรีย์เปลี่ยนวัตถุดิบอาหารให้มีคุณสมบัติใหม่ ทั้งในแง่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและการปรับรสชาติอาหารให้ดีขึ้น ปัจจุบันถูกพัฒนาสู่เทคนิคขั้นสูง เพื่อสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ภาพรวมของตลาดนี้อยู่ในช่วงอิ่มตัวหากมองในเชิงปริมาณ
ซึ่งมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 – 300 ฉบับต่อปี แต่มีการแข่งขันในเชิงคุณภาพนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของโลกที่มีสิทธิบัตรด้านการหมักจำนวนมาก เนื่องจากมีวัตถุดิบและองค์ความรู้ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การหมักสมุนไพรจีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา

4.เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ (3D Food Printing and Precision Nutrition) นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ในการออกแบบอาหารโดยการขึ้นรูปทีละชั้น ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโครงสร้างซับซ้อนหลากหลายรูปทรง และสามารถเติมสารอาหารต่างๆ เข้าไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและควบคุมปริมาณองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ เช่น การพิมพ์แท่งอาหารที่ปรับสัดส่วนโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินให้ตรงความต้องการของนักกีฬาแต่ละคน การพิมพ์อาหารบดสำหรับผู้สูงอายุที่เคี้ยวยาก พร้อมเสริมสารอาหารที่จำเป็นอย่างแคลเซียมและโพรไบโอติกลงไปได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น
นวัตกรรมดังกล่าวมีโอกาสขยายตัวสูง โดยมีทั้งบริษัทยาและแบรนด์อาหารระดับโลกเข้ามาร่วมพัฒนา ผู้เล่นในเทคโนโลยีนี้เชื่อมโยง 3 วงจรนวัตกรรม ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เทคโนโลยีดิจิทัลกลางน้ำ และแบรนด์อาหารปลายน้ำ รวมผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 – 300 ฉบับต่อปี
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา มองว่า “Future Food” ไม่ใช่เพียงกระแส แต่เป็นสนามแข่งขันระดับโลกที่ไทยต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาประเภท “สิทธิบัตร” เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ผลักดันการเสริมแกร่งให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs
ทั้งนี้ ไทยมีจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นที่หลากหลาย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจับมือกับมหาวิทยาลัยและสตาร์ตอัป เพื่อบ่มเพาะนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ เช่น การวิจัยเพื่อค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ จากพืช อาทิ กระชายที่ช่วยต้านการอักเสบ ใบบัวบกที่ช่วยเสริมความจำ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมการหมักเพื่อต่อยอดสินค้า GI ในกลุ่มอาหารและพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพ แปลงเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ไปได้ไกลในตลาดโลก
คนไทยตื่นตัวดูแลสุขภาพลำไส้เชิงป้องกัน
นพ.สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ปัจจุบัน สถานการณ์มะเร็งลำไส้ในประเทศไทยกำลังน่าวิตกอย่างยิ่ง โดยข้อมูลจาก Thaihealth Watch ชี้ให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ของคนไทยเพิ่มขึ้นถึง 2.4 เท่าในช่วง 10 ปี โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดถึง 15 คนต่อประชากร 100,000 คน นอกจากนี้ ปัญหาสุขภาพลำไส้อื่นๆ อย่างโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และกรดไหลย้อนก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โรงพยาบาลวิมุต จึงร่วมมือกับ AMILI บริษัทวิจัยด้านไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารแห่งแรกในเอเชีย ซึ่งมีฐานข้อมูลไมโครไบโอมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค เพื่อพัฒนาโพรไบโอติกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะ
โดยใช้ฐานข้อมูลไมโครไบโอมจากการศึกษาประชากรเอเชียกว่า 100,000 ตัวอย่าง ผ่านเทคโนโลยีการวิเคราะห์ระดับโมเลกุลเพื่อช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยในระยะยาว นวัตกรรมใหม่นี้สอดคล้องกับพันธกิจของโรงพยาบาลวิมุตในการนำเสนอนวัตกรรมด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในแนวทางที่เหมาะสม
โพรไบโอติกป้องกันไขมันพอกตับ
ขณะที่บริษัท อินโนบิก(เอเชีย) ร่วมมือกับ บริษัท ที.แมน เพื่อนำนวัตกรรมโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยที่พัฒนาขึ้นสู่สเกลเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อการป้องกัน โดยผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการใช้ โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ ในเรื่องของไขมันพอกตับโดยเฉพาะ มีความเหมาะสมกับคนไทยมากกว่าสายพันธุ์ที่นำเข้า เนื่องจากมาจากเชื้อในประเทศ สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและอาหารไทย ทนทานต่ออุณหภูมิในเขตร้อนได้ดีกว่า ทำให้โพรไบโอติกมีชีวิตอยู่ได้นาน
ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเกี่ยวกับไขมันพอกตับนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักจึงเป็นกลุ่มนักดื่ม (drinker) หรือสายปาร์ตี้ รวมถึง กลุ่มที่มีปัญหาจากการกิน เช่น การรับประทานอาหารประเภททอด หรืออาหารที่มีแป้งสูง ซึ่งทำให้เกิดภาวะโรคอ้วนและไขมันพอกตับได้ เบื้องต้นจะขึ้นทะเบียนอย.เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คาดว่าในไตรมาส 1 หรือภายในไตรมาส 2 ปี 2569 จะสามารถวางตลาดได้ ซึ่งการอัปเกรดเป็นยาความเสี่ยงต่ำ จะต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลความคงตัว (Stability) และเตรียมเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนกับ อย. อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี
ปรับกฎหมาย ลดขั้นตอนอย.
ภกญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า กระแสรักสุขภาพเชิงป้องกันส่งผลให้ตลาดโพรไบโอติกในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2568 มีมูลค่าประมาณ 8,600 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวไปถึง 12,700 ล้านบาท ภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 8% จึงตลาดที่น่าจับตามองของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศแต่ในปัจจุบันจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ใช้ในอาหารส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศ
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยให้มีการนำไปใช้ในอาหารอย่างแพร่หลายมากขึ้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ภายใต้โครงการ “การประเมินความปลอดภัยและคุณสมบัติของจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย” เพื่อผลักดันให้ “โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย” เป็นสินค้าดาวรุ่งที่มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก
โดยมีเป้าหมาย คือ ลดเวลา เพิ่มรายการโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยที่ผ่านการรับรองแล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปผลิตอาหารได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มความมั่นใจทวนสอบสายพันธุ์จุลินทรีย์ในตลาดและขอข้อมูลทางเทคนิคจากผู้ประกอบการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลดขั้นตอนการอนุญาตผลิตภัณฑ์ที่มีโพรไบโอติกเป็นส่วนประกอบในอนาคต
นอกจากนี้ อย. ยังเร่งปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกในอาหาร ให้สอดคล้องกับหลักการขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการให้สามารถนำโพรไบโอติกไปใช้ในอาหารได้สะดวก เป็นมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้มาตรฐานสากล
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คำศัพท์และสำนวนอังกฤษที่เจ้าของภาษาพูดบ่อย เรียนแล้วพูดได้ทันที

สำนวนอังกฤษที่เจ้าของภาษาพูดบ่อย เรียนแล้วพูดได้ทันที
พูดภาษาอังกฤษให้คล่องเหมือนเจ้าของภาษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับแกรมม่าเพียงอย่างเดียว แต่ ขึ้นอยู่กับการใช้สำนวนและคำศัพท์ที่เจ้าของภาษาใช้จริง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก คำศัพท์และสำนวนที่เจ้าของภาษาพูดบ่อย พร้อมเคล็ดลับเรียนแล้วพูดได้ทันที
1. ทำไมต้องเรียนสำนวนและคำศัพท์ที่ใช้จริง
หลายคนเรียนภาษาอังกฤษแบบเรียนแกรมม่าและคำศัพท์ แต่ ไม่ได้ใช้จริงเวลาเจอเจ้าของภาษา
ข้อดีของการเรียนสำนวนและคำศัพท์จริง:
- พูดฟังเหมือนเจ้าของภาษา
- พูดคล่องโดยไม่ต้องคิดมาก
- สื่อสารได้เป็นธรรมชาติและมั่นใจ
2. สำนวนทักทายและสนทนาประจำวัน
เจ้าของภาษามักใช้ สำนวนสั้น ๆ ทักทายหรือถามไถ่ แทนประโยคทางการ
ตัวอย่าง:
- “How’s it going?” = สบายดีไหม
- “What’s up?” = มีอะไรใหม่ไหม
- “Long time no see” = ไม่เจอกันนานเลย
เทคนิค: ฝึกพูดสำนวนเหล่านี้ทุกวันจนติดปาก
3. สำนวนแสดงความเห็นและตอบสนอง
เวลาพูดคุย เจ้าของภาษาจะใช้ สำนวนสั้น ๆ แทนการตอบยาว
ตัวอย่าง:
- “I’m afraid so” = กลัวว่าจะใช่
- “No way!” = เป็นไปไม่ได้
- “Absolutely!” = แน่นอน
เคล็ดลับ: ใช้สำนวนนี้เวลาตอบสนอง จะฟังเป็นธรรมชาติและคล่องตัว
4. สำนวนแสดงความรู้สึกและอารมณ์
เจ้าของภาษามักใช้สำนวนเพื่อ แสดงอารมณ์หรือความรู้สึก
ตัวอย่าง:
- “I’m thrilled” = ดีใจมาก
- “I’m exhausted” = เหนื่อยมาก
- “That’s hilarious” = ขำมาก
เทคนิค: ฝึกพูดสำนวนพร้อมน้ำเสียงและโทนเสียงให้เหมาะกับอารมณ์
5. คำศัพท์ใช้ในชีวิตประจำวัน
การใช้คำศัพท์ที่ใช้บ่อยช่วยให้ พูดอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษา
ตัวอย่างคำศัพท์พื้นฐาน:
- Work, job, office = งาน
- Coffee, lunch, dinner = อาหาร
- Travel, trip, vacation = การเดินทาง
เคล็ดลับ: ฝึกพูดคำศัพท์เหล่านี้พร้อมประโยคสั้น ๆ ทุกวัน
6. คำศัพท์และสำนวนสำหรับการทำงาน
สำหรับคนทำงาน คำศัพท์และสำนวนใช้ในที่ทำงานสำคัญมาก
ตัวอย่าง:
- “Deadline” = กำหนดส่งงาน
- “Touch base” = พูดคุยสั้น ๆ
- “On the same page” = เข้าใจตรงกัน
เทคนิค: ใช้สำนวนนี้ในอีเมลหรือสนทนางาน เพื่อพูดเหมือนเจ้าของภาษา
7. ฝึกสำนวนด้วยการสนทนาจริง
การเรียนสำนวนและคำศัพท์ไม่พอ ต้อง ฝึกพูดกับเจ้าของภาษา
แพลตฟอร์มแนะนำ:
- Wall Street English: ครูเจ้าของภาษาสอนออนไลน์
- Cambly, iTalki: เลือกครูและสำเนียงที่ต้องการ
ข้อดี:
- ฝึกพูดสำนวนในประโยคจริง
- ได้ฟีดแบคทันทีและแก้ไขการออกเสียง
8. วิธีจำและใช้คำศัพท์และสำนวนทันที
เทคนิคจำง่าย ๆ:
- จดคำศัพท์และสำนวนเป็นกลุ่ม
- สร้างประโยคสั้น ๆ ใช้สำนวนเหล่านั้น
- พูดทุกวันจนติดปาก
- ฟังเจ้าของภาษาแล้วเลียนแบบสำเนียง
เคล็ดลับ: Shadowing ช่วยฝึกพูดสำนวนเหมือนเจ้าของภาษา
9. สร้างสภาพแวดล้อมภาษาอังกฤษรอบตัว
เพื่อให้เรียนสำนวนและคำศัพท์ได้เร็วขึ้น
- ตั้งมือถือและโซเชียลเป็นภาษาอังกฤษ
- ดูซีรีส์, ฟังเพลง, อ่านข่าวภาษาอังกฤษ
- พูดสำนวนใหม่กับเพื่อนหรือครอบครัว
ผลลัพธ์: พูดคล่อง ฟังเข้าใจเร็ว และใช้สำนวนเป็นธรรมชาติ
10. สรุปและแนวทางฝึกต่อเนื่อง
การเรียนสำนวนและคำศัพท์เจ้าของภาษาไม่ใช่เรื่องยาก หากใช้ 10 เทคนิค ข้างต้น ฝึกทุกวัน และสนทนากับเจ้าของภาษา
ผลลัพธ์:
- พูดอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษา
- ฟังและตอบสนองเป็นธรรมชาติ
- เพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่สนทนา
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ส่องขุมทรัพย์ ‘แร่หายาก’ ไทยซ่อนอยู่ที่ใดบ้างในประเทศ

- ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นผู้ผลิตแร่หายากมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลกในปี 2024 ด้วยปริมาณการผลิตกว่า 13,000 เมตริกตัน
- แหล่งแร่หายากที่มีศักยภาพสูงของไทยส่วนใหญ่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและบุรีรัมย์
- จังหวัดนครราชสีมาเป็นที่ตั้งของโรงงาน Neo Magnequench ซึ่งเป็นฐานการผลิตแม่เหล็กถาวรที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์
ท่ามกลางยุคที่ใครครอบครอง “แร่หายาก” ได้ ย่อมถือกุญแจสำคัญสู่เทคโนโลยีโลก ไทยกลับกลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดของเอเชีย หลังรายงานล่าสุดของ USGS และ Investing News Network (INN) ปี 2024 จัดให้ประเทศไทยขึ้นแท่น “ผู้ผลิตแร่หายากมากที่สุดอันดับ 6 ของโลก” ด้วยปริมาณการผลิตกว่า 13,000 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นถึง 261% ภายในปีเดียว คำถามสำคัญคือ“แร่หายากเหล่านี้ซ่อนอยู่ที่ไหนในแผ่นดินไทย?”
ขุมทรัพย์ใต้ดินไทย: จากโคราชถึงบุรีรัมย์
พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเฉพาะนครราชสีมาและบุรีรัมย์ กำลังถูกจับตามองในฐานะแหล่งแร่หายากธรรมชาติที่มีศักยภาพสูง จากการสำรวจทางธรณีวิทยาพบว่ามีตะกอนแร่ที่อุดมไปด้วยธาตุในกลุ่ม Rare Earth Elements (REEs) เช่น นีโอไดเมียม (Nd), พราซิโอดิเมียม (Pr), ดิสโพรเซียม (Dy) และ อิตเทรียม (Y)

ธาตุเหล่านี้คือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ชิปคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงสมาร์ทโฟนและระบบดาวเทียม หากไม่มีแร่หายาก โลกก็อาจไม่มี Tesla, iPhone หรือแม้แต่เทคโนโลยีป้องกันประเทศขั้นสูง
โรงงาน “Neo Magnequench” จุดประกายโครงสร้างห่วงโซ่ในไทย
หนึ่งในหมุดหมายสำคัญของไทยคือ โรงงาน Neo Magnequench ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก โรงงานแห่งนี้ถือเป็นหัวใจของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในภูมิภาค
การขยับตัวของบริษัทข้ามชาติอย่าง BYD (จีน) ที่ลงทุนกว่า 486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ยังสะท้อนถึงการวางตำแหน่งของประเทศให้เป็น “จุดศูนย์กลางซัพพลายเชนแร่หายากแห่งอาเซียน”
ไทยผู้ผลิตแร่หายากอันดับ 6 ของโลก
รายงานปี 2024 จัดอันดับประเทศผู้ผลิตแร่หายากสูงสุดของโลกไว้ดังนี้
1. จีน 270,000 เมตริกตัน
2. สหรัฐฯ 45,000 เมตริกตัน
3. เมียนมา 31,000 เมตริกตัน
4. ออสเตรเลีย 13,000 เมตริกตัน
5. ไนจีเรีย 13,000 เมตริกตัน
6. ไทย 13,000 เมตริกตัน
7. อินเดีย 2,900 เมตริกตัน
8. รัสเซีย 2,500 เมตริกตัน
9. มาดากัสการ์ 2,000 เมตริกตัน
10. เวียดนาม 300 เมตริกตัน

การที่ไทยก้าวขึ้นมาแซงหลายประเทศในยุโรปและเอเชียภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ถือเป็น “การเติบโตเร็วที่สุดในโลก” ในกลุ่มผู้ผลิตแร่หายาก
ศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์ไทยยุคสงครามแร่หายาก
“สงครามแร่หายาก” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังผลักดันให้หลายประเทศเร่งหาซัพพลายเชนนอกจีน และไทยคือหนึ่งในหมุดยุทธศาสตร์ที่ถูกจับตามองมากที่สุด ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ
• โลเคชันทองคำ: ตั้งอยู่กลางภูมิภาคอาเซียน เชื่อมโยงเส้นทางการค้าและแหล่งทรัพยากรของจีน–ลาว–มาเลเซีย
• นโยบาย BCG และ EV Hub: รัฐบาลไทยผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวและยานยนต์ไฟฟ้า หนุนการใช้ประโยชน์จากแร่หายากในประเทศ
• การลงทุนต่างชาติทะลัก: นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น แคนาดา และยุโรปเร่งเข้ามาจับจองฐานผลิต
ขุมพลังแห่งอนาคต ดันไทยสู่ฮับแปรรูป Rare Earths
หากไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยี การสกัดและรีไซเคิลแร่หายากได้เอง จะสามารถก้าวจาก “ผู้ผลิตดิบ” สู่ “ศูนย์กลางการแปรรูปแร่หายากของอาเซียน” ได้อย่างเต็มตัว
ในโลกที่ทุกประเทศกำลังเร่งสร้างเศรษฐกิจพลังงานสะอาด แร่หายากจึงไม่ใช่เพียงทรัพยากรธรรมดา แต่คือ “น้ำมันใหม่” ของศตวรรษที่ 21
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
รู้จัก “ลูกฟิก” หรือ “มะเดื่อฝรั่ง” ผลไม้สุดฮิตของสายเฮลท์ตี้ ลูกเล็กสรรพคุณมหาศาล

ลูกฟิก หรือ มะเดื่อฝรั่ง ผลไม้สุดฮิตของสายเฮลท์ตี้ ต้นกำเนิด สรรพคุณ และวิธีกินให้ได้ประโยชน์
ลูกฟิก (Fig) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า มะเดื่อฝรั่ง คือผลไม้ที่กำลังมาแรงในกลุ่มคนรักสุขภาพทั่วโลก ด้วยรสชาติหวานธรรมชาติ เนื้อสัมผัสนุ่ม และประโยชน์มากมายที่ดีต่อร่างกาย ทั้งยังสามารถรับประทานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะกินสดหรืออบแห้ง จึงกลายเป็นผลไม้ที่ถูกนำมาปรับใช้ในเมนูเพื่อสุขภาพยุคใหม่อย่างแพร่หลาย
ต้นกำเนิดของ ลูกฟิก หรือ มะเดื่อฝรั่ง ผลไม้จากตะวันออกกลาง
มะเดื่อฝรั่ง มีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปี มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลางและแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ตุรกี อิหร่าน และอียิปต์ โดยจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับหม่อนและยางพารา ปัจจุบันมีการปลูกแพร่หลายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีอากาศอบอุ่นเหมาะกับการเพาะปลูก
สรรพคุณของ ลูกฟิก หรือ มะเดื่อฝรั่ง ผลไม้เล็กแต่คุณค่ามหาศาล
1. ช่วยระบบขับถ่าย มะเดื่อฝรั่งเป็นแหล่งของไฟเบอร์ธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในน้ำมะเดื่อฝรั่งมีสารโพลีฟีนอลและฟลาโวนอยด์ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร โรคเบาหวาน และอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก
3. บำรุงหัวใจและลดคอเลสเตอรอล ลูกฟิกช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในร่างกาย ทำให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจทำงานได้ดีขึ้น
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และแร่ธาตุต่างๆ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
5. บำรุงผิวพรรณ ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในมะเดื่อฝรั่ง จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ลดความหมองคล้ำ และทำให้ผิวดูสุขภาพดีจากภายใน

ลูกฟิก หรือ มะเดื่อฝรั่ง กินแบบไหนดี สด หรือ อบแห้ง?
มะเดื่อฝรั่งสามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดและอบแห้ง โดยแต่ละแบบมีข้อดีแตกต่างกันไป
มะเดื่อฝรั่งสด มีน้ำเยอะ รสชาติหวานธรรมชาติ ให้ไฟเบอร์และวิตามินสูง เหมาะกับการกินเป็นของว่างหรือใช้แต่งหน้าขนม
มะเดื่อฝรั่งอบแห้ง – เก็บไว้ได้นานและมีรสเข้มข้นกว่า แต่ควรกินในปริมาณพอเหมาะ เพราะน้ำตาลจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจากการอบแห้ง
วิธีเลือกและเก็บให้อร่อยได้นาน
เวลาซื้อ มะเดื่อฝรั่งสด ควรเลือกผลที่ผิวตึง ไม่ช้ำ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ หากเป็นมะเดื่อฝรั่งอบแห้ง ควรเลือกที่ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มและไม่มีสีเข้มจนเกินไป ส่วนการเก็บรักษา ควรแช่ตู้เย็นในภาชนะปิดสนิท เพื่อคงความสดและรสชาติให้นานที่สุด
มะเดื่อฝรั่ง หรือ ฟิก จึงไม่ใช่แค่ผลไม้เพื่อสุขภาพ แต่ยังเป็นตัวช่วยดูแลร่างกายในหลายด้าน ใครที่อยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างง่ายๆ การเพิ่มมะเดื่อฝรั่งในมื้ออาหารก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีและอร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว
ส่วนทางด้านราคานั้นครึ่งกิโลกรัม ลูกฟิกอบแห้ง ราคาประมาณ 200 บาทขึ้นไป ส่วนราคาของลูกฟิกสด กิโลกรัมละประมาณ 400-600 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 28/10/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 61,500.00 | 61,600.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,976.00 | 60,276.16 | 62,400.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,578.40 | 54,248.54 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,180.80 | 48,220.93 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,789.20 | 27,124.27 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,391.60 | 21,096.66 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,120.21 | 62,462.38 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28/10/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.14 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







