สาระน่ารู้ประจำวันที่ 29 กันยายน 2568

กรีเน่ ไพร์ม เฟสสุดท้าย เจาะกลุ่มผู้ซื้ออยู่อาศัยและนักลงทุน

ปรีดา เรียล เอสเตทผุดกรีเน่ ไพร์ม เดอะ ซานโตรินีเฟสสุดท้าย เจาะกลุ่มผู้ซื้ออยู่อาศัยและนักลงทุน ด้วยจุดขายคอนเซ็ปต์รีสอร์ททำเลใกล้ดอนเมืองในราคาจับต้องได้

ปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปรีดา เรียล เอสเตท จำกัด  กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดคอนโดมิเนียมแนวราบยังคงแข่งขันสูง แต่ความต้องการของผู้บริโภคไม่ได้หายไปโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาทางเลือกในการพักอาศัยใกล้เมือง ในบรรยากาศผ่อนคลาย พร้อมความคุ้มค่าทั้งด้านคุณภาพชีวิต และผลตอบแทนจากการลงทุน

โครงการคอนโดมิเนียมเฟสสุดท้ายภายใต้โครงการใหญ่ “กรีเน่  ดอนเมือง–สรงประภา”จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในย่านสนามบินดอนเมืองบนจุดแข็งที่แตกต่างทั้งด้าน คอนเซ็ปต์ ทำเล และการตลาด

“คอนโดฯ สไตล์รีสอร์ท” บนถนนสรงประภา

“กรีเน่ ไพร์ม เดอะ ซานโตรินี” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ติดถนนสรงประภา ห่างสนามบินดอนเมืองเพียง 5 นาที ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และทางด่วนโทลเวย์ เชื่อมต่อใจกลางเมืองอย่างสะดวก ตัวโครงการพัฒนาในรูปแบบคอนโดโลว์ไรส์สูง 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 344 ยูนิต ภายใต้แนวคิด “365-DAY VACATION IN PARADISE” ถ่ายทอดบรรยากาศแห่งการพักผ่อนสไตล์ซานโตรินี โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสีขาว–ฟ้า พร้อมพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 2 ไร่

และเพื่อดึงดูดกลุ่มนักลงทุน “กรีเน่ ไพร์ม เดอะ ซานโตรินี” ออกโปรโมชั่นครบวงจร แต่งครบ Fully Furnished พร้อมชุดครัว, เฟอร์นิเจอร์, แอร์, Digital Door Lockมีผู้เช่าพร้อมรับ Yield สูงสุด 6% ต่อปีในปีแรกในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาทฟรี! ค่าส่วนกลาง 1 ปี ฟรี! ทุกค่าใช้จ่าย ณ วันโอนรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาททั้งหมดนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขพิเศษสำหรับผู้จองภายในสิ้นเดือนต.ค. 2568

โครงการ กรีเน่ ไพร์ม ดอนเมือง–สรงประภา แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส ภายใต้ธีมรีสอร์ท 3 สไตล์ ได้แก่The Maldives สะท้อนบรรยากาศชายหาดเงียบสงบ,The Miami ถ่ายทอดชีวิตเมืองท่าริมทะเล,The Santorini สไตล์ซานโตรินี เอกลักษณ์จากเกาะแห่งทะเลอีเจียน

ปัจจุบันเฟส 1 ขายหมด (Sold Out)เฟส 2 ขายแล้วกว่า 90%และเฟส 3 หรือ กรีเน่ ไพร์ม เดอะ ซานโตรินี คือเฟสสุดท้าย และได้รับรางวัล Highly Commended: Best Condo Architectural Design จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2023

โครงการพร้อมโอกาสสร้างผลตอบแทน

จากจุดเด่นของโครงการ ทำเลที่ใกล้ศูนย์กลางระบบราง-ทางด่วนไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางกว่า 20 รายการและโครงสร้างราคาที่เอื้อต่อการลงทุนปล่อยเช่า
ทั้งหมดนี้ ทำให้กรีเน่ ไพร์ม เดอะ ซานโตรินี เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจับตาในตลาดอสังหาริมทรัพย์กลุ่มคอนโดฯ พร้อมอยู่

“กรีเน่ ไพร์ม เดอะ ซานโตรินี คือการรวมความลงตัวของดีไซน์ ฟังก์ชัน และทำเลเข้าด้วยกันอย่างสมดุล ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนในทำเลที่กำลังเติบโต”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ตลาดแบรนด์เรสซิเดนซ์โตต่อเนื่อง ไทยติดโผฮับอสังหาฯลักชัวรี

  • ตลาดแบรนด์เรสซิเดนซ์ทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยศูนย์กลางของตลาดกำลังเคลื่อนย้ายจากอเมริกาเหนือมาสู่เอเชียและตะวันออกกลาง
  • ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน “ศูนย์กลางเกิดใหม่” (Emerging Hub) ของตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูที่น่าจับตามองที่สุดในเอเชีย
  • จุดแข็งของไทยคือการพัฒนาโครงการแบบมาสเตอร์แพลนที่ครบวงจร ผสานบริการระดับโรงแรม และตอบรับเทรนด์ใหม่ด้านสุขภาพ (Wellness) และการออกแบบเพื่อความยั่งยืน (Green Design)
  • ปัจจัยด้านทำเล ไลฟ์สไตล์ และนโยบายสนับสนุนวีซ่าระยะยาว ช่วยส่งเสริมให้ไทยเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย

การลงทุนใน “แบรนด์เรสซิเดนซ์” กำลังกลายเป็นกระแสใหม่ที่พลิกภูมิทัศน์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูทั่วโลก จากอดีตที่เคยเป็นเพียงโครงการเฉพาะกลุ่ม วันนี้กำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญ ศูนย์กลางของตลาดไม่ได้หยุดอยู่ที่อเมริกาเหนืออีกต่อไป แต่กำลังเคลื่อนตัวมายังเอเชียและตะวันออกกลาง — โดยมี “ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในทำเลที่ได้รับการจับตา

รายงาน The Residence Report 2025 โดยไนท์แฟรงค์ ชี้ว่าจำนวนโครงการแบรนด์เรสซิเดนซ์ทั่วโลกเติบโตจากเพียง 169 โครงการเมื่อปี 2011 พุ่งขึ้นแตะ 611 โครงการในปัจจุบัน และคาดว่าจะทะยานเกิน 1,000 โครงการภายในปี 2030 สะท้อนความนิยมที่ขยายจากการอยู่อาศัยของคนกลุ่มบนไปสู่การลงทุนเชิงพอร์ตที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ

แม้อเมริกาเหนือยังคงเป็นตลาดใหญ่ แต่สัดส่วนเริ่มลดลง ขณะที่ตะวันออกกลางก้าวขึ้นมาเป็นตัวละครสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบียที่ดึงดูดนักพัฒนาและนักลงทุนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 26% ของโครงการใหม่ ส่วนเอเชีย-แปซิฟิกยังคงเป็นเสาหลักที่ขับเคลื่อนดีมานด์ โดยไทย อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “ศูนย์กลางเกิดใหม่”PlayNextMute

สำหรับประเทศไทย จุดแข็งไม่ได้อยู่ที่ชายหาดสวยหรือแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่คือการพัฒนาในรูปแบบมาสเตอร์แพลนที่ผนวกบริการโรงแรม การจัดการแบบโฮสพิทาลิตี้ และการสร้างคอมมูนิตี้ครบวงจร ซึ่งตอบโจทย์ทั้งกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุนที่มองหากระแสรายได้ประจำ ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายสนับสนุนวีซ่าระยะยาว ก็ช่วยหนุนให้ไทยยิ่งเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ

นายณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดแบรนด์เรสซิเดนซ์ที่น่าจับตามองที่สุดในเอเชีย ได้รับความสนใจจากทั้งนักพัฒนาและนักลงทุน ด้วยศักยภาพทำเล ไลฟ์สไตล์ และจำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบรนด์เรสซิเดนซ์จะช่วยยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัย และตอกย้ำบทบาทของไทยบนเวทีโลก

ทั้งนี้ รายงานยังชี้เทรนด์ใหม่ที่ชัดเจนขึ้นคือ “Wellness & Longevity” และ “Green Design” โครงการยุคใหม่จึงไม่ได้ขายเพียงบ้านหรือคอนโด แต่ขายคุณภาพชีวิตในระยะยาว ตั้งแต่บริการเวลเนส ศูนย์สุขภาพ ไปจนถึงระบบบ้านอัจฉริยะที่ลดการใช้พลังงาน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้ซื้อกลุ่ม UHNWI และนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญ

โดยโอกาสสำหรับนักพัฒนาคือการจับมือกับแบรนด์โรงแรมระดับโลกเพื่อสร้างมูลค่าและเข้าถึงฐานลูกค้าสากล ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญความท้าทาย ทั้งต้นทุนการบริหารที่ซับซ้อน ความเสี่ยงซัพพลายล้นในบางตลาด และปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง

อย่างไรก็ตาม รายงานยังคาดการณ์ความเสี่ยงที่ผู้เกี่ยวข้องต้องระวังอย่างจริงจัง ได้แก่

  • ความซับซ้อนในการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ต้องผสานการบริหารอสังหาและการบริการโรงแรม ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญระยะยาวและต้นทุนการบริหารสูง
  • ความเสี่ยงด้านซัพพลายล้นในบางมาร์เก็ต หากนักพัฒนาขยายโครงการอย่างรวดเร็วโดยไม่สัมพันธ์กับดีมานด์จริงอาจกดดันอัตราเช่าและราคาขาย
  • ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจชะลอการลงทุนได้

ซึ่งสำหรับประเทศไทยแล้ว “หน้าต่างแห่งโอกาส” ยังคงเปิดกว้าง หากสามารถสร้างโครงการที่ผสมผสานแบรนด์ ความเป็นอยู่ และการลงทุนเข้าด้วยกันได้อย่างสมดุล ประเทศไทยอาจก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางแบรนด์เรสซิเดนซ์ของเอเชียในไม่กี่ปีข้างหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29ก.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.23 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด กรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐยังคงออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง อาจหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐต่างปรับตัวสูงขึ้น

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 29ก.ย. 2568  ที่ระดับ  32.23 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.25 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.18-32.27 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์

ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และจังหวะย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม สูงขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 2.7% ตามคาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็ทรงตัวที่ระดับ 2.9% ตามคาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม

นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึง ความวุ่นวายของการเมืองสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นความเสี่ยงการเกิดภาวะ Government Shutdown เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง และเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ต่างออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน พร้อมรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และความเสี่ยง Government Shutdown ของสหรัฐฯ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้จาก ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) จนถึงยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) โดยรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ดังกล่าว

รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) พร้อมทั้ง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดยังมีโอกาสราว 63% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสราว 42% สำหรับการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปี 2026 จบรอบการลดดอกเบี้ยของเฟด

อย่างไรก็ตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังกล่าว อาจถูกเลื่อนการรายงานข้อมูลไปก่อนได้ หากสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown ในวันที่ 1 ตุลาคม โดยหากเกิดภาวะ Government Shutdown ขึ้นจริง

แม้สถิติในอดีตจะชี้ว่า ภาวะดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทว่า อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้พอสมควร

 นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP มากขึ้นกว่าปกติ ที่ผู้เล่นในตลาดมักรอลุ้น รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ทำให้ ต้องจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานดังกล่าว อย่างใกล้ชิด

▪ฝั่งยุโรป – แม้จะมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญไม่มากนัก ทว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนกันยายน ซึ่งจะมีทั้งรายงานดัชนี PMI โดยทางการจีน ที่จะเน้นบริษัทขนาดใหญ่และรัฐวิสหากิจ

รวมถึง ดัชนี PMI โดยทาง RatingDog (เดิม Caixin) ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนสิงหาคม

พร้อมทั้งรอติดตาม รายงานผลสำรวจภาคธุรกิจของญี่ปุ่น โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ Tankan Survey) ในส่วนนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% และ 5.50% ตามลำดับ

 ฝั่งไทย – ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อภาคธุรกิจของไทยอาจถูกสะท้อนให้เห็นชัดเจนมากขึ้น จากรายงาน ดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนกันยายน รวมถึง ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) เดือนสิงหาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามกลยุทธ์ Trend-Following)

อย่างไรก็ดี เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-way risk หรือพร้อมเคลื่อนไหว ได้ทั้งสองทิศทาง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ

อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาดต่อเนื่อง อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งต้องระวังในกรณีที่ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

สวนทางกับการปรับเพิ่มสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) เพราะอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างกลุ่ม CTA ที่เน้นกลยุทธ์ Trend Following ต้องปิดสถานะ Short USD (Stop Loss) และยิ่งหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้

แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจไม่ได้รุนแรงในระยะสั้น ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง อีกทั้งบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้เทขายสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง เหมือนในสัปดาห์ก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน ผ้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 31.80 บาทต่อดอลลาร์ และ 31.50-31.60 บาทต่อดอลลาร์

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์สามารถแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจเร่งขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาด อย่าง กลุ่ม CTA-Trend Following ปรับลดสถานะ Short USD อย่างไรก็ดี ความเสี่ยง Two-way risk ของเงินดอลลาร์ยังคงอยู่ โดยทิศทางของเงินดอลลาร์จะขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดเป็นสำคัญ

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.75-32.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.30 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กล้ามเนื้อกระตุก! “หมิว พรปวีณ์” รีไทร์พ่าย “อัน เซยอง” จอดรอบตัดเชือกโคเรีย โอเพ่น

“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือ 6 ของโลก ต้องถอนตัวจากการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ แบดมินตัน โคเรีย โอเพ่น 2025 หลังมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อกระตุกที่ขาซ้าย ขณะตามหลัง อัน เซยอง มือ 1 โลก ในเกมสอง แม้เกมแรกจะสู้ได้อย่างสูสี

ารแข่งขันแบดมินตันรายการ โคเรีย โอเพ่น 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 475,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,200,000 บาท ที่เมืองชูวอน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันเสาร์ที่ 27 ก.ย.68 ในรอบรองชนะเลิศ

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบรองชนะเลิศ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 3 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ อัน เซยอง มืออันดับ 1 ของโลกจากเกาหลีใต้

เกมแรก หมิว พรปวีณ์ สู้กับ อัน เซยอง ได้อย่างสนุกสูสี ผลัดกันทำแต้มได้ต่อเนื่อง แต่ อัน เซยอง อาศัยจังหวะการเล่นที่แน่นอนกว่าในช่วงท้าย เบียดเอาชนะไปได้ก่อนที่ 21-19 ในเกมที่สอง หมิว พรปวีณ์ เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ขาซ้าย ขณะที่ตามหลังอยู่ 0-8. ทำให้ไม่สามารถแข่งขันต่อได้ ต้องรีไทร์ออกจากการแข่งขันไปที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ปวดท้องรุนแรง ระวัง ‘ถุงน้ำดีอักเสบ’ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน

  • ถุงน้ำดีอักเสบเกิดจากนิ่วไปอุดตัน ทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรงใต้ชายโครงขวา มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน
  • แนวทางการรักษาคือการผ่าตัดส่องกล้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน เพราะหากปล่อยไว้นานการผ่าตัดจะยากขึ้น
  • การผ่าตัดอาจล่าช้าได้จากปัญหาสุขภาพของผู้ป่วยหรือการอักเสบที่นานเกิน 72 ชั่วโมง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยง
  • ผู้ที่เคยมีอาการควรรีบพบแพทย์ทันทีหากกลับมาปวดรุนแรง มีไข้ หรือตัวเหลืองตาเหลือง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย

นพ.ศิรสิทธิ์ เลาหทัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพฯ กล่าวว่า อาการปวดท้องรุนแรงใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียนและมีไข้ สาเหตุอาจเพราะ “นิ่วในถุงน้ำดี” เกิดภาวะ “ถุงน้ำดีอักเสบ” ซึ่งคือน้ำดีที่ตกผลึกจนกลายเป็นก้อนเล็กๆ ไปอุดตันบริเวณคอของถุงน้ำดี  ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อ

แนวทางการรักษาสากล แนะนำให้ผ่าตัดส่องกล้องถุงน้ำดีตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจะเป็นช่วงที่ผ่าตัดได้ไม่ยากมาก ปลอดภัย ลดโอกาสอักเสบซ้ำ และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานานๆ แต่ในหลายกรณีก็มีข้อจำกัด ทั้งระบบการรักษาพยาบาล ตลอดจนความชำนาญของศัลยแพทย์

ในกรณีแรก หากผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคปอดหรือโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ การผ่าตัดถุงน้ำดีโดยทันทีอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการให้ยาฆ่าเชื้อ ต้องเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมก่อนการผ่าตัด

ในกรณีที่สอง เมื่อถุงน้ำดีอักเสบมาแล้วในระยะหนึ่ง (เกิน 72 ชั่วโมง) เนื้อเยื่อรอบ ๆ ถุงน้ำดีจะบวม แข็งตัว และมีเลือดมาเลี้ยงมากกว่าปกติ ทำให้ผ่าตัดได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นต้องให้ยาฆ่าเชื้อเพื่อลดอาการอักเสบ รอให้หายติดเชื้อก่อน 4-6 สัปดาห์ จึงจะได้สามารถผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย แต่ทั้งนี้ขึ้นกับความชำนาญของศัลยแพทย์ด้วยเช่นกัน 

ในกรณีที่สาม ปัจจัยจากข้อจำกัดต่างๆ ของระบบการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐที่จะต้องรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก หากคิวห้องผ่าตัดอาจจะยาว การให้ยาฆ่าเชื้อเพื่อลดอาการอักเสบจึงอาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

“ในผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีในทันที หลายคนจะมีอาการปวดเป็นๆ หายๆ กินอาหารไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียน ต้องเข้าออกโรงพยาบาลหรือสุดท้ายจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน เนื่องจากมีอาการปวดมาก หรือมีอาการอักเสบซ้ำซ้อน”

ดังนั้น การพิจารณาผ่าตัดกับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยจะต้องพิจารณาถึงความปลอดภัย จากทั้งด้านสุขภาพของผู้ป่วยและข้อจำกัดของแต่ละสถานการณ์ สิ่งสำคัญที่สุด หากเคยมีอาการถุงน้ำดีอักเสบแล้ว ควรเฝ้าระวังอาการปวดรุนแรง มีไข้ หรือตัวเหลือง ตาเหลือง เมื่อมีอาหารเหล่านี้ต้องไปโรงพยาบาลโดยด่วน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้ทำให้การผ่าตัดจะยากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คาดใช้จ่าย AI ทั่วโลก พุ่งแตะ 51 ล้านล้านบาท หนุนลงทุนไอทีโต 

คาดใช้จ่าย AI ทั่วโลก พุ่งแตะ 51 ล้านล้านบาท หนุนลงทุนไอทีโต 

  • การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 51 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2568 และอาจทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 68 ล้านล้านบาท) ในปี 2569
  • แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไอทีเพื่อรองรับ AI ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ เช่น GPU
  • การเติบโตของการลงทุนครอบคลุมถึงอุปกรณ์สำหรับผู้ใช้ปลายทาง เช่น สมาร์ทโฟน Gen AI และ AI PC ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

การ์ทเนอร์ (Gartner) เปิดเผยว่า ปี 2568 ปริมาณการใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 51 ล้านล้านบาท) โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความต้องการ AI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไอทีเพื่อรองรับการเติบโต

นาย จอห์น-เดวิด เลิฟล็อค (John-David Lovelock) รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า “การคาดการณ์นี้อ้างอิงจากการลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่อง ตามที่ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ (Hyperscalers) ยังคงทุ่มงบในศูนย์ข้อมูลที่ติดตั้ง ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่ปรับแต่งเพื่อรองรับ AI ในการขยายบริการของตน”

เขาระบุเพิ่มเติมว่า ภูมิทัศน์การลงทุน AI ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ยังรวมถึงผู้เล่นจากจีนและผู้ให้บริการ AI คลาวด์รายใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาในตลาด ขณะเดียวกัน การลงทุนจากกลุ่มบริษัทร่วมทุน (VC) ในผู้ให้บริการ AI ก็เป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลก

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 มูลค่าการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกจะสูงทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 68 ล้านล้านบาท) โดยมีแรงหนุนหลักจากการนำ AI ไปผนวกรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน พีซี และโครงสร้างพื้นฐาน

การลงทุนด้าน AI เร่งตัวทุกกลุ่มตลาด

ปี 2567 การใช้จ่ายรวมด้าน AI อยู่ที่ 987.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33.6 ล้านล้านบาท) แบ่งเป็น บริการ AI มูลค่า 259.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.82 ล้านล้านบาท) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ AI มูลค่า 83.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.84 ล้านล้านบาท) และซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า 56.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.93 ล้านล้านบาท) ขณะที่มูลค่าโมเดล Generative AI (Gen AI) อยู่ที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 193.8 พันล้านบาท)

ในปี 2568 การใช้จ่ายด้าน AI คาดว่าจะพุ่งแตะ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 51 ล้านล้านบาท) โดยบริการ AI จะขยับขึ้นเป็น 282.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.61 ล้านล้านบาท) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ AI เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 172.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.84 ล้านล้านบาท) ซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐาน AI ขยายเป็น 126.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.29 ล้านล้านบาท) และโมเดล Gen AI เติบโตเป็น 14.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 482.8 พันล้านบาท)

ปี 2569 ตลาด AI จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่ารวมคาดว่าจะทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 68 ล้านล้านบาท) แบ่งเป็น บริการ AI มูลค่า 324.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11.04 ล้านล้านบาท) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ AI มูลค่า 269.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.17 ล้านล้านบาท) และซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐาน AI พุ่งขึ้นถึง 229.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.81 ล้านล้านบาท) ขณะที่มูลค่าโมเดล Gen AI จะเร่งตัวสู่ 25.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 877.2 พันล้านบาท)

โครงสร้างพื้นฐาน-ฮาร์ดแวร์หนุนตลาดโต

เซิร์ฟเวอร์ที่ปรับแต่งสำหรับ AI รวมทั้ง GPU และตัวเร่ง AI อื่นๆ มีแนวโน้มโตแรงจาก 140.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.76 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 267.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.09 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 และ 329.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11.21 ล้านล้านบาท) ในปี 2569 บริการ IaaS ที่ออกแบบเพื่อ AI จะขยายจาก 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 251.6 พันล้านบาท) ในปี 2567 ไปสู่ 18.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 622.2 พันล้านบาท) ในปี 2568 และ 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.27 ล้านล้านบาท) ในปี 2569

ตลาดเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์ผู้ใช้

เซมิคอนดักเตอร์เพื่อการประมวลผล AI จะเพิ่มจาก 138.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.72 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 209.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 และแตะ 267.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.11 ล้านล้านบาท) ในปี 2569 AI PCs (ทั้ง ARM และ x86) จะขยายตัวจาก 51.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.73 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 90.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.07 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 และ 144.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.91 ล้านล้านบาท) ในปี 2569

สมาร์ทโฟน Gen AI จะกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยมีมูลค่าจาก 244.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.32 ล้านล้านบาท) ในปี 2567 พุ่งแตะ 298.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 10.14 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 และทะยานสู่ 393.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13.37 ล้านล้านบาท) ในปี 2569

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไขข้อสงสัย Preposition of time คำบุพบทบอกเวลา เข้าใจง่ายใช้ได้จริง!

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ เคยมีช่วงไหนหรือไม่ที่เพื่อน ๆ สับสนในเรื่องต่อไปนี้ บอกวันเดือนปีของเหตุการณ์จะใช้ in หรือ on? เมื่อต้องการพูดถึงช่วงเวลาของเหตุการณ์ ควรใช้ for หรือ since? และยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้าลักษณะนี้ หากเพื่อน ๆ คือหนึ่งในคนที่สับสนเรื่องการพูดถึงเวลา ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะมีอีกหลายคนที่สับสนเช่นกัน เราเรียกสิ่งที่กำลังพูดถึงว่า คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ตัวหลักที่ต้องใช้ให้เป็นคือ in, on, และ at ซึ่งในวันนี้เราจะมาอธิบายหลักการใช้สามคำนี้แบบเข้าใจง่าย รวมถึงบุพบทอื่นเกี่ยวกับเวลา พร้อมด้วยตัวอย่างที่นำไปใช้ได้จริง

in, on, at ใช้ต่างกันอย่างไร

สามคำนี้ หากนำไปใช้พูดถึงสถานที่และตำแหน่งของสิ่งของ เราเชื่อว่าคน เรียนภาษาอังกฤษ ที่สับสนคงมีไม่มาก แต่เมื่อพูดถึงเวลา คงทำให้คน เรียนภาษาอังกฤษ จำนวนมากสับสน หากถามว่าจำเป็นต้องใช้ให้ถูกหรือเปล่า คำตอบก็คือควรใช้ให้ถูก เพราะการใช้ผิดสามารถทำให้ประโยคฟังดูแปลก หรือสื่อความหมายผิดได้

  1. in ใช้กับช่วงเวลาที่ยาวหรือไม่เฉพาะเจาะจง โดยจะใช้พูดถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างกว้าง เช่น ปี เดือน ฤดูกาล หรือช่วงเวลาในแต่ละวัน เช่น

– in 2025 (ปี)

– in June (เดือน)

– in the morning / in the afternoon / in the evening (ช่วงเวลาของวัน) โดยจะยกเว้นช่วงกลางคืนซึ่งจะใช้ at night

– in winter (ฤดูกาล)

– in the 1990s (ทศวรรษที่ 1990)

– in the 20th century (ศตวรรษที่ 20)

หลักการจำ: หากเรากำลังพูดถึงช่วงเวลากว้าง ๆ โดยไม่เจาะจงเวลาที่แน่นอน ให้ใช้ in เช่น

My sister starts school in August.

(น้องสาวของฉันเริ่มเรียนในเดือนสิงหาคม)

  1. on ใช้กับวันและการระบุวันที่แบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงสิ่งที่เราระบุชัดลงไปได้ เช่น วันหยุดต่าง ๆ ในปฏิทินหรือวันในแต่ละสัปดาห์ เช่น

– on Monday

– on 1st June

– on New Year’s Day

– on my birthday

หลักการจำ: หากรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไรในสัปดาห์หรือระบุวันที่ลงไปได้แน่นอน ให้ใช้ on เช่น

Valentine’s Day is on February 14.

(วันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์)

  1. at ใช้กับการพูดถึงเวลาแบบเฉพาะเจาะจง หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น

– at 7 a.m.

– at noon

– at night

– at midnight

– at lunchtime (ตอนมื้อเที่ยง)

หลักการจำ: หากระบุเวลาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้ at เช่น

Let’s meet at noon.

(งั้นเจอกันตอนเที่ยงนะ) หากเปลี่ยนช่วงเวลาในประโยคนี้เป็น in the afternoon เราจะเห็นได้เลยว่าช่วงเวลามีความเฉพาะเจาะจงแตกต่างกัน

คำบุพบทบอกเวลา อื่น ๆ ที่พบบ่อย 

ในการ เรียนภาษาอังกฤษ คำบุพบทบอกเวลา หรือ Preposition of time ไม่ได้มีเพียง in, on และ at เท่านั้น แต่ยังมีตัวอื่นอีก ซึ่งบางตัวก็อาจทำให้สับสนได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือบุพบทบอกเวลาที่พบได้ในการ เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน

  1. by หมายถึง “ไม่เกิน” หรือก่อนถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง ใช้เมื่อพูดถึงจุดสิ้นสุดของเวลา เช่น

I’ll finish the report by Monday.

(ฉันจะทำรายงานให้เสร็จภายในวันจันทร์)

  1. for และ since

นี่คืออีกหนึ่งคู่ preposition of time ซึ่งหลายคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มักจะสับสน โดย for ใช้บอกระยะเวลา ส่วน since หมายถึง “ตั้งแต่” ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลา สังเกตได้จากสองตัวอย่างต่อไปนี้

– I have lived here for 15 years.

(ผมอยู่ที่นี่มา 15 ปีแล้ว)

– I have lived here since 2010.

(ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)

  1. before กับ after หมายถึง “ก่อน” และ “หลัง” เช่น

– I had lunch before the meeting.

(ฉันกินมื้อเที่ยงก่อนเข้าประชุม)

– Let’s go out after dinner.

(หลังมื้อเย็นแล้ว ออกไปข้างนอกกันนะ)

  1. from … to … ใช้บอกเวลาจากช่วงหนึ่งไปถึงอีกช่วงหนึ่ง แม้ว่า เรียนภาษาอังกฤษ ในระดับเริ่มต้นอาจยังไม่เจอบุพบทตัวนี้ แต่ถือว่าเป็นคำที่มีความจำเป็นมาก เพราะใช้กับการพูดในชีวิตประจำวัน เช่น

The store is open from 8 A.M. to 6 P.M.

(ร้านเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


“นมถั่วเหลือง” กับประโยชน์และข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนดื่ม

นมถั่วเหลือง เป็นนมที่ทำจากถั่วเหลืองบดและต้ม กรองเอาเฉพาะน้ำนม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งวิตามินเอ บี ดี และแร่ธาตุอย่างแคลเซียม นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่ผู้ที่แพ้แลคโตสในนมวัว หรือกินเจ มังสวรัติ สามารถดื่มนมถั่วเหลืองแทนได้

นมถั่วเหลือง ทำจากอะไร

นมถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากถั่วเหลือง โดยผ่านกระบวนการบดและต้มกรองเอาเฉพาะน้ำ เมื่อได้นมถั่วเหลืองแล้วอาจจะปรุงรสชาติเพิ่มด้วยน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ รวมถึงอาจเพิ่มคุณประโยชน์ต่างๆ ด้วยการใส่ลูกเดือย ถั่วแดง ธัญพืชอื่นๆ ในนมถั่วเหลือง

คุณค่าทางโภชนาการของนมถั่วเหลือง

  • โปรตีน 7 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
  • ไขมัน 4 กรัม
  • ไฟเบอร์ 2 กรัม
  • น้ำตาล 1 กรัม
  • ไขมันอิ่มตัว 5 กรัม

5 ประโยชน์ดีๆ จากนมถั่วเหลือง

  1. นมถั่วเหลือง โปรตีนทดแทนสำหรับคนไม่ดื่มนมวัว

โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย และเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ในคนที่แพ้แลคโตสในนมวัว หรือคนที่รับประทานมังสวิรัติ หรือกินเจ ก็สามารถทดแทนโปรตีนที่น้อยลงได้ด้วยการดื่มนมถั่วเหลือง

  1. นมถั่วเหลือง แหล่งแคลเซียมชั้นดี

นมถั่วเหลือง ก็เหมือนกับนมทั่วไปที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก กระดูกเปราะบาง และโรคกระดูกพรุนได้

  1. นมถั่วเหลือง ลดคอเลสเตอรอลหรือไขมันในร่างกาย

ถั่วเหลืองมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวและโปรตีนที่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (LDL Cholesterol) และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ที่อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง

  1. นมถั่วเหลือง ลดอาการวัยหมดประจำเดือน

นมถั่วเหลืองมีไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ซึ่งเป็นสารอาหารจากพืชที่อยู่ในกลุ่มไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง การผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน ดังนั้น การรับประทานนมถั่วเหลืองอาจช่วยลดอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือน เช่น อาการร้อนวูบวาบ (Hot Flush)

  1. นมถั่วเหลือง บำรุงสมอง

นมถั่วเหลืองมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง รวมถึงโอเมก้า 3 อาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์

ข้อควรระวังในการดื่มนมถั่วเหลือง

  • ผู้ที่แพ้ถั่ว ไม่ควรดื่มนมถั่วเหลือง
  • ผู้ป่วยเบาหวาน ควรสังเกตปริมาณน้ำตาลข้างฉลากโภชนาการก่อนดื่ม เพราะในนมถั่วเหลืองบางยี่ห้อ หรือบางสูตร อาจใส่น้ำตาลเพิ่ม
  • หญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรดื่มนมถั่วเหลืองมากจนเกินไป หรือดื่มแทนเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เพราะอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้
  • เด็ก และทารก สามารถดื่มนมถั่วเหลืองได้บ้าง แต่ไม่ควรให้ดื่มแทนนมผงสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพราะในนมถั่วเหลืองอาจมีสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กเล็กไม่เพียงพอ
  • อาจเสี่ยงนิ่วในไต เพราะถั่วเหลืองมีสารออกซาเลต (Oxalate) ที่เป็นสารยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุ รวมถึงยังเป็นสารส่วนประกอบของนิ่ว อาจก่อให้เกิดนิ่วในไตได้
  • อาจเสี่ยงไฮโปไทรอยด์ นมถั่วเหลืองอาจไปรบกวนการดูดซึมตัวยาเลโวไทรอกซีน (Levothyroxine) ที่ใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยภาวะขาดไทรอยด์ อย่างไรก็ตาม สามารถกินดื่มนมถั่วเหลืองได้ แต่ควรดื่มห่างจากการรับประทานยาไทรอยด์ 4 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/09/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a57,800.0057,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,736.0056,637.7658,700.00
ทองรูปพรรณ 90%3,362.4050,973.98n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,988.8045,310.21n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,681.2025,486.99n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,307.6019,823.22n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,871.5058,691.94n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/09/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.6532.6533.1532.6532.6532.6532.6532.6532.65
แก๊สโซฮอล์ 9132.2832.2832.7832.2832.2832.2832.2832.2832.28
แก๊สโซฮอล์ E2030.4430.4430.9430.4430.4430.4430.4430.44
แก๊สโซฮอล์ E8528.3928.3928.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม40.8449.8449.8440.84
เบนซิน 9540.9449.8141.4441.0940.94
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55


 

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า