แสนสิริ ขยายลักซ์ชัวรี – ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่ง SANSIRI 10 EAST มูลค่า 1.8 หมื่นล้าน
แสนสิริ ขยายโครงการอสังหาฯ ครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาสที่สี่ ส่งลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้ โครงการใหม่ “SANSIRI 10 EAST” เจาะทำเลทองย่านบางนา พื้นที่ 165 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 18,000 ล้านบาท วางราคาบ้านตั้งแต่ 25-500 ล้านบาท ชี้ย่านบางนา ขึ้นแท่นสู่ ซีบีดีแห่งใหม่
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 แสนสิริพร้อมเดินหน้ารุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างหนัก สู่การขยายโครงการ ลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้ใหม่ กับ “SANSIRI 10 EAST” หรือ แสนสิริ เท็น อีสต์ มูลค่า 18,000 ล้านบาท อยู่ในทำเลบางนา กม.10 ติดถนนบางนา พื้นที่โครงการรวม 165 ไร่
สำหรับ “SANSIRI 10 EAST” วางรูปแบบให้เป็นลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้ โดยมีแบรนด์โครงการระดับลักซ์ชัวรี และซูเปอร์ลักซ์ชัวรีจาก 4 แบรนด์ที่เตรียมเปิดตัว ประกอบด้วย “บ้านแสนสิริ, สิริณสิริ, นาราสิริ และเศรษฐสิริ” กำหนดราคาตั้งแต่ 25-500 ล้านบาท
ทั้งนี้โครงการแรกที่เปิดตัวกับ “เศรษฐสิริ” บางนา กม.10” เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ British Georgian จำนวน 71 ยูนิต ระดับราคา 25 – 40 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 27 ไร่ มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท
ต่อมา “นาราสิริ” แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี มาสเตอร์พีซของการอยู่อาศัยระดับเวิลด์คลาส พื้นที่โครงการ 38 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวไตรมาสแรกของปี 2568
พร้อมด้วย 2 โครงการ “บ้านแสนสิริ” โครงการบ้านเดี่ยวระดับแฟลกชิปซูเปอร์ลักซ์ชัวรีของแสนสิริ และ “สิริณสิริ” แบรนด์ใหม่ของบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรีของแสนสิริ ที่เตรียมเปิดตัวในทำเลนี้ครั้งแรก จะทยอยเปิดตัวในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้
สำหรับความโดดเด่นโครงการแห่งนี้ นับเป็นที่ดินที่หายากมาก เนื่องจากมีโครงการติดถนนใหญ่ บางนา กม.10 รวมถึงการออกแบบพื้นที่ให้มีขนาดของบ้านใหญ่มากขึ้น การออกแบบพื้นที่รองรับการใช้ชีวิตของลูกค้า พร้อมพื้นที่ส่วนกลาง
พร้อมมีการยกระดับบริการผ่านแสนสิริ เซอร์วิส รูปแบบใหม่ “SANSIRI LUXURY SERVICE” จากทีมพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบริการระดับลักซ์ชัวรี และไลฟ์สไตล์ รองรับการอยู่อาศัยในโครงการแนวราบระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีของแสนสิริในโปรเจกต์ SANSIRI 10 EAST
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินศักยภาพของย่านบางนามีสูงมาก โดยภาพรวมราคาที่ดิน บางนา-ตราด ใกล้กับสุวรรณภูมิ มีราคาเฉลี่ยที่ 1.70 แสนบาทต่อตารางวา และมีราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ใน กทม. และปริมณฑล ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีก่อน เพิ่มขึ้นถึง 53.1% จึงเป็นถือเป็นย่านทำเลทองที่สำคัญ รวมถึงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ทำเลย่านนี้ราคาเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
ทางด้านประชากรในย่านบางนา มีประมาณ 1.2 ล้านคน โดยมีจำนวนครัวเรือนสูงถึง 1.8 แสนครัวเรือน มีโรงพยาบาล 11 แห่ง พร้อมมีออฟฟิศเกรดเอ รวม 7 แห่ง มีโรงงาน 1,066 แห่ง มีโรงเรียน และมหาวิทยาลัยรวม 107 แห่ง มีจำนวนนักเรียนถึง 8.8 หมื่นคน อีกทั้งทำเล บางนา กม.10 ที่เชื่อมต่อทั้ง พื้นที่ใจกลางเมืองอย่างสะดวกในเวลาเพียง 30 นาที รวมถึงเชื่อมต่อกับ อีอีซี ทั้งหมด ทำให้ย่านบางนา กำลังเป็นย่านซีบีดีแห่งใหม่ที่สำคัญของ กทม. โดยเฉพาะฝั่งตะวันออก
“กลุ่มลูกค้าระดับบน เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ สะท้อนจากมีความสนใจเลือกซื้อบ้าน ทั้งเลือกซื้ออยู่อาศัยเอง และลงทุนปล่อยให้เช่าด้วย”
อย่างไรก็ตาม โครงการแรก “เศรษฐสิริ” บางนา กม.10” พร้อมเปิดตัวโครงการในวันที่ 9 – 10 พ.ย.2567 นี้
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
กรีนออฟฟิศ เติบโตแรง ต่างชาติเลือกเช่าหนุนESG
กรีนออฟฟิศ เติบโตแรง ต่างชาติเลือกเช่าหนุนESG
กรีนออฟฟิศ เติบโตแรง ต่างชาติ เลือกเช่าหนุน ESG โฟกัสความ ต้องการสำนักงานคุณภาพดีและทันสมัย Grade A และ A+ ในทำเลย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
วิจัยกรุงศรีได้ประเมินแนวโน้มธุรกิจสำนักงานให้เช่าในปี 2568-2569 จะกระเตื้องขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวราว 3-4% โดยคาดว่าบริษัทหลายแห่งจะใช้นโยบาย
การทำงานแบบผสมผสานระหว่างการใช้พื้นที่สำนักงานแบบเดิมควบคู่ไปกับการทำงานนอกพื้นที่สำนักงานที่มีความยืดหยุ่นกับการทำงานระยะไกล หรือ Hybrid workplace
ทั้งนี้ ความต้องการเช่าพื้นที่มีแนวโน้มขยายตัว 1.0-2.0% ต่อปี (ปี 2558-2562 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5% ต่อปี) จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะหนุนให้ภาคธุรกิจขยายการจ้างงานโดยเฉพาะธุรกิจบริการ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซ
รวมถึงอุปสงค์จากผู้เช่าต่างชาติ (สัดส่วน 60% ของผู้เช่าทั้งหมด) ที่ต้องการสำนักงานคุณภาพดีและทันสมัย Grade A และ A+ ในทำเลย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมืองกรุงเทพฯ (Central Business District: CBD) ได้แก่ ย่านสีลม สาทร เพลินจิต วิทยุ และสุขุมวิทตอนต้น-สุขุมวิท 24
โดยผู้เช่าอาคารมักพิจารณาย้ายไปตึกใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกดีขึ้น เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบลิฟท์ และใกล้รถไฟฟ้า โดยเฉพาะอาคารใหม่ที่เป็น Green office ซึ่งมีการก่อสร้างด้วยมาตรฐานระดับโลกหรือได้ใบรับรอง (เช่น ด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ด้านสุขอนามัย หรือด้านการเชื่อมต่อระบบดิจิทัล) ซึ่งจะทำให้ผู้เช่าบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทได้เร็วขึ้น
ตลอดจนอาคารที่มีการส่งเสริม “Well-being” ที่เน้นด้านสุขภาพ (เช่น มีพื้นที่สีเขียว หรือที่ให้ออกกำลังกาย) โดยผลสำรวจจากบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย (JLL) พบว่า 96% ของผู้ใช้งานอาคารสำนักงานในไทยต้องการให้สินค้าและบริการของตนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบ 100% ภายในปี 2573 เทียบกับ 17% ในปี 2567 โดย ESG (Environmental, Social และ Governance) มีความสำคัญเป็นอันดับแรกในการตัดสินใจเช่าอาคารสำนักงาน
“Green Office จะเป็น Segment ที่ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นจากการดึงดูดผู้เช่าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทต่างชาติที่ต้องการเสริมภาพลักษณ์ที่สอดคล้องกับกระแส ESG โดยเฉพาะอาคารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก อาทิ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) มาตรฐาน WELL Building Standard และ EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) เนื่องจากสะท้อนถึงความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ยั่งยืน”
ข้อมูลจากบริษัทโจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย (JLL) ระบุว่าปี 2567 มีอาคารเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Metropolitan Region: BMR)ได้รับการรับรองมาตรฐานการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมรวม 3.4 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 1.7 ล้านตารางเมตรในช่วงก่อน COVID-19 (ปี 2562)
ขณะที่อุปทานสำนักงานให้เช่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5%-2.0% ต่อปี หลังทยอยเข้าสู่ตลาดจำนวมากในปี 2566 และ 2567 ประมาณ 80% ของพื้นที่สำนักงานที่สร้างเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2568 และ 2569 จะอยู่ในอาคาร Grade A และ A+ ที่มีมาตรฐานอาคารเขียวรองรับ JLL ระบุว่าอาคารเขียวจะประหยัดต้นทุนได้ 6% ของรายได้ต่อปีเมื่อเทียบกับอาคารสำนักงานปกติ
จากการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและการลดของเสีย) และตั้งอยู่ในโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ อาทิ อาคารวัน แบงค็อก เอแพค ทาวเวอร์ อาคารคราวน์ 11 และอาคารเซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส
ทั้งนี้ อาคารคุณภาพดีจำนวนมากที่จะเข้าสู่ตลาด ทำให้การแข่งขันของธุรกิจสำนักงานให้เช่าทวีความรุนแรงขึ้น และจะสร้างแรงกดดันแก่อาคารที่มีอายุมาก (อาคารสำนักงานที่อายุมากกว่า 20 ปี มีมากกว่า 60% ของอุปทานสำนักงานทั้งหมด) ต้องเร่งปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มมูลค่า และรักษาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ผู้เช่าจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้นจากตัวเลือกพื้นที่สำนักงานที่เพิ่มขึ้น หรือมีโอกาสได้รับเงื่อนไขที่ดีขึ้นจากเจ้าของอาคาร
ดังนั้น ความท้าทายที่ธุรกิจสำนักงานให้เช่าต้องปรับตัวในระยะอันใกล้นี้ ได้แก่ การแข่งขันมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากแผนการลงทุนอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้นถึง 1.4 เท่าในช่วงปี 2567-2569 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางอุปสงค์ฟื้นตัวช้า ทำให้การปรับขึ้นค่าเช่าทำได้จำกัด และอาคารสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติ เช่น มาตรฐานอาคารสีเขียวจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น
สำหรับผู้เช่าที่กำหนดเป้าหมายการเสริมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ ทำให้มีภาระต้นทุนที่มากกว่าการพัฒนาอาคารทั่วไปเฉลี่ย 15-20% และการปรับเปลี่ยนและบริหารจัดการพื้นที่สำนักงานในรูปแบบพื้นที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่น(Flexible Space) ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในไทยและ ต่างประเทศ ทำให้เจ้าของอาคารมีภาระต้นทุนการดำเนินการเพิ่มขึ้น
นอกจาก อาคารเขียว ของวัน แบงค็อกแล้ว ยังมีกลุ่มของสยามกลการ ผู้เล่นหน้าใหม่ บุก อาคารสำนักงานอัจฉริยะสีเขียวกลางกรุง “สยามปทุมวัน เฮ้าส์”มูลค่า 3,500ล้านบาท ที่ประเมินว่า การขยายตัวของนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาในไทยจำนวนมาก ขณะเดียวกัน กลุ่มนักธุรกิจไทยรวมถึงคนรุ่นใหม่ต้องการอาคารสำนักงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมองเห็นโอกาสน่านน้ำใหม่ในการขยายธุรกิจสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ขณะการประเมินของบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในย่านพระราม 4 มองว่า เป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพ ถือเป็นย่านที่เชื่อมต่อระหว่างย่านธุรกิจที่สำคัญหลายย่าน ได้แก่ สาทร ลุมพินี และสุขุมวิท ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ
และเป็นทำเลที่มีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เช่น สวนเบญจกิติ สวนลุมพินี ซึ่งในอนาคตจะมี Sky Walk โครงการ Bangkok Super Connector เชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวให้เป็นพื้นที่สาธารณะแห่งใหม่ของกรุงเทพฯส่งผลทำให้เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาอาคารสำนักงานแห่งใหม่หลายอาคาร
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ต.ค. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 33.66 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ วันนี้ คาดว่ากรอบจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ต.ค.2567ที่ระดับ 33.66 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.77 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมาได้ทำให้เงินบาทมีโอกาสชะลอการอ่อนค่าลงบ้าง
และเงินบาทก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเงินบาทยังคงมีโซนแนวต้านแถว 33.85 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 33.65 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับถัดไปแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์
เราประเมินว่า แม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งก็อาจยังไม่เห็นการปรับฐานของราคาทองคำที่ชัดเจน ต่อเนื่องและรุนแรง จนกว่าตลาดจะรับรู้ทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลตลาดแรงงาน และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ทว่า ควรระวังความผันผวนของราคาทองคำ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาท ดังจะเห็นในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำก็มีจังหวะย่อตัวลงพอสมควร ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นกลับสู่ระดับก่อนย่อตัวลงได้ ทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร
นอกจากนี้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังมีโอกาสทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม อีกทั้ง ในช่วงนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดอย่างฝั่งผู้นำเข้าต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์
ในจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้นบ้าง และที่สำคัญ เงินดอลลาร์ก็พร้อมจะกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกได้ ตามการเพิ่มสถานะของผู้เล่นในตลาดให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังเสี่ยงเผชิญความผันผวนแบบ Two-Way Volatility ซึ่งจะขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้
ซึ่งเราขอย้ำว่า ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อาจมีความผันผวนและอาจเห็นภาพการจ้างงานที่ลดลงพอสมควรจากเดือนกันยายน ได้ เนื่องจากผลกระทบของทั้งพายุเฮอริเคนและการประท้วงหยุดงาน
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.55-33.80 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.65-33.80 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำจนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High)
นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน โดยยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ลดลงสู่ระดับ 7.44 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าคาด ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) พุ่งขึ้นสู่ระดับ 108.7 จุด ดีกว่าคาดไปมาก
ทำให้เงินดอลลาร์ไม่สามารถปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ ก่อนจะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ชะลอลงแถวโซนแนวรับ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน
รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบจากผู้เล่นในตลาด หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงระยะสั้น จากความกังวลผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางต่ออุปทานน้ำมันดิบที่ทยอยคลี่คลายลง
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มีจังหวะปรับตัวขึ้นสู่โซน 4.30% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากความหวังต่อรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่
อาทิ Alphabet +1.8% (ซึ่งภายหลัง Alphabet ก็รายงานผลประกอบการที่สดใส หนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอีก +5.8%) ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.78% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.16%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.57% หลังรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาน่าผิดหวัง อาทิ BP -5.0% (หุ้นกลุ่มพลังงาน ยังเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้) Novartis -4.1% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ส่วนใหญ่ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังผลประกอบการที่สดใสของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ
ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน รวมถึงความต้องการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ก็มีส่วนทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.30% ไปได้ไกล ก่อนที่จะทยอยปรับตัวลดลงสู่โซน 4.25%
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง ซึ่งจะขึ้นกับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ทำให้เรายังคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงแรก หนุนโดยการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินยูโร (EUR) ที่เผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นยุโรป เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงเกือบถึงโซน 154 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
และญี่ปุ่นที่กว้างขึ้น ก่อนที่เงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็ทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ออกมาบ้าง ทำโดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.2-104.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แต่ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ สู่โซน 2,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงาน คาดการณ์ครั้งแรกของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 รวมถึงรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนและการประท้วงหยุดงานในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้ยอดการจ้างงานภาคเอกชนมีโอกาสลดลงต่ำกว่าระดับ 1 แสนราย ได้ ลดลงจากยอดการจ้างงานในเดือนกันยายน +1.4 แสนราย พอสมควร
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 3 เช่นกัน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ย ECB
และในฝั่งไทย เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ผ่านงานสัมนา Monetary Policy Forum ซึ่งทาง BOT อาจมีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจและการตัดสินใจลดดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Microsoft และ Meta ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.66-33.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.57 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่แรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลง หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวที่รายงานเมื่อคืนที่ผ่านมา มีทิศทางปะปน โดยแม้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนต.ค. จะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด
แต่ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานกลับปรับตัวลดลง 418,000 ตำแหน่ง ไปที่ระดับ 7.443 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. (ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2564 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่ 8.0 ล้านตำแหน่ง) นอกจากนี้ เงินบาทยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.55-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินในภูมิภาค สถานการณ์ในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง ปธน. ของสหรัฐฯ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 ของยูโรโซน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนก.ย. และจีดีพีไตรมาส 3/2567
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ปวดไหล่-ยกแขนขึ้นไม่สุด” สัญญาณอันตราย “กระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่”
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น มักเกิดปัญหาเกี่ยวกับข้อตามมา ร่างกายเกิดความเสื่อม หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นกับข้อ เช่น ข้อแตก ข้อหัก ร่างกายจะดึงแคลเซียมออกมาเพื่อไปซ่อมแซมกระดูกส่วนที่เสื่อมนั้น อาทิ บริเวณข้อต่างๆ รวมถึงข้อไหล่ จนเกิดเป็นหินปูนหรือแคลเซียมเกาะกระดูก ส่งผลให้กลายเป็นกระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่ ทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน ซึ่งหากมีความผิดปกตินี้เกิดขึ้นที่บริเวณข้อไหล่ อย่าวางใจปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันลำบากมากขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อเร่งรักษา
สาเหตุของอาการปวดไหล่
น.ท.นพ.พรเทพ ม้ามณี ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องข้อเข่าและข้อไหล่ และแพทย์เวชศาสตร์การกีฬา ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกาย (BASEM) โรงพยาบาลกรุงเทพ หรือศูนย์เพื่อความเป็นเลิศทางการแพทย์ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) หรือ FIFA MEDICAL CENTRE OF EXCELLENCE กล่าวเบื้องต้นว่า อาการปวดไหล่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- ปัญหาโครงสร้างของข้อไหล่เอง หรือจากภาวะข้อไหล่ไม่มั่นคง (Instability pain)
- อาการปวดต่างที่ (Referred pain) เช่น จากกระดูกต้นคอ ทรวงอก หรือในช่องท้อง ซึ่งอาการปวดในแต่ละโรคอาจเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้
- ข้อไหล่ติด (Frozen shoulder) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดไหล่
- ข้อไหล่หลุด (Shoulder instability)
- ข้ออักเสบ (Arthritis)
- ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก (Rotator cuff tear)
- กระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่ (Impingement syndrome)
กระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่
โรคกระดูกงอก สามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ เมื่อกระดูกเกิดความเสื่อม แตก หัก ซึ่งร่างกายจะนำแคลเซียมไปซ่อมแซมและทำให้กระดูกนั้นๆ เกิดเป็นแคลเซียมที่ผิดธรรมชาติ ที่เรียกว่ากระดูกงอก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับกระดูกทุกส่วนในร่างกาย
สาเหตุของอาการกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่
กระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่ (Impingement syndrome) และภาวะหินปูนเกาะเส้นเอ็น (Calcific Tendonitis) สาเหตุเกิดได้จาก
- ความเสื่อมของร่างกายและข้อไหล่ เนื่องจากเมื่อสูงอายุร่างกายจะเกิดความเสื่อมรวมถึงกระดูกที่มีโอกาสเกิดการสึกหรอ ร่างกายสร้างหินปูนขึ้นมาจับและพอกขึ้นจนเป็นกระดูกงอก โดยหินปูนจะงอกออกมาจากกระดูกปกติ แล้วมากดเบียดเส้นเอ็นที่อยู่ด้านล่างของกระดูก ซึ่งพบมากในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป
- สาเหตุจากการใช้งาน เช่น การทำงานที่ส่งผลกระทบต่อข้อไหล่มาก ๆ จนทำให้เอ็นที่เกาะกล้ามเนื้อฉีกขาดและไม่ได้รับการรักษา ร่างกายจึงพยายามสร้างหินปูนมาเชื่อมบริเวณที่บาดเจ็บ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และการเล่นกีฬาที่ต้องใช้ข้อไหล่มาก ๆ เช่น การเล่นเวท เทนนิส แบดมินตัน เป็นต้น
ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก
ภาวะเส้นเอ็นหัวไหล่ฉีก (Rotator cuff tear) เกิดจากการเสียดสีกันระหว่างเส้นเอ็นหุ้มข้อไหล่กับปลายกระดูกสะบัก ขณะที่ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะบ่อย ๆ จึงทำให้เกิดอาการปวด แบบเป็น ๆ หาย ๆ ยิ่งขณะยกแขนขึ้นสูงหรือกางแขนออก ผลที่ตามมาคือจะมีการเสื่อมสภาพของเส้นเอ็น จนท้ายสุดอาจทำให้เส้นเอ็นหุ้มข้อไหล่ฉีกขาดได้ โดยช่วงแรกผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณไหล่ด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนมากจะมีประวัติปวดไหล่เวลากลางคืน และปวดมากเวลานอนตะแคงทับแขนด้านที่มีอาการ ในระยะที่รุนแรงจะพบเส้นเอ็นฉีกขาดร่วมด้วย ทำให้แขนอ่อนแรง ยกแขนขึ้นได้ลำบาก
โรคข้อไหล่ติด
โรคข้อไหล่ติด (Frozen shoulder) พบมากในช่วงอายุ 50-60 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สาเหตุเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อไหล่ แล้วเกิดผังผืดในข้อไหล่ ทำให้ข้อไหล่ขยับได้น้อยลง พบบ่อยในกรณีที่กระดูกหักบริเวณแขน ทำให้ผู้ป่วยขยับแขนได้ลดลง ซึ่งทั้งสองภาวะนี้ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการปวดข้อไหล่ที่คล้ายคลึงกัน จนไม่สามารถไขว้มือไปด้านหลังได้สุด ติดตะขอด้านหลังไม่ได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างยากลำบาก จึงควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านข้อไหล่เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคว่าเกิดจากความผิดปกติใด
การรักษาอาการกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่
การรักษาเริ่มแรก แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคจากอาการ การซักประวัติและตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจแบบอื่นเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น ตรวจเอกซเรย์เพื่อดูความผิดปกติของกระดูก หรือตรวจ MRI เพื่อวินิจฉัยภาวะเสื่อมหรือการขาดของเส้นเอ็นบริเวณไหล่ และยังสามารถให้รายละเอียดของกระดูกอ่อนและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ได้ดี โดยแบ่งการรักษาออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
- ไม่ต้องผ่าตัด สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยมีกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่ในระยะเริ่มต้น และไม่มีอาการของข้อไหล่ฉีกขาดร่วมด้วย โดยจะใช้วิธีทานยา ฉีดยา หรือทำกายภาพบำบัด ร่วมกับลดกิจกรรมที่กระทำต่อข้อไหล่ ออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะกล้ามเนื้อฝ่อตัวจากการไม่ได้ใช้งาน บางรายใช้เวลาในการรักษาไม่นาน บางรายรักษาไม่หายทนทรมารต่อความเจ็บปวด หากทำทุกวิธีแล้วยังไม่ดีขึ้นอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด
- การผ่าตัดผ่านกล้อง ปัจจุบันวิวัฒนาการทางด้านการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้นทำให้การผ่าตัดไม่น่ากลัวเหมือนในอดีต เทคโนโลยีการรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องจึงเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก
- การรักษาด้วยคลื่นกระแทกความถึ่สูง (Radial shockwave) เป็นเครื่องบำบัดรักษาอาการเจ็บปวดจากการอักเสบและมีการสะสมของหินปูนที่เอ็นกล้ามเนื้อไหล่ เพิ่มประสิทธิภาพในการสลายแคลเซียม และเพิ่มกระบวนการไหลเวียนเลือด คลื่นกระแทกสามารถส่งผ่านจากภายนอกร่างกายเข้าไปยังตำแหน่งเป้าหมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณไหล่แข็งแรงแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบ และเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวข้อไหล่ให้กลับมาใกล้เคียงปกติได้เร็วขึ้น
ข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก
การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery : MIS) ปัจจุบันถือป็นมาตรฐานการรักษาโรคข้อไหล่ที่ยอมรับทั่วโลก เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่ ร่วมกับมีปัญหาเอ็นข้อไหล่ฉีกขาดร่วมด้วย ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อข้างเคียง เสียเลือดน้อย โอกาสติดเชื้อหลังผ่าตัดต่ำ และลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเปิดแบบในอดีต
เทคโนโลยี MIS ผ่าตัดผ่านกล้องยังสามารถกรอกระดูกที่งอกกดทับเอ็นข้อไหล่ ผ่าตัดแต่งเนื้อเอ็นที่ขาดให้เรียบ และเย็บซ่อมเอ็นหุ้มข้อไหล่ที่ฉีกขาด ถือเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ โดยคนไข้สามารถทำกายภาพขยับไหล่ได้ตั้งแต่วันแรกหรือวันที่สองหลังผ่าตัด ลดการบาดเจ็บจากการผ่าตัดแบบดั้งเดิมที่ต้องเปิดแผลกว้างเพื่อเข้าไปเย็บเส้นเอ็นเล็ก ๆ เส้นเดียวที่หัวไหล่ ซึ่งกว่าแผลจะหายและคนไข้เริ่มขยับได้ต้องใช้เวลานานนับสัปดาห์ ขณะที่การผ่าตัดผ่านกล้องจะเป็นเพียงการเจาะรูเล็ก ๆ เพื่อส่องกล้องเข้าไปกรอกระดูกที่งอกบริเวณที่เกิดปัญหาได้อย่างตรงจุด คนไข้รักษาตัวในโรงพยาบาลไม่นาน ฟื้นตัวไว ข้อไหล่กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
วิธีป้องกันอาการกระดูกงอกทับเอ็นข้อไหล่
เราสามารถป้องกัน เพื่อลดการเกิดภาวะกระดูกงอกทับเส้นเอ็นข้อไหล่ได้โดย
- ไม่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลไปถึงข้อต่าง ๆ
- รับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วน โดยเฉพาะโปรตีน พืชผัก ผลไม้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายแบบเต้นหรือแกว่งแขนไปมา เนื่องจากอาจทำให้เอ็นข้อไหล่ทำงานมากขึ้นเกิดการอักเสบหรืออาจฉีกขาดได้
สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือผู้สูงอายุคือ การเดินไปมาพอให้มีเหงื่อออกประมาณ 15 นาที การบริหารยืดข้อไหล่อย่างช้าๆ และยืดให้สุดจะช่วยเพิ่มพิสัยในการเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ดีขึ้น เช่น การใช้มือไต่ผนัง การรำกระบอง รำมวยจีน เป็นต้น หรือในกรณีที่เป็นนักกีฬาก็จะมีเทคนิคในการวอร์มอัพร่างกายของกีฬาแต่ละชนิด ซึ่งควรปฏิบัติให้ถูกต้องในระยะเวลาพอสมควรอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกปวดข้อไหล่ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา ป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเรื้อรังที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“รวงข้าว ญาตาวีมินทร์” อันดับโลกพุ่งหลังคว้าแชมป์อินโดนีเซีย ชาเลนจ์
“รวงข้าว” ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง ดาวรุ่งวัย 16 ปี ที่เพิ่งคว้าแชมป์ขนไก่ระดับอาชีพเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในรายการ บีเอ็นไอ อินโดนีเซีย อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ อันดับโลกพุ่งพรวด 392 ขั้น จากเดิม 663 ขึ้นมารั้งอันดับ 271 ของโลก
สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้ทำการประกาศอันดับโลกประจำสัปดาห์ของนักกีฬา เมื่อวันที่ 29 ต.ค2567 โดยในส่วนอันดับของนักกีฬาไทยที่น่าสนใจ ในประเภทหญิงเดี่ยวนั้น “รวงข้าว” ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง ดาวรุ่งวัย 16 ปี ที่เพิ่งจะสร้างผลงานสุดยอดเยี่ยม คว้าแชมป์อาชีพรายการแรกในชีวิต ในศึก บีเอ็นไอ อินโดนีเซีย อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ รายการระดับอินเตอร์ เนชั่นแนล ชาเลนจ์ ที่อินโดนีเซีย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อันดับโลกพุ่งทะยานถึง 392 ขั้น จากเดิม 663 ขึ้นมาอยู่ที่ 271 ของโลกแล้ว
ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 29 ต.ค. – 3 พ.ย.67 “รวงข้าว” มีโอกาสขยับอันดับโลกขึ้นอีก หลังมีโปรแกรมลงแข่งขันต่อเนื่องในศึก บีเอ็นไอ อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส์ รายการระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ 100 ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.3 ล้านบาท ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดย ญาตาวีมินทร์ ลงสนามในรอบคัดเลือก หญิงเดี่ยว เมื่อ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา เก็บชัยชนะรวด 2 แมตช์ เหนือคู่แข่ง จากมาเลเซีย และ อินเดีย ผ่านเข้ารอบเมนดรอว์ (32 คน) ได้สำเร็จ โดยจะเข้าไปเจอกับ ซิติ ซูไลก้า มือ 163 ของโลก จากมาเลเซีย ต่อไป
ด้านอันดับของนักแบดมินตันไทย ในการประกาศอันดับโลก เมื่อ 29 ต.ค.67 ที่น่าสนใจ มีดังนี้ หญิงเดี่ยว ศุภนิดา เกตุทอง อันดับ 11, บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ อันดับ 12, พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ อันดับ 17, รัชนก อินทนนท์ อันดับ 18, พรพิชชา เชยกีวงศ์ อันดับ 42, ลลินรัศฐ์ ไชยวรรณ อันดับ 71, ธมนวรรณ นิธิอิทธิไกร อันดับ 92 และ พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ อันดับ 128 ด้านชายเดี่ยว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ อันดับ 5, กันตภณ หวังเจริญ อันดับ 38, พณิชพล ธีระรัตน์สกุล อันดับ 59 และ ศรัณย์ แจ่มศรี อันดับ 120
ประเภทชายคู่ สุภัค จอมเกาะ กับ กิตตินุพงษ์ เกตุเรน อันดับ 18, พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ พรรคพล ธีระรัตน์สกุล อันดับ 28, วรพล ทองสง่า กับ ภรัณยู ขาวสำอางค์ อันดับ 52, พงศกร ทองคำ กับ วงศกร ทองคำ อันดับ 76, เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ กิตตินุพงษ์ เกตุเรน อันดับ 117, ประเภทหญิงคู่ นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด กับ เบญญาภา เอี่ยมสอาด อันดับ 19, ลักษิกา กัลละหะ กับ ผไทมาส เหมือนวงศ์ อันดับ 23, อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ สุกฤตา สุวะไชย อันดับ 52
ประเภทคู่ผสม เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย อันดับ 6, สุภัค จอมเกาะ กับ ศุภิสรา เพียวสามพราน อันดับ 28, พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ ผไทมาส เหมือนวงศ์ อันดับ 29, รุษฐนภัค อูปทอง กับ เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ อันดับ 31, สุภัค จอมเกาะ กับ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย อันดับ 170 และ เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ศุภิสรา เพียวสามพราน อันดับ 203
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
มติ ครม.วันนี้ (29ต.ค.67) เห็นชอบให้ไทยร่วม Artemis โครงการสำรวจอวกาศ
- มติ ครม.เห็นชอบการลงนามใน Artemis Accords มอบหมายให้ GISTDA เป็น National Focal Point ของประเทศ
- ข้อตกลงความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศสมาชิก
- แรงบันดาลใจสำคัญให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ เปิดประตูให้พวกเขาได้มีโอกาสและเห็นศักยภาพของไทยบนเวทีอวกาศระดับสากล
29 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการลงนามใน Artemis Accords โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. เป็น National Focal Point ของประเทศไทย
ซึ่งข้อตกลงนี้เป็นหลักการสำหรับความร่วมมือด้านพลเรือนในการสำรวจอวกาศ เพื่อวัตถุประสงค์ทางสันติที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำหลัก ซึ่งมีประเทศชั้นนำทั่วโลกเข้าร่วมข้อตกลงจำนวน 47 ประเทศเข้าร่วมแล้ว
การเข้าร่วม Artemisจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของประเทศไทย เป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจ ธุรกิจอวกาศ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ องค์ความรู้ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์มาสู่ประชาชนได้
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ชี้ว่าการเข้าร่วม Artemis Accords เป็นโอกาสในการก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมอวกาศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ บนเวทีโลก
ประเทศไทยจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนโครงการสำรวจ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในอวกาศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ข้อตกลงความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศสมาชิก สร้างแรงบันดาลใจและขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการ นักวิชาการและนักวิจัยในประเทศไทยให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต
ทางด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า ภายหลังการลงนาม Artemis Accords คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ จะเป็นกลไกหลักในการพิจารณากิจกรรมที่จะเข้าร่วมในนามประเทศไทย
โดย GISTDA ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ Artemis Accords รวมถึง Artemis program ให้ทุกภาคส่วนได้เข้าถึงข้อมูล ทรัพยากรและมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการอวกาศระดับโลก
เพื่อให้คนไทยไม่พลาดโอกาสที่จะมีส่วนร่วม และเข้าถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา
ทั้งนี้ Artemis Accords (อาร์ทิมิส แอคคอร์ด) ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอวกาศระดับโลกเท่านั้น แต่ยังถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ เปิดประตูให้พวกเขาได้มีโอกาสและเห็นศักยภาพของไทยบนเวทีอวกาศระดับสากลอย่างแท้จริง
เป็นการสร้างวิสัยทัศน์ใหม่และอนาคตที่ยั่งยืนที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนชีวิตของคนไทย แต่ยังช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในด้านการสำรวจและการใช้ประโยชน์จากอวกาศที่เป็นอนาคตของเศรษฐกิจและสังคมต่อไป.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
Phrasal Verbs Give เรียนรู้กริยาวลีภาษาอังกฤษ น่ารู้!
กริยาวลี Phrasal Verbs “Give”
เรียนภาษาอังกฤษ Phrasal Verbs Give ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง? พร้อมตัวอย่างประโยค
Phrasal Verbs “Give”
“Give” เป็น Verb มีความหมายว่า “ให้” แล้วถ้าหาก give อยู่ใน Phrasal verb จะมีความหมายอย่างไรบ้าง? คำศัพท์มีหลายคำที่น่าสนใจ มาเรียนรู้ความหมายและตัวอย่าง Phrasal verbs Give กันเลยดีกว่า
Phrasal Verbs Give
Give away แปลว่า หักหลัง, เผยความลับ
- Trust me! I didn’t give anything away about my company.
เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่เผยความลับอะไรก็ตามเกี่ยวกับบริษัทของฉันหรอก
Give back แปลว่า ให้คืน, ส่งคืน
- Give me back my money!!
คืนเงินฉันมาได้แล้วนะ!! - Give me back my book!
เอาหนังสือของฉันคืนมา!
Give in แปลว่า ยินยอม, ส่งไปให้
- My mom finally give in and let me go to the pool party with friends.
สุดท้ายแล้วแม่ของฉันก็ยอมให้ฉันไปปาร์ตี้สระว่ายน้ำกับเพื่อน - I finally gave in and let him stay up to watch TV.
ในที่สุดฉันก็ยอมปล่อยให้เขานอนดูทีวีต่อไป
Give forth แปลว่า ปล่อย (กลิ่น, เสียงหรืออื่นๆ) ออกไป
- The chimney gave forth a cloud of grey smoke.
ปล่องไฟได้ปล่อยควันสีเทาออกมา - The fields give forth an odor of spring.
ทุ่งนามีกลิ่นของฤดูใบไม้ผลิ
Give off แปลว่า ส่งกลิ่น, ปล่อย
- The fence has given off a smell of paint for a week.
รั้วส่งกลิ่นเหม็นจากการทาสีมาเป็นอาทิตย์แล้ว - Many household products give off noxious fumes.
ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนหลายชนิดปล่อยควันพิษออกมา
Give out แปลว่า หมด, แจกจ่าย
- Someone is giving a sample product out in front of school.
มีคนกำลังแจกสินค้าตัวอย่างอยู่ที่หน้าโรงเรียน - I want to buy some water because it gave out.
ฉันต้องการซื้อน้ำเพราะมันหมดแล้ว
Give over แปลว่า หยุดทำสิ่งไม่ดีหรือน่ารำคาญ
- My sons were making a lot of noise so I told them to give over!.
ลูกชายของฉันส่งเสียงดังมาก ดังนั้นฉันเลยบอกพวกเขาให้หยุดทำ! - I wish you lot would just give over!
ฉันหวังว่าคุณจะยอมแพ้!
Give up แปลว่า ยอมแพ้, ล้มเลิก
- My father has given up drinking alcohol a year ago.
พ่อฉันเลิกดื่มแอลกอฮอล์มาได้เป็นปีแล้ว - They gave him up to the police.
พวกเขามอบตัวกับตำรวจ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
5 อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง
ใครที่เป็นโลหิตจาง นอกจากจะไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย หน้ามืด วิงเวียนศีรษะง่ายแล้ว ยังบริจาคเลือดไม่ได้ด้วยนะ เพราะฉะนั้นเรามาบำรุงร่างกายของเราให้แข็งแรง ด้วยอาหารดีๆ ที่จะช่วยบำรุงเลือดของเราให้เข้มข้นขึ้น ป้องกันภาวะโลหิตจางกันดีกว่า
5 อาหารบำรุงเลือด ป้องกันเลือดจาง
- เลือดสัตว์ ตับสัตว์ เนื้อสัตว์ต่างๆ
อาหารเหล่านี้จะมีธาตุเหล็กอยู่มาก ซึ่งเจ้าธาตุเหล็กนี่แหละที่จะช่วยบำรุงโลหิต และธาตุเหล็กที่มาจากสัตว์ ลำไส้จะดูดซึมไปใช้ได้มากกว่าธาตุเหล็กที่มาจากพืชอีกด้วย ดังนั้นทานเข้าไปเสียบ้างนะ (จากประสบการณ์ตรง เราเป็นคนที่ “เกือบ” จะอยู่ในภาวะโลหิตจางจนบริจาคเลือดไม่ได้ ระดับความเข้มข้นของเลือดคือคาบเส้นพอดี พี่หมอแนะนำให้ทานต้มเลือดหมูให้บ่อยขึ้นค่ะ) - ผักใบเขียวเข้ม
อีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ทานมังสวิรัติ แม้ว่าธาตุเหล็กที่ได้จากพืชจะไม่มากเท่าจากสัตว์ แต่ก็ควรทานก่อนที่จะอยู่ในภาวะขาดธาตุเหล็ก ผักที่แนะนำได้แก่ คะน้า บล็อกโคลี่ ผักบุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม
เคล็ดลับ เมื่อร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชไปใช้ได้น้อย เราจึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วย เพื่ออาศัยกรดเกลือในกระเพาะอาหาร และวิตามินซีช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ อาหารที่มีวิตามินซี สูง ส้ม มะละกอ ฝรั่ง มะนาว เป็นต้น - ไข่
เป็นอีกหนึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ส่วนใหญ่คือโปรตีน แต่ก็ยังมีปริมาณของธาตุเหล็กที่จะช่วยบำรุงโลหิตของเราให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะไข่แดงจะมีธาตุเหล็กสูงกว่าไข่ขาว - ธัญพืชต่างๆ
ถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ อัลมอนด์ รวมไปถึงข้าวโอ๊ต และจมูกข้าวสาลี ก็เป็นแหล่งอาหารที่นอกจากจะมีโปรตีนที่ดีต่อการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และบำรุงโลหิตอีกด้วย - อาหารทะเล
อาหารทะเลอย่างปลา กุ้ง ปลาหมึก ปู อุดมไปด้วยโปรตีน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย รวมไปถึงธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงโลหิตอีกด้วย แต่อย่าทานมากเกินไป เพราะอาหารทะเลที่อร่อยสุดๆ มักมาพร้อมกับปริมาณแคลอรี่ และคอเลสเตอรอลที่มากตามไปด้วย
นอกจากอาหารแล้ว ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโลหิตจาง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอด้วย จะได้ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟู สร้างเม็ดเลือดแดงดีๆ ไว้บำรุงร่างกายให้แข็งแรงไปด้วยกัน คราวนี้ก็จะไม่เหนื่อย หน้ามืด หรือเป็นลมเป็นแล้งง่ายอีกแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 44,250.00 | 44,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,866.00 | 43,448.56 | 44,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,579.40 | 39,103.70 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,292.80 | 34,758.85 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,290.00 | 19,556.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,003.00 | 15,205.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,970.00 | 45,025.20 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 36.35 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.98 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.64 | 33.64 | 34.24 | 33.64 | 33.64 | – | 33.64 | 33.64 | 33.64 | 33.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.39 | 33.39 | – | – | – | – | – | – | – | 33.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 43.94 | – | – | – | 49.81 | – | 44.44 | 44.09 | – | 43.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |