นิปปอนเพนต์ พลิกโฉมวงการสีสู่มหานครแห่งอนาคตในงานสถาปนิก’68

นิปปอนเพนต์ พลิกโฉมวงการสี เปิด ‘The Future City’ ในงานสถาปนิก’68 จุดประกายอนาคตด้วยนวัตกรรมที่มากกว่าสี จากพัดสี สู่มหานครแห่งอนาคต
หากใครเคยคิดว่าสีทาอาคารเป็นเพียงผิวสัมผัสสุดท้ายของงานออกแบบ งานสถาปนิก’68 ปีนี้อาจเปลี่ยนความคิดนั้นไปตลอดกาล เพราะ “Nippon Paint” แบรนด์สีชั้นนำจากญี่ปุ่นที่ครองอันดับ 1 ในเอเชียเกือบสิบปี กำลังเปลี่ยนวิธีที่เรามอง “สี” ให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคตแห่งการออกแบบ ผ่านพาวิลเลียนสุดล้ำภายใต้ชื่อ “The Future City” ที่ไม่ได้เป็นเพียงบูธจัดแสดงผลิตภัณฑ์ แต่เป็น “มหานครสีแห่งอนาคต” ที่พูดคุยกับทุกจินตนาการของนักออกแบบไทย
นี่คือครั้งแรกของนิปปอนเพนต์ในเวที ASA Expo แต่ไม่ใช่การเปิดตัวแบบธรรมดา เพราะพวกเขาเลือกเข้าร่วมในระดับ Thematic Pavilion พื้นที่โชว์เคสขนาดใหญ่ที่ต้องการส่งสารระดับแนวคิดและวิสัยทัศน์อย่างลึกซึ้ง ต่างจากการวางบูธแสดงผลิตภัณฑ์ทั่วไป
“The Future City” – มหานครที่ออกแบบด้วยพัดสี
แรงบันดาลใจของพาวิลเลียนนี้เริ่มจากของเรียบง่ายที่คุ้นมือสถาปนิกทุกคน — “พัดสี” หรือ Colour Fandeck อุปกรณ์ที่ดูธรรมดาแต่เป็นดั่งแผนที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ ทีมออกแบบจาก pbm สตูดิโอชื่อดังที่คว้ารางวัลระดับนานาชาติ ได้หยิบความเคลื่อนไหวของพัดสีเมื่อถูกกางออก มาสร้างเป็นเส้นสายของพาวิลเลียนที่สูงถึง 7 เมตร ขาวสะอาดตา เสมือนผืนผ้าใบเปล่าที่เชื้อเชิญผู้ชม “ระบายจินตนาการ” ลงบนมัน
ภายในพาวิลเลียนยาว 18 เมตร ผู้เข้าชมจะได้เดินเข้าสู่โลกสีที่ไม่ใช่แค่ให้ “เห็น” แต่ให้ “สัมผัส” ผ่านระบบ Immersive Experience ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับความรู้สึก พร้อมจัดเต็ม 4 โซนเนื้อหา ได้แก่
Painting the Future: เปิดโลกแห่งสีด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์แอคทีฟ
Colour of Citizen: วิเคราะห์คลื่นสมองเพื่อค้นพบ “สีที่ใช่” สำหรับคุณ
Inspired by You: พื้นที่แลกเปลี่ยนไอเดียสำหรับนักออกแบบ
Inspiring Café: คาเฟ่สุดสร้างสรรค์ที่เสิร์ฟแรงบันดาลใจพร้อมเครื่องดื่มจาก “สีในใจคุณ”

สี…ที่เปลี่ยนโลก ไม่ใช่แค่เปลี่ยนผนัง
เบื้องหลังพาวิลเลียนที่งดงามคือความตั้งใจของ นิปปอนเพนต์ ที่จะสื่อสารว่า “สี” ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามอีกต่อไป แต่มันคือ “โซลูชันเพื่อโลกอนาคต” ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมสีที่ช่วยลดคาร์บอน เช่น UltraGuard สีภายนอกระดับพรีเมียมที่ทนทาน 20 ปี ลดการทาสีซ้ำจึงลดรอยเท้าคาร์บอนได้จริง หรือ Nature Care สีจากน้ำยางพาราไทยที่ทั้งยั่งยืน ปลอดภัย และช่วยเศรษฐกิจเกษตรกรยังไม่หมดเท่านั้น เพราะยังมีนวัตกรรมสีที่เหมือนหลุดจากโลกไซไฟ เช่น
Conductive Paint สีที่เปลี่ยนพื้นผิวให้ “นำไฟฟ้าได้”
Lumi-Extra สีที่เรืองแสงในความมืด
Peelable Coating สีลอกได้แบบไม่ทิ้งคราบ
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เพียงทำให้สีเป็นมากกว่าความสวยงาม แต่เป็น “เครื่องมือแห่งอนาคต” สำหรับงานออกแบบที่ยั่งยืน ฉลาด และเปี่ยมความคิดสร้างสรรค์ จุดตัดของเทคโนโลยี ดีไซน์ และวิสัยทัศน์เพื่อโลก
วัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไปของนิปปอนเพนต์ประเทศไทย ให้มุมมองว่า นี่คือช่วงเวลาที่แบรนด์มีความพร้อมที่สุด ทั้งในแง่การรับรู้ในตลาดและนวัตกรรม จึงกล้าเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในงานสถาปนิก’68 ครั้งนี้ เพื่อส่งสารถึงกลุ่ม B2B อย่างสถาปนิก นักออกแบบ ผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของธุรกิจว่า Nippon Paint ไม่ใช่แค่แบรนด์สี แต่เป็นพาร์ตเนอร์ทางความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถยกระดับทุกโปรเจกต์ได้จริง
โครงสร้างของพาวิลเลียนเองยังออกแบบให้สามารถ “ถอดประกอบ” ได้ เพื่อรีไซเคิลใช้ซ้ำ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนทั้งในเชิงผลิตภัณฑ์และการออกแบบโครงสร้าง
ปลุกแรงบันดาลใจในทุกย่างก้าว
งานนี้ไม่ใช่เพียงนิทรรศการสี แต่คือพื้นที่ทดลองจินตนาการอย่างเสรี เชื่อมโยง “เทคโนโลยี x สี x ความยั่งยืน” เข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง พาวิลเลียน “The Future City” จึงไม่ใช่แค่โชว์ แต่มันคือ แนวคิดใหม่ในการออกแบบเมือง สี และชีวิต ที่นักออกแบบไม่ควรพลาด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แบงก์เข้ม “แผ่นดินไหว” ต้องตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง”คอนโด”ก่อนจำนอง -โอน

แบงก์เข้ม “แผ่นดินไหว” ผู้ซื้อต้องจ้างวิศวกรตรวจสอบอาคาร-โครงสร้างความมั่นคงแข็งแรง “คอนโด”ก่อนจำนอง และโอนกรรมสิทธิ์ ชี้ช่วยผู้ซื้อผ่อนคลายวิตกกังวลความปลอดภัยได้
เหตุแผ่นดินไหว วันที่ 28 มีนาคม 2568 ตัวแปรทำให้ตลาดแนวสูงหรือ คอนโดมิเนียมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และนำไปสู่การชะลอโอนกรรมสิทธิ์ รวมถึงการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค จากความตื่นตระหนก วิตกกังวล
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานภาครัฐ องค์กรวิศวกร รวมถึงสามสมาคมอสังหาริมทรัพย์ ประเมินว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพ มหานคร มีความมั่นคงแข็งแรงไม่ได้รับผลกระทบเสียหายในเชิงโครงสร้างอาคาร มีเพียงวัสดุพื้นผิวที่ชำรุดแตกร้าวซึ่งสามารถซ่อมแซมได้
ผู้ประกอบการได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าอย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ดังนั้นสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซํ้าร้ายสถานการณ์ ที่เกินการควบคุม ภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดา รวมทั้งนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ อเมริกา ที่เป็นอีกชนวนการตัดสินใจของผู้บริโภค
ขณะมาตรการรัฐ ทั้งลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ของกระทรวงการคลังสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนี้และมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์/เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) เป็น 100%

ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กำหนดไว้ชั่วคราว มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ซึ่งทั้งสองมาตรการจะสิ้นสุดลงพร้อมกันวันที่ 30 มิถุนายน 2569 จะเข้ามาช่วยพยุงไม่ให้สถานการณ์บอบซํ้าไปกว่านี้
“ฐานเศรษฐกิจ” สำรวจสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง ที่ดูแลโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กว่า 700 อาคาร โดยระบุว่าจากสถานการณ์ แผ่นดินไหว
ยอมรับว่าผู้ที่เคยติดต่อโอนกรรมสิทธิ์บางกลุ่ม ได้ขอชะลอโอนออกไป เข้าใจว่าเกิดความวิตกกังวลแม้มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองออกมาใช้แล้ว แต่เนื่องจากยังมีเวลาอีกนาน จึงยังไม่เร่งรีบนอกจากนี้หลายรายอาจอยู่ระหว่างขอสินเชื่อจากธนาคาร
อย่างไรก็ตามหลังเกิดแผ่นดินไหว ทางธนาคาร จะให้ผู้ซื้อตรวจสอบสภาพอาคารก่อนจำนอง ซึ่ง จะช่วยให้ผู้ซื้อผ่อนคลายความวิตกกังวลมากขึ้นพร้อมกลับมาโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง
ส่วนกลุ่มที่ซื้อคอนโดมิเนียมที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร ก็เดินทางมาโอนตามปกติ ปริมาณงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่น ปกติโอนวันละ 2 ห้อง ก็เพิ่มเป็น 5-6 ห้อง ซึ่งเข้าใจว่ามี กลุ่มที่ชะลอโอนเพราะรอมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้เนื่องจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง สิ้นสุดอายุลงเดือนมิถุนายน 2569 ยังมีเวลาอีกนาน ที่จะตัดสินใจ ซื้อรวมถึงมาตรการ ผ่อนเกณฑ์ /เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) เป็น 100%
โดยเริ่ม มีผลบังคับใช้ 1 พฤษภาคม 2568 จนถึง 30 มิถุนายน 2569 ผู้บริโภคอาจจะรอมาตรการใช้พร้อมกัน รวมและเป็นการดูท่าทีและความเชื่อมั่นของเหตุแผ่นดินไหวว่าจะไม่กลับมากระทบซํ้าอีก
รวมถึงได้มองหา โครงการที่สภาพไม่มีรอยร้าว หรือได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ก็จะตัดสินใจซื้อหลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมใหม่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ และ คอนโดมิเนียมมือสอง ในอนาคต
เช่นเดียวกับสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาห้วยขวาง มีโครงการคอนโดมิเนียมที่ดูแลจำนวนกว่า 400 อาคาร อธิบายว่า ขณะนี้เป็นช่วงต้นของการใช้มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง
ยังไม่เห็นปริมาณเพิ่มขึ้นของผู้ที่เดินทางมาโอนมากนัก และเนื่องจากเหตุเกิดแผ่นดินไหว ผู้ซื้อบางส่วน ได้ชะลอการโอนออกไป จากเดิมเคยนัดวันจะโอนทั้งธนาคารผู้ประกอบการและผู้ซื้อ ขณะที่บางกลุ่มชะลอโอนเพราะรอมาตรการฯ และหากสภาพห้องไม่กระทบเสียหายก็จะเดินทางมาโอนตามปกติ
ส่วนความนิยมคอนโดมิเนียมมากน้อยแค่ไหนหลังจากเกิดแผ่นดินไหว มองว่า คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่โครงสร้างมีความมั่นคงแข็งแรงทุกอาคารมีการเพิ่มแรงต้านทานแผ่นดินไหวตามกฎหมายอยู่แล้ว เชื่อว่า คอนโดมิเนียมยังคงเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการอยู่อาศัยในเมืองแต่อาจเลือกเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ และดูสภาพอาคารที่ไม่ได้รับผลกระทบ
เมื่อสอบถามว่าพื้นที่ห้วยขวาง ยังมีคนจีนซื้อคอนโดมิเนียมจำนวนมากหรือไม่ แหล่งข่าวกล่าวว่า ช่วงหลังมีคนจีนเข้ามาโอนลดลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเช่นเดิมวันละ 5คน ปัจจุบันเหลือเพียง2คน ฯลฯ ซึ่งเรื่องนี้ ไม่ทราบแน่ชัดอาจเป็นเพราะ ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจบ้านของตนเอง หรือการนำเงินออกมาใช้นอกประเทศยากขึ้น จึงเป็นไปได้ว่าจีนอาจเป็นอีกประเทศที่ชะลอการซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากขึ้น
ฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ประเมินว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพ มหานครในปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่ในระดับที่ไม่แตกต่างจากปีที่แล้วมากนัก และมีความเป็นไปได้ที่จะมีจำนวนยูนิตลดลงหรือประมาณ 20,000 ยูนิตอาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับหลายๆ
ปัจจัย โดยหนึ่งในปัจจัยใหม่ที่เข้ามามีผลต่อตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพ มหานคร คือ แผ่นดินไหวที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในโครงการที่เป็น
อาคารสูงชัดเจน ถ้าช่วงหลังจากนี้ไม่มีเหตุการณ์ซํ้ารอย และผู้ประกอบการมีการตอบสนองในเรื่องของการซ่อมแซมทั้งส่วนกลางและภายในของแต่ละยูนิตก็อาจจะไม่มีผลกระทบในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30เม.ย. “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.45 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ตลาดรอลุ้นผลการประชุม กนง. ในช่วงบ่าย ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงติดโซนแนวต้านแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้30เม.ย.2568 ที่ระดับ 33.45 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.39 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อนได้
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น ผลการประชุม กนง. ในช่วงบ่าย โดยเงินบาทอาจยังติดโซนแนวต้านแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงดังกล่าว
นอกจากนี้ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจลดความน่าสนใจของการถือครองทองคำ ทำให้ราคาทองคำเสี่ยงมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง (ไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องชัดเจน) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทได้
นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลัง Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยเป็น Negative ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทได้บ้าง แต่เราเชื่อว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติ อาจรอปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทยที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังรับรู้ผลการประชุม กนง.
ทั้งนี้ ในช่วงเช้า ก่อนรับรู้ผลการประชุม กนง. นั้น ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีนได้ โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทก็เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีนราว 80% (1-month Correlation)
สำหรับ ผลการประชุม กนง. นั้น แม้ว่าบรรดาผู้เล่นในตลาดและบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (รวมถึงเรา) ต่างคาดหวังว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยลง 25bps สู่ระดับ 1.75%
แต่เราก็ยอมรับว่า กนง. อาจเลือกที่จะรอประเมินแนวโน้มการเจรจาการค้าไปก่อน และใช้มาตรการอื่นๆ ในการช่วยเหลือลูกหนี้
เช่น โครงการคุณสู้เราช่วย พร้อมประสานแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อเก็บกระสุนนโยบายการเงิน (Policy Space) ไว้ใช้ในยามจำเป็น
หากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าไทย หรือสินค้าทั่วโลก หลักครบกำหนด 90 วัน พักการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)
โดยในกรณีที่ กนง. เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมที่ระดับ 2.00% อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยลดสถานะถือครองบอนด์ได้บ้าง ซึ่งแรงขายบอนด์ดังกล่าวก็อาจกดดันเงินบาทได้
ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทจะมากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับมุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในการถือครองหุ้นไทยด้วยเช่นกัน
โดยรวมเรายังคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (โซนถัดไปจะอยู่แถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับยังคงอยู่แถว 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์)
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.65 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) อ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.36-33.48 บาทต่อดอลลาร์)
โดยเงินบาทมีจังหวะทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี การรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนเมษายน ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 86 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดพอสมควร
ส่วนยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) เดือนมีนาคม ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับราว 7.2 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ เงินบาทอาจถูกกดดันเพิ่มเติมหลัง Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตไทย เป็น Negative จาก Stable โดยยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับ Baa1
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.58%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.36% หนุนโดยรายงานผลประกอบการที่สดใสของธนาคารใหญ่ อย่าง Deutsche Bank +5.0% และ HSBC +2.6% นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินยุโรปโดยรวมก็พอได้แรงหนุนจากความหวังว่านโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อาจทยอยผ่อนคลายลงได้บ้าง หลังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าต่างๆ
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยรวมจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ก็ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาส 88% ที่จะลดดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง ในปีนี้ กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.17%
อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากเกินไป (เราประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้) จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงชะลอตัวลงหนัก
ทำให้ แม้เราจะมองว่า บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจอยู่ ในแง่ของ Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ทว่า การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงนี้ ทำให้ Risk-Reward อาจไม่น่าดึงดูดมากนัก
ดังนั้น เราจึงคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เท่านั้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ท่ามกลางความหวังว่าการเจรจาการค้าอาจมีความคืบหน้ามากขึ้น ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 99.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.0-99.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงซื้อ Buy on Dip ทองคำ จะช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็จำกัดการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้:
ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025 (คาดการณ์ครั้งแรก) ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนเมษายน ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ และอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนมีนาคม ที่เฟดติดตามใกล้ชิดในการประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรก เช่นกัน
ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) เดือนเมษายน ซึ่งจะเป็นเดือนที่เริ่มเผชิญแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
และในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเราประเมินว่า แรงกดดันต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยรอบด้าน อาจทำให้ กนง. ตัดสินใจเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.75% ได้ สอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยลงจากการประเมินครั้งก่อน
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ อย่าง Microsoft และ Meta ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.38-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.10 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทปรับตัวในกรอบแคบ และยังคงมีสัญญาณไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ แม้จะมีข่าวเกี่ยวกับการที่ Moody’s ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิต Baa1 เป็น “เชิงลบ” จาก “มีเสถียรภาพ” เนื่องจากตลาดยังคงอยู่ระหว่างรอติดตามผลการประชุม กนง. ในช่วงบ่ายวันนี้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ เงินบาทและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ยังมีปัจจัยบวกจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาดด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.30-33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมและสัญญาณดอกเบี้ยจาก กนง. ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้า สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ดัชนี PMI เดือนเม.ย. ของจีน
ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 1/2568 ของยูโรโซน และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนเม.ย.จาก ADP อัตราเงินเฟ้อ PCE/Core PCE และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนมี.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เตรียมเปิดฉาก! ศึก Toyota Gazoo Racing Thailand 2025 กางโผทั้ง 5 สนาม

มร. โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย นายพฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ นายกราชยานยนต์สมาคม แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมแถลงข่าวการจัดกิจกรรม Toyota Gazoo Racing Thailand 2025เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ณ TOYOTA ALIVE ถ.บางนา-ตราด กม. 3
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เริ่มบุกเบิกวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเจตนารมณ์ที่จะยกระดับและเพิ่มความนิยมในกีฬาประเภทนี้ให้แพร่หลายในหลากหลายรูปแบบ และครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะด้วยการจัดการแข่งขัน การส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน และให้การสนับสนุนให้แก่ผู้ที่มีความฝันตั้งแต่ระดับเยาวชน ไปจนถึงนักแข่งระดับอาชีพ ให้ได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ โดยจากความทุ่มเทในการพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยอย่างต่อเนื่อง โตโยต้าได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการนี้อย่างแท้จริง
มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ทุกท่านมีให้กับผลิตภัณฑ์ของเรา ทำให้ยอดจองของโตโยต้าทั่วประเทศทั้งหมดในช่วงมอเตอร์โชว์ มีมากกว่า 21,000 คัน ซึ่งเป็นยอดจองภายในงานมอเตอร์โชว์ มากกว่า 9,600 คัน และจากยอดจอง 9,600 คัน อยู่ในระหว่างขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยโตโยต้าคาดว่าจะสามารถส่งมอบรถ สู่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลกว่า 7,600 คัน ภายในเดือนเมษายน
สำหรับโตโยต้า กีฬามอเตอร์สปอร์ตคือรากฐานในการสร้างยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า เราได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตร ผ่านการแข่งขันอีกหลายรายการทั่วโลก เพราะเราเชื่อว่า “ถนนสร้างคน และคนสร้างรถ” โดยการเข้าร่วมการแข่งรถในสนามต่างๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีให้ดียิ่งขึ้น สะท้อนกลับมาสู่ไลน์อัพของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ยังเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใต้กลยุทธ์ความหลากหลายด้านทางเลือก (Toyota multiple pathway)ปัจจุบัน เราได้ขยายความร่วมมือกับ โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย (TMA) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อพัฒนายนตรกรรมและชิ้นส่วนรถยนต์ให้ดียิ่งกว่าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและ สามารถตอบสนองสนามแข่งมอเตอร์สปอร์ตอันหฤโหดได้อย่างแท้จริง”
ในปีที่ผ่านมา รถกระบะ Hilux Revo GR Sport 4X4 ได้รับการพัฒนาช่วงล่างให้ดียิ่งขึ้น โดยฝีมือวิศวกรชาวไทย ยังสามารถคว้าชัยชนะ แชมป์อันดับ 1 ในรายการ Asia Cross Country Rally 2024 และในปีนี้เรายังได้ส่งรถยนต์ไฮบริดรุ่น Yaris Cross HEV ในการแข่งขันแรลลี่ ที่จัดโดย ราชยานยนต์สมาคม แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (RAAT Rally) ซึ่งรุ่นนี้จะมีการปรับช่วงล่าง และเครื่องยนต์ไฮบริดเพื่อการแข่งขัน
ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แรงบันดาลใจสู่การพัฒนา “ยนตรกรรมและชิ้นส่วนรถยนต์ที่ดียิ่งกว่า” แต่ยังนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่เห็นได้จากการพัฒนารถที่ใช้เชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน 2 รุ่น เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันบนสนามแข่ง ซึ่งได้แก่ Yaris Carbon Neutral Fuel และ Ativ Carbon Neutral Fuel นอกจากนี้ โตโยต้ามีการสนับสนุนทีมแข่ง Toyota Gazoo Racing Thailand ในการแข่งขันทั้งในรูปแบบแรลลี่ และแบบเซอร์กิต เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยและพัฒนารถยนต์โตโยต้าในอนาคต ในประเทศไทย โตโยต้าเป็นผู้นำของวงการมอเตอร์สปอร์ต ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน กว่า 39 ปี โดยกิจกรรม Toyota Gazoo Racing Thailand จะสร้างความสนุกสนานความเร้าใจของกีฬามอเตอร์สปอร์ตแล้ว กิจกรรมนี้ยังเป็นการส่งเสริมแนวทางการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงของโตโยต้าที่น่าเชื่อถือที่สุด”
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงไฮไลต์ของ Toyota Gazoo Racing Thailand 2025 ในปีนี้ว่า “ปีนี้ Toyota Gazoo Racing Thailand จัดขึ้นในรูปแบบเฟสติวัล เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสความสนุกสนาน ทั้งการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ One Make Race โดยเราจะมีรถเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 60 คัน เริ่มจาก One Make Race ทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ Yaris ATIV Lady One Make Race/ YARIS One Make Race / Hilux REVO One Make Race และ Corolla ALTIS GR Sport One Make Race ที่ยังเปิดรับสมัครอยู่ และยังมอบข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้า ที่เคยผ่านโครงการ Toyota Gazoo Racing Academy จะได้รับส่วนลด 10% ของค่าสมัครการแข่งขันอีกด้วย หากผู้ที่ชื่นชอบรักในกีฬามอเตอร์สปอร์ต สามารถสมัครแข่งขันได้ภายใน 31 พฤษภาคม นี้ ผ่านทาง Facebook : ToyotaGazooRacingThailand ซึ่งในปีนี้ น้องมิย่า น้องป๊ายปาย และคุณปังปอนด์ ก็ยังอยู่แข่งขัน One Make Race พร้อมสร้างความสนุกและความตื่นเต้น เหมือนเช่นเคย
และสำหรับผู้ที่รักการตกแต่งรถ ให้ดูโดดเด่นและเท่ห์ยิ่งขึ้น เราได้ร่วมมือกับพันธมิตรชิ้นส่วนตกแต่งรถยนต์ ชื่อดังระดับประเทศกับ ชุดอุปกรณ์ตกแต่งทางเลือก Associated Accessories Product หรือ AAP อาทิ ชุดตกแต่งรอบคัน GR Part จาก บริษัท ทีซีดี เอเชีย จำกัด และล้ออัลลอยจากแบรนด์ Lenso ซึ่งผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อผ่านผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ หรือ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.toyota.co.th/accessories/และยังมีชุดแต่งและผลิตภัณฑ์จากพันธมิตรของ Toyota Gazoo Racing Thailand อีกด้วย”
นายศุภกร กล่าวถึงกิจกรรมความบันเทิงในปีนี้ว่า “นอกจากความเข้มข้นในสนามแข่งแล้ว แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตจะได้พบกับกิจกรรมจัดเต็มทั้งไลฟ์สไตล์ ความบันเทิงต่างๆ อาทิ คอนเสิร์ตร็อคสุดมันส์ จากวงไทรทศมิตร, คู่ดูโอ้ ป๊อบ ปองกูลและโอ๊ต ปราโมทย์, สาวน้อยเสียงหวาน น้องแอลลี่ ที่จังหวัดภูเก็ต และเชียงใหม่ พิเศษปีนี้เรามีกิจกรรมใหม่ GR COMMUNITY ที่จะเชิญลูกค้า GR Supra , GR 86 , GR Corolla และ GR Yaris เข้าร่วมชมการแข่งขัน พร้อมพบกับ CAR GURU อย่าง คุณเบียร์ ใบหยก และยังมี กิจกรรม MEET AND GREET กับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง พร้อมชมโชว์สมรรถนะรถโตโยต้าสุดมันส์ได้ ในกิจกรรม CAR PERFORMANCE SHOW ทั้งรถดริฟท์ รถสมรรถนะสูงตระกูล GR และ GR Sport
สัมผัสความสนุกสนาน เร้าใจของ “Toyota Gazoo RacingThailand 2025” ทั้ง 4 จังหวัด 5 สนาม ทั่วประเทศ
สนามที่ 1 วันที่ 5-6 กรกฎาคม ชลบุรี
สนามที่ 2 วันที่ 16-17สิงหาคม ภูเก็ต
สนามที่ 3 และ 4 วันที่ 13-14กันยายน บุรีรัมย์
สนามที่ 5 (สนามสุดท้าย) วันที่ 15-16 พฤศจิกายน เชียงใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าเรานอนหลับไม่สนิท พร้อมวิธีแก้

แม้จะนอนครบ 8-10 ชั่วโมง แต่หากนอนหลับไม่สนิท นอนหลับไม่ลึกพอ อาจมีผลต่อสุขภาพ มาเช็กสัญญาณบอกว่าเรานอนหลับไม่สนิทพร้อมวิธีแก้กัน
7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าเรานอนหลับไม่สนิท
ฝันร้ายหรือฝันบ่อย
การฝันร้ายหรือฝันบ่อยอาจรบกวนการนอนหลับ หรือทำให้หลับไม่สนิทและทำให้รู้สึกไม่สดชื่นในตอนเช้า
รู้สึกง่วงหรืออ่อนเพลียในตอนกลางวัน
แม้จะนอนครบ 8-10 ชั่วโมง แต่ยังรู้สึกง่วงหรือไม่มีพลังงาน อาจเกิดจากการนอนที่ไม่มีคุณภาพ เช่น การตื่นบ่อยหรือหลับไม่สนิท
ตื่นกลางดึกและใช้เวลานานกว่าจะหลับต่อ
การตื่นกลางดึกบ่อยๆ และใช้เวลานานกว่าจะหลับต่อ เป็นสัญญาณของการนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่อง
นอนหลับยาก ใช้เวลานานกว่าจะหลับ
หากใช้เวลานานกว่า 30 นาทีในการหลับ อาจเป็นสัญญาณของปัญหานอนหลับยากหรือภาวะนอนไม่หลับ
ตื่นเช้ากว่าที่ตั้งใจและไม่สามารถหลับต่อได้
การตื่นก่อนเวลาที่ตั้งใจและไม่สามารถกลับไปนอนได้ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาการนอนหลับหรือภาวะซึมเศร้า
รู้สึกไม่สดชื่นหลังตื่นนอน
แม้นอนครบ 8 ชั่วโมง แต่ยังรู้สึกเหนื่อยหรือไม่สดชื่น อาจเกิดจากการนอนหลับไม่สนิท
มีอาการปวดหัวหรือเครียดหลังตื่นนอน
การตื่นนอนพร้อมอาการปวดหัวหรือความเครียด อาจเป็นผลจากการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ร่างกายไม่ได้พักผ่อน
วิธีแก้ไขปัญหาการนอนหลับไม่สนิท
ฝึกผ่อนคลายก่อนนอน
การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ หรือยืดกล้ามเนื้อเบา ๆ สามารถช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการนอนหลับ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนนอน
รับแสงธรรมชาติในตอนเช้า
การสัมผัสแสงแดดในตอนเช้าช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพและส่งเสริมการนอนหลับในเวลากลางคืน
จำกัดการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์จะไปรบกวนการผลิตเมลาโทนิน (ฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ) ลองเปลี่ยนไปอ่านหนังสือเบาๆ หรือฟังเพลงช้าๆ แทน
กินอาหารเย็นเบา ๆ และไม่ดึกเกินไป
การกินอาหารมื้อหนักก่อนนอนอาจทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ส่งผลให้ “หลับไม่ลึก” หรือมีอาการจุกเสียดในตอนกลางคืน
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และนิโคตินก่อนนอน
แม้แอลกอฮอล์จะทำให้รู้สึกง่วงในช่วงแรก แต่จริงๆ แล้วมันรบกวนการนอนหลับลึก ส่วนสารนิโคตินในบุหรี่ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้นอนหลับยาก
กินอาหารเย็นเบา ๆ และไม่ดึกเกินไป
การกินอาหารมื้อหนักก่อนนอนอาจทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ส่งผลให้หลับไม่ลึกหรือมีอาการจุกเสียดในตอนกลางคืน
ใช้กลิ่นบำบัด
กลิ่นลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ หรือเซนต์จอห์นวอร์ต สามารถช่วยผ่อนคลายสมอง ลดความเครียด และทำให้หลับง่ายขึ้น
จัดห้องนอนให้เหมาะกับการพักผ่อน
ห้องนอนควรมีอุณหภูมิที่สบาย ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป ไม่มีเสียงรบกวน และควรจัดให้แสงน้อยเพื่อกระตุ้นการหลั่งเมลาโทนิน เพื่อเลี่ยงการหลับไม่สนิท
สร้างกิจวัตรก่อนนอนให้เป็นกิจวัตรเดิมทุกวัน
การทำกิจกรรมเดิมๆ เช่น แปรงฟัน ดื่มน้ำอุ่น หายใจลึกๆ ฟังเพลงเบาๆ จะช่วยให้ร่างกายเรียนรู้ว่านี่คือ “เวลานอน”
ลองจด Sleep Diary
การบันทึกพฤติกรรมการนอนหลับ เช่น เข้านอน/ตื่นกี่โมง กินอะไร รู้สึกอย่างไร ช่วยให้เห็นรูปแบบปัญหาและหาทางแก้ได้ง่ายขึ้น
เลี่ยงการ “ฝืนหลับ” เมื่อไม่ง่วง
ถ้าข่มตานอนแล้วนอนไม่หลับ ให้ออกจากเตียงไปทำกิจกรรมผ่อนคลาย (เช่น อ่านหนังสือ) จนกว่าจะเริ่มง่วง แล้วค่อยกลับมานอนใหม่
หากปัญหานอนหลับเรื้อรัง ควรพบแพทย์
บางครั้งปัญหาอาจมาจากภาวะผิดปกติ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) หรือภาวะวิตกกังวล แพทย์สามารถแนะนำแนวทางรักษาที่เหมาะสมได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รู้จัก Verb ให้มากขึ้น กริยาในภาษาอังกฤษมีกี่ประเภท นำไปใช้ให้เป๊ะ ดูโปรขึ้น

การเรียนรู้เกี่ยวกับ การใช้ Verb หรือ “กริยา” เป็นสิ่งสำคัญในภาษาอังกฤษ เนื่องจากกริยาคือส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราสื่อสารและสร้างประโยคที่สมบูรณ์ได้ กริยาในภาษาอังกฤษมีบทบาทในการแสดงการกระทำ, สถานะ, หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประโยค ซึ่งกริยาจะช่วยบ่งบอกว่าอะไรเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นอย่างไร ในภาษาอังกฤษ กริยาสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งสามารถนำไปใช้ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ได้ โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันไป เช่น การใช้ในรูปแบบที่แสดงการกระทำ, การแสดงสถานะ, หรือแม้แต่การแสดงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ การทำความเข้าใจในประเภทต่างๆ ของกริยาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อช่วยให้การใช้ภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างถูกต้องและชัดเจน เรามาดูกันว่า กริยาในภาษาอังกฤษมีประเภทหลักๆ อะไรบ้าง และจะนำไปใช้ให้ถูกต้องได้อย่างไร พร้อมแสดงตัวอย่าง
Verb หรือ กริยาคืออะไร ทำไมถึงต้องใช้ให้ถูกต้อง
Verb หรือ กริยา คือ คำที่แสดงการกระทำ (action), สถานะ (state), หรือเหตุการณ์ (event) ในประโยค เช่น “run” (วิ่ง), “eat” (กิน), “is” (เป็น/อยู่), หรือ “seem” (ดูเหมือน) กริยามีบทบาทสำคัญในการบอกว่าอะไรเกิดขึ้น หรือใครทำอะไรในประโยคนั้นๆ กริยาจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของประโยค เพราะช่วยให้การสื่อสารมีความหมายที่ชัดเจนและสมบูรณ์ เหตุผลที่ต้องใช้ให้ถูกต้อง ได้แก่ 1) การสื่อสารที่ชัดเจน: การเลือกใช้กริยาให้ถูกต้องทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อได้ง่ายขึ้น ถ้าใช้กริยาไม่เหมาะสมหรือผิดรูปแบบ อาจทำให้เกิดความสับสนหรือไม่เข้าใจข้อความที่ต้องการจะสื่อ 2) การสร้างประโยคที่สมบูรณ์: กริยาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างประโยคที่สมบูรณ์ หากไม่มีการใช้กริยาที่ถูกต้อง ประโยคนั้นจะไม่สามารถสื่อความหมายได้ครบถ้วน เช่น “I (verb) the book.” ถ้าไม่ใช้กริยาในที่นี้ ก็จะทำให้ประโยคขาดความหมาย 3) การใช้รูปแบบต่างๆ ของกริยา: กริยามีหลายรูปแบบ เช่น กริยารูปปัจจุบัน (Present), อดีต (Past), และ อนาคต (Future) รวมถึงการใช้รูปแบบต่างๆ เช่น กริยาแท้ (Main Verb), กริยาช่วย (Auxiliary Verb) ซึ่งการใช้รูปแบบที่ถูกต้องตามบริบทจะช่วยให้ประโยคมีความหมายถูกต้องและเหมาะสม 4) การใช้กริยาในลักษณะต่างๆ: บางครั้งกริยาอาจมีหลายความหมายและใช้ในบริบทที่ต่างกัน การเลือกใช้กริยาในบริบทที่ถูกต้อง เช่น กริยาที่แสดงการกระทำหรือสถานะ (เช่น “She is happy” หรือ “She runs every day”) จะทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
Verb มีกี่ประเภท
Verb หรือ กริยา ในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตามลักษณะการใช้งานและการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบต่างๆ ซึ่งแบ่งได้หลักๆ ดังนี้
- Finite and Non-finite Verbs: กริยาแท้ และกริยาไม่แท้ 1) Finite Verbs (กริยาแท้)
กริยาที่มีการผันตามประธานและแสดงเวลา (Tense) เช่น ปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต กริยาเหล่านี้จะเปลี่ยนรูปตามประธานและสามารถใช้เป็นกริยาหลักในประโยคได้ 2) Non-finite Verbs (กริยาไม่แท้)
กริยาที่ไม่ผันตามประธานและไม่แสดงเวลา กริยาไม่แท้มักใช้ร่วมกับกริยาอื่นในประโยค โดยทั่วไปจะเป็น infinitives (รูปกริยาพื้นฐาน), gerunds (กริยาที่เป็นคำนาม), หรือ past participles (รูปกริยาช่วย) - Action Verb: คำกริยาแสดงอาการ กริยาที่แสดงการกระทำ หรือการดำเนินการบางอย่างในประโยค Action verbs สามารถแบ่งออกเป็น Transitive Verbs (กริยาที่ต้องการกรรม) และ Intransitive Verbs (กริยาที่ไม่ต้องการกรรม)
- Linking Verb: กริยาเชื่อม กริยาที่ใช้เชื่อมประธานกับคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือคำนาม (Noun) เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน กริยาเชื่อมมักแสดงสถานะหรือคุณลักษณะของประธาน กริยาเชื่อมที่พบบ่อย ได้แก่ be (am, is, are, was, were), seem, appear, become, feel, taste, look, sound เป็นต้น
- Auxiliary Verb: คำกริยาช่วย กริยาช่วยคือกริยาที่ใช้ร่วมกับกริยาแท้เพื่อสร้างรูปประโยคในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้างประโยคคำถามหรือประโยคปฏิเสธ
- Modal Verb: คำกริยาช่วย กริยาช่วยประเภทนี้ใช้เพื่อแสดงความสามารถ, ความจำเป็น,
การอนุญาต, หรือคำแนะนำในประโยค Modal verbs จะไม่เปลี่ยนรูปตามประธานและมักจะตามด้วยกริยาในรูปพื้นฐาน กริยาช่วยประเภทนี้ ได้แก่ can, could, will, would, may, might, must, shall, should, ought to เป็นต้น
วิธีการนำไปใช้ให้ถูกต้องและตัวอย่างประโยค
การใช้ Verb (กริยา) ในภาษาอังกฤษให้ถูกต้องนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างชัดเจนและไม่สับสน ซึ่งการใช้กริยาที่ถูกต้องจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การผันกริยาตามประธาน, การใช้รูปกริยาในแต่ละสถานการณ์, และการเลือกประเภทของกริยาที่เหมาะสมในประโยค
- Finite and Non-finite Verbs: กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
- Finite Verbs (กริยาแท้): กริยาที่ผันตามประธานและเวลาของประโยค เช่น present, past หรือ future tense.
- ตัวอย่างประโยค:
- She plays tennis. (เล่น = กริยาแท้ในรูปปัจจุบัน)
- They worked hard yesterday. (ทำงาน = กริยาแท้ในรูปอดีต)
- Non-finite Verbs (กริยาไม่แท้): กริยาที่ไม่มีการผันตามประธานหรือเวลา โดยใช้ในรูป infinitive, gerund, หรือ participle.
- ตัวอย่างประโยค:
- She loves to swim. (to swim = infinitive)
- He enjoys reading books. (reading = gerund)
- The man walking in the park is my friend. (walking = present participle)
- Action Verb: คำกริยาแสดงอาการ
- Action Verbs คือกริยาที่แสดงการกระทำหรืออาการบางอย่าง เช่น run, eat, write, sing.
- ตัวอย่างประโยค:
- She runs every morning. (วิ่ง)
- They eat dinner at 7 PM. (กิน)
- He is writing a letter. (เขียน)
- The children are playing outside. (เล่น)
- Linking Verb: กริยาเชื่อม
- Linking Verbs คือกริยาที่ใช้เชื่อมประธานกับคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน เช่น am, is, are, was, were, seem, become.
- ตัวอย่างประโยค:
- The cake is delicious. (is = เชื่อมประธาน “cake” กับ “delicious”)
- He seems tired. (seems = เชื่อมประธาน “he” กับ “tired”)
- The sky was clear. (was = เชื่อมประธาน “sky” กับ “clear”)
- Auxiliary Verb: คำกริยาช่วย
- Auxiliary Verbs คือกริยาที่ช่วยในการสร้าง tense (เวลา), voice (รูปแบบการกระทำ) หรือ mood (อารมณ์) ของประโยค เช่น be, have, do.
- ตัวอย่างประโยค:
- She is reading a book. (is = กริยาช่วยในรูป continuous tense)
- They have finished their homework. (have = กริยาช่วยในรูป perfect tense)
- I do not understand. (do = กริยาช่วยในประโยคปฏิเสธ)
- Modal Verb: คำกริยาช่วย
- Modal Verbs คือกริยาที่แสดงความสามารถ, การอนุญาต, การขออนุญาต, การบังคับ หรือความคาดหวัง เช่น can, could, may, might, must, should, will, would.
- ตัวอย่างประโยค:
- She can swim very fast. (can = ความสามารถ)
- You must finish your homework. (must = คำบังคับ)
- I should study for the test. (should = คำแนะนำ)
- It may rain tomorrow. (may = ความเป็นไปได้)
- Would you like some coffee? (would = การเสนอ)
การใช้ให้ถูกต้อง
- Finite Verbs: ใช้กริยาแท้ที่ผันตามประธานและเวลาในประโยคที่มีการเปลี่ยนแปลงตาม tense เช่น She plays, They worked.
- Non-finite Verbs: ใช้กริยาไม่แท้ในรูป infinitive, gerund, หรือ participle เมื่อไม่ต้องการผันกริยาตามประธาน เช่น She wants to leave, I enjoy swimming, The man walking is my brother.
- Action Verbs: ใช้กับประโยคที่แสดงการกระทำหรืออาการที่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ เช่น He eats dinner, They run every morning.
- Linking Verbs: ใช้เชื่อมประธานกับคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน เช่น She is happy, The weather seems nice today.
- Auxiliary Verbs: ใช้กับประโยคที่ต้องการสร้าง tense, voice หรือ mood เช่น They are playing, She has finished her work, I do not know.
- Modal Verbs: ใช้เพื่อแสดงความสามารถ, การอนุญาต, ความคาดหวัง หรือคำแนะนำ เช่น You should study, She can dance, We must leave now.
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
ตรวจยีน APOE ‘รพ.เจ้าพระยา’ คัดกรอง ค้นหาความเสี่ยงอัลไซเมอร์

- “อัลไซเมอร์” เกิดจากความผิดปกติของโปรตีน Beta Amyloids และ Tau ส่งผลให้เซลล์สมองไม่ทำงาน หรือเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองขาดเลือด ไขมันในเลือดสูง และพันธุกรรม
- ยีน APOE มีความสัมพันธ์กับผู้ที่กำลังจะเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งถ้าคนเรามีการขนถ่ายไขมันที่ผิดปกติ จะทำให้การซัพพอร์ตการทำงานของสมองมีความบกพร่องไป และนานๆ เข้าจะทำให้สมองเสื่อมเกิดเป็นอัลไซเมอร์
- การสแกน MRI จะทำให้ได้คำตอบที่ละเอียด และช่วยแพทย์ในการเริ่มรักษาได้เร็วขึ้น ส่วนการตรวจตรวจ APOE gene เป็นการตรวจคัดกรองความเสี่ยงอัลไซเมอร์ที่จะช่วยให้ทุกคนดูแลตนเองมากขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย และการทานอาหารที่มีโภชนาการ
โรคอัลไซเมอร์ เป็นหนึ่งในกลุ่มของ โรคสมองเสื่อม (Dementia) ที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็น 60% – 80% ของกลุ่มผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมทั้งหมด ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้คนมีอายุยืนยาวสังคมไทยเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ โดยสมบูรณ์ และปัจจัยด้านอื่นๆ
ปี 2568 แม้ประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่แน่ชัด แต่จากรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยพบว่า หนึ่งในโรคที่เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของผู้สูงอายุคือ โรคสมองเสื่อม โดยรายงานในปี 2563 ประมาณการว่ามีผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมถึง 651,950 คน จากผู้สูงอายุ 12 ล้านคน คิดเป็น 5.43% ของผู้สูงอายุทั้งหมด โดยมีโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของสมองเสื่อมที่สำคัญที่สุด
ขณะที่ข้อมูลของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Association) ที่เก็บข้อมูลของชาวอเมริกัน พบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นทุกปี และสูงถึง 14 ล้านคนในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ประมาณการณ์ว่าในปี 2573 จะมีผู้สูงอายุป่วยเป็นอัลไซเมอร์เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,177,000 คน โดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนในการเป็นโรคนี้ประมาณ 5 -8% และเมื่อมีอายุ 80 ปีสัดส่วนของการเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงถึง 50%
เช็กสาเหตุการเกิด “โรคอัลไซเมอร์”
พญ.ตรีสุดา ลำใย แพทย์เฉพาะทางด้านสมอง และระบบประสาท ศูนย์สมองดี โรงพยาบาลเจ้าพระยา กล่าวว่า สาเหตุของ โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากการที่สมองของคนเรามีของเสีย ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ซึ่งของเสียดังกล่าว เรียกว่า Beta Amyloids เป็นโปรตีนที่อยู่ในรูปแบบที่บิดเบี้ยวผิดปกติ และสารอีกสารชื่อว่า Tau สองตัวนี้จะไปสะสมในสมอง ทำให้เซลล์ในสมองมีการทำงานที่ไม่ดี ต่อกันไม่ติดจูนกันไม่ดี
แล้วกลุ่มใหญ่ๆ ที่เชื่อว่า พี่ป้าน้าอาหลายคนอาจมีติดตัวอยู่บ้างคือ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคสมองขาดเลือด หรือมีประวัติสมองเลือดออก และไขมันในเลือดสูง โรคเหล่านี้ทำให้เส้นเลือดสมองอักเสบ เมื่อเส้นเลือดอักเสบจะทำให้การขนถ่ายออกซิเจนที่ไม่ดี และอาจจะมีช่วงๆ หนึ่งที่เซลล์สมองขาดเลือดไประยะเวลาสั้นๆ ซึ่งความสั้นๆ ดังกล่าว หากสะสมเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองค่อยๆ เสื่อมลงเรื่อยๆ ได้
ดังนั้น ตอนนี้ต่อให้หลายคนอาจเข้าใจว่าตัวเองไม่มีความเสี่ยงกับโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ แต่ถ้าเป็นโรคเหล่านี้ก็แสดงว่าเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์แล้ว
พันธุกรรม ยีน APOE สัมพันธ์อัลไซเมอร์
พญ.ตรีสุดา กล่าวต่อว่า ยังมีอีกสาเหตุที่สำคัญคือ พันธุกรรม ขณะนี้ในประเทศไทยหรือโรงพยาบาลทั่วไปอาจจะไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากการตรวจยีนบางที่ยังไม่ได้มีการนำเข้ามาหรือมีการแปลผลที่ค่อนข้างซับซ้อน โรงพยาบาลบางที่อาจไม่ได้มีการตรวจยีน โดยพันธุกรรมที่มีการพูดถึงมากที่สุดในเรื่องของ อัลไซเมอร์ คือ ยีน APOE ซึ่งหลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้ยิน เพราะมีโรงพยาบาลบางแห่งเท่านั้นที่นำมาตรวจ และ โรงพยาบาลเจ้าพระยา มีการนำยีนดังกล่าวเข้ามาตรวจ
“ยีน APOE มีการศึกษามากที่สุดของโรคอัลไซเมอร์ ว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ที่กำลังจะเป็นอัลไซเมอร์ นั่นคือ ยีน APOE จะทำหน้าที่ผลิตตัวโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Apolipoprotein ที่ทำหน้าที่ขนถ่ายไขมันไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งในสมองของคนเรา จะมีเซลล์พี่เลี้ยงที่คอยทำหน้าที่ขับของเสีย พยุงเซลล์สมองให้มีการทำงานปกติโดยต้องมีการใช้ไขมันเข้ามาช่วย ฉะนั้น ถ้าคนเรามีการขนถ่ายไขมันที่ผิดปกติ จะทำให้การซัพพอร์ตการทำงานของสมองมีความบกพร่องไป และนานๆ เข้าจะทำให้สมองเสื่อมเกิดเป็นอัลไซเมอร์ การที่จะมีโปรตีนผิดปกติจะต้องมีเรื่องของยีนตัวที่ผิดปกติร่วมขึ้นมาด้วย” พญ.ตรีสุดา กล่าว
วิธีตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อม
พญ.ตรีสุดา กล่าวต่อไปว่า การตรวจภาวะสมองเสื่อม หรือการตรวจอัลไซเมอร์ โดยทั่วไปต้องมีการซักประวัติของคนไข้ เพราะคนไข้แต่ละคนอาจจะมีแพทเทิร์นการลืมที่ไม่เหมือนกัน และแพทย์จะดูว่าความลืมของคนไข้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขามากน้อยอย่างไร รวมทั้งจะมีการประเมินแบบทดสอบทางความจำ เพื่อประเมินว่าเขาเสียในด้านไหนเป็นพิเศษ หรือมีภาวะสมองเสื่อมที่ได้คะแนนน้อยมากๆ แล้วหรือยัง
“การตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อม จะเริ่มจากการตรวจเลือดพื้นฐาน ตรวจเกลือแร่บางอย่างที่อาจผิดปกติทำให้คนไข้มีอาการสมองเสื่อมได้ เช่น ค่าการทำงานของไทรอยด์ ซึ่งหากไทรอยด์ถ้าทำงานน้อยกว่าปกติ หรือที่เขาเรียกว่า ไฮโปไทรอยด์ จะทำให้คนไข้มีอาการคล้ายๆโรคสมองเสื่อมได้ หรืออาจจะมีอาการทางอารมณ์บางอย่าง อาทิ ซึมเศร้า รู้สึกเหนื่อยๆ หรือบางคนเป็นชนิดที่เฉยเมยต่อทุกสิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดๆ เป็นคนเฉยๆ นิ่งๆ หรือว่าเหนื่อยง่าย มีตาบวม ขาบวม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้ามีการตรวจไทรอยด์แล้วรู้ว่าเป็นลักษณะของไทรอยด์ทำงานต่ำต้องไปรักษาไทรอยด์ก่อน ยังไม่ต้องไป MRI หรือมารักษาโรคสมองเสื่อม เพราะส่วนใหญ่หากรักษาไทรอยด์ได้แล้วหาย จะถือเป็นสาเหตุมาจากไทรอยด์” พญ.ตรีสุดา กล่าว
นอกจากนั้น ยังสามารถตรวจเช็กวิตามินบางอย่าง อาทิ โฟลิก วิตามินบี 12 ซึ่งถ้าขาดวิตามินเหล่านี้ ทำให้มีอาการคล้ายๆ โรคสมองเสื่อมได้
MRI รู้ผลละเอียด ช่วยแพทย์รักษาได้ทันที
พญ.ตรีสุดา กล่าวอีกว่า หากจะให้ละเอียดมากขึ้น แพทย์จะแนะนำให้สแกนสมองด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า MRI BRAIN 3 tesla เพื่อดูความฝ่อของสมอง เนื่องจากลักษณะสมองจะเห็นได้ละเอียดที่สุดถ้ามีการสแกนด้วย MRI จะทำให้เห็นสมองหน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูล หรือที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส ซึ่งไม่ว่าจะอายุเท่าไร สมองส่วนนี้ยังคงทำงานอยู่ แต่ถ้าอายุมากขึ้นจนกระทั่งเป็นโรคอัลไซเมอร์สมองส่วนนี้จะฝ่อลงจนทำให้มีลักษณะบางอย่างของอนาโตมี่ที่เปลี่ยนแปลงไป
“วิธีการตรวจ MRT สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ามีอาการฝ่อหรือไม่ แต่บางคนเห็นว่ามีความฝ่อลงแต่อาจจะไม่มีอาการอะไร แพทย์ก็จะต้องเฝ้าระวังไว้ แต่ถ้ามีอาการสมองเสื่อมร่วมกันและมีการMRI พบว่าฮิปโปแคมปัสฝ่อ จะสามารถพิจารณารักษาได้ทันที จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์ได้เริ่มการรักษาได้เร็วขึ้น อีกทั้ง การสแกน MRI จะทำให้ได้คำตอบเร็วขึ้นว่าจะคนไข้ควรจะได้รับการรักษาแบบไหน จะรักษาโดยใช้ยาอย่างเดียว หรืออาจต้องมีการผ่าตัดร่วมด้วย เพื่อจะทำให้อาการคนไข้ดีขึ้น” พญ.ตรีสุดา กล่าว
APOE gene ค้นหาความเสี่ยงอัลไซเมอร์
เมื่ออัลไซเมอร์ไม่ใช่ภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด ดังนั้น ต้องมีการหาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดภาวะความจำเสื่อม รวมถึงทักษะต่างๆในชีวิตที่ถดถอยลง เช่น เนื้องอก ภาวะน้ำในโพรงสมองคั่ง การติดเชื้อเรื้อรัง และตรวจ APOE gene เพื่อหาความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์
พญ.ตรีสุดา กล่าวด้วยว่า การตรวจยีนไม่แนะนำให้ตรวจในคนที่เป็นสมองเสื่อมอยู่แล้ว แต่ควรนำไปใช้ตรวจคัดกรอง เพื่อได้ทราบว่าคนที่เข้ารับการตรวจยีนจะมีโอกาสเป็นสมองเสื่อมในอนาคตหรือไม่ โดยกลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจได้แก่ กลุ่มช่วงวัยกลางคน หรือกลุ่มคนที่มีภาวะความจำระยะสั้น หลงลืมบ่อยๆ และกังวลว่าตัวเองจะเป็นภาวะสมองเสื่อม แนะนำให้มาตรวจ APOE gene เนื่องจากจะช่วยทำนายว่าในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าว่าคุณมีโอกาสที่จะเป็นอัลไซเมอร์มากน้อยเท่าไหร่
“การตรวจยีน เป็นการตรวจเพื่อทำนายความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ในอนาคต แต่ว่าคนที่มี APOE gene ผิดปกติ ไม่ได้จะเป็นอัลไซเมอร์ทุกคน อาจจะมีประมาณ 50-60% ที่ในอนาคตอาจจะเป็นอัลไซเมอร์ แต่ว่า 50-60% ก็ยังมีพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งที่คนที่มียีนผิดปกติอาจจะไม่ได้เป็นอะไร หรือในขณะเดียวกัน คนที่เป็นอัลไซเมอร์เมื่อตรวจ APOE gene อาจจะไม่ได้เจอความผิดปกติทุกคน เป็นเครื่องมือตรวจคัดกรองที่จะช่วยให้ทุกคนดูแลตัวเองมากขึ้น หรือรู้ว่าเข้าข่ายหรือยัง เป็นการเฝ้าระวัง ซึ่งการแปลผลอาจจะต้องประเมินด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การใช้ชีวิตภาวะหลงลืม ให้แพทย์เป็นผู้แจ้งผลตรวจดีกว่า เพราะการที่ไปตรวจเองโดยที่ไม่มีแพทย์แจ้งผล อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้” พญ.ตรีสุดา กล่าว
ยีน APOE ผิดปกติ เสี่ยงอัลไซเมอร์ 3-12 เท่า
พญ.ตรีสุดา กล่าวทิ้งท้ายว่า การตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อม APOE gene ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป หรือ กลุ่มวัยกลางคน เพราะเป็นช่วงที่แพทย์ทำนายได้มากที่สุดว่าโอกาส 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้าจะมีภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นหรือไม่ โดยถ้าเป็นคนที่มียีนผิดปกติอาจจะมีความเสี่ยง ซึ่งคนที่มีความผิดปกติของยีนชนิดนี้ มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าคนปกติ 3-12 เท่า และมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์เร็วกว่าคนที่มียีนปกติ 2.5 ปี การตรวจดังกล่าวสามารถตรวจครั้งเดียวแล้วรู้ถึงความเสี่ยงไม่จำเป็นต้องมาตรวจซ้ำ
“การป้องกัน โรคสมองเสื่อม สามารถทำได้โดยการปรับอาหาร ปรับโภชนาการ mediterranean diet Omega 3 fatty acid ซึ่งคนที่มียีน APOE ผิดปกติ ที่มีความเสี่ยงจะเป็นอัลไซเมอร์ได้เร็ว หรือมีความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ได้มากกว่าคนปกติ มีข้อมูลว่าการทาน Mediterranean diet จะทำให้ชะลอ หรือว่าลดโอกาสเกิดอัลไซเมอร์ได้ ดังนั้นการตรวจ APOE gene อาจจะแปลผลไม่ได้ตรงไปตรงมาก็จริง แต่ถ้าเรารู้ว่าเรามียีนที่ผิดปกติจะทำให้เราดูแลตัวเองได้มากขึ้น ทั้งในแง่ของการออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีโภชนาการ” พญ.ตรีสุดา กล่าว
ขณะที่การออกกำลังกายต้องสม่ำเสมอ ซึ่งมีงานวิจัยว่า คนที่เริ่มออกกำลังกายตั้งแต่ช่วงวัยกลางคน หรืออายุ 30 ปีขึ้นไปถึงช่วง 50 ปี จะส่งผลในระยะยาว เสมือนกับเงินออมเกษียณ เราออมไว้ตั้งแต่ตอนวัยกลางคนแล้วนำมาใช้ประโยชน์ตอนเกษียณ การที่ลงทุนออกกำลังกายให้สม่ำเสมอตั้งแต่ช่วงวัยกลางคนจะช่วยลดความเสี่ยงเป็น อัลไซเมอร์ ตอนอายุ 70-80 ปี ดังนั้นเริ่มเร็วยิ่งดี และสัมผัสแดดเช้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
มะม่วงสุก-มะม่วงดิบ แบบไหนดีกว่ากัน? รวมสรรพคุณเด็ดของมะม่วง ผลไม้สุดฮิต

หนึ่งในผลไม้ที่ถูกใจทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ แถมราคายังไม่แพง และหาซื้อได้ง่ายสุดๆ คงหนีไม่ “มะม่วง” ที่อร่อยได้ทั้งแบบดิบ และสุก แถมแต่ละสายพันธุ์ยังมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
มะม่วงดิบ – กรอบ เปรี้ยว เคี้ยวเพลิน แต่ต้องกินให้พอดี
มะม่วงดิบ มีรสเปรี้ยว เคี้ยวมัน เหมาะกับการจิ้มน้ำปลาหวานหรือพริกเกลือ จึงมักเป็นของว่างยอดฮิต แต่ต้องระวังเรื่องโซเดียมและน้ำตาลจากน้ำจิ้มด้วย
ประโยชน์ของ มะม่วงดิบ
มะม่วงดิบ มีทั้งรสหวานมัน และเปรี้ยวจี๊ด ด้วยเหตุนี้เองถึงทำให้มะม่วงเต็มไปด้วยวิตามินซี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน และแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ
ข้อเสียของมะม่วงดิบ
- อาจทำให้ท้องอืดหรือระคายเคืองกระเพาะในบางคน โดยเฉพาะถ้ากินขณะท้องว่าง
- ถ้ากินคู่กับน้ำปลาหวานบ่อย อาจเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงจากโซเดียม
กินยังไงให้สุขภาพดี
- เลือกจิ้มกับพริกเกลือสูตรโซเดียมต่ำ หรือกินเปล่าๆ กับเกลือเล็กน้อย
- ไม่ควรกินตอนท้องว่างหรือเกิน 1-2 ผลต่อวัน
มะม่วงสุก หวานหอม อร่อยแบบธรรมชาติ แต่ต้องระวังน้ำตาล
มะม่วงสุกอุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอและซี ช่วยบำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกัน และยังให้พลังงานสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังระหว่างวัน
ประโยชน์ของ มะม่วงสุก
มะม่วงสุก จะมีสีเหลือง จึงเต็มไปด้วยวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันสายตามัวมองเห็นไม่ชัดในเวลากลางคืน และยังมีฤทธิ์เป็นยาระบาย มีกากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
ข้อเสียของมะม่วงสุก
- มีน้ำตาลธรรมชาติสูง กินมากอาจทำให้น้ำหนักขึ้นหรือกระทบระดับน้ำตาลในเลือด
- ค่าดัชนีน้ำตาลสูงกว่าแบบดิบ ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
กินยังไงให้สุขภาพดี
- กินเป็นของหวานหลังมื้อหลัก ไม่เกินครึ่งผลต่อครั้ง
- หากเป็นผู้ป่วยเบาหวานหรือควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณ
ข้อควรระวังในการทานมะม่วง
หลายคนอาจมีปัญหาท้องอืด หนักท้องเมื่อทานมะม่วงดิบมากเกินไป จึงควรทานครึ่งลูกใหญ่ หรือ 1 ลูกเล็กหลังมื้ออาหาร ไม่ควรทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องอืด รู้สึกอึดอัดเหมือนอาหารไม่ย่อยได้
สำหรับมะม่วงสุก เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงเช่นกัน ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง เพราะเป็นผลไม้ที่มีพลังงานสูง ยิ่งทานเป็นเมนูข้าวเหนียวมะม่วงยิ่งแล้วใหญ่ สำหรับคนปกติที่ไม่มีโรคประจำตัวอะไร สามารถทานมะม่วงสุกได้ ¾ ผล หลังมื้ออาหาร
สรุปเลือกมะม่วงแบบไหนดี?
- คุมน้ำหนัก/เบาหวาน: เลือกมะม่วงดิบ (กินแบบพอดี ไม่จิ้มน้ำปลาหวาน)
- ต้องการพลังงานเร็ว/บำรุงสุขภาพทั่วไป: มะม่วงสุกตอบโจทย์
- คนรักสุขภาพทั่วไป: กินสลับกันได้ แต่ควบคุมปริมาณและวิธีการกินให้เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/04/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 52,200.00 | 52,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,381.00 | 51,255.96 | 53,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,042.90 | 46,130.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,704.80 | 41,004.77 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,521.00 | 23,065.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,183.00 | 17,939.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,504.00 | 53,114.98 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/04/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.85 | 32.85 | 33.35 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 | 32.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.48 | 32.48 | 32.98 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 | 32.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.14 | 30.64 | 30.64 | – | 30.64 | 30.64 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.99 | 28.99 | – | – | – | – | – | – | – | 28.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.44 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.44 |
เบนซิน 95 | 41.14 | – | – | – | 48.81 | – | 41.64 | 41.29 | – | 41.14 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |