‘แกรนดิโอ ขอนแก่น’เฟสแรกSOLD OUTสะท้อนพลังซื้อแนวราบเมืองใหญ่

เฟรเซอร์สฯ ปิดเฟสแรก‘แกรนดิโอ ขอนแก่น’ใน 2 วัน กวาดยอดขายกว่า 300 ล้าน ขานรับดีมานด์แนวราบเมืองใหญ่ภาคอีสานที่เชื่อมอนาคตสู่สมาร์ทซิตี้
ท่ามกลางกระแสตลาดอสังหาฯ ระดับภูมิภาคที่เริ่มขยับตัวตอบรับความเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างเมืองและพฤติกรรมผู้บริโภค โครงการ “แกรนดิโอ ขอนแก่น–มิตรภาพ” โดย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของความสำเร็จในทำเลศักยภาพ
ภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพียงแค่เปิด Presale ระหว่างวันที่ 24-25 พฤษภาคมที่ผ่านมา เฟสแรกของโครงการสามารถ SOLD OUT 50 ยูนิต ภายใน 2 วัน พร้อมกวาดยอดขายรวมกว่า 300 ล้านบาทเกินความคาดหมาย สะท้อนดีมานด์แนวราบระดับพรีเมียมในจังหวัดขอนแก่นที่ยังแข็งแรงและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ศักยภาพ ‘ขอนแก่น’ เมืองหลักที่เชื่อมอนาคต
ขอนแก่นไม่ใช่เพียงเมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่กำลังขยับสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ การศึกษา และโลจิสติกส์ โดยเฉพาะทำเล ถนนมิตรภาพ ซึ่งเชื่อมโยงการเดินทางด้วยโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น สนามบินนานาชาติขอนแก่น โครงการรถไฟทางคู่
การเตรียมรองรับรถไฟความเร็วสูง ทั้งหมดนี้หนุนให้ แนวราบระดับพรีเมียม กลายเป็นตัวเลือกหลักของกลุ่มมีกำลังซื้อที่ต้องการทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุน
“โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยง บวกกับความเป็น Smart City ทำให้ขอนแก่นมีศักยภาพในการเติบโตด้านที่อยู่อาศัยระยะยาว” ภวรัญชน์
กล่าว
ความสำเร็จในขอนแก่นยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ล่าสุด เฟรเซอร์สฯ เตรียมเปิดอีก 2 โครงการ คือแกรนดิโอ โคราช–เทอร์มินอล บ้านเดี่ยวหรู เริ่มต้น 8–20 ล้านบาทและโกลดีน่า สุขุมวิท–แบริ่ง ทาวน์โฮมพรีเมียม ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการขยายพอร์ตอสังหาฯ ระดับบนในทำเลศักยภาพทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง
“เรายึดมั่นในการพัฒนาโครงการคุณภาพบนทำเลที่ตอบโจทย์จริง ทั้งด้านไลฟ์สไตล์และการลงทุน”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผังกทม.เลื่อนใช้ปี70 อสังหาฯรอจังหวะฟื้นตัว สร้างคอนโด-ตึกสูงแนวรถไฟฟ้าใหม่

ผังกทม.ใหม่(ฉบับปรับปรุงครั้งที่4) เลื่อนใช้ปี70อสังหาฯ รอจังหวะฟื้นตัว สร้างคอนโด-ตึกสูง อาคารใหญ่ ใหญ่พิเศษ แนวรถไฟฟ้า
การจัดทำร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 4) ของกรุงเทพมหานคร(กทม.)เพื่อใช้แทนผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับปัจจุบัน(ปี2556) ที่ใช้มากว่า 10 ปีและมีความล้าสมัยไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรัฐ โครงข่ายรถไฟฟ้า การพัฒนาของภาคเอกชน
ที่ผ่านมากทม.มีหมุดหมายที่จะประกาศใช้ให้ทันอย่างเร็วภายในปี2563 อย่างช้าปี 2564 แต่เนื่องจากต้องนับหนึ่งใหม่หลังพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การผังเมืองฉบับใหม่มีผลใช้ปี2562 ผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19
ประกอบกับการร้องเรียนของภาคสังคมประชาชน เป็นวงกว้างโดยเฉพาะเรื่องของโครงข่ายถนนในร่างผังเมืองรวมกทม. และมีเป้าหมายประกาศใช้ปี 2569 แต่ล่าสุดต้องเลื่อนออกไป เป็นปี 2570 เพราะต้องมีการปรับแก้อีกหลายประเด็นPlayNextMute
ในที่สุด กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ให้คำแนะนำกับกทม.ว่าไม่ควรปรับเปลี่ยนแก้ไขไปจากเดิมมากนักเพราะก่อนหน้านี้ ได้แก้ไขไปมากพอสมควรและยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนกว่าจะประกาศใช้ ในทางกลับกันความล่าช้าของการประกาศใช้ผังเมืองรวมฉบับใหม่ และเลื่อนไปในปี 2570 นับเป็นผลดี เนื่องจาก
ขณะนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ตกอยู่ในช่วงชะลอตัว หลายปัจจัยซํ้าเติมทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่28มีนาคม 2568 ความผันผวนของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า กำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา

ฉุดการค้าการส่งออกหดตัว กำลังซื้อในประเทศ หายไปจากตลาด จากหนี้ครัวเรือน สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ กำลังซื้อต่างชาติลดลงและนำมาซึ่งสต๊อกที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนมาก ไม่ตํ่ากว่า 2 แสนหน่วย 1.3ล้านล้านบาทในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
ต้องรอระบายสินค้าออกต้องใช้เวลานาน ไม่ตํ่ากว่า 48เดือนตามการวิจัยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และปีนี้ประเมินว่าจะมีปริมาณจำนวนหน่วยเหลือขายสะสม อีกจำนวนมาก
ดังนั้นหากผังเมืองกทม.ใหม่ประกาศใช้ปี2570 มองว่าจะก้าวข้ามวิกฤตออกไป เนื่องจากมีการเพิ่มการใช้ประโยชน์ที่ดินค่อนข้างมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะรอบสถานีรถไฟฟ้าที่ขยายเส้นทางและเปิดให้บริการทุกสีทุกสายในขณะนี้
“ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวมกทม.ใหม่ พบว่าพื้นที่สีส้มที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (ย.6-ย.10) มีการเปลี่ยนแปลงสูงครองพื้นที่ 349.95 ตร.กม. เพิ่มขึ้น 23.49% คิดเป็น 41.06% ของพื้นที่รวมกทม.1,568.73ตร.กม.เมื่อเทียบกับผังเมืองรวมกทม. ปี2556 มีพื้นที่ 248.08 ตร.กม.
ส่งผลดีต่อดีเวลลอปเปอร์ เพิ่มพื้นที่ขาย โครงการได้มากขึ้น คือ สามารถสร้างอาคารสูงเกิน 23 เมตร และอาคารขนาดใหญ่พิเศษเกิน 1 หมื่นตารางเมตร ได้โดยเฉพาะทำเลรอบสถานีรถไฟฟ้าที่เป็นทั้งสถานีเดี่ยวๆ และสถานีร่วมรถไฟฟ้า ที่ ขยายรัศมีพัฒนา ตึกสูงเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบโดยรูปแบบแรก
ทั้งนี้หากเป็นสถานีเดี่ยวไม่เป็นจุดตัดรถไฟฟ้าสายอื่น จะกำหนดรัศมีการพัฒนา 3 วง ได้แก่ 1.รัศมีวงในสุด ติดสถานีรถไฟฟ้า วัดจากจุดกึ่งกลางสถานี ออกมารัศมี 500เมตร สร้างตึกสูงไม่จำกัด อาคารขนาดใหญ่พิเศษเกิน 1 หมื่นตารางเมตร 2.วงถัดมา วัดจากกึ่งกลางสถานีออกมา 650 เมตร
และ วงที่ 3. วัดจาก จุดกึ่งกลางสถานีออกมา 800เมตร ซึ่งวงที่2และ3 การก่อสร้างจะมีขนาดพื้นที่ลดหลั่นกันออกไป ตามค่า FAR (Floor Area Ratio) อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดินโดยเฉพาะ พื้นที่สีส้ม FAR จะอยู่ที่ 5-7 หรือสร้างได้ 5-7เท่าของแปลงที่ดิน
ส่วนสถานีร่วม หรือสถานีที่เป็นจุดตัดรัศมีการพัฒนา วัดจากกึ่งกลางสถานีรถไฟฟ้า ออกไป 800เมตรสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษที่ความสูงไม่จำกัดได้ ทั้งวงรัศมีที่ 800 เมตร ที่ขึ้นอยู่กับค่าFAR ขณะผังเดิมกำหนดให้พัฒนาได้ในรัศมีไม่เกิน 500 เมตร เมื่อเขตที่ดินหลุดจากรัศมีดังกล่าวไม่สามารถ สร้างตึกสูงได้
ราคาที่ดินอาจไม่สูง เพราะไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน แต่หากต้องการสร้างพื้นที่เชิงพาณิชย์ขายเพิ่มขึ้นอีก20% ผังกทม.ใหม่จะให้โบนัสเพิ่มเมื่ออุทิศที่ดินส่วนหนึ่งนำมาจัดทำสาธารณูปโภคให้บุคคลภายนอกได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น สวนสาธารณะ สะพานลอยคนข้าม ทางจักรยาน ฯลฯ
ขณะพื้นที่สีเหลือง ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย(ย.1-ย.5) ลดลง -19.98% อยู่ที่350.17 ตร.กม.สัดส่วน 23.54% เมื่อเทียบกับผังเมืองกทม.ปี2556 มีจำนวน มากถึง438.33ตร.กม. คิดเป็น 27.90% นั้นหมายถึงพื้นที่สีเหลืองส่วนใหญ่ถูกยกระดับให้เป็นพื้นที่สีส้มใช้ประโยชน์ที่ดินเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
สำหรับพื้นที่สีเหลือง ที่ปรับเป็นพื้นที่สีส้ม จะเป็นโซนที่มีรถไฟฟ้าสายใหม่เกิดขึ้น ได้แก่ ถนนรามคำแหง ตลอดแนว จากการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้มพาดผ่านถนนลาดพร้าว ต่อเนื่องไปถนนศรีนครินทร์ มีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เปิดให้บริการ ถนนรามอินทรา รถไฟฟ้าสายสีชมพู
รวมถึงย่านฝั่งธนบุรี มีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีนํ้าเงิน รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก รถไฟฟ้าสายสีแดง ไปตลิ่งชัน ที่ย่านดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงสูง รวมถึงเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง โซนเขตทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ
ส่วนพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง ที่น่าจับตาคือพื้นที่ สีเขียวแยงขาว ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ทั้งฝั่งตะวันตก อาทิ ย่านตลิ่งชัน และฝั่งตะวันออก โซนที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ฟลัดเวย์หรือทุ่งรับนํ้า ซึ่งเป็นพื้นที่บางบริเวณของ เขตคลองสามวา มีนบุรี หนองจอก จากทางตอนเหนือของกทม.
ที่ดินเขียวทแยง ที่ดินอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ก.1) ปี2556 มีพื้นที่ 240.32ตร.กม.สัดส่วน15.32% ผังใหม่ 50.60 ตร.กม. เหลือเพียง 3.40% ลดลง -78.94% กลายเป็น พื้นที่สีเขียว ที่ดินเกษตรกรรม(ก.2 และก.3) ที่สามารถเพิ่มความถี่พัฒนาเป็นบ้านจัดสรรได้เป็นต้น
ขณะทำเลพหลโยธินเดิมเป็นพื้นที่สีส้มได้ปรับเปลี่ยนเป็ นพื้นที่สีนํ้าตาลที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากเพราะรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตั้งแต่ จตุจักรไปถึงรัชโยธินทำเลทองมิกซ์ยูสใหม่หรือการพัฒนาโครงการพาณิชย์แบบผสมผสานปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวกันมาก
โดยสรุปหากผังเมืองรวมกทม.ประกาศใช้ปี2570 เปิดโอกาสการพัฒนาที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ ช่วงนั้น “ฟ้า-ฝน” จะเป็นใจให้ตลาดอสังหา ริมทรัพย์ของไทยหรือไม่ ต้องจับตามองโดยเฉพาะสถาบันการเงิน !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30พ.ค. “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าอย่างจำกัดได้ จากปัจจัยราคาทองที่มีโอกาสย่อตัวลง ประกอบกับผู้นำเข้ายังคงมีความต้องการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้30 พ.ค.2568ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.71 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า แม้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท จะสวนทางกับการประเมินของเราในวันก่อนหน้า
ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผู้เล่นในตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะ หากเห็นความเสี่ยงของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมถึงอาจกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เพิ่มเติม ทำให้ ธีม Sell US Assets กลับมาอีกครั้ง และหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่สดใส แย่กว่าคาดด้วยเพิ่มเติม ก็จะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงสินทรัพย์สหรัฐฯ ได้ไม่ยาก
อนึ่ง เรามองว่า แม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจยังคงมีความต้องการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์อยู่ในช่วงปลายเดือน
นอกจากนี้ การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้ ราคาทองคำก็มีโอกาสที่จะย่อตัวลงมาบ้าง และช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
(ทั้งนี้ เราอยากจะขอย้ำว่า ราคาทองคำควรมองเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่ทำให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้น หรือ อ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำด้วยเช่นกัน) ส่งผลให้โดยรวมเรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจติดแถวโซนแนวรับ 3235 บาทต่อดอลลาร์ ได้ แม้เงินบาทจะสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังติดแถว 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป หากเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง ก็จะอยู่แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.75 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.51-32.78 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงบ่ายวันก่อนหน้า ตามการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
ทว่า เงินบาทก็ได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดเลือกจะเดินหน้าเทขายเงินดอลลาร์อีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังล่าสุดศาลอุทธรณ์ ได้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) ที่ได้ระงับการใช้มาตรการภาษีนำเข้าก่อนหน้า เป็นการชั่วคราว ส่งผลให้มาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาล Trump 2.0 ยังคงมีผลบังคับใช้
พร้อมกันนี้ศาลอุทธรณ์ยังได้ให้เวลาฝ่ายโจทก์และฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบสนองต่อคำสั่งดังกล่าวภายในวันที่ 5 มิถุนายน และ 9 มิถุนายน ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด
อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมผู้เล่นในตลาดได้เพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 100% จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 70%
และนอกเหนือแรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านอีกครั้งของราคาทองคำ
แม้ว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Nvidia +3.3% จากรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่สดใส ทว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งจำกัดการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.19% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจขึ้นกับคำตัดสินของศาล และความเสี่ยงที่ทางการสหรัฐฯ อาจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม
อาทิ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่ม Pharmaceuticals ซึ่งกดดันบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ในยุโรป อาทิ Novo Nordisk -2.4% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +0.7% หลัง Nvidia รายงานผลประกอบการที่สดใส
ในส่วนตลาดบอนด์ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ จากเดิมที่ผู้เล่นในตลาดให้ โอกาสราว 70% ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.43%
อย่างไรก็ตาม เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง ทำให้ เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ก็จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip) ได้ โดยเฉพาะโซนสูงกว่าระดับ 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกกลับเข้าถือสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซน 144 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 99.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-100.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้กลับมาหนุนให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะถือทองคำ อีกครั้ง กอปรกับการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025)
ทยอยปรับตัวขึ้น เข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น แถว 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรทองคำแถวโซนแนวต้าน ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัด
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 8.30 น. ของเช้าวันเสาร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน (Official Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนได้
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง หลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ทว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังสามารถเลือกใช้กฎหมายบางมาตรา เพื่อเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้าได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.57-32.59 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.37 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทแข็งค่ากลับมา ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ กลับมาเผชิญแรงขายอีกครั้ง หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงกดดันจากการที่ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวกดดันนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดที่ยังไม่ลดดอกเบี้ยในการพบกัน face-to-face ที่ทำเนียบขาวด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.40-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วอลเลย์บอลหญิงไทยซ้อมส่งท้ายก่อนบินลุย VNL 2025 สนามแรกที่ปักกิ่ง

ทัพลูกยางสาวไทยลงซ้อมครั้งสุดท้ายที่หัวหมาก ก่อนออกเดินทางสู่ปักกิ่ง 30 พ.ค.นี้ เตรียมลุยศึกวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2025 (VNL 2025) สนามแรก พบโปแลนด์แมตช์เปิดหัว 4 มิ.ย. นำโดย “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตะเกรียงไกร
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตะเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ได้นำนักกีฬาลงสนามฝึกซ้อมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันรายการ FIVB Volleyball Women’s Nations League 2025 สนามแรก ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 4-8 มิถุนายน 2568
การฝึกซ้อมวันนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเริ่มต้นด้วยกิจกรรม เดินจงกรมและนั่งสมาธิ เพื่อเสริมสร้างสมาธิและความพร้อมทางด้านจิตใจ ก่อนเข้าสู่การฝึกซ้อมเชิงแท็กติกที่เตรียมไว้สำหรับการเผชิญหน้าคู่แข่งในเวทีระดับโลก
สำหรับ โปรแกรมการเดินทาง ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยมีกำหนดออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ (30 พฤษภาคม) เวลา 10:00 น. จากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG614 มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง และจะเข้าแคมป์ฝึกซ้อมเพิ่มเติมอีก 3 วัน เพื่อเตรียมความพร้อมเต็มที่ก่อนประเดิมแมตช์แรกในวันที่ 4 มิถุนายน พบกับทีมชาติโปแลนด์
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
“ซิฟิลิส” โรคอันตรายที่ไม่ได้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างเดียว

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสัมผัสแผลหรือสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ และสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ โรคนี้มีความร้ายแรงสูงหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาการเริ่มต้นมักไม่ชัดเจนและไม่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยมักมองข้ามและปล่อยให้เชื้อแพร่กระจายไปยังอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ และระบบประสาท ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหรือการเสียชีวิตได้ในที่สุด การรู้จักอาการ ระยะของโรค และวิธีการป้องกันที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพทางเพศของทุกคน
ถึงแม้ว่าซิฟิลิส จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย แต่สาเหตุและการติดต่อของโรคนี้ก็ไม่ได้มาจากเพศสัมพันธ์อย่างเดียวเท่านั้น
ซิฟิลิส คืออะไร
ผศ. นพ.คมกฤช เอี่ยมจิรกุล สาขาวิชาอนามัยการเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ซิฟิลิส (syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม หรือ Treponema Pallidum เชื้อแบคทีเรียนี้จะอยู่ในเลือดและสารคัดหลั่งต่างๆ จากร่างกาย รวมถึงในน้ำลายด้วย สามารถติดต่อด้วยการสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น การจูบ มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางอนามัย และรวมถึงการทำออรัลเซ็กซ์ ก็จะทำให้ติดเชื้อได้
ซิฟิลิส ติดต่อกันได้ทางไหนบ้าง
- มีเพศสัมพันธ์ แบบไม่ใส่ถุงยางอนามัย และรวมถึงการทำออรัลเซ็กซ์
- ผ่านการสัมผัส แผลติดเชื้อ การจูบกับผู้ป่วย
- ติดต่อจากแม่สู่ลูก
- รับเลือดมาจากผู้ติดเชื้อ
- สัมผัสเข็มที่ติดเชื้อ
อาการของโรคซิฟิลิส
ซิฟิลิส มีกี่ระยะ? แต่ละระยะมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคซิฟิลิส สามารถแบ่งออกตามระยะของโรคที่เป็นอยู่ได้ ดังนี้
- ระยะที่ 1 (primary syphilis)
อาการที่จะแสดงในระยะแรกคือเกิดแผลริมแข็งเล็กๆ ที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก ผู้ป่วยอาจไม่ทันได้สังเกตหรือไม่รู้ตัว เนื่องจากแผลที่เกิดขึ้นไม่มีอาการเจ็บปวด
- ระยะที่ 2 (secondary syphilis)
เป็นระยะที่เกิดผื่นขึ้นมาตามตัว ฝ่ามือ และฝ่าเท้า หรือบางครั้งอาจเกิดแผลนูนด้วย
- ระยะแฝง (latent stage)
ซิฟิลิสระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการที่บ่งบอกว่าเป็นซิฟิลิสเลย ซึ่งอาจเป็นระยะที่แพร่เชื้อได้มากที่สุด
- ระยะที่ 3 (tertiary stage)
เชื้อจะลุกลามไปยังระบบหัวใจและหลอดเลือด สุดท้ายจะลามไประบบประสาท ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจอันตรายถึงชีวิตได้
การวินิจฉัยและการรักษาซิฟิลิส
แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจเลือด ตรวจแผลด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือเจาะน้ำไขสันหลังในบางกรณี การรักษามาตรฐานคือการฉีดยาปฏิชีวนะ เพื่อกำจัดเชื้อ โดยขึ้นอยู่กับระยะของโรค หากรักษาตั้งแต่ระยะแรกสามารถหายขาดได้ ผู้ติดเชื้อควรงดมีเพศสัมพันธ์จนผลเลือดเป็นลบ และแจ้งคู่นอนให้เข้ารับการตรวจด้วย
อันตรายของโรคซิฟิลิส
โรคซิฟิลิสมีหลายระยะ และบางระยะอาจจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลย ผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้วถึงจะแสดงอาการออกมาให้เห็น หากไม่ได้รับการรักษาเชื้อแบคทีเรียจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วจนอาจส่งผลต่อสมอง ระบบประสาท อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ หรืออาจจะร้ายแรงถึงขั้นพิการ และเสียชีวิตได้
วิธีป้องกันโรคซิฟิลิส
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่
- งดการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่นอนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เป็นซิฟิลิส
- ไม่สัมผัสกับแผลของผู้ที่ติดเชื้อ
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
- ตรวจเลือดเมื่อมีความเสี่ยง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คําศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มักเขียนผิด กันบ่อยๆ

“คําศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่มักเขียนผิดบ่อยๆ”
7 คําศัพท์ภาษาอังกฤษที่มักเขียนผิด และมีความหมายเปลี่ยนไป
เริ่มจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษสองคำนี้
Angel & Angle
เป็นคำที่น้องๆ อาจสับสนและบางคนมักเขียนผิดหรือใช้ผิดอยู่บ่อยๆ
Angel (เอน’ เจิล) [n.] แปลว่า ทูตสวรรค์, เทวทูต, นางฟ้า, คนที่ใจดี
You are an angel of a child.
Angle (แอง’ เกิล) [n.] แปลว่า มุม
This table is at an angle.
Dessert & Desert
เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่พบเจอบ่อยๆ ในร้านอาหารหรือร้านขนมหวาน สะกดกันให้ถูกต้องนะคะ
Dessert (ดิเซิร์ท’) [n.] แปลว่า ของหวาน
I’d like to have cake for dessert.
Desert (เดส’เซิร์ท) [n.] แปลว่า ทะเลทราย
This is an animal found in that desert.
Calm & Clam
เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้าพิมพ์ผิดหรือเขียนผิดละก็แย่แน่เลย
Calm (คาล์ม) [n.] แปลว่า ความสงบ
Stay calm whatever happens
Clam (แคลม) [n.] แปลว่า หอยตลับ
You know I don’t eat clams.
Lamp & Lamb
เป็นคำภาษาอังกฤษที่เราพบเจอบ่อยๆ และมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งการเขียนและการพูด
Lamp (แลมพฺ) [n.] แปลว่า โคมไฟ
This lamp sends out a powerful beam.
Lamb (แลมบ์) [n.] แปลว่า ลูกแกะ
They keep lambs for meat in Arabia.
Made & Maid
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2 คำนี้ออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน คำว่า Made เป็นคำที่เราพบเจอบ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน ตามสลากหรือผลิตภัณฑ์ ที่ระบุผู้ผลิต Made in …หรือคนไทยใช้เรียกสิ่งของที่ทำด้วยมือว่า Handmade
Made (เมด) [adj., v.กริยาช่องที่ 2 และ 3 ของ make] แปลว่า ซึ่งทำขึ้น
She made cookies for the children.
Maid (เมด) [n.] แปลว่า สาวใช้
Please have the maid carry it to my room.
Accessory & Accessary
น้องๆ น่าจะรู้จักคำว่า Accessory กันเป็นอย่างดี เช่น สร้อย แหวน กำไล ต่างหู
Accessory (แอคเซส’ โซรี) [n.] แปลว่า เครื่องประดับ
That glittering accessory doesn’t go with your sweatshirt.
She made cookies for the children.
Accessary (แอคเซส’ ซารี) [n.] แปลว่า ผู้สมคบคิด, ผู้ร่วมมือ
He was charged with being accessary to the crime.
Steel & Steal
เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ออกเสียงเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน น้องๆอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง ในรายการเกมโชว์ที่มีการ Steal ผู้เข้าแข่งขัน
Steel (สทีล) [n.] แปลว่า เหล็ก
This steel is stainless.
Steal (สทีล) [v.] แปลว่า ขโมย
It is wrong to steal money.
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
ไทยเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วย AI

ไทย เร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วย AI ตั้งเป้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและ AI ของอาเซียน ขณะที่ หัวเว่ยเดินหน้าสนับสนุนประเทศไทยสู่อนาคตอัจฉริยะ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ตอกย้ำวิสัยทัศน์ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางด้านดิจิทัลและ AI ของอาเซียน” ภายในปี 2570 ในงาน Huawei Thailand Digital & AI Summit 2025 ที่จัดขึ้นวันนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน รวมถึงผู้นำภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และนักวิชาการ เพื่อร่วมกำหนดทิศทางอนาคตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมดิจิทัลจะเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต
“เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะขยายตัว 7.3% ในปี 2568 ภายใต้นโยบาย Growth Engine of Thailand เรามุ่งเสริมศักยภาพทางดิจิทัลของประเทศ ควบคู่กับการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย และพัฒนาบุคลากรดิจิทัลที่มีทักษะสูง ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างหัวเว่ยจะช่วยวางรากฐานที่มั่นคงให้กับทุกภาคส่วนของสังคมไทย”PlayNextMute
รัฐมนตรีกระทรวง DE ยังกล่าวถึงยุทธศาสตร์ดิจิทัล 3 แกนหลักของรัฐบาล ได้แก่:
1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่ง ด้วยนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First), การยกระดับบริการภาครัฐ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ
2.สร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน
3.พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล ด้วยการยกระดับทักษะประชาชน 10 ล้านคน ฝึกอบรมบุคลากรดิจิทัล 90,000 คน และสร้างนักพัฒนา AI 50,000 คน ภายใน 2 ปี
ทั้งนี้ เพื่อสอดรับกับนโยบายการพัฒนาบุคลากรดิจิทัลดังกล่าว หัวเว่ยและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือกันเพื่อผลักดันระบบนิเวศนวัตกรรม AI และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือนี้ครอบคลุมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT การออกแบบหลักสูตรร่วมด้าน AI, Cloud, Big Data, IoT และ Digital Leadership รวมถึงการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสู่ Smart Campus อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ความร่วมมือกับหัวเว่ยครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาคการศึกษา และเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาและบุคลากรของเราสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่”
ความร่วมมือครั้งนี้ จะใช้ประโยชน์จาก 4 เสาหลักของ Huawei ASEAN Academy (Thailand) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรอย่างรอบด้าน ได้แก่ 1) Business School for Leaders เสริมสร้างความเป็นผู้นำดิจิทัลให้กับผู้บริหารในอนาคต 2) Technical School for Creators ฝึกฝนทักษะด้าน AI, Cloud และเทคโนโลยีเกิดใหม่ 3) Engineer School for Practitioners ยกระดับความสามารถเชิงปฏิบัติสำหรับวิศวกร และ 4) Digital Inclusion for Users ส่งเสริมการเข้าถึงและการรู้เท่าทันดิจิทัลในวงกว้าง
หัวเว่ยเดินหน้าสนับสนุนประเทศไทยสู่อนาคตอัจฉริยะ
หัวเว่ยมุ่งมั่นในการร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของไทย ด้วยยุทธศาสตร์ครบวงจรที่ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล คลาวด์ที่พร้อมสำหรับ AI และการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมร่วมกับพันธมิตร
นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “AI มาถึงในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและอัจฉริยะไทย ในอีก 5 ปี ข้างหน้า เศรษฐกิจดิจิทัลคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่า GDP ถึง 3 เท่า การผสานเทคโนโลยี 5G คลาวด์ และ AI เข้าด้วยกัน ช่วยให้แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็ก เช่น เกษตรกร ก็สามารถนำเครื่องมืออย่างอวาตาร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้ในการขายสินค้าออนไลน์และไลฟ์สดได้”
นายวิลเลียม ตง ประธานฝ่ายการตลาดของหัวเว่ย คลาวด์ (Huawei Cloud) เน้นย้ำว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระดับโลก โดยมีคลาวด์เป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเข้าถึง AI อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม การลงมือทำทันที คือ กุญแจสำคัญในการคว้าโอกาสจาก AI ภายใต้กลยุทธ์ที่ชัดเจน Huawei Cloud พร้อมสนับสนุนประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการเฉพาะด้าน และการพัฒนาบุคลากรในประเทศอย่างต่อเนื่อง
หัวเว่ยได้เปิดตัวโซลูชัน AI รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งประกอบด้วย:
• AI-native Cloud Infrastructure ที่รองรับการประมวลผลแบบตามต้องการ
• AI-ready Data Infrastructure ที่รวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างครบวงจร
• AI Connectivity ที่เชื่อมโยงข้อมูลและระบบได้อย่างไร้รอยต่อ
• โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น Pangu LLM และ DeepSeek ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมไทย
• โซลูชัน Digital Power ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย และมีเสถียรภาพ
• แอปพลิเคชัน AI สำหรับผู้บริโภค ครัวเรือน และองค์กรธุรกิจ
นอกจากนี้ยังเปิดเวทีให้พันธมิตรในระบบนิเวศมากกว่า 40 ราย ร่วมจัดแสดงนวัตกรรม AI และดิจิทัลในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ภาครัฐ การเงิน การศึกษา และค้าปลีก พร้อมเปิดตัวชุมชนเทคโนโลยีใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ IP Club, OptiX Club และ OceanClub เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของวิศวกรไทย
ด้วยมูลค่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลโดยภาครัฐและเอกชนรวมกว่า 500,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 ประเทศไทยมีศักยภาพเต็มเปี่ยมในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำแห่งเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI ในภูมิภาค
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“มะยงชิด” มีประโยชน์ และผลกระทบ ผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

มะยงชิด จัดเป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกับมะปราง หรือเป็นมะปรางอีกชนิดหนึ่ง ทำให้ลักษณะผลของมะยงชิดจะคล้ายคลึงกับมะปรางมาก โดยผลมะยงชิดมีทั้งผลขนาดเล็ก ขนาดปานกลาง และขนาดใหญ่ ตามลักษณะของสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป ส่วนรสชาติของมะยงชิดผลดิบจะออกเปรี้ยว ถ้าผลสุกจะให้รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย หรือบางพันธุ์อาจมีรสหวานน้อย เปรี้ยวมากก็เป็นได้ มีสรรพคุณดีต่อสุขภาพไม่น้อย
มะยงชิดเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงฤดูร้อน ไม่เพียงแต่รสชาติที่อร่อยสดชื่นเท่านั้น มะยงชิดยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็มีผลกระทบที่ควรระวังเช่นกัน
ประโยชน์ของมะยงชิด
1.อุดมด้วยวิตามินซี
มะยงชิดเป็นแหล่งของ วิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ชะลอวัย
2.ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินและสารพฤกษเคมีในมะยงชิด เช่น แคโรทีนอยด์ และฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ
3.ช่วยในการขับถ่าย
มะยงชิดมีใยอาหาร (fiber) ในระดับปานกลาง ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
4.ดีต่อผิวพรรณ
วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยบำรุงผิว ลดริ้วรอยจากแสงแดด และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
5.ให้พลังงานอย่างรวดเร็ว
ด้วยน้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้ เช่น กลูโคสและฟรุกโตส มะยงชิดจึงให้พลังงานรวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายหรือใช้พลังงานมาก
6.บำรุงสายตา
มะยิงชิดมี เบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยในการมองเห็นและป้องกันโรคตา เช่น ต้อกระจก
นอกจากนี้ มะยงชิด ยังมีวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน ใยอาหาร เป็นต้น
ผลเสียต่อสุขภาพของมะยิงชิด
1.น้ำตาลและแคลอรีสูง
มะยงชิดสุกมีรสหวานจัด จึงมีน้ำตาลธรรมชาติในปริมาณมาก โดยเฉพาะเมื่อรับประทานในปริมาณมาก อาจทำให้:
- น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว (โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน)
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน หากบริโภคบ่อยและไม่ออกกำลังกาย
2.เสี่ยงต่อระดับน้ำตาลแฝงในเด็ก
เด็กอาจชอบรสหวานของมะยงชิด หากรับประทานมากโดยไม่ควบคุม อาจทำให้ติดหวาน และเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในระยะยาว
3.ปัญหาทางเดินอาหาร
- เปลือกและเมล็ดของมะยงชิดไม่ควรรับประทาน เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะ หรือทำให้ท้องอืดได้
- หากรับประทานผลดิบมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียหรือไม่สบายท้อง
4.ผลต่อผู้ที่มีโรคเรื้อรัง
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ ควรระวังการรับประทานมะยงชิดในปริมาณมาก โดยเฉพาะแบบที่จิ้มน้ำปลาหวาน หรือน้ำตาลปี๊บ ซึ่งยิ่งเพิ่มปริมาณน้ำตาลเข้าไปอีก
ขอบคุณข้อมูลจาก anook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/05/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 50,900.00 | 51,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,297.00 | 49,982.52 | 51,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,967.30 | 44,984.27 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,637.60 | 39,986.02 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,484.00 | 22,492.13 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,154.00 | 17,493.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,417.00 | 51,795.36 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/05/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.55 | 32.55 | 33.05 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.18 | 32.18 | 32.68 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.34 | 30.34 | 30.84 | 30.34 | 30.34 | – | 30.34 | 30.34 | 30.34 | 30.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 40.84 | – | – | – | 48.81 | – | 41.34 | 40.99 | – | 40.84 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |