จับตา5ทำเลทองรอบโครงการมิกซ์ยูสที่มาแรงเพื่อซื้ออยู่และลงทุน

โครงการมิกซ์ยูสเติบโตไม่หยุด คอนโดรอบโครงการจึงกลายเป็นจุดหมายใหม่ของทั้งผู้ซื้อและผู้เช่า จับตา 5ทำเลทองรับการใช้ชีวิตและลงทุน
การเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในโซนเศรษฐกิจหลัก ทำให้แนวคิดในการพัฒนาโครงการ “มิกซ์ยูส” ได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โครงการรูปแบบนี้ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่ต้องการทุกอย่างไว้ในพื้นที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ ร้านค้า ไปจนถึงไลฟ์สไตล์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ DDproperty ระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 พบว่า ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสมีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงาน และมีไลฟ์สไตล์ครบ
“มิกซ์ยูสกลายเป็นแม่เหล็กใหม่ของเมือง ทำให้ที่อยู่อาศัยรอบโครงการเหล่านี้เติบโตตาม”

5 ทำเลใกล้มิกซ์ยูส “ที่อยู่อาศัยขาย-เช่าบูมสูงสุด”
1. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา
+13.3% ความต้องการรวม (ซื้อ-เช่า)ทำเลที่โดดเด่นทั้งในแง่การใช้ชีวิตและการลงทุน ใกล้ทองหล่อและเอกมัย มีโครงการมิกซ์ยูสระดับไฮเอนด์ เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor, APAC Tower ดึงดูดทั้งชาวไทยและต่างชาติ ด้วยราคาที่ยังต่ำกว่ากลางเมืองเล็กน้อย แต่ให้ความสะดวกครบ
2. แขวงคลองตัน เขตวัฒนา (คลองเตย)
+12.8% ความต้องการรวมใกล้รถไฟฟ้าและโครงการ THE PARQ, FYI Center ที่เป็นทั้งออฟฟิศ ศูนย์ไลฟ์สไตล์และพื้นที่สีเขียว เหมาะสำหรับคนทำงานและชาวต่างชาติที่ต้องการความสะดวกในชีวิตประจำวัน
3. แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา
+10.1% ความต้องการรวม อีกหนึ่งทำเลรอบทองหล่อที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการมิกซ์ยูสเช่นกัน พร้อมการเดินทางสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกในรัศมีเดินถึง
4. แขวงสีลม เขตบางรัก
+7.7% ความต้องการรวม แหล่งงานดั้งเดิมที่ยังคงครองความนิยม ด้วยการเติมเต็มของโครงการใหม่ ๆ อย่าง Dusit Central Park, King Power Mahanakhon และ Park Silom ที่สร้างชีวิตชีวาใหม่ให้กับย่าน CBD เดิม
5. แขวงจอมพล เขตจตุจักร
+7.2% ความต้องการรวมจุดเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ ที่กำลังเปลี่ยนภาพลักษณ์สู่ศูนย์กลางใหม่ ด้วยโครงการ BTS Visionary Park หนุนดีมานด์อยู่อาศัยในย่านนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เจาะทำเล “ซื้อ” เติบโตสูงสุด – คลองสาน นำโด่ง
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาเฉพาะ “ความต้องการซื้อ” ทำเล แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กลับขึ้นนำแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยอัตราเติบโตสูงถึง +28.1% MoM โดยได้แรงหนุนจากโครงการระดับแม่เหล็กริมเจ้าพระยาอย่าง ICONSIAM และ ICS
“วิวแม่น้ำยังเป็นจุดขายเหนือกาลเวลา ยิ่งพ่วงด้วยรถไฟฟ้าสายสีทอง ยิ่งเร่งดีมานด์อยู่อาศัยในฝั่งธนฯ”
อันดับอื่น ๆ ของทำเล “ซื้อ” เติบโตเร็ว
- ทุ่งวัดดอน สาทร (+16.1%)
- วังใหม่ ปทุมวัน (+12.5%)
- จอมพล จตุจักร (+11.8%)
- คลองตันเหนือ เขตวัฒนา (+9.7%)

ตลาด “เช่า” ยังร้อน! คลองตันเหนือครองแชมป์
ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัยก็เติบโตตามไปด้วย โดย แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา ยังครองแชมป์ ทำเลที่มีความต้องการเช่าเติบโตสูงสุด +15.2% MoM รองรับกลุ่มวัยทำงาน คนรุ่นใหม่ และชาวต่างชาติ ที่มองหาความสะดวกใกล้เมืองในราคาจับต้องได้
อันดับทำเล “เช่า” เติบโตสูง
- คลองตัน คลองเตย (+14.6%)
- พระโขนงเหนือ เขตวัฒนา (+12.2%)
- สีลม บางรัก (+12.1%)
- คลองเตย คลองเตย (+11.0%)
ทำเลแห่งอนาคต… อยู่-เช่า-ลงทุน ครบในที่เดียว
จากข้อมูลทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า “ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูส” โดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจหรือใกล้โครงข่ายการเดินทางหลัก กำลังกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ใหม่ของตลาดที่อยู่อาศัย
“ที่อยู่อาศัยรอบมิกซ์ยูสคือการลงทุนที่แฝงทั้งคุณภาพชีวิตและศักยภาพเติบโตในอนาคต”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ตลาดบ้านมือสองคึกคัก! รีโนเวทพร้อมอยู่ดันยอดขายพุ่ง

ตลาดบ้านมือสองปรับตัวคึกคัก รับอานิสงส์เศรษฐกิจชะลอ มาตรการรัฐหนุน และดีมานด์ครอบครัวเริ่มต้น โดยเฉพาะทำเลลำลูกกา-รังสิต
ท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจที่ยังเติบโตอย่างจำกัดในปี 2568 ตลาดบ้านมือสองกลับกลายเป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่ฟื้นตัวแรงถูกมองว่าเป็น “ทางเลือกที่จับต้องได้” ของครอบครัวเริ่มต้น โดยได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ มาตรการรัฐ และพฤติกรรมผู้ซื้อที่มองหาความคุ้มค่าในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าโครงการบ้านใหม่
โดยเฉพาะในทำเลโซนเหนือกรุงเทพฯ เช่น ลำลูกกาและรังสิต กำลังกลายเป็นสมรภูมิหลักของตลาดบ้านมือสอง ด้วยจุดแข็งด้านการเดินทางที่เชื่อมเมืองได้สะดวก ราคายังอยู่ในระดับเข้าถึงได้ และโครงการจัดสรรที่มีสังคมคุณภาพครบครัน ส่งผลให้โครงการอย่างเช่น บ้านฟ้าปิยรมย์ และโครงการในเครือเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ได้รับความนิยมสูงเกินคาด

นายสมนึก ตัณฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ตลาดบ้านมือสองได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากราคาที่จับต้องได้และฟังก์ชันบ้านที่ตอบโจทย์ครอบครัวเริ่มต้น อีกทั้งมาตรการภาครัฐที่ลดค่าธรรมเนียมและภาษีการโอนยังช่วยเร่งการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะในทำเล ลำลูกกา-รังสิต ที่โครงการในเครือบ้านฟ้าได้รับการตอบรับเกินคาด จุดขายสำคัญคือทำเลที่สะดวก บรรยากาศชุมชนคุณภาพ บ้านมีพื้นที่ใช้สอยมากและราคาสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับบ้านใหม่
แนวโน้มตลาดบ้านมือสองยังสะท้อนเทรนด์ความต้องการ “บ้านพร้อมอยู่” ที่สามารถย้ายเข้าได้ทันที สามารถตอบโจทย์ผู้ซื้อที่ไม่ต้องการเสียเวลาในการซ่อมแซมเอง โดยบ้านที่ผ่านการรีโนเวทและตกแต่งอย่างครบวงจร มีพื้นที่ใช้สอยกว้าง ฟังก์ชันครบ และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกมีแนวโน้มขายได้เร็วกว่า การเลือกซื้อทรัพย์ที่อยู่ในสภาพเดิมแล้วให้ผู้ซื้อไปปรับปรุงเอง ซึ่งมักมีปัญหาเรื่องคุณภาพงานก่อสร้างและความล่าช้า
เพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ Nc Qprompt ที่ทำหน้าที่รับซื้อ ขาย และรีโนเวทบ้านมือสอง โดยใช้ทีมงานมืออาชีพเข้ามาดูแลครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกทรัพย์ การออกแบบตกแต่ง การควบคุมงานก่อสร้าง ไปจนถึงการทำการตลาดและจัดหาสินเชื่อ
นายบุญชัย โรจน์พานิช ผู้อำนวยการบริษัท อธิบายว่า Nc Qprompt เข้ามาตอบโจทย์ “ช่องว่างของตลาดบ้านมือสอง” ซึ่งผู้ซื้อกังวลเรื่องคุณภาพบ้านและความเสี่ยงจากผู้รับเหมารายย่อย การันตีคุณภาพรีโนเวทและความพร้อมส่งมอบ จึงช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค และเพิ่มความน่าสนใจให้กับบ้านในทำเลศักยภาพ โดยเฉพาะ แบรนด์บ้านฟ้าปิยรมย์ ที่เป็นที่ต้องการสูงในระดับราคา 3–7 ล้านบาท
กลยุทธ์การตลาดจะเน้นการใช้ช่องทางออนไลน์ การจัดโปรโมชั่น และกิจกรรม Open House เพื่อสร้างโอกาสในการขาย โดยบริษัทตั้งเป้าให้โมเดลนี้ช่วยเพิ่มการเติบโตธุรกิจในปีนี้ไม่น้อยกว่า 10% และวางรากฐานระยะยาวในการขยายตลาดบ้านมือสองในโซนเหนือและโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ ปริมณฑล
ทั้งนี้ในเชิงโครงสร้างตลาด ยังได้ประเมินว่า บ้านมือสองยังคงมีดีมานด์สูงต่อเนื่อง ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือชะลอตัว เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่าบ้านใหม่ แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น และทำเลที่เข้าถึงระบบคมนาคมหลักได้สะดวก หากมีการรีโนเวทคุณภาพและบริการครบวงจร จะช่วยยกระดับมูลค่าและทำให้บ้านมือสองกลายเป็นตัวเลือกหลักของครอบครัวเมืองไทยในอนาคตอันใกล้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 30ก.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงบ้างอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศ แต่ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้30 ก.ย.2568ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.26 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) หลังเงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยอ่อนค่าลงจนทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following
ในช่วงนี้ เรายังคงเห็นบทวิเคราะห์จากต่างชาติหลายแห่งที่ประเมินโอกาสเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้และอาจสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยหนึ่งในปัจจัยที่มีการพูดถึงพอสมควร คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งภาพดังกล่าวก็สะท้อนผ่านการที่ราคาทองคำสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทว่า เงินบาทกลับไม่ได้รับอานิสงส์ (แข็งค่าขึ้น) เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
จากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ เรามีความกังวลต่อแนวโน้มการพักฐานของราคาทองคำที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นได้ โดยหากอ้างอิงกับสถิติในอดีต เราพบว่า เมื่อราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวสูงขึ้น เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เกิน +20% ก็มักจะเกิดการพักฐานขึ้น
นอกจากนี้ เรามองว่า ช่วงนี้ ราคาทองคำได้แรงหนุนจากความกังวลความเสี่ยงสหรัฐฯ อาจเผชิญ Government Shutdown ซึ่งเราประเมินว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะดังกล่าว แต่ราคาทองคำก็อาจเผชิญแรงขายได้ ในลักษณะ Sell on Fact
หรือหากพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต สามารถบรรลุข้อตกลง เพื่อหลีกเลี่ยง Government Shutdown ได้ในวินาทีสุดท้าย ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลง ได้เช่นกัน
โดยหากราคาทองคำเข้าสู่ช่วงพักฐาน เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ไม่ยาก และมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งมีความเป็นไปได้ ที่เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทดสอบโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายของบรรดาบทวิเคราะห์จากต่างชาติ
ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง แต่เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจไม่ได้รุนแรงมากนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศจากบรรดาผู้เล่นในตลาด
ยกเว้นจะเห็นการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด (ในช่วงนี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนว่า รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานสหรัฐฯ จะออกมาตามกำหนดได้หรือไม่ ขึ้นกับความเสี่ยง Government Shutdown ของสหรัฐฯ) โดยเราขอย้ำว่า หากเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องชัดเจน
เช่น ทะลุโซนแนวต้าน 32.3032.50 บาทต่อดอลลาร์ อาจทำให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน อาจต้องทยอยปิดสถานะ Long THB (เช่น stop loss) ซึ่งอาจยิ่งหนุนการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้ในระยะสั้น
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.45 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.20-32.27 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงบ้าง ของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ส่วนราคาทองคำ (XAUUSD) ก็สามารถปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown หลังการเจรจาล่าสุดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำจากฝั่งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจากทั้งสองสภา ยังไม่ได้ข้อสรุปที่จะนำไปสู่การหลีกเลี่ยงภาวะ Government Shutdown ได้
ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะ Government Shutdown ได้ในระยะสั้นนี้
อย่างไรก็ดี รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงทยอยออกมาดีกว่าคาด อย่าง ล่าสุด ยอด Pending Home Sales เดือนสิงหาคมที่ปรับตัวขึ้น +4.0% จากเดือนก่อนหน้า ดีกว่าคาด ก็มีส่วนช่วยพยุงเงินดอลลาร์ ไม่ให้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นในธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia +2.1% นอกจากนี้ ความเสี่ยงภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้น กลับไม่ได้กดดันบรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากนัก
ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Exxon Mobil -2.6% หลังราคาน้ำมันดิบดิ่งลง -2.3% จากความกังวลต่อแนวโน้มอุปทานน้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.48% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.26%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.18% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +1.6% เช่นเดียวกับฝั่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาแร่โลหะ โดยเฉพาะทองคำ ก็มีส่วนหนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรป ก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังง อย่าง Shell -1.5% ตามการปรับตัวลดลงแรงของราคาน้ำมันดิบ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร ตามรายงานข่าวเกี่ยวกับความเสี่ยงภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะ Government Shutdown ในระยะสั้น
ทำให้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจมีการเลื่อนประกาศออกไปในช่วงนี้ โดยภาพดังกล่าวทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด สะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ยังอยู่แถวโซน 4.15%
อนึ่ง เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง
เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown อย่างไรก็ดี รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ยังพอช่วยพยุงเงินดอลลาร์ได้บ้าง ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวแถวโซน 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อแนวโน้มสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Government Shutdown ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถวโซน 3,860 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนสิงหาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนกันยายน
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด โดยการรับรู้ข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เช่นเดียวกัน กับฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษ ในไตรมาสที่ 2
ทางฝั่งเอเชียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% ตามเดิม แต่ RBA อาจไม่ปิดโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากจำเป็น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนกันยายน ซึ่งจะมีทั้งรายงานดัชนี PMI โดยทางการจีน ที่จะเน้นบริษัทขนาดใหญ่และรัฐวิสหากิจ รวมถึง ดัชนี PMI โดยทาง RatingDog (เดิม Caixin) ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็ก-กลาง ส่วนในช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันพุธ นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลสำรวจภาคธุรกิจ โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ Tankan Survey)
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ประเด็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะ Government Shutdown หลังการเจรจาล่าสุดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำจากฝั่งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจากทั้งสองสภา ยังไม่ได้ข้อสรุปที่จะนำไปสู่การหลีกเลี่ยงภาวะ Government Shutdown ได้
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดพนัน (Polymarket) ประเมินโอกาสที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะ Government Shutdown สูงถึง 83% เพิ่มขึ้นจากราว 64% ในช่วงก่อนรับรู้ผลการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำจากฝั่งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจากทั้งสองสภา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.24-32.26 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.07 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดต่างประเทศวานนี้ที่ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อยตามธุรกรรมช่วงสิ้นเดือน/สิ้นไตรมาส และทิศทางการอ่อนค่าลงของเงินหยวนซึ่งมีปัจจัยลบจากตัวเลข PMI ภาคการผลิตที่รายงานโดยทางการจีนยังสะท้อนภาพหดตัว
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของเงินบาทยังเป็นกรอบที่ค่อนข้างแคบ แม้ในช่วงนี้ราคาทองคำในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ท่ามกลาง Sentiment ที่อ่อนแอของเงินดอลลาร์ฯ จากสัญญาณเปิดรับโอกาสของการลดดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟด และความกังวลเกี่ยวกับ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ (หากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนเส้นตาย 1 ต.ค.นี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะมีผลทำให้หลายหน่วยงานไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานวันที่ 2 ต.ค. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรวันที่ 3 ต.ค.)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.10-32.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนส.ค. ของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ราคาทองคำในตลาดโลก ดัชนี PMI เดือนก.ย. ของจีน และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ยื่นปุ๊บได้ปั๊บ! FIVB เคาะเจ้าภาพจัด วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2029

สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ยังคงมีแผนเดินหน้าที่จะพัฒนาวงการลูกยางโลกให้กลายเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องโดยหวังใช้ฐานแฟนบอลในทวีปเอเชียเป็นกำลังสำคัญ
ล่าสุด FIVB ได้ออกมาประกาศให้ ฟิลิปปินส์ เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน “วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2029” ถือเป็นครั้งแรกที่จะถูกจัดขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์

ด้าน ฟาบิโอ อาเซเวโด้ ประธานสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ออกมากล่าวถึงการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2029 ที่ฟิลิปปินส์ ถือเป็นโอกาสที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกีฬาวอลเลย์บอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้ง”
“นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบเชิงบวกที่กีฬาของเรามีต่อสังคมอีกด้วย ฟิลิปปินส์ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลชาย ชิงแชมป์โลก 2025 ได้อย่างดีเยี่ยม และเราเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกันในปี 2029”
“เรากำลังก้าวไปอีกขั้นในการเพิ่มจำนวนแฟนวอลเลย์บอลทั่วโลกจากกว่า 800 ล้านคน เป็น 1.6 พันล้านคน เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นสำหรับกีฬาวอลเลย์บอลทั่วโลก”
สำหรับ การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก จะจัดขึ้นทุก 2 ปีครั้ง โดยครั้งหน้าในปี 2027 จะเป็น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการจัดการแข่งขัน ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมาจะกลับมาจัดที่เอเชียอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กินไม่เค็มก็เสี่ยงโรคไต ‘อาหารแปรรูป-เบเกอรี่-ชานมไข่มุก’ แหล่งโซเดียม

คนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังทะลุ 1.12 ล้านคน ค่าใช้จ่ายรักษากว่า 1.6 หมื่นล้าน แพทย์เผยกินไม่เค็มก็เสี่ยงโรคไต เตือนคนไทยลดอาหารแปรรูป-เบเกอรี่-ชานมไข่มุก แหล่งโซเดียมที่ทำไตพังไม่รู้ตัว
โรคไตเรื้อรัง เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลล่าสุดปี 2567 พบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังถึง 1.12 ล้านคน เป็นผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 3 จำนวน 5 แสนคน ระยะที่ 4 กว่า 1.2 แสนคน และระยะที่ 5 อีก 7.5 หมื่นคน
ค่าใช้จ่ายในการบำบัดทดแทนไตสูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2567 คาดการณ์การใช้จ่ายอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท
หลายคนเข้าใจว่าถ้า “ไม่ติดเค็ม” ก็คงไม่เสี่ยง “โรคไต” แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ทำร้ายไตอย่าง “โซเดียม” กลับซ่อนอยู่ในอาหารไม่เค็มหลายอย่าง ทั้งในขนมปังหรือกุนเชียงที่แทบไม่มีรสเค็ม หรือแม้แต่ชานมไข่มุกและเยลลี่
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่การศึกษาพบว่าคนไทยส่วนใหญ่กลับกินโซเดียมมากถึง 3,600–3,700 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกินเกือบเท่าตัว
สะท้อนถึงความไม่รู้ในเรื่องโซเดียมที่ซ่อนอยู่ในอาหาร แหล่งที่มาของโซเดียมที่เราไม่เคยรู้ ทำให้หลายคนเป็นโรคไตไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่โรคไตเข้าสู่ระยะรุนแรงจนสายเกินแก้
รู้จักโรคไตทั้ง 5 ระยะ
พญ.ฉมานันท์ สัจจานนท์ อายุรแพทย์โรคไต ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต ให้ข้อมูลว่า ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกรองของเสีย ช่วยควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะที่เรียกว่า ‘โรคไต’ จึงหมายถึงการที่ไตทำงานผิดปกติ ซึ่งแบ่งการวินิจฉัยออกเป็น 2 แบบ
1.การตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น มีนิ่วหรือถุงน้ำในไต สภาพไตผิดปกติจากการอัลตราซาวนด์โปรตีนรั่วในไต เม็ดเลือดแดงและขาวรั่วออกมาจากปัสสาวะ เป็นต้น
2.ตรวจพบว่าอัตราการการกรองของเสียของไต (eGFR) ต่ำกว่า 60 ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ซึ่งค่านี้อาจจะลดลงเมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเลือดเสียสมดุล ทำให้เรากระหายน้ำและดื่มน้ำมากขึ้น พอน้ำและโซเดียมไปสะสมในเลือดมากจะทำให้ความดันโลหิตสูง ส่งผลให้ไตทำงานหนักจนหน่วยกรองไต (glomerulus) ถูกยืดและเสื่อมลง ทำให้ค่า eGFR ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทบสุขภาพ
ในส่วนโรคไตที่วัดจากค่า eGFR แบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยระยะที่ 1 จะมีค่า eGFR เกิน 90 ระยะที่ 2 จะมีค่า eGFR อยู่ในช่วง 60–90 ซึ่งยังไม่นับว่าเป็นโรคไตเสื่อม เป็นการบ่งบอกว่าไตเริ่มทำงานผิดปกติ แต่มักไม่ทำให้เกิดอาการชัดเจน ทว่าเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งค่า eGFR จะลดลงต่ำกว่า 60 อาจจะเริ่มเกิดอาการผิดปกติ เช่น ตัวบวม ปัสสาวะเริ่มมีฟอง หรือปวดศีรษะรุนแรง จากความดันโลหิตสูง
หากปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะที่ 4–5 ที่มีค่า eGFR ต่ำกว่า 30 อาจทำให้ไตเสียหายถาวร โดยผู้ป่วยอาจปัสสาวะออกน้อยลง ตัวบวมเรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีอาการสับสนหรือซึม ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาอาจมีน้ำท่วมปอด หรือความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือเส้นเลือดสมองแตกได้
อาหารไม่เค็มแต่ ‘โซเดียม’ สูง
หลายคนเข้าใจอาหารที่มีโซเดียมต้องมีรสเค็ม แต่โซเดียมเป็นเพียงส่วนประกอบในเกลือหรือเครื่องปรุงรสที่เรียกว่าโซเดียมคลอไรด์ หากโซเดียมไปรวมกับสารอื่น ๆ อาจไม่ทำให้เกิดรสเค็ม แต่ก็ยังมีผลเสียต่อร่างกายเหมือนเดิม
ตัวอย่างของอาหารที่มีโซเดียมแต่อาจไม่มีรสเค็ม ได้แก่ ขนมปังและเบเกอรี่ที่ใส่ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต อาหารแปรรูปอย่างไส้กรอกหรือกุนเชียงที่ใช้โซเดียมไนไตรท์เพื่อถนอมอาหาร หรือของหวานพวกชานมไข่มุกและเยลลี่ที่มีสารทำให้เหนียวหนึบอย่างโซเดียมอัลจิเนต และสุดท้ายคืออาหารกระป๋องและน้ำผลไม้กล่องที่มีโซเดียมเบนโซเอตเป็นสารกันบูด เป็นต้น
กลุ่มเสี่ยงโรคไตที่ต้องระวัง
กลุ่มเสี่ยงโรคไตที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต โดยเฉพาะโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไตหรือนิ่วในไต ส่วนอีกกลุ่มคือผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เพราะหากควบคุมโรคไม่ได้ ไตต้องกรองน้ำตาลหรือรับแรงดันสูงเกินไปจนเสื่อมเร็วขึ้น
ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่กินขนมขบเคี้ยวหรือฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ ก็มักได้รับโซเดียมเกินจำเป็น คือมากกว่า 1,000 มก. สำหรับเด็ก และ 1,500 มก.
สำหรับวัยรุ่น แม้ร่างกายเด็กจะฟื้นตัวได้ดีกว่า แต่การสะสมโซเดียมตั้งแต่อายุยังน้อยก็เป็นตัวเร่งให้ไตเสื่อมในระยะยาว ส่วนอีกกลุ่มที่ต้องระวังคือผู้สูงอายุ เพราะร่างกายซ่อมแซมได้ช้าลงและมักมีโรคร่วมหลายอย่าง จึงต้องควบคุมการกินให้ดีกว่าเดิม
สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์ทันที
สัญญาณเตือนของโรคไตที่ไม่ควรมองข้าม จึงควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที ได้แก่
- ปัสสาวะมีฟองมากขึ้น
- ตื่นมาปัสสาวะบ่อยกลางดึก
- ปัสสาวะออกน้อยลงหรือมีสีผิดปกติ เช่น สีน้ำตาลเข้มคล้ายน้ำปลาและน้ำอัดลม
- หากมีอาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่เมื่อกดบริเวณหน้าแข้งหรือหลังเท้าไว้ 3–5 วินาทีแล้วเกิดรอยบุ๋มไม่คืนรูป
- อาการบวมรอบดวงตาหรือใบหน้า ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายอาจมีโซเดียมหรือน้ำส่วนเกินสะสมมากเกินไป
ตรวจพบโรคไตระยะแรกยังรักษาได้
โรคไตจะรักษาตามสาเหตุและระยะของโรค หากตรวจพบค่า eGFR ผิดปกติไม่เกินระยะที่ 3 และไม่ได้ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ยังสามารถรักษาตามอาการและควบคุมโรค เช่น คุมความดันโลหิตและเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงการปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเพื่อลดภาระการทำงานของไต
แต่ถ้าพบค่า eGFR เข้าสู่ระยะที่ 4-5 อาจต้องเข้าสู่การบำบัดทดแทน เช่น การฟอกไต ซึ่งมีทั้งการฟอกทางเลือดและการล้างไตทางช่องท้อง และในบางรายอาจต้องปลูกถ่ายไตเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติที่สุด
“หลายคนเป็นโรคไตเพราะไม่รู้ว่าอาหารที่กินอยู่ทุกวันมีโซเดียมมากกว่าที่คิด ดังนั้นอยากให้เริ่มลดโซเดียมวิธีง่าย ๆ ด้วยการไม่เติมเครื่องปรุงเพิ่ม ไม่ซดน้ำซุปจนหมด เน้นกินอาหารสดแทนข้าวกล่องหรืออาหารแปรรูป และดื่มน้ำระหว่างวันให้เพียงพอเพื่อช่วยขับโซเดียม ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะถ้าพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังมีโอกาสรักษาไตให้กลับมาแข็งแรงได้เสมอ” พญ.ฉมานันท์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
มัดรวมกริยาวลีที่มีคำว่า take ที่ไม่ได้แปลแค่นำมาเพียงอย่างเดียว

ในภาษาอังกฤษ คำกริยา “take” เป็นคำที่มีความหลากหลายในการใช้งานและสามารถแปลได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ นอกจากความหมายพื้นฐานอย่างการ “นำ” หรือ “หยิบ” แล้ว คำว่า “take” ยังเป็นส่วนหนึ่งของกริยาวลี (phrasal verbs) ที่มักจะมีความหมายเฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากความหมายดั้งเดิมของคำกริยา “take” อย่างมาก กริยาวลีเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากช่วยให้ผู้พูดสามารถสื่อสารได้หลากหลายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น การเข้าใจและใช้งานกริยาวลีที่มีคำว่า “take” จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ พราะกริยาวลีบางคำสามารถสร้างความหมายใหม่ที่ซับซ้อนได้ การรู้จักการใช้กริยาวลีที่มี “take” อย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้นในทุกสถานการณ์ ทั้งในชีวิตประจำวันและในสถานการณ์ที่เป็นทางการ ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า Take แปลว่าอะไร ใช้อย่างไรบ้าง กริยาวลีที่มี Take หน้าตาเป็นแบบไหน มีคำว่าอะไรบ้าง ตัวอย่างประโยคของกริยาวลี Take และนอกจาก take มีคำอื่น ๆ อะไรน่ารู้บ้าง ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและใช้งานคำเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
Take แปลว่าอะไร ใช้อย่างไรบ้าง
คำว่า “take” ในภาษาอังกฤษเป็นคำกริยาที่มีความหมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้งาน โดยความหมายหลัก ๆ ของคำว่า “take” ได้แก่ “นำ” หมายถึง การย้ายสิ่งของหรือทำการขนย้ายจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง “หยิบ” หมายถึง การหยิบหรือจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในมือ, “เอา”, “รับ”หมายถึง การรับหรือยอมรับสิ่งที่ให้มา, “ใช้เวลา” หมายถึง การใช้เวลาในการทำบางสิ่ง และ “เรียนรู้” หมายถึง การเรียนรู้หรือเข้าใจบางสิ่ง “รับผิดชอบ” หมายถึง การรับภาระหรือความรับผิดชอบ “ท้าทาย” หรือ “เผชิญหน้า”หมายถึง การเผชิญหน้าหรือท้าทายบางสิ่ง “ถอนคำพูด” หรือ “ขอโทษ” หมายถึง การกลับคำหรือขอโทษ “พาไป” หมายถึง การพาหรือพาใครไปยังที่ใดที่หนึ่ง “ถอดออก” หมายถึง การถอดหรือเอาออกจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “เปลี่ยนที่” หรือ “เปลี่ยนทิศทาง” หมายถึง การเปลี่ยนทิศทางหรือย้ายไปที่อื่น เป็นต้น
กริยาวลีที่มี Take หน้าตาเป็นแบบไหน มีคำว่าอะไรบ้าง
กริยาวลี (Phrasal Verbs) ที่มีคำว่า “take” เป็นส่วนประกอบ เป็นคำที่ใช้ร่วมกับคำบุพบท (prepositions) หรือคำกริยาวิเศษณ์ (adverbs) เพื่อให้ได้ความหมายใหม่ที่แตกต่างจากคำกริยาหลัก ได้แก่ Take after หมายถึง คล้ายคลึงกับ (ลักษณะหรือรูปร่างเหมือน) หรือได้รับลักษณะบางประการจากผู้ปกครองหรือญาติ Take off หมายถึง เครื่องบินขึ้น ถอด (เสื้อผ้า รองเท้า) เริ่มได้รับความนิยม Take on หมายถึง รับหน้าที่หรือความรับผิดชอบ ท้าทาย หรือ ต่อสู้กับ Take in หมายถึง เข้าใจ ดู (การแสดงหรือการดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) รับหรือเอาไป Take up หมายถึง เริ่มทำ (กิจกรรมใหม่) ใช้เวลา ยกขึ้น Take over หมายถึง รับช่วงหรือรับหน้าที่ต่อจากคนอื่น ควบคุมหรือบริหาร Take out หมายถึง เอาออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง พาออกไป (ไปเที่ยวหรือทำกิจกรรม) Take back หมายถึง ถอนคำพูด นำสิ่งของกลับคืน Take down หมายถึง เขียนหรือบันทึก ทำให้พังหรือรื้อถอน Take aside หมายถึง พูดคุยกับใครบางคนเป็นการส่วนตัว Take to หมายถึง ชอบหรือหลงรัก (บางสิ่งหรือบางคน) เริ่มทำสิ่งหนึ่ง Take in stride หมายถึง รับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยไม่รู้สึกเครียด Take a look at หมายถึง ดูหรือสังเกตบางสิ่ง
ตัวอย่างประโยคของกริยาวลี Take
- Take after
- “She really takes after her mother in terms of looks.” (เธอเหมือนแม่มากในเรื่องรูปลักษณ์)
- “Tom takes after his father in his sense of humor.” (ทอมเหมือนพ่อในเรื่องอารมณ์ขัน)
- Take off
- “The plane will take off in 10 minutes.” (เครื่องบินจะขึ้นในอีก 10 นาที)
- “Please take off your shoes before entering the house.” (กรุณาถอดรองเท้าก่อนเข้าในบ้าน)
- Take on
- “She decided to take on the role of project manager.” (เธอตัดสินใจรับบทบาทผู้จัดการโครงการ)
- “The team took on the challenge with determination.” (ทีมงานท้าทายความยากลำบากด้วยความมุ่งมั่น)
- Take in
- “It took me a while to take in what he said.” (ฉันใช้เวลาสักพักในการทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด)
- “We took in the beautiful views during our trip.” (เราได้ชมวิวที่สวยงามระหว่างการเดินทาง)
- Take up
- “I decided to take up painting as a hobby.” (ฉันตัดสินใจเริ่มเรียนวาดภาพเป็นงานอดิเรก)
- “She took up the suitcase and left the room.” (เธอยกกระเป๋าเดินทางและออกจากห้อง)
- Take over
- “The new CEO will take over the company next month.” (CEO คนใหม่จะรับตำแหน่งในบริษัทเดือนหน้า)
- “They took over the management of the store last year.” (พวกเขาควบคุมการจัดการร้านเมื่อปีที่แล้ว)
- Take out
- “I need to take out the garbage before I leave.” (ฉันต้องเอาขยะออกไปก่อนที่ฉันจะออกไป)
- “He took her out to dinner at a nice restaurant.” (เขาพาเธอไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารดีๆ)
- Take back
- “I take back what I said about him earlier.” (ฉันขอโทษที่พูดเกี่ยวกับเขาเมื่อกี้)
- “Please take back the book to the library.” (กรุณานำหนังสือกลับไปที่ห้องสมุด)
- Take down
- “She took down the important points during the meeting.” (เธอบันทึกจุดสำคัญในระหว่างการประชุม)
- “They are taking down the old building to build a new one.” (พวกเขากำลังรื้ออาคารเก่าเพื่อต่อเติมอาคารใหม่)
- Take to
- “She took to reading as soon as she could understand books.” (เธอเริ่มรักการอ่านเมื่อเธอสามารถเข้าใจหนังสือได้)
- “He took to his new job very quickly.” (เขาปรับตัวเข้ากับงานใหม่ได้เร็วมาก)
นอกจาก take มีคำอื่น ๆ อะไรน่ารู้บ้าง
ในภาษาอังกฤษยังมีคำกริยาอื่น ๆ ที่มีการใช้งานในรูปแบบ กริยาวลี (phrasal verbs) ที่สามารถเพิ่มความหลากหลายในการสื่อสารได้ ตัวอย่างเช่น
- Get
- Get up = ตื่นขึ้นจากเตียง (หรือเริ่มทำบางสิ่ง)
- Get along = เข้ากันได้ดี (กับคนอื่น)
- Get by = ทำให้รอด (ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก)
- Get over = ฟื้นตัวจากบางสิ่ง (อาการเจ็บป่วย, การสูญเสีย)
- Get through = ผ่านพ้นไปได้ (ผ่านปัญหา)
- Give
- Give up = ยอมแพ้ (หยุดทำบางสิ่ง)
- Give in = ยอมจำนน (ยอมทำสิ่งที่ไม่อยากทำ)
- Give away = ให้ (ของขวัญ หรือบางสิ่งไปฟรี ๆ)
- Give out = แจกจ่าย, ให้หรือเปิดเผยข้อมูล
- Give off = ปล่อย (กลิ่น, แสง, ความร้อน)
- Come
- Come up = เกิดขึ้น (ปัญหาหรือเหตุการณ์)
- Come across = พบโดยบังเอิญ
- Come down = ลดลง (ราคา, น้ำหนัก)
- Come back = กลับมา
- Come up with = คิดค้นหรือหาวิธีแก้ปัญหา
- Put
- Put off = เลื่อนออกไป
- Put up with = ทนกับ (สิ่งที่ไม่ชอบ)
- Put out = ดับ (ไฟ) หรือทำให้ยุ่งยาก
- Put across = สื่อสาร (ความคิดหรือข้อมูล)
- Put down = วาง (สิ่งของ), ดูหมิ่น (ใครบางคน)
- Look
- Look up = มองหา (ข้อมูล), เยี่ยม (สถานที่)
- Look after = ดูแล
- Look for = หา
- Look forward to = ตั้งตารอ
- Look out = ระวัง (อันตราย)
- Turn
- Turn up = ปรากฏ (มาถึง)
- Turn down = ปฏิเสธ, ลดเสียง
- Turn off = ปิด (ไฟ, เครื่องใช้ไฟฟ้า)
- Turn on = เปิด (ไฟ, เครื่องใช้ไฟฟ้า)
- Turn into = เปลี่ยนเป็น (บางสิ่ง)
- Call
- Call off = ยกเลิก
- Call back = โทรกลับ
- Call out = เรียกออกไป (เสียงดัง)
- Call for = ต้องการ (บางสิ่ง), เรียกร้อง
- Call in = โทรเข้า (ไปยังสถานที่หรือองค์กร)
- Break
- Break down = พัง (เครื่องจักร), ร้องไห้หนัก
- Break up = เลิก (ความสัมพันธ์), หยุด (กิจกรรม)
- Break in = บุกเข้าไป (สถานที่)
- Break out = หนีออกจากที่คุมขัง, เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (เช่น การระบาด)
- Break through = ผ่านพ้น (อุปสรรค)
- Set
- Set up = จัดตั้ง, ตั้งค่า
- Set off = ออกเดินทาง
- Set aside = เก็บไว้, ยกเว้น
- Set in = เริ่มเกิดขึ้น (สถานการณ์หรือสภาพอากาศ)
- Set out = เริ่มทำบางสิ่ง (ตามแผนหรือเป้าหมาย)
- Ask
- Ask out = ขอให้ไปเดท
- Ask around = ถามหลายคนเกี่ยวกับบางสิ่ง
- Ask for = ขอ (บางสิ่ง)
- Ask after = ถามข่าว (สุขภาพหรือเรื่องส่วนตัว)
- Ask in = เชิญเข้ามา (ในบ้านหรือสถานที่)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เอ้ก ดิจิทัล ปฏิวัติรักษาพยาบาลสู่ดูแลสุขภาพเชิงรุกเฉพาะบุคคล ด้วย AI-Robotics

- เอ้ก ดิจิทัล นำเสนอแนวคิด “Patient Singularity” ที่ใช้ AI และ Robotics เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลสุขภาพที่กระจัดกระจาย มุ่งเปลี่ยนการรักษาพยาบาลจากเชิงรับไปสู่การดูแลเชิงรุกและเฉพาะบุคคล
- พัฒนาโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI และข้อมูล เช่น การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์, การคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยเพื่อลดเวลารอคอย, และแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
- เป้าหมายคือการสร้างมุมมองผู้ป่วยแบบครบวงจร (One Patient View) โดยเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทุกมิติ เพื่อให้การวินิจฉัยและวางแผนการรักษามีความแม่นยำและเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด
ดร. ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า “ความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทยคือ ข้อมูลสุขภาพที่มีมหาศาลและกระจัดกระจาย ทั้งจากเวชระเบียน ผลตรวจแล็บ ร้านขายยา ไปจนถึงข้อมูลจากสมาร์ทโฟน แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่พยากรณ์สิ่งต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า แต่แพทย์กลับเข้าถึงข้อมูลได้บางส่วนเท่านั้น ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า เกิดข้อจำกัดในการรักษา และต้นทุนค่ารักษาสูง
นอกจากนี้ ระบบสุขภาพส่วนใหญ่ยังเป็นแบบ Reactive Care คือรักษาเมื่อผู้ป่วยมีอาการเกิดขึ้นแล้ว เอ้ก ดิจิทัล จึงนำความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มาต่อยอดผ่านแนวคิด Patient Singularity ที่ใช้ AI และ Robotics รวมข้อมูลสุขภาพทุกมิติ
ตั้งแต่พันธุกรรม พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับสู่การรักษาเชิงรุกและการดูแลเฉพาะบุคคลที่แม่นยำ ตอบโจทย์ผู้ป่วยอย่างแท้จริง สอดรับกับเทรนด์ Healthcare โลก ที่กำลังก้าวสู่ระบบสุขภาพที่เชื่อมต่อข้อมูลแบบครบวงจร”
การเชื่อมต่อข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 5C ได้แก่ Connect – การเชื่อมต่อข้อมูล 720 องศาจากหลายแหล่ง เพื่อให้เห็นพฤติกรรมทั้งในและนอกโรงพยาบาลแบบมุมมองเดียว (One Patient View) ด้วย Singularity Insight, Create – นำเทคโนโลยีมาหาอินไซด์ที่แม่นยำและตอบความต้องการผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ, Communicate – การสื่อสารข้อความที่ใช่สำหรับผู้ป่วยแต่ละบุคคลผ่านช่องทางเหมาะสม, Convert – การเปลี่ยนข้อมูลเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และ Curate – การบูรณาการข้อมูล ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่มีคุณค่าที่ยั่งยืน เมื่อ 5C ทำงานร่วมกันจะเกิดเป็น Infinity Loop of Growth ที่เชื่อมโยงข้อมูล, อินไซด์, การสื่อสาร, การมีส่วนร่วม และการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกให้บุคคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และอุตสาหกรรมอย่างไร้ขีดจำกัด

AI & Data-Driven Healthcare Solutions ที่จะมาพลิกโฉมระบบการรักษาในอนาคต
- AI Image Recognition: เปลี่ยนการตรวจภาพถ่ายทางการแพทย์ด้วยตาเปล่า เช่น ภาพ X-ray, MRI, CT scan มาใช้เครื่องมือ AI และดาต้าในการวิเคราะห์ เพื่อช่วยแพทย์วินิจฉัยหรือระบุความผิดปกติได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น
- Patient Flow & Wait Time Analytics: ใช้ Telco Data และ CRM คาดการณ์ปริมาณผู้ป่วย ปรับการจัดการบุคลากร ลดเวลารอคอยของผู้ป่วย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรและระบบของโรงพยาบาล
- Wellness & Prevention Platform: แพลตฟอร์มรวบรวมและผสานข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ข้อมูลจาก DNA, IoT Devices และ Mobility Data เพื่อแนะนำการดูแลเชิงป้องกันและสร้างโปรแกรมดูแลสุขภาพแบบ Personalized
- AI Translation: ระบบแปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่ช่วยลดอุปสรรคด้านภาษาในการสื่อสารระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์

เอ้ก ดิจิทัล เชื่อว่าแนวคิด Patient Singularity จะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยได้มากมาย ทั้งลดภาระงานของแพทย์และพนักงาน ช่วยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการดำเนินงาน สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดเฮลท์แคร์ และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพ ขณะเดียวกันยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ และสร้างแผนการป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้ป่วย และนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน
“หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การนำข้อมูล, AI หรือ Robotics มาใช้เท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัย โปร่งใส และเป็นไปตามกฎหมาย PDPA เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับแพทย์และผู้ป่วยไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม หากโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต้องการยกระดับการดูแลผู้ป่วยสู่มาตรฐานใหม่ สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน การผนึกร่วมมือพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านดาต้า AI และเข้าใจธุรกิจเฮลท์แคร์อย่างลึกซึ้ง และการพัฒนาทักษะบุคลากรให้สามารถใช้เครื่องมือ AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนยกระดับระบบเฮลท์แคร์ของไทยให้ก้าวสู่ยุค ‘The Age of Me’ ยุคแห่งการดูแลสุขภาพที่ผู้ป่วยทุกคนได้รับการดูแลด้วยความเข้าใจแบบเฉพาะบุคคลที่แม่นยำ ปลอดภัย และยั่งยืน” ดร. ธีรเดช กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
5 ขนมไทยโบราณรสเลิศ ชื่อไพเราะ หาทานยาก

ขนมไทยคือความวิจิตรบรรจงทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงรสนิยมและความประณีตของผู้คนในอดีต แต่ในยุคที่ทุกอย่างต้องเร่งรีบ ขนมไทยสูตรดั้งเดิมหลายชนิดกำลังเลือนหายไปจากตลาด เพราะขั้นตอนการทำที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความชำนาญสูง ทำให้หาผู้สืบทอดได้ยาก
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 5 ขนมไทยโบราณหาทานยาก ที่นับเป็นสมบัติทางอาหารอันล้ำค่า ทั้งชื่องามไพเราะที่คุณอาจไม่คุ้นหู ทั้งยังหาทานได้ยาก ซึ่งถ้ามีโอกาสสักครั้งต้องไปตามล่ามาชิมให้ได้
5 ขนมไทยโบราณหาทานยาก ชื่อเพราะ อร่อยล้ำ
1. ขนมเรไร (Rerai) หรือ ขนมรังไร
ความพิเศษ: เป็นขนมที่น่ารักและละเอียดอ่อนที่สุดชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นเส้นแป้งข้าวเจ้าสีสวยๆ (จากสีธรรมชาติ) ที่ถูก กดเป็นวงกลมคล้าย “รังไหม” หรือ “รังนก” และนำไปนึ่ง
รสชาติ: เสิร์ฟพร้อมกับน้ำกะทิหอมมัน และโรยด้วยน้ำตาลทรายกับงาคั่ว ให้รสชาติหอมหวานละมุน และมีผิวสัมผัสที่อ่อนนุ่มละลายในปาก
2. ขนมดอกลำเจียก (Dok Lamjiak)
ความพิเศษ: เป็นขนมที่ต้องใช้ความชำนาญในการนาบหรือจี่แป้งบนเตาไฟ โดย “ไม่ใช้น้ำมัน” เพื่อให้ได้แผ่นแป้งที่นุ่มเหนียวห่อไส้มะพร้าวกวนที่มีกลิ่นหอมไหม้จางๆ เป็นขนมที่มีกลิ่นหอมของความร้อนแบบโบราณ
รสชาติ: หวานน้อย หอมกลิ่นมะพร้าวที่ถูกความร้อน เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มภายนอก และมีไส้มะพร้าวกวนหวานหอมด้านใน
3. ขนมสัมปันนี (Sampannee)
ความพิเศษ: ได้ชื่อว่าเป็นขนมที่ ละลายในปาก ทำจากแป้งมันสำปะหลังที่กวนกับกะทิและน้ำตาล นำไปอบให้แห้งกรอบ และต้องผ่านการ อบควันเทียน เพื่อให้มีกลิ่นหอมชวนฝัน
รสชาติ: หอมหวานจากน้ำตาลมะพร้าว หอมกลิ่นควันเทียนอบอวล และเนื้อสัมผัสที่เบาจนละลายหายไปทันทีเมื่อเข้าปาก
4. ขนมบุหลันดั้นเมฆ (Bulan Dan Mek)
ความพิเศษ: เป็นขนมชาววังที่มีความหมายอันลึกซึ้ง ตัวฐานเป็นขนมถ้วยฟูสีฟ้าอ่อน (จากน้ำดอกอัญชัน) หมายถึง “ก้อนเมฆ” และตรงกลางจะหยอดด้วย ไข่แดงกวน ที่เป็นไส้หวานสีเหลืองทอง หมายถึง “ดวงจันทร์” ที่กำลังลอยอยู่
ขั้นตอนที่ยาก: ต้องอาศัยความชำนาญในการนึ่งแป้งให้ฟูเป็นรูปถ้วยและหยอดไส้ให้คงรูปสวยงามในขณะที่แป้งยังร้อนอยู่
รสชาติ: หอมหวาน มัน จากกะทิและไข่แดงกวน ตัดกับความนุ่มฟูของตัวแป้ง
5. ขนมโสมนัส (Somanut)
ความพิเศษ: เป็นขนมที่ได้รับอิทธิพลจากเมอแร็งก์ (Meringue) ของตะวันตก แต่ปรับปรุงให้เป็นรสชาติแบบไทยโบราณ ทำจากไข่ขาวและน้ำตาลที่ตีจนขึ้นฟู ก่อนจะนำไป อบให้แห้งกรอบ และผสมกับ มะพร้าวขูดคั่ว ให้มีกลิ่นหอม
ขั้นตอนที่ยาก: การตีไข่ขาวและการอบต้องใช้ไฟอ่อนมากๆ เพื่อให้เนื้อขนมฟู เบา และไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
รสชาติ: กรอบนอกนุ่มใน (เมื่อกัด) หอมกลิ่นมะพร้าวคั่ว มีรสหวานนำ และมักมีขนาดเล็กน่ารักคล้ายดอกไม้
หากคุณหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของขนมไทยโบราณเหล่านี้ คุณอาจจะต้องค้นหาร้านขนมไทยเฉพาะ และมักจะพบได้ตามเทศกาลอาหารและงานวัฒนธรรมต่าง ๆ
การสนับสนุนและอุดหนุนขนมไทยโบราณหาทานยากเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เป็นการให้รางวัลแก่รสชาติอันยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยให้ภูมิปัญญาและมรดกทางอาหารอันล้ำค่าของไทยยังคงอยู่ต่อไป ไม่ให้เลือนหายไปตามกาลเวลา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/09/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 59,200.00 | 59,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,827.00 | 58,017.32 | 60,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,444.30 | 52,215.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 3,061.60 | 46,413.86 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,722.15 | 26,107.79 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,339.45 | 20,306.06 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,965.80 | 60,121.53 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/09/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.65 | 32.65 | 33.15 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 | 32.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.28 | 32.28 | 32.78 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 | 32.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.44 | 30.44 | 30.94 | 30.44 | – | 30.44 | 30.44 | 30.44 | 30.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.39 | 28.39 | – | – | – | – | – | – | 28.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.84 |
เบนซิน 95 | 40.94 | – | – | 49.81 | – | 41.44 | 41.09 | – | 40.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |