“ศุภาลัย” ปักหมุดจันทบุรีเมืองเศรษฐกิจใหม่ดันยอดขาย500ล้าน

เปิดเกมรุกตลาดภูมิภาค “ศุภาลัย” ชูจันทบุรีศักยภาพสูง ไม่ใช่แค่เมืองผ่าน เดินหน้าส่งโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมรับดีมานด์พุ่ง
จันทบุรี กำลังเปลี่ยนผ่านจากเมืองแห่งผลไม้และอัญมณี สู่เมืองเศรษฐกิจแห่งใหม่ของภาคตะวันออกที่กำลังเติบโตอย่างเงียบ ๆ แต่มั่นคง สะท้อนจากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษา ตลอดจนดีมานด์ของตลาดที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่เห็นโอกาสชัดเจนคือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ล่าสุดประกาศความสำเร็จของ 2 โครงการในจันทบุรี ได้แก่ “ศุภาลัย เลควิลล์” และ “ศุภาลัย ปาล์มวิลล์” ซึ่งสามารถกวาดยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท ภายในระยะเวลาไม่นานหลังเปิดตัว สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในพื้นที่ต่อแบรนด์และคุณภาพของที่อยู่อาศัย
เปิดประสบการณ์ “อยู่จันทบุรีอย่างมีคุณภาพ”
ศุภาลัยเตรียมเดินหน้าจัดงาน Grand Opening “ศุภาลัย เลควิลล์ จันทบุรี” ในวันที่ 7–8 มิถุนายนนี้ ชูจุดขาย “บ้านติดเลค” ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติใจกลางเมือง ด้วยบ้านเดี่ยว 2 ชั้นดีไซน์ Tropical Modern บนพื้นที่โครงการกว่า 95 ไร่ รวม 309 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.22 ล้านบาท พร้อมพื้นที่ใช้สอยสูงสุดถึง 417 ตร.ม.
ตัวโครงการตั้งอยู่ในย่านบางกะจะ ใกล้ถนนหลักและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งเซ็นทรัล จันทบุรี โรบินสัน โรงพยาบาล และโรงเรียนชั้นนำ ตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวที่ต้องการบ้านหลังแรก หรือบ้านเพื่อการอยู่อาศัยระยะยาว
นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร รองกรรมการผู้จัดการสายงานโครงการภูมิภาค 2 ของศุภาลัย เผยว่า บริษัทยึดมั่นแนวทางการพัฒนาโครงการในภูมิภาคที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจันทบุรีที่ “ไม่ใช่แค่เมืองผ่าน” แต่เป็นเมืองที่ผู้คนเลือกอยู่อาศัยจริง ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งภาคเกษตร การค้า และท่องเที่ยว
อสังหาฯ จังหวัดโตจริง ไม่ใช่แค่กระแส
ความสำเร็จของศุภาลัยในจันทบุรีอาจเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดอสังหาฯ ต่างจังหวัด โดยเฉพาะในเมืองระดับรองที่มีศักยภาพเติบโต และมีอัตราการอยู่อาศัยจริงสูงกว่าพื้นที่ที่เน้นการเก็งกำไร
“วันนี้ ผู้ซื้อบ้านในจันทบุรีต้องการบ้านที่ ‘อยู่ได้จริง’ ไม่ใช่เพียงบ้านสวย แต่ต้องคุ้มค่า ฟังก์ชันตอบโจทย์ และมีคุณภาพในระยะยาว” นายบุญชัยกล่าว พร้อมเสริมว่า ศุภาลัยจะยังคงเดินหน้าลงทุนในต่างจังหวัดต่อเนื่อง เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยในทุกภูมิภาคอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่มองหาบ้านคุณภาพในทำเลอนาคตของภาคตะวันออก ห้ามพลาดงาน Grand Opening “ศุภาลัย เลควิลล์ จันทบุรี” วันที่ 7–8 มิถุนายน 2568 นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ พร้อมข้อเสนอพิเศษลดสูงสุด 1,000,000 บาท* สำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“บิ๊กอสังหาฯ” ผนึกพันธมิตร สยายปีกลุยลงทุน โกดัง คลังสินค้า-อุตสาหกรรม

คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ชี้ “บิ๊กอสังหาฯ” ผนึกทุนต่างชาติ-พันธมิตร สยายปีกลุยลงทุน โกดัง คลังสินค้า-อุตสาหกรรม นอจกาก “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้”หลังอสังหาฯชะลอ
ในตลาดอาคารคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าถ้าไม่นับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทลูกหรือกอง REIT ที่มีความเกี่ยวข้องกับเฟรเซอร์สฯ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอาคารคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า หลายราย
ฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ระบุว่า ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาลงทุนในโครงการหรืออาคารประเภทคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า เช่น บมจ. แสนสิริ ร่วมทุนกับ พรอสเพค ดีเวลลอปเม้นท์เป็นบริษัทในเครือมั่นคงเคหะการการร่วมทุนนี้มีแผนจะลงทุนในการพัฒนาอาคารคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าบนที่ดินขนาดประมาณ 145 ไร่ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งพื้นที่รวมของอาคารทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 110,000 ตารางเมตร
เอสซี แอสเสท ประกาศแผนระยะยาว 10 ปี โดยการสร้างได้จากธุรกิจอื่นๆ ซึ่ง 1 ในนั้นเป็นการลงทุนพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่า ซึ่งทางเอสซี แอสเสทจะร่วมทุนกับทางโตเกียวทาเทโมโนะเพื่อลงทุนในด้านนี้ในระยะยาว โดยช่วงแรกของการร่วมทุนจะเปิดให้เช่าอาคารคลังสินค้าใน 2 ทำเล คือ บางนา กม.20 และแหลมฉบังพื้นที่อาคารรวม 126,704 ตารางเมตร แต่ในระยะยาวตั้งเป้าไว้ที่ 1 ล้านตารางเมตร
ออริจิ้น ร่วมทุนกับ เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ บริษัทที่ให้บริการด้านการขนส่งสินค้ารายใหญ่เพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่าร่วมกัน โดยเงินทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนมีจำนวน 1,225.8 ล้านบาท หลังจากนั้นมีโตคิว แลนด์ เอเชีย เข้ามาร่วมลงทุนด้วยใน 2 โครงการ และตั้งเป้าว่าพื้นที่อาคารคลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าในระยะยาวจะมีประมาณ 1 ล้านตารางเมตร
พฤกษา โฮลดิ้ง แคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ ก่อตั้งเป็นกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund จากนั้นดึงมิตซุย โอเอสเค ไลน์ส เข้าร่วมทุนด้วยเพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่าด้วยเงินทุนเบื้องต้นประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยพื้นที่ของอาคารคลังสินค้าที่จะเปิดให้บริการระยะแรกมีประมาณ 200,000 ตารางเมตรและจะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีกในระยะยาวทั้งในประเทศไทย และอาเซียน
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศร่วมทุนกับมิตซูบิชิ โลจิสติคส์ คอร์ปอเรชั่น เพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่าขนาดพื้นที่เช่าประมาณ 25,000 ตารางเมตร ด้วยเงินลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท บนที่ดินขนาดประมาณ 25 ไร่ทำเลบางนา กม.23 โดยในระยะยาวอาจจะมีการพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมร่วมกันอีก เช่น นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่า โรงงานสำเร็จรูปให้เช่า
เซ็นทรัลพัฒนา ร่วมทุน เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ และ สโตร์ อิท! แมเนจเม้นท์ 100 ล้านบาทในบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท เพื่อลงทุนร่วมกันในธุรกิจพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า โดยปัจจุบันที่ 6 สาขาในกรุงเทพมหานคร 5 สาขา และที่ภูเก็ต 1 สาขาพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 13,000 ตารางเมตร
สิงห์ เอสเตท อีก บริษัทที่มีธุรกิจหลากหลาย ได้มีการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทองบนที่ดินขนาด 1,776 ไร่ ในจังหวัดอ่างทอง เพื่อรองรับบริษัทในเครือและผู้ที่ต้องการพื้นที่เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีการเปิดขายพื้นที่ไปแล้วตั้งแต่ 2-3 ปีก่อนหน้านี้
มั่นคงเคหะการ ประกาศลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง บนที่ดินขนาดประมาณ 1,000 ไร่ด้วยเงินลงทุนประมาณ 6,500 ล้านบาทซึ่งมีบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งประเมินว่าประเทศไทยยังคงมีทิศทางการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ อีกทั้งความต้องการในภาคอุตสาหกรรมมีทั้งไทยและต่างชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4มิ.ย. “แข็งค่าขึ้น”ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility ขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาสดใส
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4มิ.ย.2568ที่ระดับ 32.63 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม)
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา รวมถึงช่วงวันหยุดทำการสองวันของตลาดการเงินไทย เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.90 บาทต่อดอลลาร์)
โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ตามสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กลับมาร้อนแรงขึ้น
ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนี ISM PMI ก็ออกมาแย่กว่าคาด ทว่า เงินบาทก็ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ที่ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งภาพดังกล่าวก็กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง แต่โดยรวมราคาทองคำยังสามารถแกว่งตัวเหนือโซนแนวรับระยะสั้นใหม่ในช่วง 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สัปดาห์ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หลังคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ (CIT) และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ได้กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงช่วงปลายสัปดาห์
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อีกทั้ง ควรรอติดตาม การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ข้อมูลการจ้างงาน อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings)
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบจากนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ผ่านรายงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤษาภาคม
และที่สำคัญ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปี 2025 และเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 2-3 ครั้ง ในปี 2026
นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้กลับมาทวีความร้อนแรงมากขึ้น
▪ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ลง 25bps สู่ระดับ 2.00% ซึ่งถือเป็นระดับ Neutral Rate ที่ทาง ECB ได้ประเมินไว้
ทั้งนี้ เราไม่ปิดโอกาสที่ ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ หากแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ กลับมาน่ากังวลมากขึ้น อนึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ย เพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ (รวมการประชุมมิถุนายนที่จะถึงนี้)
และมีโอกาสเพียง 23% ที่ ECB จะลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะ ประธาน ECB ในช่วง Press Conference เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB
รวมถึงติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ด้วยเช่นกัน ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 64% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีนี้
▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Caixin Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤษภาคม ที่จะเน้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง มากกว่าดัชนี Official PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ได้รายงานไปในสัปดาห์ก่อน
ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนเมษายน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 79% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง +25bps ในปีนี้
ในส่วนนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.75% ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ที่ในระยะหลัง ต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
▪ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือนพฤษภาคม จะหดตัวถึง -0.8%y/y ตามฐานราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้า กอปรกับการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานโลก
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) จะยังอยู่แถว 0.94% ทำให้โดยรวมแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยยังไม่ได้น่ากังวลว่าจะเผชิญความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด (Deflation) มากนัก พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยและผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อภาคธุรกิจของไทย ผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนพฤษภาคม
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้น หลังเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นพอสมควร ในช่วงวันหยุดของตลาดการเงินไทย ทว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็ติดอยู่แถวโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ สอดคล้องกับการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และการย่อตัวลงของราคาทองคำ
เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เพราะ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะสามารถทยอยแข็งค่าขึ้นได้ แต่หากราคาทองคำไม่ได้ย่อตัวลงหนัก โดยราคาทองคำอาจยังพอได้แรงหนุน จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทวีความร้อนแรงขึ้น
หรือความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจจำกัดการอ่อนค่าลงของเงินบาท (เราขอย้ำว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility ขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูง)
อนึ่งเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแรงขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง โดยเฉพาะในกรณีที่ เงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ชัดเจน (อาจเห็นการขายทำกำไรสถานะ Long THB สะท้อนผ่านแรงขายบอนด์ระยะสั้นได้) ในเชิงเทคนิคัลนั้น แนวรับของเงินบาท (USDTHB) อยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.30 บาทต่อดอลลาร์)
ส่วนโซนแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์) และเมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาสดใส ส่วนบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ก็ควรเห็นความชัดเจนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.75 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.54-32.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) หลังตลาดในประเทศกลับมาเปิดทำจากหลังจากช่วงวันหยุดยาว เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนในช่วงที่ตลาดกลับมาพุ่งความสนใจไปที่ประเด็นเรื่องสงครามการค้า โดยเฉพาะความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าสำคัญอย่างจีน นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะออกมาในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สัญญาณเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับคู่ค้า ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค. และ Beige Book ของเฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
หมิว พรปวีณ์-เม ศุภนิดา ทะลุรอบสอง อินโดนีเซีย โอเพ่น 2025, ครีม บุศนันทน์พ่ายมือ 1 โลก

หมิว พรปวีณ์ และ เม ศุภนิดา โชว์ฟอร์มแกร่ง สยบคู่แข่งจากไต้หวันและอินเดีย ลิ่วรอบสองแบดมินตัน อินโดนีเซีย โอเพ่น 2025 ขณะที่ ครีม บุศนันทน์ ต้านไม่ไหว พ่าย อัน เซยอง มือ 1 โลก
การแข่งขันแบดมินตันระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 รายการ อินโดนีเซีย โอเพ่น 2025 ชิงเงินรางวัลรวม 1,450,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 47.85 ล้านบาท) ที่สนาม อิสโตร่า เสนายัน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568 เป็นการแข่งขันรอบแรก
ประเภทหญิงเดี่ยว นักแบดมินตันไทยโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นำโดย
- “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ มือ 8 ของโลก เอาชนะ ชิว ปินเชียน มือ 27 ของโลกจากไต้หวัน ไปแบบไม่ยาก 2-0 เกม 21-18, 21-12 ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ปุซาลา วี.สินธุ มือ 21 ของโลกจากอินเดีย
- “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มือวาง 8 ของรายการ มืออันดับ 9 ของโลก ต้องออกแรงถึง 3 เกมก่อนแซงชนะ รักชิตา รัมราช มือ 43 ของโลกจากอินเดีย 2-1 เกม 14-21, 21-15, 21-12 เข้ารอบสองไปเจอกับ พูตี้ กุสุมา วาดินี่ มือ 12 ของโลกจากอินโดนีเซีย
ส่วน “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 13 ของโลก พบศึกหนักเจอ อัน เซยอง มือ 1 ของโลกจากเกาหลีใต้ ก่อนพ่ายไป 0-2 เกม 14-21, 11-21 ตกรอบแรก
ทัพนักตบลูกขนไก่ไทยยังมีโปรแกรมลงสนามอีกหลายประเภทในรอบต่อไป โดยเฉพาะประเภทหญิงเดี่ยวที่ “หมิว” และ “เม” ยังคงเดินหน้าสานต่อผลงานในศึกใหญ่ระดับซูเปอร์ 1000 ต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
โควิดพุ่ง! สธ.เตือนรับหน้าฝน-เปิดเทอม แนะการ์ดไม่ตก 2 กลุ่มเสี่ยงรีบรักษา

สธ.แจงผู้ป่วย “โควิด” เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลจากฝนตก-เปิดเทอม แนะยกการ์ดสกัดแพร่เชื้อ เตือน 2 กลุ่มเสี่ยง 608 หรือผู้มีอาการรุนแรงควรรีบไปโรงพยาบาล
วันนี้ (3 มิถุนายน 2568) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยสถานการณ์โรค โควิด-19 ที่มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จากฤดูฝนที่มาเร็วขึ้นและมีการเปิดภาคเรียน อีกทั้งยังเป็นช่วงที่พบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการคล้ายกัน จึงให้สื่อสารแนวทางปฏิบัติตัวกับประชาชนเพื่อให้มีการป้องกันตนเองมากขึ้น
เนื่องจากขณะนี้ประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มผ่อนคลายการป้องกันตนเอง ซึ่งหากทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตัวเพื่อช่วยลดการแพร่เชื้อก็จะทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงมาได้ สำหรับผู้เสียชีวิตในปี 2568 นี้มี 69 ราย ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่ม 608 ที่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว และอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีคนจำนวนมากหรือเป็นเมืองท่องเที่ยว คือ กทม. 22 ราย ชลบุรี 8 ราย จันทบุรี 7 ราย เชียงใหม่ 3 ราย เป็นต้น อัตราการเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น
หน้าฝน-เปิดเทอม โควิด-19 แนวโน้มระบาดมากขึ้น
“ผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง 608 หากติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรง สามารถหายเองได้ หรืออาจรับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก แต่หากมีอาการมาก หรือเป็นกลุ่ม 608 หรือ เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ขอให้รีบไปโรงพยาบาลทันที ดังนั้นในช่วงนี้ที่มีการเปิดเทอม จึงมีข้อควรระวังคือ การป้องกันไม่ให้เด็กที่ไปโรงเรียนติดโควิดแล้วนำกลับมาแพร่เชื้อต่อผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรงได้” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนจะเป็นไปตามฤดูกาล คือ เมื่อเข้าฤดูฝนและเปิดเรียนจะพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาที่อยู่รวมกลุ่ม เกิดการแพร่กระจายได้ง่าย ทำให้ขณะนี้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 สูงขึ้น
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 3 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 324,692 ราย อัตราป่วยอยู่ที่ 500.20 ต่อประชากรแสนคน จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ กทม. ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์
ย้ำการ์ดไม่ตก กลุ่มเสี่ยงต้องพึงระวัง
ภาพรวมแนวโน้มผู้ป่วยเริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 เป็นต้นมา และช่วงสัปดาห์ที่ 19-22 จำนวนผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงสุด 93,621 ราย ส่วนสัปดาห์นี้พบ 28,392 ราย
สำหรับมาตรการควบคุมป้องกันโรค ยังเน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล คือ การเว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และแม้อัตราเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ แต่ต้องพึงระวังกลุ่ม 608 โดยมีข้อแนะนำเพิ่มเติม คือ ให้เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลด้วย
“ขณะนี้การระบาดของโควิด -19 ในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์ XEC ซึ่งติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการไม่ได้รุนแรง เป็นเหมือนกับโรคไข้หวัดทั่วไป สะท้อนได้จากอัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก ผู้ป่วยหลายรายหายได้เองโดยไม่ต้องรับประทานยา และเมื่อติดเชื้อยังไม่มีความจำเป็นต้องหยุดการเรียนการสอนหรือหยุดการทำงาน” นพ.สุทัศน์กล่าว
ด้าน นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด- 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน คือ กรณีอาการไม่มากและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถดูแลรักษาเหมือนไข้หวัดทั่วไป คือ ใช้ยารักษาตามอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส
ส่วนกลุ่มที่ควรรีบไปพบแพทย์คือมีอาการมากขึ้น ได้แก่ ไข้สูงมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป มีอาการหอบเหนื่อย ซึมลง หรือ ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 95% และกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ กลุ่มโรคเรื้อรัง 7 โรค เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี และหญิงตั้งครรภ์ และเนื่องจากปัจจุบันโรคนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อร้ายแรง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะต้องรับไว้นอนโรงพยาบาลหรือไม่หรือใช้ยาอย่างไร ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19 นอนรักษาในโรงพยาบาลไม่มาก เฉพาะโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ใน กทม. มีผู้ป่วยนอนรักษา 7 ราย มีเตียงพร้อมรองรับคนไข้ประมาณ 50 กว่าเตียง
ส่วนยารักษาหลักๆสำหรับกลุ่มที่มีอาการมาก หรือ เป็นกลุ่มเสี่ยง ยังเป็นยาเรมดิซีเวียร์และแพกซ์โลวิด จากการสอบถามโรงพยาบาลต่างๆ ยังสามารถจัดหากับบริษัทยาได้โดยตรง ไม่ได้ขาดแคลน รวมถึงองค์การเภสัชกรรมมีการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับใช้ในกลุ่มอาการปานกลางไม่ได้รุนแรงหรือลงปอดเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อความมั่นใจว่ายาจะไม่ขาดแคลน
“ขณะนี้ไม่ได้มีคำแนะนำว่าเมื่อป่วยแล้วต้องหยุดทำงานเพื่อกักตัว การลาหยุดให้เป็นไปตามดุลพินิจของแพทย์เหมือนโรคติดต่อทั่วไปอื่นๆ เพียงแต่ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอด โดยเฉพาะ 5 วันแรกของการป่วย ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มกับคนจำนวนมาก เช่น การนั่งประชุมร่วมกัน หรือรับประทานอาหารร่วมกัน หากเป็นไปได้ขอให้สวมหน้ากากอนามัยต่ออีก 3-5 วัน ส่วนโรงเรียนหากมีนักเรียนป่วยหลายคน ขอให้นักเรียนที่ป่วยหยุดเรียน โดยไม่จำเป็นต้องปิดชั้นเรียนหรือปิดโรงเรียน เนื่องจากเด็กวัยเรียนไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงที่มีอาการรุนแรง” นพ.สกานต์กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘AI’ อาวุธร้ายโจรไซเบอร์ ไทยรับศึกหนัก ‘ภัยคุกคามพุ่ง 3 เท่า’

“ฟอร์ติเน็ต” ผู้ให้บริหารด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ชั้นนำ เผยว่า ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีจำนวนสูงขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งในแง่ปริมาณและความซับซ้อนในการโจมตี
จากการศึกษาของ “ฟอร์ติเน็ต” พบว่า ผู้บุกรุกกำลังนำ AI มาใช้โจมตีได้อย่างแนบเนียนและรวดเร็ว ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยไม่สามารถตรวจจับและตอบสนองการโจมตีได้อย่างทันท่วงที
กล่าวได้ว่า นอกจากจะพัฒนาการโจมตีที่ซับซ้อนแล้วยังทำให้เกิดช่องโหว่ทั้งการมองเห็น การกำกับดูแล และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสร้างความท้าทายมากขึ้นสำหรับทีมดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ที่มีทรัพยากรจำกัด
ปัจจุบัน AI กลายเป็นอาวุธใหม่ของผู้โจมตี และองค์กรส่วนใหญ่ต่างได้รับผลกระทบ การก่ออาชญากรรมไซเบอร์ด้วย AI ที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ได้เป็นเพียงทฤษฏีอีกต่อไป เกือบ 58% ขององค์กรในประเทศไทย ระบุว่า เคยเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในช่วงปีที่ผ่านมา
ภัยคุกคามเหล่านี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว องค์กรไทย 62% รายงานว่าภัยคุกคามที่ใช้ AI โจมตี เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และอีก 34% มองว่าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
พบด้วยว่า ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้ตรวจจับได้ยากขึ้นและมักอาศัยจุดอ่อนในระบบที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ใช้งาน การตั้งค่าที่ผิดพลาด รวมถึงระบบระบุตัวตนผู้ใช้ ในไทยภัยคุกคามด้วย AI อันดับต้นๆ ที่พบ ได้แก่ การโจมตีบัญชีผู้ใช้งาน
โดย AI จะนำข้อมูลล็อกอินที่เคยรั่วไหลมาสุ่มเดารหัสผ่านเพื่อเข้าถึงระบบอื่นๆ มีการใช้ AI สร้างอีเมลฟิชชิง, การใช้ AI บิดเบือนข้อมูลเพื่อให้โมเดล AI ทำงานผิดพลาด, รวมถึงการใช้ AI สืบค้นข้อมูลของเป้าหมายและใช้ Deepfake ปลอมแปลงผ่านอีเมลทางธุรกิจ
ท่ามกลางสถานการณ์อันตรายนี้กลับมีองค์กรในไทยเพียงแค่ 9% ที่กล่าวว่ามั่นใจในศักยภาพการป้องกันการโจมตีเหล่านี้ ขณะที่ 43% ยอมรับว่าภัยคุกคามด้วย AI กำลังพัฒนาไปไกลเกินความสามารถในการตรวจจับและ 24% ขององค์กรในไทย ระบุว่าไม่มีความสามารถในการติดตามภัยคุกคามเหล่านี้ได้เลย
วันนี้ความเสี่ยงทางไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องวิกฤติที่เกิดแค่ชั่วครั้งชั่วคราวอีกต่อไป แต่เป็นสภาวะที่ต้องเผชิญตลอดเวลาเช่นเดียวกับองค์กรในไทยที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อภัยคุกคามที่แฝงตัวซ่อนเร้นเพิ่มขึ้น
โดยภัยคุกคามที่มีการรายงานมากที่สุด ได้แก่ ฟิชชิง (60%) ช่องโหว่ในระบบคลาวด์ (56%) แรนซัมแวร์ (52%) การโจมตีซอฟต์แวร์ซัพพลายเชน (50%) และภัยคุกคามจากภายในองค์กร (48%)
ที่น่าสนใจภัยคุกคามที่สร้างความปั่นป่วนมากที่สุดจะไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดอีกต่อไป โดยที่ติดอันดับสูงสุดคือช่องโหว่ซีโร่เดย์ และช่องโหว่ที่ยังไม่มีการแก้ไข (unpatched) ตามมาติดๆ คือภัยคุกคามจากภายในองค์กร การตั้งค่าระบบคลาวด์ที่ผิดพลาด การโจมตีซอฟต์แวร์ซัพพลายเชน และความผิดพลาดจากผู้ใช้งาน
สาเหตุที่สร้างความเสียหายอย่างมาก เนื่องจากสามารถหลุดรอดการตรวจจับของระบบป้องกันแบบเดิมได้ด้วยการอาศัยจุดอ่อนภายในระบบและช่องโหว่ที่มองไม่เห็น ส่งผลให้ความเสี่ยงเหล่านี้ ซึ่งเป็นภัยเงียบและซับซ้อนมากขึ้น ถูกมองว่าอันตรายยิ่งกว่าภัยคุกคามที่รู้จักกันดี เช่น แรนซัมแวร์หรือฟิชชิง
ส่วนภัยคุกคามรูปแบบเดิมๆ อย่างแรนซัมแวร์ ฟิชชิง และมัลแวร์ ยังคงเติบโตแต่อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างช้ากว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งน่าจะเป็นผลจากความก้าวหน้าในการป้องกัน
ในทางกลับกันภัยคุกคามที่เติบโตเร็วที่สุดได้แก่ ช่องโหว่ที่ไม่ได้รับการแก้ไข และซีโร่เดย์ (20%)การโจมตีระบบ IoT/OT (16%) ช่องโหว่บนระบบคลาวด์ (14%) การโจมตีซอฟต์แวร์ซัพพลายเชน (12%) และแรนซัมแวร์ (12%)
ด้านผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ใช่แค่ระบบทำงานไม่ได้ ผลกระทบที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจ ได้แก่ การโดนโจรกรรมข้อมูลและละเมิดความเป็นส่วนตัว (64%) การสูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า(62%) การถูกลงโทษตามข้อบังคับ (46%) และการดำเนินงานต้องหยุดชะงัก (40%)
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความเสียหายทางการเงิน โดย 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจเคยประสบเหตุข้อมูลรั่วไหลที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงิน โดยหนึ่งในสี่ของเหตุการณ์เหล่านั้น มีมูลค่าความเสียหายกว่า 5 แสนดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ศัพท์ภาษาอังกฤษในการทํางาน เกี่ยวกับเวลา (Work hours in English)

คำศัพท์ “เวลา” ภาษาอังกฤษในการทํางาน
“เวลา” ถือเป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ทุกคนมีเท่ากัน และไม่มีสิ่งใดจะสามารถนำมาแลกกับเวลาที่เราสูญเสียไปในแต่ละวันได้ ยิ่งในด้านของธุรกิจเรายิ่งต้องบริหารจัดการเวลาให้ดี โดยส่วนใหญ่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มักจะเห็นคุณค่ากับเวลาในเเต่ละวัน และใช้มันอย่างคุ้มค่า
ดังนั้นเมื่อคุณรู้แล้วว่า “เวลา” สำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนทำงาน เอ็ด ดู เฟิร์สท์ เลยอยากแนะนำ ศัพท์ภาษาอังกฤษในการทํางาน เรื่องเวลา ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำงาน มาเรียนรู้กันเลย
คำศัพท์ “เวลา” ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
1) Part-time job
งานนอกเวลาหรืองานไม่ประจำ ที่มีการจ้างงานรายชั่วโมงต่อสัปดาห์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับงานประจำ งานที่เป็นงานประจำนั้นเราจะใช้คำว่า Full time job
2) Full-time job
งานประจำ ที่มีการกำหนดการทำงานอย่างเป็นมาตรฐาน 5 – 6 วันต่อสัปดาห์ และมีชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมง ในหนึ่งวัน หรือตามที่แต่ละบริษัทกำหนด
3) To be punctual
จะมาทำงานก็ควรที่ตรงต่อเวลา ดังนั้นคำว่า To be punctual คือการตรงต่อเวลา
4) Over time
คือคำที่คนวัยทำงานอย่างเราๆ ได้ยินกันบ่อยๆ ที่เรียนว่า OT คือเวลาที่ทำงานนอกเหนือจากชั่วโมงทำงานปกติ เรียกว่าการทำงานล่วงเวลา
5) Work from home
โลกปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน ในบางบริษัทยอมให้พนักงานทำงานจากบ้าน อย่างที่เราได้ยินกันบ่อยในช่วงนี้ คือ Work from home นั่นคือการทำงานจากที่บ้าน
6) Timesheet
ในโลกของการทำงานโดยเฉพาะการทำงานเป็น Shift work หรือการทำงานเป็นกะ นั้นก็มักจะมีการลงเวลาการทำงานซึ่งการลงเวลาการทำงานคือ Timesheet
7) To take a break
การพักเบรคเป็นช่วงๆ จากการทำงานหรือการพัก
8) To clock in / clock out
คล้ายกับการเริ่มบันทึกเวลาการเริ่มและสิ้นสุดการทำงานซึ่งอาจเป็นการตอกบัตรหรือการลงเวลางาน
9) Hourly rate
คือค่าแรงหรือค่าบริการรายชั่วโมง
10) Fixed hours
จำนวนชั่วโมงทำงานของพนักงานที่ถูกกำหนด
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
ตะลิงปลิง ผลไม้พื้นบ้านมากประโยชน์ แต่กินผิดอาจเกิดโทษ

ตะลิงปลิง เป็นผลไม้พื้นบ้านที่มีรสเปรี้ยวจัดจ้าน คนไทยมักนำไปใช้ประกอบอาหาร หรือแปรรูปเป็นของกินเล่น แต่รู้หรือไม่ว่าผลไม้ชนิดนี้มีทั้งประโยชน์และโทษหากบริโภคไม่เหมาะสม
ตะลิงปลิง คืออะไร
ตะลิงปลิง หรือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Averrhoa bilimbi เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กในตระกูลเดียวกับมะเฟือง ผลมีลักษณะเรียวยาว สีเขียว รสเปรี้ยวจัด มักออกผลดกช่วงฤดูฝน
ประโยชน์ของตะลิงปลิง
แม้จะมีรสเปรี้ยวจัด แต่ตะลิงปลิงก็มีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาในหลายด้าน เช่น
- ต้านอนุมูลอิสระ ตะลิงปลิงอุดมด้วยวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดความเสื่อมของเซลล์ และป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งบางชนิด
- ช่วยลดน้ำตาลในเลือด งานวิจัยในระดับเบื้องต้นพบว่า สารสกัดจากตะลิงปลิงสามารถช่วยลดระดับกลูโคสในเลือดของสัตว์ทดลอง จึงมีการศึกษาต่อเนื่องในด้านนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ควรใช้แทนยารักษาโรคเบาหวาน
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใบและผลของตะลิงปลิงมีสารฟลาโวนอยด์และโพลีฟีนอล ที่สามารถช่วยลดการอักเสบเล็กน้อย เช่น อาการปวดฟัน หรือแผลเปื่อยในช่องปากในรูปแบบยาพอกพื้นบ้าน
- ใช้ลดไข้และแก้ร้อนในในภูมิปัญญาชาวบ้าน ชาวอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ใช้ตะลิงปลิงต้มน้ำดื่มลดไข้ และบรรเทาอาการร้อนในแบบธรรมชาติ
โทษของตะลิงปลิง
แม้จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่การใช้หรือกินตะลิงปลิงอย่างไม่เหมาะสมก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้
- เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต และไตวายเฉียบพลัน ในตะลิงปลิงมีกรดออกซาลิก (Oxalic Acid) สูงมาก หากบริโภคในปริมาณมาก โดยเฉพาะในรูปแบบน้ำปั่นหรือน้ำคั้นเข้มข้น อาจทำให้เกิดการตกผลึกแคลเซียมออกซาเลตในไต เคยมีรายงานทางการแพทย์จากบราซิล อินเดีย และฟิลิปปินส์ ว่าผู้ป่วยเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน หลังดื่มน้ำตะลิงปลิงปริมาณมากติดต่อกัน
- กระทบเคลือบฟัน ความเป็นกรดจัดของผลสดอาจกัดกร่อนเคลือบฟัน หากเคี้ยวหรืออมบ่อยครั้ง ควรบ้วนปากหรือล้างน้ำเปล่าทุกครั้งหลังรับประทาน
- ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ผู้ที่มีโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคตะลิงปลิงสด เพราะอาจกระตุ้นกรดในกระเพาะให้หลั่งมากเกินไป จนทำให้แน่นหรือแสบท้อง
- ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรคนิ่ว หรือโรคเกาต์ กลุ่มโรคเหล่านี้ไวต่อกรดออกซาลิก และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
ควรกินตะลิงปลิง วันละกี่ลูก
แม้จะยังไม่มีข้อกำหนดตายตัวในทางโภชนาการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำว่า กินตะลิงปลิง ในปริมาณพอเหมาะ คือ ไม่เกินวันละ 2-3 ผล สำหรับผู้ที่มีสุขภาพปกติ และควรหลีกเลี่ยงการบริโภคแบบน้ำคั้นหรือปั่นเข้มข้น เพราะจะได้รับกรดออกซาลิกในปริมาณสูงกว่าผลสด
สำหรับผู้ป่วยโรคไต หรือมีประวัตินิ่ว ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะแม้ปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการรุนแรงได้
แม้ตะลิงปลิงจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน แต่การบริโภคต้องอยู่ในปริมาณที่พอดีและเหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่ควรกินมากเกินความจำเป็น หรือกินต่อเนื่องหลายวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 04/06/2568
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 51,800.00 | 51,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,349.00 | 50,770.84 | 52,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 3,014.10 | 45,693.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,679.20 | 40,616.67 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,507.05 | 22,846.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 1,172.15 | 17,769.79 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 3,470.47 | 52,612.33 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/06/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ![]() ไออาร์พีซี | พีที | ![]() ซัสโก้ | ![]() เพียว | ![]() พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.55 | 32.55 | 33.05 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 | 32.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.18 | 32.18 | 32.68 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 | 32.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.34 | 30.34 | 30.84 | 30.34 | 30.34 | – | 30.34 | 30.34 | 30.34 | 30.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 28.69 | 28.69 | – | – | – | – | – | – | – | 28.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 41.14 | 48.84 | 49.84 | 48.84 | – | – | – | – | – | 41.14 |
เบนซิน 95 | 40.84 | – | – | – | 48.81 | – | 41.34 | 40.99 | – | 40.84 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.94 | 46.14 | 49.84 | 46.14 | 46.14 | – | – | – | – | 43.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |