แอสเซทไวส์เปิดโครงการ “สุขา สุขี” สร้างสุขผ่านห้องน้ำสาธารณะ

แอสเซทไวส์ ขับเคลื่อนเมืองน่าอยู่ผุดโครงการ “สุขา สุขี” ชวนคนไทยร่วมออกแบบห้องน้ำสาธารณะเพื่อความสุขและความเท่าเทียม ยกระดับคุณภาพชีวิต
ในยุคที่แนวคิด “เมืองน่าอยู่” ไม่ได้หมายถึงเพียงตึกสูง ถนนสวย หรือสวนสีเขียว แต่ยังสะท้อนผ่าน “รายละเอียดเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่” อย่าง ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวพันกับคุณภาพชีวิตโดยตรง ล่าสุด บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ได้ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนแนวคิดนี้ให้เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการประกวดออกแบบ “สุขา สุขี: THE HAPPY TOILET PROJECT” เพื่อค้นหานวัตกรรมการออกแบบห้องน้ำสาธารณะ ที่ทั้ง สะอาด ปลอดภัย ใช้งานได้สำหรับทุกคน และสร้างความสุขได้อย่างแท้จริง
ห้องน้ำ…ภาพสะท้อนคุณภาพชีวิต
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าห้องน้ำอาจดูเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ แต่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตและส่งผลโดยตรงต่อความสุขของผู้ใช้งาน เพราะห้องน้ำที่สะอาด ปลอดภัย และใช้งานสะดวกสำหรับทุกคน คือภาพสะท้อนของเมืองที่ให้คุณค่ากับผู้คนอย่างเท่าเทียม
แนวคิดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 6 “Clean Water and Sanitation” ที่มุ่งเน้นให้ประชากรทั่วโลกเข้าถึงน้ำสะอาดและระบบสุขาภิบาลที่มีมาตรฐาน ซึ่งแอสเซทไวส์มองว่าการยกระดับ “ห้องน้ำสาธารณะ” คืออีกหนึ่งมิติสำคัญในการสร้างสุขภาวะที่ดีและเมืองน่าอยู่ในระยะยาว
เวทีเปิดไอเดียสร้าง “สุขาแห่งความสุข”
โครงการ “สุขา สุขี: THE HAPPY TOILET PROJECT” เปิดกว้างให้ทั้งนักออกแบบมืออาชีพ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมออกแบบห้องน้ำสาธารณะต้นแบบใน 3 ประเภท ได้แก่
- บริษัทผู้ออกแบบวิชาชีพ
- ผู้ออกแบบอิสระและประชาชนทั่วไป
- นักเรียน นิสิต นักศึกษา
โดยแบบที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นห้องน้ำแบบแยกอาคาร (Stand-alone) สำหรับชาย หญิง และห้องน้ำเพื่อทุกคน (Universal Design) และต้องผ่านการประเมินตามเกณฑ์ 6 ด้าน ได้แก่ Function, Aesthetic, Sustainability, Creativity, Technology และ Constructability
ส่งต่อความสุขยั่งยืนสู่เมืองไทย
โครงการนี้ไม่เพียงเป็นการประกวดเชิงสร้างสรรค์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ “We Build Happiness” ของแอสเซทไวส์ ที่ต้องการส่งต่อ “ความสุขที่จับต้องได้” ให้กับสังคม โดยแบบที่ได้รับรางวัลสามารถนำไปต่อยอดใช้งานจริงในพื้นที่สาธารณะต่างๆ เช่น สวนสาธารณะ วัด โรงเรียน หรือพื้นที่ของหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น
“ในโอกาสครบรอบ 20 ปี แอสเซทไวส์อยากมอบของขวัญให้สังคม ด้วยการสร้างห้องน้ำที่ดีและเท่าเทียมสำหรับทุกคน เพราะเรามองว่าห้องน้ำที่ดีคือพื้นฐานของเมืองน่าอยู่”
ผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานเข้าร่วมได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2568 (ปิดรับเวลา 23.59 น.) และจะมีการประกาศผลในวันที่ 16 มกราคม 2569 รวมเงินรางวัลกว่า 260,000 บาทรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมได้ที่🌐 www.thehappytoiletproject.com
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
วงการ ‘นายหน้าอสังหาริมทรัพย์โลก’เป็นอย่างไร

ผมในฐานนายกสมาคม FIABCI-Thai หรือ International Real Estate Federation ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และได้พบปะสังสรรค์กับกิจกรรมอสังหาริมทรัพย์มาทั่วโลก
จึงรวบรวมข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์โดยสังเขป
1.ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกมีมูลค่า 637 ล้านล้านดอลลาร์ (21,021 ล้านล้านบาท) หรือประมาณ 5,561 เท่าของงบประมาณแผ่นดินไทยในปี 2569 ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยครองตลาดเป็นส่วนใหญ่โดยมีมูลค่าประมาณ 518 ล้านล้านดอลลาร์ (81% ของทั้งหมด) อสังหาริมทรัพย์อื่น เช่น ศูนย์การค้า อาคาร สำนักงาน นิคมอุตสาหกรรม เป็นเพียงส่วนน้อย
2.ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนมีมูลค่า 55 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (8.6% ของทั้งตลาด) ตลาดอสังหาฯ อันดับที่ 2-10 ของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร อินเดีย เยอรมนี ฝรั่งเศส บราซิล อิตาลี และรัสเซีย
3.ราคาขายเฉลี่ยของบ้านใหม่ในสหรัฐอยู่ที่ 420,000 ดอลลาร์ (13.86 ล้านบาท) ราคาเฉลี่ยของบ้านที่สร้างเสร็จแล้วคือ 379,000 ดอลลาร์ (12.507 ล้านบาท) ราคาบ้านเฉลี่ยใน กทม.ขณะนี้คือ 4.5 ล้านบาท สหราชอาณาจักรอยู่ที่ 250,000 ดอลลาร์ (8.25 ล้านบาท) และเฉพาะในกรุงลอนดอนอยู่ที่ 673,000 ดอลลาร์ (22.209 ล้านบาท)
4.ในรอบ 1 ปี มีการซื้อขายบ้านในสหรัฐ 4.86 ล้านหน่วย เป็นบ้านมือสอง 4.06 ล้านหน่วยและบ้านมือหนึ่ง 8 แสนหน่วย แสดงว่าบ้านมือสองเป็นถึง 84% ของทั้งหมด โดยที่ราคาบ้านเฉลี่ยทั้งเก่าและใหม่เป็นเงิน 385,749 ดอลลาร์ หรือ 12.73 ล้านบาท
จึงทำให้การซื้อขายบ้านโดยรวมมีมูลค่าถึง 61.866 ล้านล้านบาทในรอบ 1 ปี ในกรณีประเทศไทย การซื้อขายบ้านมือสองก็มีสถานะเป็นส่วนใหญ่แล้ว คาดว่าในสัดส่วนประมาณ 60%
5.ชาวต่างชาติซื้อบ้านในสหรัฐมูลค่า 56 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ เม.ย.2567-มี.ค.2568 หรือ 1.848 ล้านล้านบาท หรือราว 162,000 หน่วย ดังนั้น ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นสัดส่วนเพียง 3% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในการขายแต่ละปีเท่านั้น
และชาวต่างชาติถึง 47% ซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินสด จะเห็นได้ว่าขนาดในสหรัฐยังมีชาวต่างชาติซื้อเพียง 3% ของหน่วยขาย การที่จะหวังให้มีชาวต่างชาติมาซื้อที่อยู่อาศัยมากมายจึงคงเป็นไปไม่ได้
6.สำหรับ 5 ประเทศต้นทางสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1 จีน 15% 11,700 หน่วย ณ มูลค่า 13.7 พันล้านดอลลาร์ อันดับ 2 แคนาดา 14% 10,900 หน่วย ณ มูลค่า 6.2 พันล้านดอลลาร์ อันดับ 3 เม็กซิโก 8% 6,200 หน่วย ณ มูลค่า 4.4 พันล้านดอลลาร์ อันดับ 4 อินเดีย:6% 4,700 หน่วย ณ มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ และอันดับ 5 สหราชอาณาจักร 4% 3,100 หน่วย ณ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์
7.จุดหมายปลายทางยอดนิยมในสหรัฐเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ซื้อชาวต่างชาติทั้งหมด ฟลอริดา 21% แคลิฟอร์เนีย 15% เท็กซัส 10% นิวยอร์ก 7% และแอริโซนา 5% ทั้ง 5 มลรัฐนี้รวมถึง 58% การซื้อที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในไทยก็เช่นกัน จะเน้นเฉพาะในบางเขต ไม่ใช่ซื้อแทบทุกเขตในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
8.ประเทศที่ “มหาอำนาจ” สนใจไปซื้อมากที่สุด ในกรณีชาวอเมริกันต้องการไปซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุดที่เม็กซิโก คอสตาริกา สเปน โปรตุเกส ปานามา เบลิซและฝรั่งเศส ส่วนประเทศที่ชาวอินเดียสนใจไปซื้อมากที่สุดได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โปรตุเกส สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อังกฤษ
และประเทศที่คนจีนนิยมไปซื้ออสังหาฯมากที่สุดได้แก่ อเมริกา ไทย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ญี่ปุ่น แคนาดา อังกฤษ
9.มีผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าอสังหาฯ มากกว่า 3 ล้านคนในสหรัฐ จากประชากรทั้งหมด 340 ล้านคนหรือเกือบ 1% และทั่วโลกน่าจะมี 6 ล้านคนจากประชากรโลก 8,142 ล้านคนหรือ (0.07%) ถือว่ามีสัดส่วนต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกาถึงมากกว่า 10 เท่าตัว
ส่วนไทยเราที่เป็นสมาชิกสมาคมนายหน้า 2 แห่งรวมกันคงไม่เกิน 5,000 คน ถ้านับรวมที่ไม่ใช่เป็นสมาชิกแต่ประกอบอาชีพนายหน้า อาจมีจำนวนรวมไม่เกิน 50,000 คน (สมมติให้เป็น 10 เท่าของสมาชิกสมาคม) ในขณะที่ประชากรไทยมี 66 ล้านบาท หรือราว 0.08% เท่านั้น
10.ในจำนวนนายหน้า 3 ล้านคนข้างต้นนี้ที่เป็นสมาชิกของ National Association of Realtors (NAR) อยู่ 1.5 ล้านคนหรือ 50% นอกนั้นเป็นสมาคมอื่นๆ เช่น Urban Land Institute (ULI), National Association of Industrial and Office Properties (NAIOP), National Association of Real Estate Brokers (NAREB-เน้นคนผีสี) เป็นต้น หรือไม่สังกัดสมาคม
การประกอบอาชีพนายหน้าทุกคนทำได้ หากผ่านการสอบและได้รับใบอนุญาตจากแต่ละมลรัฐเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มีบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เกือบ 310,000 แห่งในสหรัฐ แสดงว่าแต่ละแห่งมีนายหน้าอยู่ราว 5 คน
11.ในสหรัฐ ผู้ซื้อบ้านประมาณ 94% ซื้อบ้านผ่านนายหน้า ในประเทศไทยไม่มีสถิติที่แน่ชัดแต่คาดว่าน่าจะมีสัดส่วนไม่เกิน 20%
12. นายหน้าอสังหาฯ ในสหรัฐมีรายได้เฉลี่ย 98,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 3,234,000 บาทต่อปีหรือเดือนละ 269,500 บาท ถ้ารายได้ในสหรัฐสูงกว่าไทย 5 เท่า ก็แสดงว่านายหน้าในสหรัฐมีรายได้เดือนละ 53,900 บาท ซึ่งก็นับว่าไม่สูงมากนัก ในทางกลับกัน ตัวแทนที่มีรายได้สูงที่สุดก็สามารถทำเงินได้สองเท่า
13.ในสหรัฐ อาชีพนายหน้าและตัวแทนขายอสังหาฯ โดยรวมคาดว่าจะเติบโต 3% ระหว่างปี 2567-2577 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของทุกอาชีพ คาดการณ์ว่าจะมีตำแหน่งงานว่างสำหรับนายหน้าและตัวแทนขายอสังหาฯ ประมาณ 46,300 ตำแหน่งในแต่ละปีโดยเฉลี่ยตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
เป็นผลมาจากความต้องการแรงงานทดแทนที่ย้ายไปทำงานอื่นหรือออกจากตลาดแรงงาน เช่น การเกษียณอายุ ดังนั้น การเติบโตของผู้ทำงานเป็นนายหน้าอาจไม่ได้มากนัก
14.ในการย้ายถิ่นฐาน คนอเมริกันโดยเฉลี่ยย้ายบ้านเกือบ 12 ครั้งในช่วงชีวิต ของไทยน่าจะไม่เกิน 5 ครั้งโดยประมาณ แต่ในอนาคตสำหรับคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยก็น่าจะมีการย้ายถิ่นฐานมากขึ้น
ทั้งนี้ ชาวอเมริกันเกือบ 60% ย้ายถิ่นฐานภายในรัฐเดียวกัน กรณีนี้ก็คล้ายกับในประเทศไทยที่มักย้ายถิ่นไม่ไกลไปจากที่เคยอยู่เดิม เพราะมีความคุ้นเคยมากกว่าการย้ายไปอยู่ที่ไกลๆ ซึ่งอาจต้องปรับตัวมาก และมีชาวอเมริกันเพียง 2% เท่านั้นที่ย้ายไปต่างประเทศ
15.สำหรับวิธีการขอใบอนุญาตอสังหาริมทรัพย์ เช่น มลรัฐฟลอริดา ผู้มีสิทธิขอใบอนุญาตต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต้องมีหมายเลขประกันสังคม สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือเทียบเท่าเป็นอย่างน้อย ต้องผ่านการสอบและได้รับใบอนุญาตจากแต่ละมลรัฐ
16.ส่วนความรับผิดชอบทางวิชาชีพ เมื่อได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอสังหาริมทรัพย์แล้ว ก็ควรทำประกันภัยความรับผิดทางวิชาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (Indemnity Insurance หรือ Error & Omission) เพื่อคุ้มครองธุรกิจจากการเรียกร้องค่าเสียหายจากความประมาทเลินเล่อ
ประเทศไทยก็ควรมีพัฒนาการด้านวิชาชีพนายหน้าเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 7พ.ย.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” ที่ 32.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์ ตลาดรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาวในเดือนพ.ย.
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 7พ.ย.2568ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทเริ่มมีโอกาสทยอยแข็งค่ามากขึ้นได้
หรืออาจกล่าวได้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มมีกำลังมากขึ้น หลังมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เริ่มเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนหน้า จากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุด (ซึ่งยังคงไม่ใช่ข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ)
สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงมากขึ้น กดดันให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง ซึ่งหากผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ไม่ยาก ก็อาจยิ่งกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์
หลังช่วงก่อนหน้าที่เงินดอลลาร์ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จนดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) มีจังหวะปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 100 จุด นั้น ผู้เล่นในตลาดได้มีสถานะ Net Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น) จากที่มีสถานะ Net Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) มาโดยตลอด
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way Risk สามารถผันผวนได้ทั้งสองทิศทาง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด บรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ที่ล่าสุด
ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ศาลฯ อาจมีแนวโน้มเพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าจากกฎหมาย IEEPA ซึ่งทำให้ความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งและกดดันเงินดอลลาร์
นอกจากนี้ เรามองว่า ราคาทองคำก็ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ทำให้ในบางจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับก่อนหน้า ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำเข้ามาบ้าง กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง อีกทั้งในช่วงนี้ เราพบว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดทั้งฝั่งผู้นำเข้า หรือผู้เล่นในตลาดพลังงาน ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์
รวมถึงซื้อน้ำมันดิบ ในช่วงตลาดย่อตัวลง ทำให้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด และอาจติดโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้ ขณะที่หากเงินบาท ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ไม่ว่าจะมาจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือการปรับตัวลงอีกครั้งของราคาทองคำ
เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ดูจะถูกจำกัดไว้แถวโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวต้านถัดไปในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรอทยอยขายเงินดอลลาร์ของฝั่งผู้ส่งออก และการปรับสถานะถือครอง อย่างสถานะ Long USDTHB หรือ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ และประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown
และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.45 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ยังคงไม่ได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ในตลาดการเงิน
โดยเฉพาะตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงเทขายหุ้นเทคฯ อีกครั้ง ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชนก็ออกมาน่าผิดหวังและแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการเลิกจ้างงาน (Challenger Job Cuts) ในเดือนตุลาคม พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 153,074 ตำแหน่ง นับเป็นตัวเลขของเดือนตุลาคมที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยอดการจ้างงานโดย Revelio ซึ่งพยายามประเมินการจ้างงานให้ใกล้เคียงกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) จากทาง BLS (ที่ยังไม่มีการประกาศข้อมูลออกมา จนกว่าภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลง) ก็ปรับตัว “ลดลง” 9,100 ราย ในเดือนตุลาคม (สวนทางกับ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น 42,000 ราย)
โดยภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ดังกล่าว ได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 70% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ และโอกาสราว 68% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า
และการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการที่ผู้เล่นในตลาดเลือกถือสกุลเงินอื่น อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ เงินบาทชะลอการอ่อนค่าลงและเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลงแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia -3.7% จากความกังวลต่อประเด็นมูลค่าของหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้ง รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชนก็ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.12% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาดิ่งลง -1.90%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.70% สอดคล้องกับแรงขายหุ้นกลุ่ม AI/Semiconductor ในฝั่งสหรัฐฯ ที่กลับมาอีกครั้ง จากความกังวลด้านมูลค่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่อาจสูงเกินไป
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาผสมผสาน แต่โดยรวมหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ผลประกอบการสดใส ก็พอช่วยพยุงตลาดได้ อาทิ AstraZeneca +3.1%
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่ระดับ 4.10% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็มีส่วนทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงเช่นกัน ทว่า ความไม่แน่นอนของการพิจารณาคดีมาตรการภาษี IEEPA ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ในช่วงนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (ซึ่งเรายังคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อได้ จากภาพตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงชัดเจน) ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษี IEEPA ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด
นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังไม่ได้หนุนเงินดอลลาร์มากนัก หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเข้าถือเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน
อีกทั้ง ประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ก็ยังคงกดดันเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 99.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.6-100.0 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงิน จะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อีกทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ปรับตัวลดลง ทว่า ผู้เล่นในตลาดกลับไม่ได้เลือกที่จะเข้าถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) มีจังหวะย่อตัวลงทดสอบโซน 3,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด เข้าใกล้โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนพฤศจิกายน
โดยเฉพาะในส่วนของรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) ซึ่งจะออกมาในช่วงตลาดรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 1 ปี ข้างหน้า โดยเฟดสาขานิวยอร์ก ด้วยเช่นกัน
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.35-32.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยแม้เงินบาทจะขยับแข็งค่าขึ้น แต่ในภาพรวมยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากยังคงรอปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน อาทิ ตัวเลขการส่งออกของจีนที่มีกำหนดจะประกาศในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่ คงต้องติดตาม Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่อาจเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าในระหว่างวัน หลังจากข้อมูลตลาดแรงงานที่เปิดเผยโดย Challenger, Gray & Christmas มีสัญญาณอ่อนแอ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชีย และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย. ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน และตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์เดือนต.ค. รวมถึงสถานการณ์ชัตดาวน์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ ตบเจ้าถิ่นขาดลอย ลิ่ว 8 คน แบดมินตัน โคเรีย มาสเตอร์ส

“พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ โชว์ฟอร์มเหนือชั้น ตบเอาชนะคู่แข่งจากเกาหลีใต้ 2-0 เกม สกอร์ 21-11, 21-10 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้าย แบดมินตัน “โคเรีย มาสเตอร์ส 2025” เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ได้สำเร็จ ขณะที่คู่ผสมไทย “โนแอล-มูนา” ต้องออกแรงเหนื่อยถึง 3 เกม ก่อนพลิกสถานการณ์คว้าชัยเข้ารอบไปได้เช่นกัน
การแข่งขันแบดมินตันรายการ โคเรีย มาสเตอร์ส 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,800,000 บาท ที่เมืองอิคซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ย.68 ที่ผ่านมา ในรอบสอง
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง “พิ้งค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ และมืออันดับ 37 ของโลก ลงสนามพบกับ ยู เอยอน มืออันดับ 294 ของโลกจากเกาหลีใต้
เกมนี้ พิชฌามลณ์ โชว์ฟอร์มได้อย่างเหนือชั้นและควบคุมเกมได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเกมบุกที่เด็ดขาดและแม่นยำ เอาชนะไปได้แบบขาดลอย 2-0 เกม ด้วยสกอร์ 21-11 และ 21-10 ส่งผลให้ “พิ้งค์” ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ (8 คนสุดท้าย) ไปพบกับ ฮินะ อาเกชิ มืออันดับ 57 ของโลกจากญี่ปุ่นต่อไป
สำหรับผลงานนักกีฬาไทยในประเภทอื่น ๆ มีดังนี้
- หญิงเดี่ยว: “น้ำหวาน” ต้นรัก แซ่เฮ้ง มืออันดับ 201 ของโลก พลาดท่าแพ้ให้กับ ชิว ปินเชียน มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 20 ของโลกจากไชนีส ไทเป 0-2 เกม (13-21, 16-21)
- คู่ผสม: “โนแอล” ภูวนัตถ์ หอบรรลือกิจ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มืออันดับ 150 ของโลก ต้องออกแรงเหนื่อยถึง 3 เกม ก่อนจะพลิกสถานการณ์แซงเอาชนะ โล บิงคุน กับ โนราคิลาห์ ไมซาราห์ คู่มืออันดับ 112 ของโลกจากมาเลเซียไปได้ 2-1 เกม (17-21, 21-16, และ 21-11) ส่งผลให้ “โนแอล-มูนา” ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ จิมมี่ หว่อง กับ ไล่ เป่ยจิง คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่มืออันดับ 37 ของโลกจากมาเลเซีย
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
‘โรคมโน’ ไม่ใช่แค่นิสัย แต่เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องรักษา

- โรคมโน หรือ Pathological Liar คือภาวะที่บุคคลสร้างเรื่องราวเท็จได้หลากหลาย ไม่จำกัดหัวข้อ เป้าหมายหลักคือการทำให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าสนใจ หรือเป็นที่น่าเห็นใจ
- ภาวะการโกหกที่ควบคุมไม่ได้ หรือ มโน ไม่ใช่แค่ลักษณะนิสัยที่ไม่ดี แต่เป็นปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างหนึ่ง
- การช่วยเหลือที่ดีที่สุดไม่ใช่การจับผิด แต่คือการเข้าใจและสนับสนุนให้ผู้ที่มีอาการได้เข้ารับการประเมินและรักษาจากจิตแพทย์
ลายครั้งที่เราอาจเคยใช้คำว่า “มโน” ในความหมายทั่วไปที่แปลว่า การคิดไปเอง แต่ในทางจิตวิทยา เมื่อพฤติกรรมการจินตนาการและการพูดไม่จริงนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนควบคุมไม่ได้ และดูเหมือนไม่มีเหตุผลชัดเจน
สิ่งนี้อาจไม่ใช่แค่ลักษณะนิสัย แต่เป็นสัญญาณของ “โรคมโน” ซึ่งเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่ซับซ้อน ผู้ที่มีภาวะนี้มักสร้างเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาจนบางครั้งก็หลอกตัวเองไปด้วย การทำความเข้าใจภาวะนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการช่วยเหลือตัวผู้ป่วยและคนรอบข้างให้ก้าวสู่โลกความจริงได้อย่างเหมาะสม
โรคมโน (Pathological Liar) ภาวะทางสุขภาพจิต
พญ.อภิสรา สุวรรณประทีป จิตเวชผู้ใหญ่ โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (BMHH) อธิบายว่าโรคมโน เป็นภาวะการโกหกที่ควบคุมไม่ได้ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Pathological Liar, Pseudologia Fantastica หรือ Mythomania จัดเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่บุคคลคนหนึ่งมีแนวโน้มที่จะพูดโกหกอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย โดยอาจโกหกเพื่อหนีปัญหา ดึงดูดความสนใจ เสริมภาพลักษณ์ หรือเติมเต็มสิ่งที่รู้สึกขาดในชีวิต สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยมักจะเชื่อในเรื่องราวที่ตนเองสร้างขึ้น จนกระทั่งแยกแยะระหว่างความจริงและจินตนาการไม่ได้
ภาวะนี้พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคม การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาการอาจดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงวัยสูงอายุ
ความต่าง Pathological Liar VS Erotomania
แม้ทั้งสองคำจะเกี่ยวข้องกับ “การมโน” แต่ก็เป็นภาวะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โรคมโน หรือ Pathological Liar คือภาวะที่บุคคลสร้างเรื่องราวเท็จได้หลากหลาย ไม่จำกัดหัวข้อ เป้าหมายหลักคือการทำให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าสนใจ หรือเป็นที่น่าเห็นใจ เรื่องราวที่สร้างขึ้นอาจเกี่ยวกับความสำเร็จ ความเจ็บป่วย หรือวีรกรรมต่าง ๆ
ในขณะที่ Erotomania เป็นอาการหลงผิดประเภทหนึ่งที่ผู้ป่วยมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่ามีบุคคลอื่นกำลังตกหลุมรักตนเอง เหมือนที่ตนเองก็ตกหลุมรักพวกเขาเช่นกัน โดยที่ไม่มีความจริงอยู่เลย
สาเหตุของโรคมโนเกิดจากอะไรได้บ้าง?
- ประสบการณ์วัยเด็กที่ขาดการยอมรับ หรือความรักจากครอบครัว
- ความต้องการหนีจากความจริงที่ไม่อยากเผชิญ
- การเติมเต็มสิ่งที่ขาดผ่านจินตนาการในแบบที่อยากให้เกิดขึ้น
- ปัญหาบุคลิกภาพ เช่น ต่อต้านสังคม หรือขาดความมั่นใจในตัวเอง
นอกจากนี้ โรคมโนมักพบเป็นอาการร่วมกับภาวะทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) โรคขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulse Control Disorder) หรือภาวะซึมเศร้า (Depression)
อาการแบบไหนเข้าข่ายโรคมโน
การสังเกตพฤติกรรมของคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ หากมีลักษณะหลายข้อต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณของภาวะโรคมโน
- โกหกในเรื่องที่ทำให้ตนเองดูน่าสนใจ มีเสน่ห์ หรือน่าประทับใจ
- มักพูดในทางที่ทำให้ตนเองดูดี ถูกต้อง และเหนือกว่าผู้อื่น พร้อมกับพูดในทางลบเกี่ยวกับคนอื่นเพื่อเปรียบเทียบ
- โกหกอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
- เรื่องราวที่โกหกมีความซับซ้อน มีรายละเอียดมาก เชื่อมโยงกันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ
- เมื่อถูกจับได้ว่าโกหก จะไม่แสดงความรู้สึกผิด แต่อาจจะโกรธ หรือสร้างเรื่องโกหกเรื่องใหม่ขึ้นมากลบเกลื่อน
การวินิจฉัยในทางการแพทย์
จิตแพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการประเมินสภาวะทางจิตใจอย่างละเอียด ซักประวัติเชิงลึกจากผู้ป่วยและอาจรวมถึงคนใกล้ชิดเพื่อประเมินหารูปแบบพฤติกรรมและค้นหาภาวะทางจิตเวชอื่น ๆ ที่อาจเป็นต้นตอของอาการ เช่น โรคบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorder) โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) หรือภาวะซึมเศร้า (Depression)
วิธีรักษาโรคมโน
- จิตบำบัด (Psychotherapy)
เป็นการปรับพฤติกรรม ความคิด และอารมณ์ ผ่านการพูดคุย การใช้ศิลปะบำบัด หรือดนตรีบำบัด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้สำรวจถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ต้องโกหก เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง และพัฒนาวิธีแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ
- การรักษาด้วยยา
จิตแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อรักษาภาวะอื่น ๆ ที่เกิดร่วมด้วย เช่น ยาต้านเศร้า หรือยาคลายกังวล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจที่มั่นคงและพร้อมสำหรับการทำจิตบำบัดมากขึ้น
- การช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรหลีกเลี่ยงการตำหนิตรง ๆ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยยิ่งสร้างกำแพงและโกหกมากขึ้น ควรใช้การสื่อสารที่แสดงความห่วงใยในตัวตนของเขา และสนับสนุนให้เขาได้พบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา เพื่อรับความช่วยเหลือที่ถูกต้อง
โรคปัญหาทางสุขภาพจิตที่ต้องรักษาอย่างถูกต้อง
โรคมโน หรือภาวะการโกหกที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่แค่ลักษณะนิสัยที่ไม่ดี แต่เป็นปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างหนึ่ง การช่วยเหลือที่ดีที่สุดไม่ใช่การจับผิด แต่คือการเข้าใจและสนับสนุนให้ผู้ที่มีอาการได้เข้ารับการประเมินและรักษาจากจิตแพทย์ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง
สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาโรคมโน หรือมีคนใกล้ตัวที่มีอาการดังกล่าว Bangkok Mental Health Hospital (BMHH) โรงพยาบาลที่ดูแลปัญหาทางจิตใจในเครือโรงพยาบาลเวชธานี มีทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยามากประสบการณ์ พร้อมประเมินหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
วิธีการพูดว่าสี่ฤดูในภาษาญี่ปุ่น

วิธีการพูดว่าฤดูกาลในภาษาญี่ปุ่น
ก่อนอื่น นี่คือคู่มือเริ่มต้นอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับวิธีการพูดสี่ฤดูกาลในภาษาญี่ปุ่น:
| ภาษาอังกฤษ | คันจิ | ฮิรางานะ | โรมาจิ |
| ฤดูใบไม้ผลิ | 春 | ฮะรู | ฮารุ |
| ฤดูร้อน | 夏 | นะつ | นัตสึ |
| ฤดูใบไม้ร่วง | 秋 | ซะคิ | อากิ |
| ฤดูหนาว | 冬 | ふゆ | ฟูยุ |
| ฤดูกาล | 季節 | กิせつ | คิเซ็ตสึ |
| สี่ฤดู | 四季 | ชิกิ | ชิกิ |
| ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว | 春夏秋冬 | しゅんかしゅうとう | ชุนกะชูโทว |
ชื่อฤดูกาลทั้งสี่ในภาษาญี่ปุ่น
ฮารุ
春
ฤดูใบไม้ผลิ
ฮารุ (春 / ฮะรู) เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมมากของปีในการมาเยือนญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่ซากุระ (หรือที่รู้จักในชื่อดอกซากุระ) บานสะพรั่งและฮานามิ อันเลื่องชื่อ (花見 / ฮะなみ) หรือเทศกาลชมดอกซากุระเกิดขึ้น!
ในญี่ปุ่น ฤดูใบไม้ผลิจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม แต่ดอกซากุระจะบานในเวลาต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและพื้นที่
นัตสึ
夏
ฤดูร้อน
นัตสึ (夏 / なつ) แปลว่า ‘ฤดูร้อน’ ฤดูร้อนในญี่ปุ่นมีอากาศร้อนและชื้นมาก โดยทั่วไปช่วงฤดูร้อนจะอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม แต่อากาศร้อนจัดอาจยาวนานถึงเดือนกันยายน!
ฤดูร้อนเริ่มต้นด้วยฤดูฝนในเดือนมิถุนายน ซึ่งเรียกว่าสึยุ (梅雨 / つゆ) หลังจากนั้น อุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้น เฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 30°C
แม้ฤดูฝนจะผ่านไปแล้ว แต่คุณก็ยังคงเห็นคนจำนวนมากกางร่มกันในอากาศร้อน! จริงๆ แล้วร่มเหล่านี้คือร่มกันแดดที่ใช้ป้องกันแสงแดดแรงๆ
อากิ
秋
ฤดูใบไม้ร่วง
คำว่า ” อากิ ” (秋 / あき) แปลว่า “ฤดูใบไม้ร่วง” โดยทั่วไปแล้วเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนถือเป็นเดือนแห่งฤดูใบไม้ร่วง
ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมสำหรับการมาเที่ยวญี่ปุ่น เพราะไม่ร้อนหรือหนาวเกินไปเช่นเดียวกับฤดูใบไม้ผลิ! อุณหภูมิกำลังดีและวิวใบไม้เปลี่ยนสีหลากสีสันก็งดงามตระการตา
ใบไม้สีแดงและสีส้มที่โดดเด่นเหล่านี้เรียกว่าโมมิจิ (紅葉 / もみじ) และสวยงามไม่แพ้ซากุระในฤดูใบไม้ผลิ เลย
ฟูหยู
冬
ฤดูหนาว
Fuyu (冬 / ふゆ) คือ ‘ฤดูหนาว’ ในภาษาญี่ปุ่น! ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
สภาพอากาศในฤดูหนาวจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่คุณไปเยือนในญี่ปุ่น ยกตัวอย่างเช่น ที่โตเกียว อุณหภูมิจะต่ำแต่มักจะไม่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง สภาพอากาศค่อนข้างแห้งและมีแดดจัด ดังนั้นหิมะจึงไม่ค่อยมีให้เห็นในเมือง
ในทางกลับกัน หากคุณไปทางเหนือถึงฮอกไกโด เรื่องราวจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง! หากคุณเป็นแฟนสกี สโนว์บอร์ด หรือสเก็ตน้ำแข็ง ที่นี่คือสถานที่ที่คุณควรไปอย่างแน่นอน
ในซัปโปโร เทศกาลยูกิมัตสึริ (雪まつり / ゆなまつり) หรือ ‘เทศกาลหิมะ’ ถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี! เทศกาลนี้จัดแสดงประติมากรรมหิมะและน้ำแข็งที่ซับซ้อนและขนาดใหญ่มากมายในเมือง พร้อมด้วยแผงขายอาหารและแสงไฟที่สวยงาม
โปรดทราบว่าในภาษาญี่ปุ่น เสียง “f” ออกเสียงเหมือนเสียง “f” ผสมกับเสียง “h” ดังนั้นถึงแม้จะเป็น ” fuyu ” แต่เสียงจะคล้ายกับ “huyu” มากกว่า
คำศัพท์เกี่ยวกับฤดูกาลในภาษาญี่ปุ่น
ตอนนี้คุณคงรู้จักชื่อฤดูกาลทั้งสี่ในภาษาญี่ปุ่นแล้วแต่จะพูดถึงฤดูกาลโดยทั่วไปอย่างไรดีล่ะ? จริงๆ แล้วมีคำศัพท์ที่ใช้เรียก ‘ฤดูกาล’ หรือ ‘ฤดูกาล’ ในภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้าง เช่น
คิเซทสึ
季節
ฤดูกาล
คิเซ็ตสึ (季節 / きせつ) เป็นคำที่ใช้เรียกฤดูกาลในภาษาญี่ปุ่นมากที่สุด แปลว่า ‘ฤดูกาล’ หรือ ‘ช่วงเวลาของปี’
นอกจากจะอ้างอิงถึงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวแล้ว คุณยังสามารถใช้kisetsuเพื่อพูดถึงช่วงเวลาของปีที่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น
- samui kisetsu (寒い季節 / さむいしせつ) – ฤดูหนาว
- โอฮานามิ โนะ คิเซ็ตสึ (お花見の季節 / おHAなみのしせつ) – ฤดูชมดอกซากุระ
- nyuushi no kisetsu (入試のしせつ季節 / にゅうしのしせつ) – ฤดูสอบเข้า
ชิกิ
四季
สี่ฤดู
ชิกิ (四季 / しき) หมายถึงสี่ฤดู ประกอบด้วยตัวอักษรคันจิ 四 ( ชิ ) หมายถึงสี่ และ 季 หมายถึงฤดูกาล ซึ่งคุณจะจำได้ว่าเป็นตัวอักษรตัวแรกในคำว่า 季節 / kisetsuด้านบน
ชุนกะชูโท
春夏秋冬
ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูหนาว
ชุนกะชูโทว (春夏秋冬 / しゅんかしゅうとう) คือตัวอักษรคันจิของทั้งสี่ฤดูกาลในบริเวณเดียวกัน
แปลว่า สี่ฤดูกาล หรือเรียกง่ายๆ ว่า ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง (หรือฤดูใบไม้ร่วง) และฤดูหนาว
春夏秋冬 คือโยจิจูกุโกะ (四字熟語 / よじじゅくご) หรือคำประสมสี่อักขระโยจิจูกุโกะเป็นคุณลักษณะหนึ่งของภาษาญี่ปุ่นที่มักพบเห็นในสำนวนหรือคำพูดภาษาญี่ปุ่น
แม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วจะมีความหมายเหมือนกับคำว่า shunkashuutou (四季 / しき) แต่ คำ ว่า shunkashuutouฟังดูมีความหมายและทรงพลังมากกว่า
คำนี้ใช้การออกเสียงแบบโอโนมิ (หรือที่เรียกว่าการอ่านแบบจีน) โดยนำตัวอักษรคันจิมารวมกันเป็นคำประสม คุณคงเห็นแล้วว่า เราออกเสียงคันจิสำหรับฤดูกาลต่างๆ ต่างกันไปเมื่อพูดถึงฤดูกาลนั้นๆ ในความหมายเฉพาะ
ขอบคุณข้อมูลจาก teamjapanese.com
Google Maps เตรียมใช้ Gemini เข้ามาถามตอบเส้นทาง เพื่อแนะนำให้แม่นยำ!

หลังจากที่ Google Maps เริ่มมีเทคโนโลยีของ Gemini เข้ามาหลายแบบแล้ว แต่ล่าสุดนี้มีการเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ช่วยส่วนตัวในเรื่องของการทำผสมการเพิ่มประสบการณ์ด้านการขับรถโดยสามารถสนทนาโดยไม่ต้องแตะมือถือ ซึ่งฟีเจอร์นี้นอกจากมาแทน Google Assistant แล้วแต่ยังสามารถทำให้เวลาคุณจะขับรถไปไหนเหมือนมีเพื่อนแนะนำอยู่ข้างๆ
การทำงานของ Gemini ใน Google Maps มีผลอะไรบ้าง
เมื่อ Gemini เข้ามาอยู่ในโหมดนำทาง ผู้ใช้จะสามารถ
- สามารถถามคำถามแบบหลายขั้นตอน ได้ในขณะที่ยังคงนำทางอยู่
- นอกจากการนำทาง ผู้ใช้ยังสามารถสั่งให้ Gemini ทำงานอื่น ๆ ได้ เช่น “เพิ่มนัดหมายนี้ลงใน Google Calendar” หรือจะเปิดเพลงก็ทำได้
- Gemini สามารถใช้เสียงเพื่อรายงานสภาพการจราจรติดขัดหรือเหตุการณ์บนท้องถนนได้ทันที
การนำทางที่ฉลาดขึ้น “บอกทางด้วยจุดสังเกต”
การบอกเส้นทาง (Directions) ก็ได้รับการอัปเกรดด้วย Gemini เช่นกัน โดยระบบจะเปลี่ยนจากการบอกระยะทาง มาเป็นการใช้ “จุดสังเกต” (Landmarks) ที่เห็นได้ชัดเจน เช่นแทนที่จะบอกว่า “อีก 300 เมตร เลี้ยวขวา” ระบบใหม่จะบอกว่า “เลี้ยวขวาหลังจากผ่านร้าน Thai Siam” และสามารถบอกจุดสังเกตดังกล่าวจะถูกไฮไลท์ให้เห็นเด่นชัดบนแผนที่เมื่อคุณขับรถเข้าใกล้
ฟีเจอร์ “Lens in Maps” ใช้กล้องส่อง-ถามได้เลย
อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญคือการนำความสามารถของ Google Lens มาผสมผสานกับ Gemini ใน Maps
- ผู้ใช้สามารถแตะ ไอคอนกล้อง ในแถบค้นหา
- ยกโทรศัพท์ขึ้นส่องไปยังสถานที่ต่าง ๆ รอบตัว (ร้านอาหาร, คาเฟ่, ร้านค้า, หรือแลนด์มาร์ก)
- เมื่อหมุด (Pins) ปรากฏขึ้นบนสถานที่เหล่านั้น ผู้ใช้สามารถแตะไอคอนไมโครโฟนเพื่อ “ถามคำถาม” เกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ ได้ทันที เหมือนคุยกับเพื่อน
- Google ระบุว่านี่คือการผสมผสานที่ทรงพลังระหว่างความสามารถของ Gemini กับฐานข้อมูลสถานที่ทั่วโลกของ Google Maps
แจ้งเตือนการจราจร
แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดโหมดนำทาง Google Maps ก็จะคอยตรวจสอบเส้นทางข้างหน้า และจะแจ้งเตือนคุณล่วงหน้าหากตรวจพบการจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก เพื่อหลีกเส้นทางได้ แอบอยากลองแล้วสิ!
เห็นฟีเจอร์ว้าวแบบนี้การปล่อยอัปเดตคาดว่าะจเกิดขึ้นใช่วงสัปดาห์หน้าทั้ง Android และ iOS แต่! บางฟีเจอร์เช่นการนำทางด้วยจุดสังเกต, การแจ้งสภาพการจราจร และ Lens in maps ยังใช้ได้ในสหรับอเมริกาก่อน!
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อย่าดื่มผิดวิธี! 5 เคล็ดลับดื่มน้ำมะนาวให้ได้ผล “ดีต่อผิว-ดีต่อตับ-ดีต่อหุ่น”

5 เคล็ดลับดื่มน้ำมะนาวให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อการดูแลผิว เผาผลาญไขมัน และ “ล้างพิษ” ตับและไต
มีคนดื่มน้ำมะนาวบ่อย ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นประโยชน์เท่ากับคนอื่น ๆ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาไม่รู้วิธีใช้ 5 เคล็ดลับนี้
น้ำมะนาวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเพราะความเรียบง่าย สะดวก และอุดมไปด้วยวิตามินซีและกรดซิตริก ตั้งแต่ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ทำให้ผิวกระจ่างใส ไปจนถึงการล้างพิษตับและไต… น้ำมะนาวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายนับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่รู้เคล็ดลับนี้ คุณอาจสูญเสียสารอาหารสำคัญไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญได้สรุปเคล็ดลับ 5 ข้อต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากน้ำมะนาวหนึ่งแก้วที่คุณดื่มทุกวัน จนกลายเป็น “ยาวิเศษ” อย่างแท้จริง:
1.อย่าใช้น้ำที่ร้อนเกินไป
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำน้ำมะนาวคืออุณหภูมิ เพราะอุณหภูมิมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของน้ำมะนาว เคล็ดลับคือใช้น้ำอุณหภูมิต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียสเท่านั้น และไม่ควรใช้น้ำเย็น
นี่คือ “อุณหภูมิสีทอง” ที่ช่วยรักษาวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังและเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ร่างกายใช้ในการสังเคราะห์คอลลาเจน หากน้ำร้อนเกินไป วิตามินซีจะถูกทำลาย ซึ่งหมายความว่าความสามารถในการบำรุงผิว ป้องกันริ้วรอย และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันจะลดลงอย่างมาก การรักษาระดับวิตามินซีให้คงอยู่ หมายถึงการรักษาความสามารถในการล้างพิษและเสริมสร้างความงามจากภายใน
2. ใช้เปลือกมะนาวทั้งลูกในการทำน้ำมะนาว
การเจือจางไม่เพียงแต่ช่วยให้ดื่มได้ง่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ในการปลดปล่อยสารประกอบที่มีประโยชน์อีกด้วย อัตราส่วนทองคำที่แนะนำคือ ผสมน้ำมะนาว 1 ลูกกับน้ำ 500 มล. ต่อ 1,200 มล. โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรใช้เปลือกมะนาวในการทำน้ำมะนาว
เปลือกมะนาวมีสารฟลาโวนอยด์และลิโมนอยด์ที่ช่วยเพิ่มเอนไซม์ล้างพิษในตับ เคล็ดลับ: คุณสามารถแช่เปลือกมะนาวทั้งเปลือกในน้ำอุ่น (ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส) เพื่อใช้ประโยชน์จากประโยชน์นี้ ซึ่งส่งเสริมกระบวนการล้างพิษของตับและไต การเจือจางที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ได้ดีโดยไม่ระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหาร
3. เลือกวัสดุให้เหมาะสมกับถ้วยที่ใช้ทำน้ำมะนาว
นี่เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการล้างพิษของร่างกาย เคล็ดลับคืออย่าใช้ขวดหรือแก้วพลาสติกในการทำน้ำมะนาวโดยเด็ดขาด ควรใช้แก้วหรือเซรามิกเป็นหลัก
กรดซิตริกในมะนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผสมกับน้ำอุ่น มีคุณสมบัติในการละลายสารพลาสติไซเซอร์ (เช่น BPA และ Phthalates) จากพลาสติก เมื่อสารพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ตับและไตจะต้องทำงานหนักในการกำจัดสารพิษเหล่านี้ ส่งผลให้กระบวนการล้างพิษมีภาระมากขึ้น การใช้แก้วจะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ ช่วยปกป้อง “โรงงาน” ล้างพิษของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. อย่าดื่มน้ำมะนาวขณะท้องว่าง
นี่คือหลักการสำคัญที่สุดในการปกป้องระบบย่อยอาหารและเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมัน เคล็ดลับคืออย่าดื่มน้ำมะนาวเข้มข้นไม่หวานขณะท้องว่าง และควบคุมปริมาณน้ำมะนาวสูงสุดต่อวัน (ประมาณ 1 ลูก)
การดื่มน้ำมะนาวขณะท้องว่างอาจส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหารได้ง่าย นำไปสู่ปัญหาการย่อยอาหารที่ลดความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร (ส่งผลต่อการดูแลผิวและการล้างพิษ) เพื่อส่งเสริมการเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรดื่มน้ำมะนาวอุ่นๆ ในตอนเช้าหลังอาหาร หรือประมาณ 30 นาทีหลังอาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีรสเค็มน้อย หวานน้อย และย่อยง่ายเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญโดยไม่ทำลายเยื่อบุผิว
5. ใช้หลอดดูดน้ำเพื่อปกป้องฟันของคุณ
ความเป็นกรดของมะนาวเป็นอันตรายต่อเคลือบฟัน เคล็ดลับที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำมะนาวผ่านหลอดทุกครั้ง และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลังดื่ม
อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของฟันของคุณเท่านั้น แต่นี่คือเคล็ดลับในการรักษานิสัยดื่มน้ำมะนาวให้ยาวนาน หากฟันของคุณสึกกร่อนและบอบบาง คุณจะไม่สามารถดื่มน้ำมะนาวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าร่างกายของคุณจะสูญเสียน้ำและวิตามินซี ซึ่งเป็นสององค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเผาผลาญไขมัน (น้ำช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ) และบำรุงผิว (วิตามินซีช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 07/11/2568
| ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
|---|---|---|---|
| ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 61,100.00 | 61,200.00 |
| ทองรูปพรรณ 96.5% | 3,950.00 | 59,882.00 | 62,000.00 |
| ทองรูปพรรณ 90% | 3,555.00 | 53,893.80 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 80% | 3,160.00 | 47,905.60 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 50% | 1,777.50 | 26,946.90 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 40% | 1,382.50 | 20,958.70 | n/a |
| ทองรูปพรรณ 99.99% | 4,093.26 | 62,053.82 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 07/11/2568
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.85 | 31.85 | 32.35 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 | 31.85 |
| แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.48 | 31.48 | 31.98 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 | 31.48 |
| แก๊สโซฮอล์ E20 | 29.64 | 29.64 | 30.14 | 29.64 | – | 29.64 | 29.64 | 29.64 | 29.64 |
| แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.59 | 27.59 | – | – | – | – | – | – | 27.59 |
| แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 40.04 | 49.54 | 49.84 | – | – | – | – | – | 40.04 |
| เบนซิน 95 | 40.14 | – | – | 49.51 | – | 40.64 | 40.29 | – | 40.14 |
| ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
| ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.44 | 45.64 | 49.84 | 45.64 | – | – | – | – | 43.44 |
| แก๊ส NGV | 18.55 | 18.55 | – | – | – | – | – | – | 18.55 |







