ส่องแฟ้มครม. “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ลดอัตราจัดเก็บ 90% เพื่ออะไร
เปิดรายละเอียด “เอกสารครม.” เห็นชอบพระราชกฤษฎีกา “ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90%” เฉพาะในปีภาษี พ.ศ. 2563
วันที่ 2 มิ.ย. 63 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบเกี่ยวกับ “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90 % ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ให้แก่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้ประโยชน์อื่นนอกจากประกอบเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย และที่ทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ สำหรับปีภาษี พ.ศ. 2563
2. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท พ.ศ. …. ที่กำหนดให้ลดภาษีในอัตรา 90 % สำหรับปีภาษี พ.ศ. 2563 ตามข้อ 5. 1 ของร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่กำหนดให้ลดภาษีเฉพาะในปีภาษี พ.ศ. 2563
ในที่ประชุม กระทรวงการคลัง รายงานถึงหลักการและสาระสำคัญของร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯว่า 1.เนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ระบาดอย่างรุนแรงขึ้นทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกและของประเทศไทยหดตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วกระทบต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง จึงสมควรลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะจัดเก็บตามกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม
2. ให้บังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
3. ให้ลดจำนวนภาษีในอัตรา 90% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ตามมาตรา 42 หรือมาตรา 95 แล้วแต่กรณี (หรือสำหรับการจัดเก็บภาษี พ.ศ. 2563) สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างดังต่อไปนี้
(1) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม
(2) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
(3) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกจาก (1) และ (2)
(4) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ
4. การลดภาษีข้างต้นไม่กระทบสิทธิในการบรรเทาภาระภาษีตามมาตรา 96 และมาตรา 97 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ
5. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังรายงานข้อเท็จจริงด้วยว่า
1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ได้มีการประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2562 และได้เริ่มจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ แล้ว โดยได้ทำการสำรวจ จัดทำบัญชีและประเมินภาษีตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ อปท. มีเวลาดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น มท. จึงได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ขยายระยะเวลาดำเนินการของ อปท. เป็นการทั่วไปเป็นระยะเวลา 4 เดือนสำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี พ.ศ. 2563 จากเดิมที่ต้องชำระภาษีภายในเดือนเมษายนเป็นเดือนสิงหาคม
2. กฎหมายลำดับรองจำนวน 18 ฉบับตามที่ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ได้กำหนดให้จัดทำนั้น กค. และ มท. ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้วจำนวน 18 ฉบับ โดยในจำนวนนี้เป็นพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2563 ที่มีวัตถุประสงค์ในการลดภาษีเพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภทที่มีภาระภาษีเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นที่เกิดจากการนำหลักการภาษีทรัพย์สินมาใช้
3.สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยได้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบแก่ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจทั่วประเทศ ดังนั้นกระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย จึงได้มีการประชุมหารือและเห็นควรกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบโดยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และในการประชุมที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) จัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติเห็นควรเสนอลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90% เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ที่กำหนดให้ลดภาษีสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างบางประเภทเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เหตุการณ์ กิจการ หรือสภาพแห่งท้องที่
4. ประมาณการการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับปี 2563 คาดว่าจะจัดเก็บได้จำนวน 39,420 ล้านบาท และเมื่อมีการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของ อปท. ทั่วประเทศที่จะนำไปดำเนินภารกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดีการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของ อปท. จะเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการบรรเทาผลกระทบที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังได้ดำเนินการไปแล้ว
5.การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90 % ตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ จะส่งผลให้ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างได้รับการลดภาษีในอัตรา 90 % ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ โดยการคำนวณการลดภาษีข้างต้นเป็นไปตามตัวอย่าง ดังนี้
(1) กรณีที่ดินประกอบการเกษตร ถ้าเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา บทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ได้กำหนดให้ 3 ปีแรก (ปี 2563 – 2565) จะได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีแต่ถ้าเจ้าของเป็นนิติบุคคล สำหรับที่ดินมีมูลค่าราคาประเมินทุนทรัพย์ 10 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตราการใช้ประโยชน์ประกอบเกษตรกรรม 0.01% คิดเป็นภาษี 1,000 บาท แต่เมื่อลดภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่เสนอแล้ว จะชำระภาษีเพียง 100 บาท
(2) กรณีที่อยู่อาศัย สำหรับบ้านหลังหลักที่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นบุคคลธรรมดาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จะได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีไม่เกิน 50 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท กรณีเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน สำหรับบ้านหลังอื่น หากมูลค่าประเมินทุนทรัพย์ 5 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย 0.02 % คิดเป็นค่าภาษี 1,000 บาท แต่เมื่อลดภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่เสนอแล้ว จะชำระภาษีเพียง 100 บาท
(3) กรณีที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ประกอบการพาณิชยกรรมหรืออุตสาหกรรม มูลค่าราคาประเมินทุนทรัพย์ 4 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตรารกร้างว่างเปล่า/อัตราการใช้ประโยชน์อื่น 0.3% คิดเป็นค่าภาษี 12,000 บาท แต่เมื่อลดภาษีตาม พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ ที่เสนอแล้ว จะชำระภาษีเพียง 1,200 บาท เป็นต้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ด่วน ลดอัตราการจัดเก็บ “ภาษีที่ดิน” เฉพาะปี 2563 ลดลง 90%
ภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้าง 2563 ลด 90% เสียเท่าไหร่ คำนวณที่นี่
ร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ เป็นการลดภาษีซึ่งจะต้องดำเนินการตามนัยบทบัญญัติมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ประมาณการรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับปี 2563 จำนวน 39,420 ล้านบาท และในการเสนอลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 90 % ตามร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ 2 กรณี จะสูญเสียรายได้ ดังนี้
1. กรณีที่ 1 กำหนดลดภาษีเฉพาะในปีภาษี พ.ศ. 2563 จะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี พ.ศ. 2563 ลดลงประมาณ 35,450 ล้านบาท
2. กรณีที่ 2 ไม่กำหนดระยะเวลาในการลดภาษี จะทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลดลงปีละประมาณ 35,450 ล้านบาท จนกว่าจะมีการออกกฎหมายยกเลิกร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ
ทั้งนี้ การลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีที่ดินฯ จะช่วยบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจที่ขาดรายได้ เนื่องจากไม่สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย
“กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่ประชาชนและผู้ประกอบการทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ได้มีมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โครงการสินเชื่อเพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนและผู้ประกอบการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีรายได้ดังเช่นปกติ ทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจมีความสามารถในการชำระภาษีในปีถัดไป ตลอดจนไม่เป็นการส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของ อปท. ในระยะยาวจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดังกล่าว”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กรมธนารักษ์ เตรียมเปิดจอง คอนโดข้าราชการ “ห้องละล้าน” ก.ค.นี้
กรมธนารักษณ์ เปิดเผยว่าเตรียมเปิดตัวโครงการ “คอนโดสำหรับข้าราชการ” ในพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งจะมีสิทธิคนละ 1 ห้อง ในราคาห้องละ 1 ล้านบาท เดือน ก.ค. นี้
นางศุกร์ศิริ บุญญเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมได้เตรียมออกโครงการเปิดพื้นที่ราชพัสดุให้ข้าราชการพลเรือนเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยรูปแบบอาคารพักอาศัยรวม (คอนโด) เนื้อที่ไม่เกิน 40 ตารางเมตร เพื่อให้ข้าราชการสามารถเข้าถึงที่พักอาศัยได้ง่ายขึ้น ในราคาห้องละ 1 ล้านบาท
โครงการดังกล่าวจะเริ่มเปิดจองในช่วงเดือน กรกฎาคม 2563 และขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งกรมจะทำร่วมกันกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ที่กรมจะเปิดให้ข้าราชการได้เข้ามาซื้อได้ จะมีอยู่ที่สุขุมวิท 62 ใกล้กับบีทีเอสบางจาก และย่านถนนพระราม 3 นอกเหนือจากนั้น จะเป็นในจังหวัดต่างๆ รวมกันประมาณ 15 แห่ง เช่น นนทบุรี เชียงใหม่ ซึ่งจะใช้พื้นที่แห่งละประมาณ 1,000 ยูนิต
“กรมจะให้สิทธิข้าราชการเข้าซื้อคอนโดได้เพียงคนละ 1 ห้อง ซึ่งกรรมสิทธิ์จะเป็นของข้าราชการ โดยข้าราชการจะเข้ามาทำสัญญาเช่าที่ราชพัสดุกับกรม ซึ่งกรมจะจัดสัญญาเช่าที่ราชพัสดุในครั้งแรกให้ 30 ปี และเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า กรมจะต่อให้อีก 30 ปี โครงการดังกล่าวเป็นการนำร่องเฟสแรก และกรมก็ได้เตรียมเฟส 2 ไว้แล้ว หากได้ผลตอบรับดีก็จะมีโครงการออกมาต่อไป” นางศุกร์ศิริกล่าว
ทั้งนี้ กรมยังได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้เข้ามาปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ขณะนี้ ธอส. เสนออัตราดอกเบี้ยมาที่ 3% ซึ่งกรมอยู่ระหว่างการต่อรองอัตราดอกเบี้ย โดยจะขอให้ ธอส. คิดอัตราดอกเบี้ย ในระดับ 2.75% คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thailand-property-news.knightfrank.co.th
ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก ขานรับดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 500 จุด
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวก ขานรับดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 500 จุด จากตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาด
ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้(4 มิ.ย.63) ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืน ขานรับตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,885.14 จุด เพิ่มขึ้น 271.38 จุด, +1.20%
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,931.84 จุด เพิ่มขึ้น 8.47 จุด, +0.29%
ชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 24,643.84 จุด เพิ่มขึ้น 318.22 จุด, +1.31%
ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,373.94 จุด เพิ่มขึ้น 53.78 จุด, +0.48%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,181.64 จุด เพิ่มขึ้น 34.64 จุด, +1.61%
ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 2,733.57 จุด เพิ่มขึ้น 33.18 จุด, +1.23%
ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,541.69 จุด เพิ่มขึ้น 3.16 จุด, +0.21%
ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,231.56 จุด ลดลง 14.09 จุด, -0.23%
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลง 2.76 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. แต่ยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 8.75 ล้านตำแหน่ง และดีกว่าในเดือนเม.ย.ที่ตัวเลขจ้างงานทรุดตัวลง 19.6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นภาวะการจ้างงานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลในปี 2545
นายมาร์ค แซนดี หัวหน้านักวิเคราะห์ของมูดี้ส์ อนาลิติกส์ กล่าวว่า ตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐในเดือนพ.ค.อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงานได้ผ่านภาวะย่ำแย่ที่สุดจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากความหวังที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่เคยนำมาใช้อย่างเข้มงวดในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก นอกจากนี้ การชุมนุมประท้วงในสหรัฐที่เริ่มเป็นไปอย่างสงบ ก็เป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ลิเวอร์พูล” อาจแนบแข้งดังแลกตัว “สตาร์โรมา”
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าว อาจแนบแข้งดังประจำทีมเป็นส่วนหนึ่งในการขอซื้อตัวนักเตะดาวเด่นของ โรมา มาเสริมแนวรุก
วันที่ 4 มิ.ย. 63 “Il Sussidario” สื่อในอิตาลี ตีข่าว “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังพิจารณายื่นข้อเสนอเป็นเงินจำนวนหนึ่งบวกกับ เดยัน ลอฟเรน เพื่อขอซื้อตัว นิโคโล ซานิโอโล ตัวรุกทีมชาติอิตาลีของ “หมาป่าเหลืองแดง” โรมา มาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงซัมเมอร์นี้
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ลิเวอร์พูล อยากได้ ซานิโอโล วัย 20 ปี เข้ามาเพิ่มทางเลือกในแนวรุก อย่างไรก็ตามรายงานล่าสุดระบุว่า จากการที่ โรมา ตั้งค่าตัวของเขาเอาไว้สูงถึง 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,986 ล้านบาท) แต่ลิเวอร์พูลไม่ต้องการทุ่มเงินมากขนาดนั้น ทำให้พวกเขาอาจพิจารณาเสนอ เดยัน ลอฟเรน กองหลังดีกรีทีมชาติโครเอเชียชุดคว้ารองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอด้วย เพราะโรมาก็ให้ความสนใจ ลอฟเรน มานานแล้ว
สำหรับ ซานิโอโล วัย 20 ปี ที่เล่นได้ทั้ง มิดฟิลด์ตัวกลาง, กองกลางตัวรุก และปีกซ้าย ซัดไปแล้ว 4 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 18 นัด ในเซเรีย อา ฤดูกาลนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเพชรเม็ดงามของวงการลูกหนังอิตาลี ซึ่งนอกจากลิเวอร์พูลแล้วเขายังได้รับความสนใจจาก ยูเวนตุส และอินเตอร์ มิลาน. เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
เฝ้าระวังโรคคาวาซากิ และโควิด-19 ในเด็ก
ห่วงกลุ่มอาการคล้ายโรคคาวาซากิในเด็ก หวั่นเกี่ยวข้องกับโควิด-19 แนะผู้ปกครองหากสังเกตพบ ไข้สูงเกิน 3 วัน มีอาการทางเดินอาหาร หรือมีผื่นผิวหนัง ตาแดง ให้รีบไปพบแพทย์
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ผศ.นพ.วรการ พรหมพันธุ์ กุมารเวชศาสตร์ – โรคหัวใจ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานจากทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือพบผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่เจ็บป่วยรุนแรงรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต ด้วยลักษณะที่คล้ายกับกลุ่มอาการคาวาซากิ ร่วมกับมีภาวะช็อก คือมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ด้วยการอักเสบรุนแรงในหลายอวัยวะทั่วร่างกาย บางรายที่อาการรุนแรงทำให้เกิดการทำงานของร่างกายล้มเหลวหลายๆ ระบบ พร้อมกับมีภาวะช็อก
สมมติฐานเบื้องต้นเชื่อว่ากลุ่มอาการนี้สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เนื่องจากพบหลักฐานของการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบเชื้อโดยตรง หรือการตรวจพบการตอบสนองของร่างกาย หรือแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด 19 ในผู้ป่วยหลายราย และเรียกภาวะนี้ว่า Multisystem Inflammatory Syndrome in Children and Adolescents (MIS-C)
จากการทบทวนรายงานทางการแพทย์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้มีความเข้าใจในภาวะนี้มากขึ้น โดยพบว่า แม้กลุ่มอาการนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิ ที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบทั่วร่างกายที่พบในภูมิภาคเอเชีย แต่ก็มีหลายประเด็นที่แตกต่างกันคือ กลุ่มอาการ MIS-C พบในเด็กโตอายุเกิน 5 ปีได้บ่อยกว่า
มีอาการของระบบทางเดินอาหารได้บ่อยถึงร้อยละ 67-100 และบางครั้งเป็นอาการนำก่อนที่จะมีอาการอื่นๆ หลายระบบตามมา มีความผิดปกติของการทำงานหัวใจที่ค่อนข้างรุนแรง และมีระดับของเอนไซม์บางตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน (Triponin, BNPs) ซึ่งไม่ค่อยได้พบในโรคคาวาซากิ และมีปริมาณเกร็ดเลือดที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งต่างจากโรคคาวาซากิที่มักมีภาวะเกล็ดเลือดสูง
บางรายยังมีอาการของระบบประสาทหรือเยื่อหุ้มสมอง เช่น ปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย คอแข็ง ในรายที่รุนแรงพบเนื้อสมองบวม แต่สิ่งที่น่ายินดีคือพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีอาการรุนแรง แต่ตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยยาลดการอักเสบกลุ่ม IVIG หรือ สเตียรอยด์ เกือบทั้งหมดสามารถหายและกลับบ้าน ได้มีเพียงผู้ป่วยจำนวนน้อยที่เสียชีวิต
การรายงานเคสผู้ป่วยในแต่ละภูมิภาคมีความหลากหลาย จึงยากที่จะนำมาวิเคราะห์หาข้อสรุปว่าสัมพันธ์กับการติดเชื้อ COVID-19 มากน้อยเพียงใด องค์การอนามัยโลกจึงพัฒนาฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลเชิงระบาดวิทยา สามารถนำมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีความน่าเชื่อถือสำหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยขอความร่วมมือแพทย์ทั่วโลก บันทึกข้อมูลในแพลตฟอร์ม ชื่อ WHO COVID-19 Clinical Data Platform เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบแนวโน้ม ความรุนแรง และภาระโรค
สำหรับในประเทศไทย กรมการแพทย์ ได้มอบหมายให้สถานพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการเข้าได้กับ MIS-C บันทึกข้อมูลและส่งต่อข้อมูลในกรณีมีเคสที่สงสัยจนถึงปัจจุบัน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ยังไม่พบความผิดปกติดังกล่าว นอกจากนั้น ยังพบว่าอุบัติการณ์ในการเกิดโรคคาวาซากิที่มาเข้ารับการรักษาในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปรียบเทียบกับอัตราที่พบย้อนหลัง ในช่วง 5 เดือนแรกของปี ตั้งแต่ปี 60 จนถึงปี 63 พบว่า
ในช่วงปี 2563 จำนวนผู้ป่วยคาวาซากิลดลงประมาณกว่าครึ่ง และไม่พบผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยของ MIS-C เหมือนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองพบมีเด็กอาการน่าสงสัยคือไข้สูงเกิน 3 วัน มีอาการทางเดินอาหาร หรือมีผื่นผิวหนัง ตาแดง สามารถปรึกษากุมารแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี call center 1415 เพื่อรับคำแนะนำในการตรวจรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ด้วยการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์
คุณมีปัญหากับการจัดเวลาเรียนภาษาอังกฤษใช่ไหม คุณมักจะพลาดคอร์สเรียนต่างๆ เพราะเวลาไม่ลงตัวหรือเปล่า
การที่คุณต้องจัดเวลาตัวเองเข้ากับตารางเรียน หรือคอร์สเรียนนั้น เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้คุณไม่ได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษสักที แล้วถ้าหากเป็นตารางเรียนที่มีความยืดหยุ่นตามเวลาว่างของคุณได้ แล้วยังสามารถเรียนผ่านออนไลน์ได้ทั้งหมดล่ะ อ่านต่อเพิ่มเติมด้านล่างได้เลย
ตารางเรียนที่ยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การที่จะเจาะจงวันและเวลาในการเรียน สำหรับคอร์สเรียนยาวๆถึง 2-3 เดือนนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ที่วอลสตรีทอิงลิช คุณไม่จำเป็นต้องกังวล ในแต่ละคลาสนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเรียนวันเดิม เวลาเดิม คุณสามารถเลือกได้หลากหลาย เช่น คุณอาจจะเลือกลงเรียนคลาสวันจันทร์ช่วงเช้า คลาสถัดไปคุณอาจจะลงเรียนวันศุกร์ช่วงบ่ายได้
คลาสเรียนผ่านออนไลน์ทั้งหมด 100%
นอกเหนือจากตารางเรียนที่ยืดหยุ่นแล้ว คุณยังสามารเรียนออนไลน์จากที่ไหนก็ได้ตามที่คุณสะดวก เพียงแค่จองคลาสตามเวลาที่ต้องการ แล้วก็เข้าไปเรียนกับอาจารย์ในคลาสนั้นๆ ซึ่งจะเป็นคลาสที่มีความพิเศษและถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อคุณ
เรียนแบบไม่ขาดตอน
การมีตารางเรียนที่ยืดหยุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะทำให้เราไม่พลาดคลาสต่างๆหมือนกับการเรียนแบบเดิมๆ หากคุณไม่มีเวลาว่างในการเข้าคลาสใด คุณสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ และสามารถลงคลาสเรียนนั้นๆได้ในสัปดาห์ถัดไป โดยที่ไม่พลาดเนื้อหาที่เรียน
จองคลาสด้วยตนเอง
ด้วยการจองคลาสผ่านออนไลน์ คุณสามารถทำได้ด้วยตนเองง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องติดต่อทางสถาบัน เมื่อคุณพร้อม คุณสามารถเลือกจองคลาสผ่านโทรศัพท์มือถือของคุณได้เลย
ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
มีผลวิจัยของปีที่แล้วออกมาว่าโดยปกติคนทั่วไปจะมีเวลาว่างประมาณ 38 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว หลายๆคนมีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งเราอาจจะไม่ได้ใช้เวลาว่างนั้นให้เกิดประโยชน์มากนัก เช่นดูทีวี เล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือเล่นเกมส์ เป็นต้น การได้เรียนภาษาอังกฤษ ในแบบที่คุณสามารถเรียนจากที่ไหนก็ได้ แน่นอนว่าจะทำให้คุณได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้น
เรี่มคอร์สเรียนตามความต้องการ
โดยส่วนใหญ่แล้ว โรงเรียนสอนภาษามักจะให้นักเรียนเริ่มคอร์สพร้อมๆกับช่วงเปิดเทอมตามระบบกระทรวงศึกษาธิการ นั่นก็คือช่วงเดือนกันยายน มกราคม หรือ เมษายน ซึ่งค่อนข้างจำกัด และเป็นช่วงที่เรามักจะมีแพลนอื่นๆอยู่แล้ว ที่วอลสตรีทอิงลิช คุณสามารถเริ่มคอร์สเมื่อคุณพร้อมหรือต้องการได้ ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาที่คุณมีเวลาว่างมากกว่าปกติได้
เลือกระดับความเร็วของการเรียนเอง
ความยืดหยุ่นอีกอย่างหนึ่งของคอร์สเรียนที่นี่คือ นักเรียนสามารถเลือกระดับความเร็วของการเรียนได้ตามความต้องการ เช่น คุณอาจจะเลือกเรียนแบบเร่งรัดในช่วงเดือนนี้เพราะคุณทำงานหรือเรียนจากที่บ้าน แล้วลดความเร็วในการเรียนลงเมื่อคุณกลับไปทำงานหรือเรียนที่มหาวิทยาลัยตามปกติ ความยืดหยุ่นแบบนี้มีประโยชน์มากสำหรับคนที่มีตารางเวลาที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
เข้าคลาสเมื่อพร้อม
ที่วอลสตรีทอิงลิช นักเรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนเนื้อหาใหม่ๆ ก่อนที่จะไปพบอาจารย์เจ้าของภาษา นั่นหมายความว่าเวลาที่คุณเข้าคลาส คุณจะมีความพร้อม 100% เฉกเช่นเดียวกับนักเรียนอีก 2-3 คน ที่เข้าคลาสเดียวกันกับคุณ แต่ถ้าหากคุณไม่สามารถเตรียมตัวหรือฝึกฝนได้ทัน คุณสามารถเลื่อนคลาสเป็นอีกสองถึงสามวันข้างหน้าได้ง่ายๆ เพราะคอร์สเรียนออนไลน์ของเรานั้น มีคลาสให้เลือกจองได้ทั้งวันและทุกวัน ซึ่งจะง่ายต่อการหาคลาสในช่วงเวลาที่เหมาะกับคุณได้
จัดตารางเรียนกับที่ปรึกษา
การมีเวลาที่ยืดหยุ่นสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากนักเรียนต้องจัดตารางด้วยตนเองโดยไม่มีที่ปรึกษาคอยช่วยแนะนำอาจเป็นวิธีที่ไม่ดีนัก คุณอาจจะเริ่มต้นได้ด้วยดี แต่สุดท้ายอาจจะเรียนไม่ทัน เสียสมาธิ หรือหยุดเรียนไป ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ที่วอลสตรีทอิงลิชจึงมีที่ปรึกษาด้านการเรียนสำหรับนักเรียนแต่ละคน ตั้งแต่เริ่มจนจบคอร์ส ซึ่งที่ปรึกษาเองจะคอยแนะนำวิธีการเรียนที่ถูกวิธี เพื่อให้ได้นักเรียนจบคอร์สได้ทันเวลา และได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
เราทราบดีว่าตารางเรียนที่ยืดหยุ่นนั้นมีความสำคัญต่อทุกคนมากในปัจจุบัน และที่วอลสตรีทอิงลิช เรามีคลาสเรียนที่หลากหลาย และยืดหยุ่นมากกว่าสถาบันอื่นๆ รวมถึงคลาสเรียนออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ดีแทค จัดแคมเปญ หนุนชุมชนสามย่าน ฝ่าวิกฤติ โควิด-19
ดีแทค จัดกิจกรรมรวมน้ำใจพนักงาน ช่วยเหลือกลุ่มคนทำงานและผู้ประกอบการร้านอาหารริมทางในพื้นที่ตั้งโดยรอบบริเวณสามย่าน ฝ่าวิกฤติ โควิด-19
นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า “ ดีแทคมีความตั้งใจเป็นพลังร่วมในกระบวนการพลิกฟื้นและสร้างสังคมที่เข้มแข็งกลับคืนมา เพื่อรับกับ new normal หลังวิกฤติ โควิด-19 โดยได้จัดแคมเปญช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้สามารถใช้งานจากโทรศัพท์มือถือได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี มาช่วยสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานสาธารณสุข ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ดีแทคสำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารจามจุรี สแควร์ นับเป็นสมาชิก ของชุมชนสามย่าน เราเป็นหนึ่งในองค์กรที่ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อชุมชนชาวสามย่านในเทศกาลต่างๆเป็นประจำในทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงวิกฤติ โควิด-19 นี้ เราจึงขอเป็นส่วนร่วมช่วยเหลือคนในชุมชนที่เดือดร้อน จากผลกระทบทางเศรฐกิจ ขาดรายได้จากการทำมาหากิน โดยดีแทคได้มีโครงการช่วยเหลือชุมชนสามย่าน 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ 1. #Saveสตรีทฟู้ด โครงการช่วยร้านค้าร้านอาหารในชุมชนแถวสามย่าน ผ่านการเล่าเรื่องและเเนะนำอาหารอร่อยดีเด็ดที่หลายคนไม่เคยทราบมาก่อนผ่าน dtac blog
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการ Saveสตรีทฟู้ด อย่างยั่งยืน ดีแทคยังได้จัดทำ “คัมภีร์ 100 ร้านความอร่อย” ที่รวมรายชื่อ 100 ร้านเด็ดที่ดีแทค แนะนำให้ทุกคนได้ไปลองชิมต่อไป หากคิดไม่ออกว่าจะทานอะไร ก็สามารถเปิดคัมภีร์ 100 ร้านนี้ ที่รวบรวม ร้านอาหาร ทั้งเมนูคาวหวาน ทุกประเภททั้ง รวมถึงของกินเล่น และขนมหวาน
2. โครงการ “ตู้ใจดีปันสุข” รวมน้ำใจจากพนักงานดีแทค นำข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค มาบริจาค ที่ตู้ใจดีปันสุข ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเเพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ณ อาคารจามจุรี สแควร์สำนักงานใหญ่ เพื่อช่วยเหลือชาวสามย่าน และคนทำงานในอาคาร โดยตู้ใจดีปันสุขจะตั้งอยู่ที่บริเวณชั้น 1 ของอาคารจามจุรี สแควร์ ใกล้กับธนาคารไทยพาณิชย์ บริเวณจุด drop off โดยจะรวบรวมสิ่งของบริจาคจากพนักงานดีแทคพร้อมตรวจสอบคุณภาพและวันหมดอายุก่อนนำไปไว้ที่ ตู้ใจดีปันสุข
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บุก สรรพคุณและประโยชน์ของหัวบุก ผงบุก 27 ข้อ ! (Konjac)
บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)[12] ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ต่างพันธุ์กัน ซึ่งมีคุณสมบัติและสรรพคุณทางยาที่ใกล้เคียงกัน และสามารถนำมาใช้แทนกันได้[6]
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)[6],[9]
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (จีนกลาง) เป็นต้น[6],[9]
- ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปะปนอยู่[6],[9]
- ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร[6]
- ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง[6]
- ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม[6]
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกคุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอกเขา เป็นต้น[1],[2],[3],[4],[7]
- ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมและมีลายเขียว ๆ แดง ๆ ลักษณะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ พรรณไม้ชนิดนี้จะเจริญงอกงามในช่วงฤดูฝน และจะร่วงโรยไปในช่วงต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยมักพบขึ้นเองตามป่าราบชายทะเลและที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างประเทศบุกคางคกนั้นเป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์[1],[2],[3],[7]
- หัวบุกคางคก คือส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมและมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 เซนติเมตรขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นเมือกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด หากสัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารนั้นจึงต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 กิโลกรัม[8]
- ใบบุกคางคก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกลางใบ ส่วนขอบใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ประมาณ 150-180 เซนติเมตร[3]
- ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบประดับเป็นรูปหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า[3],[7]
- ผลบุกคางคก ผลเป็นผลสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร ผลมีจำนวนมากติดกันเป็นช่อ ๆ (สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่เมล็ดแยกออกจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่[3],[4]
สรรพคุณของบุก
- หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด (หัว)[6]
- ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำดื่ม โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ[2]
- หัวใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็ง (หัว)[6]
- ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)[6]
- ช่วยแก้อาการไอ (หัว)[6],[7]
- หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสมหะที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว)[6],[7]
- หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)[1],[3],[4]
- หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)[7]
- ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)[12]
- ช่วยแก้ประจำเดือนไม่มาของสตรี (หัว)[6] ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)[12]
- หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)[7]
- ใช้แก้พิษงู (หัว)[6]
- ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)[6]
- หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและกัดหนองได้ดี (หัว)[1],[2],[3],[4] บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)[12]
- ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)[6]
- หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)[6]
- บุกเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล ปักษา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกลาง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์) แนะนำให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พาดปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเมล็ดนำมาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้ห้อยจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอท่วมเมล็ดบุก ต้มจนเมล็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดแล้วก็ให้เติมน้ำตาลทรายแดงพอประมาณลงไปต้มให้พอหวาน หลังจากนั้นลองชิมดู ถ้ายังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วค่อยชิมใหม่ ถ้าไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ และให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้ล้มใส่เข้าไปด้วยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปล่อยให้เย็นและเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ประมาณ 30 นาที จะปวดปัสสาวะโดยธรรมชาติ หลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ทันที (ผล)[12]
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ[2] ส่วนการใช้ตาม [6] ให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าคือส่วนของหัว) นำมาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถนำมารับประทานได้ ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างบริเวณที่เป็นแผล[6]
ข้อควรระวังในการใช้บุก
- ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เป็นจำนวนมาก ที่ทำให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก้านใบถ้าปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและคันปากได้[8]
- ก่อนนำมารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด[6]
- กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังกล่าวในการปรุงอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้[6]
- ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์[6]
- เนื่องจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่ควรบริโภควุ้นบกภายหลังการรับประทาน แต่ให้รับประทานก่อนอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่ผลิตจากวุ้น เช่น วุ้นก้อนและเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังอาหารได้ เพราะวุ้นดังกล่าวได้ผ่านกรรมวิธีและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและแร่ธาตุ หรือสารอาหารใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเลย[10]
- กลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดลง (ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่จะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (เช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)[11]
- การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจทำให้มีอาการท้องเดินหรือท้องอืด มีอาการหิวน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลียเพราะระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
- สารที่พบ ได้แก่ สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี และยังพบสารที่เป็นพิษ คือ Coniine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก[6] และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ร้อยละ 5-6 และมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงร้อยละ 67[2]
- หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยกลูโคส แมนโนส และฟรุคโตส สารกลูโคแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากก็ยิ่งมีผลการดูดซึมกลูโคส ดังนั้น กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและสำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง[2]
- สารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณแตกต่างกันออกไปตามชนิดของบุก[5]
- แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนประมาณ 90% และสิ่งเจือปนอื่น ๆ เช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่าง ๆ sulfates, chloride, และสารพิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นหลัก ๆ แล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองชนิด คือ กลูโคส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลชนิดแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งแตกต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วไป จึงไม่ถูกย่อยโดยกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้[8] นอกจากกลูโคแมนแนนจะพบได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย[9]
- กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและพองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของปริมาณเดิม เมื่อเรารับประทานกลูโคแมนแนนก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครั้งละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากในกระเพาะอาหารของเรา แล้วเกิดการพองตัวจนทำให้เรารู้สึกอิ่มอาหารได้เร็วและอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรารับประทานได้น้อยลงกว่าปกติด้วย อีกทั้งกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนจึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและเป็นอาหารของผู้ที่ต้องการลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี[8]
- เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดลงคิดเป็น 44% และ Triglyceride ลดลงคิดเป็น 9.5%[6]
- สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะและลำไส้ได้ดีมาก และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในลำไส้ให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น[6]
- สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้[5]
- เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีอาการบวมที่ขารับประทานครั้งละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดลง[6]
ประโยชน์ของบุก
- คนไทยเรานิยมนำหัวบุกไปทำเป็นอาหารทั้งคาวและหวานเช่นเดียวกับเผือก เช่น แกงบวชมันบุก แกงอีสาน นำไปทอดหรือใส่ในแกงกะหรี่ หรือจะนำมาฝานเป็นแผ่นแล้วนำมานึ่งหรือย่างกินเป็นขนมบุก ส่วนต้นอ่อนที่ปอกเปลือกออกแล้ว ใบอ่อน และก้านใบอ่อนก็สามารถนำมาทำอาหารคล้าย ๆ กับบอนได้ เช่น แกงส้ม แกงเลียง ห่อหมก หรือนำมาต้มลวกจิ้มกับน้ำพริกรับประทานได้ (ก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารต้องเอาไปต้มก่อน โดยใส่ลงไปตอนที่น้ำกำลังเดือดเพื่อให้พิษหมดไป) แต่ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมรับประทานกันแล้ว เนื่องจากขั้นตอนก่อนนำมาปรุงเป็นอาหารนั้นยุ่งยากเกินไปนั่นเอง[2],[9]
- สำหรับในผู้ป่วยโรคเบาหวาน บุกสามารถช่วยควบคุมหรือลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (เนื่องจากไปช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลกลูโคสในระบบทางเดินอาหาร) และบุกยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยระหว่างพักฟื้น เป็นอาหารที่ช่วยดูดสารพิษ ขจัดไขมันในเลือด และปรุงเป็นอาหารรักษาสุขภาพ[3],[4],[5],[7]
- ในประเทศญี่ปุ่นนิยมใช้หัวบุกมาทำเป็นอาหารลดความอ้วน เพราะการรับประทานหัวบุกเป็นประจำจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยลดน้ำหนัก และช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้ เพราะสารกลูโคแมนแนนที่พองตัวจะไปห่อหุ้มอาหารที่เรารับประทานเข้าไป ไม่ให้สัมผัสกับน้ำย่อย จึงใช้ในการควบคุมน้ำหนักตัวได้ นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับไขมันและกรดน้ำดี และขับถ่ายออกนอกร่างกาย จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้[8]
- ช่วยในการขับถ่ายและระบาย เนื่องจากการพองตัวของกลูโคแมนแนนในทางเดินอาหาร จะไปกระตุ้นทางเดินอาหารส่วนล่าง โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวขับกากอาหารที่คั่งค้างอยู่ออกมา จึงช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้[8]
- ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลจากกรดหรือน้ำย่อย[8]
- ปัจจุบันได้มีการนำหัวบุกหรือแป้งบุกมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร (เช่น วุ้นเส้นบุก, เส้นหมี่แป้งหัวบุก, วุ้นบุกก้อน, ขนมบุก) เครื่องดื่มรูปแบบต่าง ๆ (เช่น เครื่องดื่มบุกผง) ใช้ในอุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอาง รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน และลดไขมันในเลือดกันอย่างแพร่หลาย (เช่น ผงบุก หรือ แคปซูลผงบุก) ซึ่งก็สามารถลดน้ำหนักได้ในระดับหนึ่ง มีความปลอดภัยต่อร่างกาย เพราะเมื่อกินแล้วทำให้อิ่มง่าย ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น ช่วยระบายท้อง และไม่ทำให้อ้วน[2],[8],[9],[11]
- มีข้อมูลว่าในต่างประเทศนั้นได้ใช้ต้นบุกเป็นอาหารสัตว์สำหรับการเลี้ยงหมูมานานแล้ว[10]
- กากจากหัวบุกอาจนำมาใช้ผสมดินทำเป็นแนวกันพังในพื้นที่เชิงเขาได้[10]
- นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีการใช้น้ำจากหัวบุกต้มผสมกับยางน่อง สำหรับไว้ใช้ยิงสัตว์ด้วย[12]
- นอกจากประโยชน์ตามที่กล่าวมาแล้ว ต้นบุกยังใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวยงามได้ด้วย โดยนักจัดสวนจะนิยมนำมาปลูกประดับตามใต้ร่มเงาของไม้ยืนต้น ปลูกใส่กระถางเป็นไม้ประดับทั่วไป หรือปลูกไว้ขาบเพื่อเพิ่มรายได้สำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกชนิดที่มีหัวเล็กใบกว้าง ที่มีชื่อว่า “บุกเงินบุกทอง” ซึ่งเป็นที่นิยมของนักเล่นว่านมีทั้งต้นเขียวและต้นแดง และมีราสูงอยู่พอสมควร[10]
ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,500.00 | 25,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,652.00 | 25,044.32 | 26,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,486.80 | 22,539.89 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,321.60 | 20,035.46 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 743.00 | 11,263.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 578.00 | 8,762.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,712.00 | 25,953.92 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/06/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 20.55 | 20.55 | 20.85 | 20.55 | 20.55 | 20.55 | 20.55 | 20.55 | 20.55 | 20.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 20.28 | 20.28 | 20.58 | 20.28 | 20.28 | 20.28 | 20.28 | 20.28 | 20.28 | 20.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 19.04 | 19.04 | 19.34 | 19.04 | 19.04 | – | 19.04 | 19.04 | 19.04 | 19.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.24 | 17.24 | – | – | – | – | – | 17.24 | – | – |
เบนซิน 95 | 27.96 | – | – | – | 28.41 | – | 28.46 | 27.96 | – | 27.96 |
ดีเซล | 20.69 | 20.69 | 20.99 | 20.69 | 20.69 | 20.69 | 20.69 | 20.69 | 20.69 | 20.69 |
ดีเซล B10 | 17.69 | 17.69 | 17.99 | 17.69 | 17.69 | 17.69 | 17.69 | 17.69 | 17.69 | 17.69 |
ดีเซล B20 | 17.44 | 17.44 | 17.74 | 17.44 | 17.44 | – | 17.44 | 17.44 | – | 17.44 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 24.84 | 24.86 | 26.84 | 26.84 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |