สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 05 สิงหาคม 2562

ชายทะเลใต้คอนโดฯล้น เบนเข็มเจาะวิว ‘ภูเขา’ รับวัยเกษียณ

รายงาน

ปัจจุบันตลาดคอนโดมิ เนียมเมืองชายทะเล ยังมีสต๊อกเหลือขายจำนวนมาก อาทิ ชะอำ หัวหินปราณบุรี รวมถึง พัทยา สาเหตุหลักเกิดจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติมีปริมาณลดลง กำลังซื้อคนไทยมีจำกัดโดยเฉพาะบ้านหลังที่สองที่ได้รับผลกระทบจากLTV มาตราการควบคุมสินเชื่อใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย อีกทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ฯลฯ

ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้งส่วนกลาง และท้องถิ่นต่างปรับตัว หารูปแบบที่น่าสนใจระบายสต๊อกไปพร้อมๆ กับการมองหาทำเลใหม่ๆ เจาะตลาด อาทิ คนวัยเกษียณทั้งคนไทยและต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงอย่างทำเล “ภูเขา” ทดแทนวิวทะเล ที่มีปัญหาตลาดชะลอตัวที่ดินหายาก และแพง

 

ทั้งนี้จากการสำรวจของ ฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พบว่า ความต้องการบ้านจัดสรร แนวบ้านพักตากอากาศมากขึ้น เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนระยะยาว บนพื้นที่ภูเขาเนื่องจากมีทัศนียภาพสวยงามและเห็นวิวทะเลในระยะไกล โดยทำเลชะอำ หัวหิน และปราณบุรี เริ่มมีผู้ประกอบการเข้าพื้นที่กันมาก เพราะได้รับความนิยมจากลูกค้าวัยเกษียณทั้งต่างชาติและคนไทย

แม้ที่ผ่านมาตลาด หัวหิน ชะอำ ปราณบุรี จะเป็นกลุ่มคนไทย แต่สังเกตว่าช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมามีกำลังซื้อจากชาวต่างชาติจำนวนกว่า 10% เป็นกลุ่มผู้ซื้อในทำเลนี้เช่นกัน แต่ลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่ยังคงเลือกซื้อบ้านเดี่ยวขนาดเล็กในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาที่มีราคาขายประมาณ 5-10 ล้านบาทและบางส่วนเลือกพักอาศัยในคอนโดมิเนียมริมทะเลที่สร้างเสร็จมานานแล้ว เนื่องจากราคาไม่สูงเกินไป ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่พักอาศัยในชะอำ หัวหิน และปราณบุรี เกษียณจากการทำงานและเลือกที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทยเพราะว่าค่าครองชีพไม่สูง สะดวกในการใช้ชีวิต และปลอดภัย อีกทั้งมีโรงพยาบาลนานาชาติระดับสากลที่ให้บริการชาว
ต่างชาติ

ขณะการระบายสต๊อกคงค้างของคอนโดมิเนียม มีผู้ประกอบการบางราย ว่าจ้างเอเยนซีช่วยขายให้แก่นักลงทุนไทยและชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อนำไปขายทำกำไรอีกต่อให้กับกลุ่มนักลงทุนจีนขณะตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินพบว่า ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากส่วนกลางเข้าพื้นที่พัฒนาโครงการใหม่ แต่ก็มีปัญหาลูกค้าบางส่วนชะลอการซื้อเนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง เพราะ “ LTV” ยังคงเป็นปัญญาหลักของตลาดคอนโด มิเนียมในเมืองท่องเที่ยวอย่าง หัวหิน ชะอำ และปราณบุรี                     

เนื่องจากกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่ 2 ที่ต้องวางเงินดาวน์เพิ่มขึ้นรวมถึงการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในช่วงที่ผ่านมาที่ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนได้รับการปฏิเสธการให้สินเชื่อลูกค้าจากธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงหลังของปียังคงมีผู้ประกอบการรายใหญ่อีกหลายรายที่จะเข้าไปพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหินทั้งผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯ และผู้ประกอบการ
รายใหญ่ที่เคยประสบความสำเร็จจากการขายคอนโดมิเนียม ที่ให้ผลตอบแทนจากการลุงทุนสูงถึง 10% เป็นระยะเวลา 10 ปี ก็สนใจจะเข้ามาพัฒนาคอนโดมิเนียมในพื้นที่หัวหิน หลังจากที่เคยพัฒนาคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น พัทยา ภูเก็ต เกาะสมุย ชุมพร และล่าสุดในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี”

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยในชะอำ หัวหิน และปราณบุรียังคงมีการขยายตัวแบบช้าๆ แต่พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่หัวหินพบว่า กลับมาคึกคักอีกครั้งในปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ทีเด็ด ‘เจ้าสัวเจริญ’  ปั้น‘วัน แบงค็อก’  ตึกสูงสุดในไทย

เจ้าสัวเจริญเปิดทีเด็ด มหานคร “วันแบงค็อก” บนถนนพระราม 4 ทุบสถิติตึกซิกเนเจอร์สูงที่สุดในประเทศไทย สะเทือนบัลลังก์ “คิงเพาเวอร์มหานคร-ไอคอนสยาม วอเตอร์ฟรอนท์”

มิกซ์ยูสใจกลางเมืองปะทุเดือดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เปิดทีเด็ด สร้างตึกสูงสะท้านฟ้า 430 เมตร เบียดแซง ตึกคอนโดฯ วอร์เตอร์ฟรอนท์ ไอคอนสยาม และ คิงเพาเวอร์มหานคร กลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยติด 1 ใน 10 ของประเทศในแถบอาเซียน สร้างมูลค่าอย่างมหาศาลให้กับพื้นที่หากโครงการซุปเปอร์ทาวเวอร์ ความสูง 615 เมตร ของจี-แลนด์เดิม ซึ่งปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลซื้อไปไม่ขึ้นโครงการ

นอกจากตึกที่สูงที่สุดแล้วยังเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลกลางใจเมืองที่มีพื้นที่มากที่สุด มูลค่าสูงที่สุดและยังเชื่ออีกว่า ราคาขายต่อตารางเมตรที่ยังถูกอุบไต๋น่าจะสูงระดับเบอร์ต้นของประเทศและหากโครงการนี้แล้วเสร็จ ที่นี่จะกลายเป็นมหานคร ที่มีเอกลักษณะเฉพาะ บนถนนพระราม 4และหากเทียบกับ สุขุมวิทแล้ว มองว่า มีความต่าง แม้จะเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจ เนื้อเดียวกัน แต่พระราม 4 มีรถไฟฟ้าสายสีนํ้าเงินมุดใต้ดิน เข้าพื้นที่ ไม่มีโครงสร้างบดบังทัศนียภาพ ตามด้วยของแถม ปอดขนาดใหญ่ “สวนลุม” กว้าง 1 ตารางเมตร นอกเหนือไปจากการสร้างพื้นที่สีเขียวขึ้นเองกว่า 50 ไร่ เรียกว่า หายากและจะกระชากผู้คนนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ ขณะแผนรองรับการเดินทางทางโครงการได้วางแผนขุดเจาะอุโมงค์เชื่อมทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ดินแดง-ท่าเรือ)การทำทางเท้า สกายวอล์ก เชื่อมระหว่างอาคาร อีกทั้งการลงทุนรถไฟรางเบาเชื่อมรถไฟฟ้าสายหลัก

จากการให้สัมภาษณ์ของ นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ดฯ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบมิกซ์ยูสขนาดใหญ่สุดในไทยภายใต้ชื่อ “วัน แบงค็อก (One Bangkok)” กล่าวว่าโครงการนี้ จะมีส่วนช่วยสำคัญในเชิงการท่องเที่ยวและโอกาสทางธุรกิจของประเทศอย่างมาก ซึ่งโครงการ วัน แบงค็อก ที่มีความหลากหลาย และเชิดชูวัฒนธรรมไทยเป็นจุดขายนั้น จะเป็นส่วนสนับสนุนในการนำประเทศชาติไปสู่เวทีโลก และโดดเด่นในระดับอาเซียนได้ ภายใต้ศักยภาพทางการเงินที่มีความแข็งแกร่งของบริษัท ทีซีซีฯ พร้อมเสริมด้วยประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของบริษัทร่วมทุน เฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้ ทำให้มั่นใจว่าโครงการดังกล่าว จะมีศักยภาพในการดึงดูดองค์กรชั้นนำเข้าเช่าพื้นที่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเป้าหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยอย่างแน่นอน           

ทั้งนี้ คาดจะมีคนใช้บริการหมุนเวียนในโครงการ 2 แสนคนต่อวัน โดยจุดเด่นสำคัญนอกจากSignature Tower สูง 430 เมตร ซึ่งจะกลายเป็น 1 ใน 10 ตึกที่สูงที่สุดในอาเซียนแล้ว ยังอยู่ที่ทำเลที่ตั้ง บนใจกลางซีบีดีของกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้ตลอดทั้งถนนมีความคึกคักสูงจากโครงการขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญ ต้องการให้โครงการ วัน แบงค็อก สร้างนิยามใหม่และพลิกโฉมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ให้มีความโดดเด่น และดียิ่งขึ้นในสายตาชาวต่างชาติ เวทีโลก ในฐานะศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว และโอกาสทางธุรกิจอย่างครบวงจร สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศอาเซียนนั้น ขณะนี้ความคืบหน้าของการก่อสร้างเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ทั้งหมด โดยพื้นที่เช่าของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ใจกลาง กทม. 104 ไร่ หัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม 4 จะถูกพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ ซึ่งจะประกอบไปด้วย พื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียม รองรับบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ รวม 5 อาคาร, โรงแรมหรูหลากหลายเซ็กเมนต์ รวม 5 โรงแรม, ที่พักอาศัยระดับลักชัวรี 3 อาคาร พร้อมด้วยพื้นที่ค้าปลีก 4 จุดเชื่อมต่อกัน และพื้นที่สาธารณะสำหรับการมุ่งเน้นให้เป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรม เพื่อตอบโจทย์ทั้งในแง่การทำธุรกิจท่องเที่ยว และพักผ่อนอยู่อาศัยในรูปแบบสมาร์ทซิตี โดยจะใช้ระยะเวลาพัฒนาแล้วเสร็จทั้งโปรเจ็กต์ต่อเนื่องนาน 9 ปี (แล้วเสร็จทั้งหมดปี 2569) โดยต้องการให้โครงการดังกล่าวเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ทั่วโลกดั่งที่เกิดขึ้นในมหานครอื่นๆอย่างไรก็ตาม มองว่ารูปแบบของโครงการดังกล่าว มีความสอดคล้องหลักกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศไทย หลังจากขณะนี้รัฐเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบขนส่งมวลชน ผ่านเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ รอบเมืองกรุงเทพฯระยะ 10 ปี, การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง, การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 และอื่นๆ เป็นต้น

“ถนนพระราม 4 เป็นความท้าทายของเราเช่นกัน หลังจากขณะนี้ ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอินฟราสตรักเจอร์ หรือ โครงสร้างพื้นฐานร่วมกับ กทม.เช่น การปรับปรุงทางเดินเท้า การนำเอาสายไฟฟ้าลงดิน การทำงานร่วมกับจุฬาฯ และสถาบันนวัตกรรมเรื่องรถไฟฟ้า ทั้งหมด เพื่อเสริมศักยภาพของโครงการ เพราะขณะเดียวกันบนถนนพระราม 4 นอกจากโครงการ วัน แบงค็อกแล้ว เรายังมีการลงทุนอีก 4 โครงการขนาดใหญ่ ทั้งอาคาร เอฟวายไอ เซ็นเตอร์, โครงการสามย่าน มิตรทาวน์, โครงการ เดอะ ปาร์ค และโครงการปรับปรุงศูนย์สิริกิติ์แห่งใหม่ด้วย คาดมูลค่าที่จะเกิดขึ้นมหาศาล”

โครงสร้างพื้นฐานสุดลํ้า  

นางสาวซู หลิน ซู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วัน แบงค็อก ระบุว่า โครงการให้ความสำคัญอันดับแรกๆ กับการเข้าถึงและการเดินทางอย่างสะดวกสบาย ตัวโครงการเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีนํ้าเงิน สถานีลุมพินี สะดวกต่อการเดินเข้าถึงทุกจุดของโครงการ พร้อมทางเข้าออกรอบโครงการถึง 6 จุด จากฝั่งถนนวิทยุ ถนนพระราม 4 รวมถึงทางเชื่อมโดยตรงกับทางด่วนซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการอนุมัติ ทางเข้าออกเชื่อมต่อโดยตรงกับชั้นใต้ดิน ซึ่งใช้ระบบบริหารจัดการจราจรอย่างชาญฉลาด ช่วยให้การหมุนเวียนด้านการจราจรภายในสะดวกง่ายดายทำให้ถนนหลักภายในโครงการปลอดโปร่งและปลอดภัยสำหรับคนเดินเท้า ทั้งโครงการจะมีระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางสุดลํ้าสมัย ซึ่งนับเป็นแห่งแรกของประเทศไทยสำหรับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเอกชน ประกอบด้วยระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ ระบบการจัดการนํ้าและพลังงาน ควบคุมดูแลโดยศูนย์ข้อมูล (District Command Centre) และเซ็นเซอร์อันชาญฉลาดมากกว่า 250,000 ตัว ที่คอยบริหารจัดการทุกระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซู หลิน ซู

ด้านนายอุรเสฎร์ นาวานุเคราะห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ ระบุว่า ในส่วนของโครงการที่พักอาศัย (คอนโดมิเนียมหรู) โครงการแรกที่จะเปิดตัวในปี 2563 จำนวน 110หน่วย ส่วนบนสุดของโรงแรม The Ritz-Carlton,Bangkok นั้น ยังไม่สามารถระบุราคาขายต่อตร.ม. ได้ แต่ยืนยันราคาและคุณภาพโปรดักต์จะมีความสอด คล้องกัน หลังจากปัจจุบัน ถนนพระราม 4-วิทยุ มีราคาขายของโครงการที่พักอาศัยสูงสุดระดับต้นของประเทศ และมีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาต่อเนื่อง เพราะจำนวนที่ดินและซัพพลายมีจำกัด อย่างไรก็ตาม จะเน้นพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ผู้ซื้ออยู่อาศัยจริง ซึ่งคาดส่วนใหญ่ 70% จะมาจากคนไทย ส่วนโรงแรม 5แห่ง เป้าหมายเน้นลูกค้าต่างชาติระดับแตกต่างกัน

ขณะที่ส่วนอาคารสำนักงาน 5 แสนตร.ม. จะเป็นส่วนเติมเต็มความต้องการในตลาด ลดความหนาแน่นของดีมานด์บริษัท องค์กรระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมาย 70% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด เช่นเดียวกับส่วนพื้นที่ค้าปลีกและพื้นที่จัดการประชุม แสดงนิทรรศการ สำหรับบุคลทั่วไป อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าการลงทุนโครงการมหาศาล การพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส จะช่วยกระจายความเสี่ยงของการทำธุรกิจได้อย่างดี ขณะเดียวกันเป้าหมายของทั้ง 2 บริษัท มีวิสัยทัศน์ในการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น จึงไม่มีความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่เกิดขึ้นต่อสภาวะเศรษฐกิจทั้งของไทยและของโลก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทลุ้นประชุม กนง. สัปดาห์นี้

ค่าเงินบาทลุ้นประชุม กนง. สัปดาห์นี้

ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง หลังจากเฟดปรับลดดอกเบี้ย และ กนง. จะประชุมในสัปดาห์นี้ว่าจะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยอย่างไรต่อไป

*************************

คอลัมน์มันนี่วีก (Money week) โดย…พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยมองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 30.60-31.00 ตลาดการเงินโลกคาดว่าจะผันผวนจากแรงงกดดันของสงครามการค้าที่ตึงเครียดมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ขยายรายการสินค้าที่จะเก็บภาษีกับจีนอีกมูลค่าถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านนโยบายการเงิน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว อาจมีผลต่อการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายหรือผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางหลายแห่งในเอเชียซึ่งจะมีการประชุมในสัปดาห์นี้ อาทิ ออสเตรเลีย อินเดีย นิวซีแลนด์ และฟิลิปปินส์ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีประชุมนโยบายการเงิน (กนง.) เช่นกัน

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมาก เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดแข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดในสัปดาห์ก่อนหน้าการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 2 จะขยายตัวมากกว่าที่ตลาดคาด โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือนที่ขยายตัวในอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2017

นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเดือนมิถุนายนที่เกินดุลมากขึ้น อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงภายหลังการประชุมนโยบายการเงินของเฟดเนื่องจากความเชื่อมั่นของดอลลาร์ปรับสูงขึ้น

ทั้งนี้ แม้ว่าเฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 25bps มาอยู่ที่ 2.00-2.25% ตามคาดและยุติมาตรการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม 2 เดือน อย่างไรก็ดี ตลาดผิดหวังกับแถลงการณ์ของประธานเฟด โพเวลที่ชี้ว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับนโยบายในช่วงกลางของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น (Mid-cycle adjustment) และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวตัวได้ตามคาดและค่อยๆ มีปัจจัยสนับสนุนมากขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าจากการลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบต่อเนื่อง

ในช่วงปลายสัปดาห์ เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะความเสี่ยงโลกสูงขึ้นภายหลัง ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่เหลืออีก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตรา 10% มีผล 1 กันยายน โดยกล่าวหาว่าจีนไม่ทำตามสัญญาที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ในปริมาณมาก และขู่ที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีมากกว่า 25% โดยเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปิดตลาดวันศุกร์ที่ 30.80 (ณ เวลา 17.00 น.)

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


ดื่มเบียร์ขณะตั้งครรภ์เสี่ยงกระทบพัฒนาการลูก

ดื่มเบียร์ขณะตั้งครรภ์เสี่ยงกระทบพัฒนาการ รุนแรงถึงแท้งลูก thaihealth

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนหญิงตั้งครรภ์ที่ดื่มเบียร์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เหตุเชื่อว่า ช่วยล้างไขที่หุ้มตัวลูกได้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำ เพราะอาจส่งผลต่อพัฒนาการและรุนแรงจนถึงขั้นแท้งลูกได้

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีมีคุณแม่โพสต์ถามในสื่อออนไลน์ว่าตั้งครรภ์ 29 สัปดาห์ จิบเบียร์ได้หรือไม่ เพียงเพื่อหวังว่าการจิบเบียร์จะช่วยล้างไขเด็กแรกเกิดได้นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรทำ เพราะความจริงแล้วการที่ร่างกายของทารกจะผลิตไขสีขาวหรือเหลืองอ่อน ๆ มาหุ้มตัวนั้น เพื่อให้ไขได้ทำหน้าที่ในการปกป้องทารกระหว่างคลอด ช่วยในเรื่องของการให้ความอบอุ่น ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายช่วงเวลาที่อยู่ในน้ำคร่ำก่อนที่จะคลอดออกมา และเมื่อคลอดออกมาแล้ว ไขนี้ก็ยังเป็นเกราะบาง ๆ ให้กับทารก ช่วยป้องกันเชื้อโรคและแบคทีเรียต่าง ๆ และจะค่อย ๆ หลุดออกไป หลังคลอดได้ 3 วันหรือเมื่อร่างกายเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันเองได้ ซึ่งคุณแม่อย่าพยายามล้างไขให้ลูก ควรรอให้หลุดไปเอง โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ เนื่องจากมีความบอบบางสูง แต่หากต้องการเช็ดล้างไขจริง ๆ ให้ใช้ผ้าสะอาดนุ่ม ๆ หรือใช้นิ้วมือจุ่มลงไปในน้ำมันมะกอก แล้วค่อย ๆ นวดหรือถูศีรษะอย่างเบามือที่สุด และที่สำคัญไม่ควรดื่มเบียร์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์เพียงเพราะเชื่อว่าจะช่วยล้างไขเด็กแรกเกิดได้

แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อไปว่า ทุกครั้งที่แม่ดื่มเบียร์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะส่งผ่านทางรกและสายสะดือ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสมอง หัวใจ ไต และอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ เนื่องจากการขับแอลกอฮอล์ของทารกเป็นไปได้ช้า จึงทำให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของทารกสูงและพิษของแอลกอฮอล์จะสะสมอยู่ในตัวทารกนานกว่าตัวมารดาด้วย โดยเฉพาะหากดื่มในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่อันตรายร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นช่วงการสร้างเซลล์ประสาทและสมองของทารก รวมถึงการสร้างอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ หัวใจ ตา แขน ขา อวัยวะเพศ โดยแม่ที่ดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์จะส่งผลต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ เพราะแอลกอฮอล์สามารถผ่านจากรกไปสู่เด็กในครรภ์ได้ง่าย ซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิดการแท้ง หรือทารกที่คลอดออกมาจะพบความผิดปกติมากมาย เช่น ปัญญาอ่อน กะโหลกศีรษะเล็ก ร่างกายเล็ก มีความผิดปกติของหัวใจ พัฒนาการ ช้ากว่าปกติ และเมื่อเด็กโตขึ้นมักมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น สมาธิสั้น ความบกพร่องทางสติปัญญาอีกด้วย

“ทั้งนี้ หากวางแผนที่จะตั้งครรภ์ควรวางแผนการหยุดดื่มเบียร์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทั้งในช่วงที่ตั้งครรภ์รวมถึงในช่วงให้นมบุตรด้วย นอกจากนี้ สามี สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อน ต้องช่วยเป็นกำลังใจให้หญิงตั้งครรภ์เลิกดื่มเบียร์ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  โดยสนับสนุนให้ดื่มนมหรือน้ำผลไม้สดแทน เพื่อส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของแม่และเด็กในครรภ์” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


“โค้ชก้าง” รอเช็กฟอร์มแข้งสาวชบาแก้ว ก่อนตัดตัวลุยอาเซียน

“โค้ชก้าง” นฤพล แก่นสน เฮดโค้ช “ชบาแก้ว” ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย คาดตัดตัวแข้งสาว 23 คนสุดท้าย ในช่วงใกล้จะเริ่มศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์อาเซียน ที่จะแข่งขันระหว่างวันที่ 16-27 ส.ค.นี้ ขอติดตามฟอร์มตอนฝึกซ้อมก่อน เพราะต้องการนักเตะที่ทุ่มเท เข้าใจในแผนการเล่น แจงทีมสตาฟฟ์ตอนนี้ลงตัวแล้ว หลังก่อนหน้านี้ยังขาดทีมแพทย์ ยันต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานเดิมที่เคยสร้างไว้ คือแชมป์รายการนี้

ความเคลื่อนไหวของแข้งสาว “ชบาแก้ว” ทีมชาติไทย ที่อยู่ระหว่างเก็บตัวฝึกซ้อมในแคมป์เกียรติธานี คันทรี คลับ จ.สมุทรปราการ ก่อนมีคิวทำศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์อาเซียน ระหว่างวันที่ 16-27 ส.ค. ที่สนามสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตชลบุรี

ล่าสุด “โค้ชก้าง” นฤพล แก่นสน เฮดโค้ชฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย กล่าวว่า สภาพของทีมในตอนนี้ เด็กๆเริ่มปรับตัวเข้ากับวิธีการเล่นได้แล้ว เนื่องจากในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการเก็บตัวตนได้เน้นการซ้อมแบบเข้มข้นเพื่อต้องการให้นักเตะหน้าใหม่และหน้าเก่าปรับจูนเข้ากันได้ ซึ่งการซ้อมหลังจากนี้จะเน้นให้นักเตะเรียนรู้เทคนิคและแท็กติกต่างๆ

โค้ชก้างกล่าวต่อว่า การตัดตัวให้เหลือ 23 คน จะมีความชัดเจนในช่วงใกล้จะเริ่มทัวร์นาเมนต์ อาจประมาณวันที่ 14-15 ส.ค. เพราะต้องดูผลการฝึกซ้อมให้ถึงที่สุด ใครที่มีความเข้าใจในวิธีการเล่น รวมถึงความมุ่งมั่นทุ่มเท ซึ่งอายุไม่เกี่ยว ขอแค่ยังวิ่งได้ก็พอ แต่คาดว่าจะผสมผสานทั้งผู้เล่นตัวหลักจากชุดฟุตบอลโลกและผู้เล่นใหม่ด้วย ส่วนความคาดหวังนั้น ต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานเดิมที่เคยทำเอาไว้คือ เป็นแชมป์รายการนี้ จะให้ผลออกมาเป็นอย่างอื่นคงจะไม่ได้

ส่วนเรื่องทีมสตาฟฟ์ที่มีข่าวว่ายังขาดแพทย์ประจำทีม รวมถึงโค้ชฟิตเนสนั้น เฮดโค้ชชบาแก้ว กล่าวว่า ด้วยความที่ทีมงานยังเป็นชุดใหม่ เลยทำให้บางอย่างยังไม่พร้อม แต่เราจำเป็นต้องเรียกนักเตะฝึกซ้อมกันก่อน เพราะถ้ามารอให้พร้อมแล้วเรียกซ้อม กลัวเวลาจะไม่พอ แต่ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว

สำหรับแข้งสาวชบาแก้ว อยู่กลุ่มเอ ร่วมกับ มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และติมอร์ เลสเต ซึ่งโปรแกรมการแข่งขันมีดังนี้ วันที่ 17 ส.ค. สิงคโปร์ พบ ไทย, วันที่ 19 ส.ค. ไทย พบ ติมอร์ เลสเต, วันที่ 21 ส.ค. ฟิลิปปินส์ พบ ไทย และวันที่ 23 ส.ค. ไทย พบ มาเลเซีย เริ่มเตะเวลา 18.00 น. ของทุกวันที่แข่งขัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


ยอดสมาร์ทโฟนหัวเว่ยฟื้นเดินหน้าดัมพ์ราคาP30ซีรีส์

หัวเว่ย พ้นวิบากกรรม หลังสหรัฐฯ จ่ออนุมัติให้บริษัทต่างๆ ซื้อขายสินค้าได้ ยอดขายสมาร์ทโฟนในไทยกลับสู่ภาวะปกติ ล่าสุดกลับลำ “แพลนบี” ระบุ “Hongmeng” เป็นแค่โอเอส IoT

หลังจากประสบวิบากกรรมมาเป็นเวลา 2 เดือน จากการที่สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ “หัวเว่ย” ในรายชื่อ Entity List ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของบริษัท สื่อสารโทรคมนาคมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐฯ หากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล ล่าสุดสถานการณ์ของ “หัวเว่ย” ยักษ์โทรคมนาคมของจีน เริ่มคลี่คลายขึ้น ภายหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยหลังการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือนที่แล้ว นอกรอบการประชุม G 20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่นว่า สหรัฐฯจะยกเลิกข้อจำกัดต่อหัวเว่ย ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลสหรัฐฯอาจทำการอนุมัติให้บริษัทต่างๆ สามารถจำหน่ายสินค้าให้แก่ หัวเว่ย เทคโนโลยี่ได้

เช่นเดียวกับท่าที “หัวเว่ย” ที่ก่อนนี้ออกมาประกาศขึงขังเตรียมงัด “แพลนบี” พัฒนาโอเอส Hongmeng (หงเหมิง) ไว้รองรับหากเกิดวิกฤติจากการปิดกั้นจากบริษัทซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ทั้งแอนดรอยด์ และไมโครซอฟท์ รวมถึงกำลังพัฒนาชิปสำหรับใช้กับสมาร์ทโฟนของตัวเองในอนาคต แต่วันนี้ Hongmeng กลายเป็นโอเอสสำหรับอุปกรณ์ IoT โดย นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย ออกมาเผยว่า Hongmeng ระบบปฏิบัติการตัวใหม่ของบริษัท เหมาะสำหรับอุปกรณ์อัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี IoT เพราะมีความหน่วงเวลา (Latency) ตํ่า

แหล่งข่าวจากบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าแอนดรอยด์ ยังคงเป็นโอเอสอันดับแรกของสมาร์ทโฟนหัวเว่ย โดย Hongmeng เป็นโอเอส ที่เหมาะสำหรับกับอุปกรณ์ IoT มากกว่า โดยต่อไปจะใช้ในสมาร์ทแกดเจต ของหัวเว่ย ทั้งสมาร์ททีวี อุปกรณ์หูฟังไร้สาย และอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งจะมีสมาร์ทโฟน เป็นตัวมีเดียเซ็นเตอร์ควบคุมสั่งการ โดยขณะนี้เริ่มใช้งานในจีนแล้ว ส่วนในไทยต้องรอความพร้อมของ 5G ที่คาดหวังว่า กสทช. จะเปิดให้ใบอนุญาตกับโอเปอเรเตอร์ ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนา Hongmeng ให้รองรับกับภาษาไทย
สำหรับยอดขายสมาร์ทโฟนหัวเว่ยในไทยที่ก่อนหน้านี้เชนสโตร์ออกมาระบุว่าหายไป 50% นั้นขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายขึ้น โดยยอดขายสมาร์ทโฟนหัวเว่ยในไทย เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้เป็นผลจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นกับผลิตภัณฑ์หัวเว่ยมากขึ้น ประกอบกับบริษัทมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด เช่น หัวเว่ย Y9 สมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีกล้องหน้าแบบป๊อปอัพ ที่ตลาดตอบรับดี ส่วนในครึ่งปีหลัง จะมีสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ รุ่นเรือธงเข้ามาทำตลาด นอกจากนี้บริษัทยังมีแคมเปญร่วมโอเปอเรเตอร์ และเชนสโตร์มือถือต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค

ล่าสุดได้จัดแคมเปญลดราคาหัวเว่ย P30 Series ในราคาพิเศษ เพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น โดยP30 Pro ราคา 27,990 บาท จากเดิมราคา 31,990 บาท, P30 ราคา 17,990 บาท จากเดิมราคา 21,990 บาท และ P30 Lite ราคา 9,990 บาท จากเดิมราคา 10,900 บาท

ส่วนเป้าหมายที่เดิมเคยตั้งเป้าไว้เป็นอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟน ทั่วโลกรวมถึงไทยในปี 2563 นั้นขณะนี้เป้าหมายของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ โดยหัวเว่ยต้องการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ที่ถือ เป็นคุณค่าหลัก หรือ คอร์แวลู ของบริษัทมากกว่า 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com

ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 21,050.00 21,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,364.00 20,678.24 21,650.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,227.60 18,610.42 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,091.20 16,542.59 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 614.00 9,308.24 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 477.00 7,231.32 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,413.00 21,421.08 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/08/2562 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05
แก๊สโซฮอล์ 91 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78
แก๊สโซฮอล์ E20 25.04 25.04 25.04 25.04 25.04 25.04 25.04 25.04 25.04
แก๊สโซฮอล์ E85 20.24 20.24 20.24
เบนซิน 95 35.46 35.91 35.96 35.76 35.76
ดีเซล
ดีเซลพรีเมี่ยม
แก๊ส NGV 15.85 15.85

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า