สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 08 พฤศจิกายน 2562

‘สำนักงานนอกไทย’  ประตูบานใหม่ ไรมอน แลนด์

คอลัมน์ผ่ามุมคิด

ไรมอน แลนด์ กลุ่มทุนสิงคโปร์ มองไกลไม่หยุดแค่ไทย ปั้นแผนรุกหนักตลาดเอเชีย เคาะสำนักงานขายแห่งแรกในสิงคโปร์ ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ คงเบอร์ 1 มาร์เก็ตแชร์สูงสุดในกลุ่มคอนโดฯลักชัวรี หัวเรือใหญ่ ไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ระบุมีเป้าหมายใหญ่ 5 ปี รายได้ 1 หมื่นล้านบาท ไม่หวั่นปัจจัยกดดัน เปรียบตนเองเป็นรถเบนซ์ มีครบทุกซีรีส์ ตลาดยิ่งแย่ ยิ่งง่ายต่อการทำธุรกิจ จ่อเปิดประตูใหม่ๆ รับโอกาส

อสังหาฯไทยดุ

มุมมองต่อสถานการณ์ตลาดอสังหาฯไทย มีความผันผวนสูง จากภาวะเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าโลกจีน-สหรัฐฯ และการประท้วงทั้งในยุโรปและฮ่องกง รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลต่อกำลังซื้อคนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ดีเวลอปเปอร์ต้องแข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม พบการดิ้นเอาตัวรอดในรูปแบบต่างๆ เช่น ผู้พัฒนาโครงการในกลุ่มราคาจับต้องได้ ก็พยายามขยับไปจับตลาดบนกันมากขึ้น เพื่อหาโอกาสการขาย เป็นผลโดยตรงกับบริษัท ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการกลุ่มลักชัวรี จึงต้องการยกระดับการพัฒนาโครงการเพื่อให้หลุดจากเรด โอเชียน ไปสู่อัลตร้าลักชัวรีเต็มตัวในอนาคต และเพิ่มความแตกต่างของโปรดักต์ ผ่านส่วนกลาง และเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่กังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวมากนัก เพราะ “ทุกวิกฤติเป็นโอกาส ยิ่งตัวเลือกน้อย ยิ่งง่ายต่อการรุก”

รุกตลาดเอเชีย

ทั้งนี้ นายไลโอเนล กล่าวว่า แม้ตลาดไทยจะแย่ แต่ข้อมูลจาก ธปท. ระบุ อสังหาฯไทย ยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศในทุกปี เพราะระดับราคาไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในโซนเอเชีย ซึ่งมีกำลังซื้อสูงซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มดังกล่าว 32% อันดับ 1 (74%) เป็นชาวจีน, ฮ่องกง รองลงมา คือ สิงคโปร์ (12%) และอื่นๆ (13%) ดังนั้นจึงต้องการขยายฐานลูกค้าเอเชียให้มากขึ้น นำร่องผ่านการเปิดสำนักงานขายโครงการ

“ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” เป็นแห่งแรกในสิงคโปร์ ณ ย่าน มิดิคัล ฮับ แหล่งที่พักอาศัยแพงที่สุดในสิงคโปร์ เพื่อดึงดูดลูกค้าโดยตรง หลังพบผลสำรวจความมั่นคงของโลก คนสิงคโปร์มีการออมเงินติดอันดับต้นๆ และส่วนใหญ่เก็บเพื่อลงทุน ขณะเดียวกันการตีตลาดในสิงคโปร์ จะนำมาซึ่งลูกค้าในกลุ่มเอเชียอื่นๆด้วย

ไลโอเนล ลี

“การเปิดสำนักงานขายนอกไทย และเป็นแห่งแรกในสิงคโปร์ จะเพิ่มโอกาสในการขายโครงการให้เรา เพราะลูกค้าไปไทย อาจเจอตัวเลือกมาก แต่แบบนี้ลูกค้าจะโฟกัสโครงการเราโดยตรง ทั้งยังเพิ่มช่องทางการขายให้เอเยนต์ด้วย ขณะเดียวกันในสิงคโปร์ไม่ได้มีแค่ลูกค้าสิงคโปร์ แต่มีความหลากหลาย ครอบคลุมชาติอาเซียนด้วย”

ทั้งนี้ กำลังติดตามสถานการณ์สงครามการค้าอยู่ ว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดลูกค้าต่างชาติอย่างไร โดยเฉพาะจีน ซึ่งเดิมถูกวางเป้าหมายไว้ว่าจะรุกเป็นตลาดแรก

เบอร์ 1 ลักชัวรี

ส่วนกุญแจความสำเร็จในการทำธุรกิจ เบื้องต้นยังยึดมั่นการเป็นดีเวลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ถึง อัลตร้าลักชัวรี ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ผ่านมา 32 ปี พัฒนาโครงการมาแล้ว รวมมูลค่า 6.5 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าภายใน 2 ปี มูลค่าการพัฒนาโครงการจะสูงขึ้นนับเท่าตัว ขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านโปรเจ็กต์แบรนด์ใหม่ๆ เพื่อให้แต่ละโปรดักต์มีเอกลักษณ์ ชัดเจน เน้นทำเลในเมือง ชูการออกแบบ ดีไซน์เหนือคู่แข่ง เช่น ลูกค้าสามารถปรับฟังก์ชันตามแบบที่ต้องการได้ ขณะเดียวกันให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและวัสดุ โครงสร้างที่มีความประณีต เพื่อคงความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดคอนโดฯ ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด 13.2% จากหน่วยรวมในตลาดทั้งหมด 9,840 หน่วย โดยอนาคตตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นอีก

“เรามีลักชัวรีโปรเจ็กต์ทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เปรียบเทียบเป็นรถเบนซ์ มีครบทุกซีรีส์ เช่น แบรนด์ ลอฟท์ เป็น C คลาส, เทตต์ เทวลฟ์ เป็น E คลาส และแบรนด์ ดิ เอสเทลล์ เป็น S คลาส เป็นต้น”

พอร์ตแข็งแรง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ ไรมอน แลนด์ ในระยะยาว ตั้งเป้าหมายรายได้ช่วง 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะมีรายได้จากการขาย 70% และ Recurring income (รายได้ที่เกิดขึ้นประจำ) สัดส่วน 30% หรือ แตะ 3 พันล้านบาท ในปี 2566 จากอาคารสำนักงานให้เช่าและ โรงแรม (เป้า 5 ปี 1,000 ห้อง) เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว ส่วนแผนเปิดโครงการคอนโดฯใหม่ ในทุกๆ ปีจะอยู่ที่ 2 โครงการมูลค่ารวมไม่ตํ่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปีหน้าเตรียมพัฒนาโครงการรูปแบบมิกซ์ยูสในต่างประเทศ 1 โครงการ และในไทยทำเลสุขุมวิท 38 อีก 1 โครงการมูลค่าเฉพาะในไทย 8.2 พันล้านบาท ขณะเดียวกันกำลังศึกษารูปแบบการพัฒนาโครงการใจกลางสุขุมวิท อีก 1 โครงการ ตามงบลงทุนทั้งหมด 2-3 หมื่นล้านบาท ควบคู่กับการขยายธุรกิจร้านอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศด้วย นอกจากนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในกลุ่มธุรกิจเวลล์เนส ที่อยู่อาศัยสำหรับ
ผู้สูงอายุด้วย

“ตลาดขายแย่ มองหารายได้ส่วนอื่นมาทดแทน โรงแรม เวลล์เนส (บ้านพักคนชรา) ที่จะเข้ามาในพอร์ตเพิ่มขึ้นเพราะ
เป็นตลาดที่นิ่ง มีโอกาสในการรุก”

ทั้งนี้ สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ One City Centre (OCC) อาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A สูง 61 ชั้น ขนาดพื้นที่รวม 61,000 ตารางเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในปี 2565 และสร้างรายได้จากค่าเช่าประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บ้านเกิน3ล้าน  ตบราคา  รับมาตรการรัฐบาล

ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีสีสันขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย บังคับใช้ มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน จาก 2% และจดจำนอง 1% ให้เหลือเพียง 0.01% สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน3 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 – 24 ธันวาคม 2563 รวมระยะเวลา 1 ปีเศษ เพื่อพยุงอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดการฟื้นตัว เนื่องจากพบว่าไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปีนี้ตลาดอสังหาฯติดลบกว่า 20% จากผลพวงมาตรการ LTV (สัดส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าบ้าน) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

แม้ผู้ประกอบการมองว่า มาตรการดังกล่าวอาจช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมาไม่มากนัก เนื่องจากยังมีกฎ LTV คํ้าอยู่ แต่ก็ดีกว่ารัฐไม่ช่วยอะไรเลย อย่างน้อยรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายค่าโอนและจดจำนองแทน
ผู้ประกอบการ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาแทบทุกค่ายต่างใช้แคมเปญฟรีค่าโอนและจดจำนองมาตลอด

นอกจากนี้การเปิดโอกาสให้คนซื้อบ้านได้รับค่าลดหย่อนจากค่าโอน-จดจำนอง นาน ถึง 1 ปี อาจเกิดผลเสีย ทำให้ตลาดยิ่งชะลอตัว เพราะการตัดสินใจซื้อและโอนอาจจะกระจุกตัวช่วงโค้งสุดท้าย ในมุมกลับการเลือกซื้อบ้านต้องอาศัยเวลาในการตัดสินใจ ดังนั้น 1 ปี ไม่นานเกินไป และเชื่อว่าผู้ประกอบการแต่ละค่ายจะอาศัยช่วงเวลานี้ ออกแคมเปญจูงใจดึงลูกค้า หากโครงการไหนใกล้ปิดการขาย เหลือจำนวนหน่วยไม่มาก หน่วยที่ทิ้งดาวน์ไม่ยอมโอน เชื่อว่าจะมีการทุบราคาระดับที่สูงเกิน 3 ล้านบาท ให้ลงมาเหลือ 3 ล้านบาทเพื่อให้อยู่ในข่ายมาตรการกระตุ้น

นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่าตลาดอสังหาฯปีนี้ค่อนข้างแย่ จากปัจจัยภายนอก อาทิ ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี, กำลังซื้อไม่มี และมาตรการ LTV ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯอย่างหนัก แต่หลังจากรัฐออกมาตรการกระตุ้น ปลายปีนี้ถึงปีหน้าจะเห็นการแข่งขันราคาสูง

 “ในความเห็นส่วนตัวไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เคยบอกกับผู้ประกอบการว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเล่นสงครามราคา เพราะจะกระทบเป็นวงจร แม้แต่บริษัทที่ใช้กลยุทธ์ราคาสุดท้ายก็จะได้รับผลด้วยเช่นกัน จากลูกค้าเก่าที่ซื้อสินค้าอาจจะไม่พอใจ”

มาตรการกระตุ้นครั้งนี้ ตลาดที่ได้รับอานิสงส์คือระดับราคา 1.5-3 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยตลาดในภาพรวมได้ประมาณ 40% หากว่าขยายไปถึงระดับ 5 ล้านบาท ก็จะช่วยตลาดในภาพรวมได้ถึง 60%

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บ้านและคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในตลาด กทม.และปริมณฑล เฉลี่ย 50,000-60,000 หน่วย คิดเป็น 51% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด ที่เกิดขึ้นแต่ละปีเฉลี่ยกว่า 1 แสนหน่วย

อย่างไรก็ตาม โค้งสุดท้ายเหลือเพียง 1-2 เดือน คาดว่าผู้ประกอบการต่างนำมาตรการนี้เป็นจุดขาย จัดแคมเปญกระตุ้นกำลังซื้อ สำหรับราคาบ้านที่เกิน 3 ล้านบาทไม่มาก หรือราคาคาบเกี่ยวอาจต้องปรับราคาลงเพื่อปิดการขาย

ด้านนายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ารัฐบาลเร่งการใช้มาตรการดังกล่าวเร็วขึ้น เนื่องจากอสังหาฯได้รับผลกระทบจากกฎแบงก์ชาติ กำลังซื้อหดตัว หาก เลื่อนออกไปบังคับใช้ต้นปี 2563 เชื่อว่าผู้ประกอบการจะไม่รอรัฐ โดยใช้วิธีออกค่าโอน-จดจำนองแทนผู้ซื้อเหมือนปกติ

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐกำหนดยืดระยะเวลา ลดหย่อนค่าโอน-จดจำนอง นาน 1 ปี เพราะอสังหาฯ ซมพิษไข้มานานต้องการการฟื้นตัวจึงต้องใช้เวลาประเมินว่าอาจจะต่ออายุมาตรการลดหย่อนนี้ ปีต่อปี 
หากเห็นว่าการซื้อขายเริ่มดีขึ้น นายปิยะสะท้อน ว่าอสังหาฯ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนประเทศ หากไม่รีบเข้ามาพยุง อาจจะกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งหมดได้

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ระบุว่า มาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นตลาด ประเมินว่านับจากนี้การแข่งขันรุนแรงเพราะทุกค่ายต่างต้องการระบายของ

กระตุ้นอสังหาฯก่อนซึมยาว      

มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์วันที่ 22 ตุลาคม 2562 นับเป็นครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยกอบกู้ตลาดในห้วงวิกฤติ

ครั้งแรกยุครัฐบาล คสช.โดยกระทรวงการคลังเสนอมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อที่อยู่อาศัย 2% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ 1% ให้เหลือ 0.01% และมาตรการทางภาษี สำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรก เพื่อเป็นการซื้ออยู่อาศัยจริงในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถนำวงเงิน 20% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2558 – 31 ธันวาคม 2559

เพื่อช่วยบรรเทาภาระรายจ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง และช่วยบรรเทาผลกระทบในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเผชิญกีฬาสีการเมืองมานานปี

ผ่านมา 5 ปี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประสบปัญหาวิกฤติอีกครั้ง ช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2562 ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยติดลบกว่า 20% จากปัจจัยรุมเร้ารอบด้านทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในและนอกประเทศ ร่วมด้วยมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย -LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เครื่องยนต์สร้างการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศแผ่วลงจนเกือบดับสนิท

ที่สุดต้องโด๊ปนํ้าเกลือช่วยกระตุ้น แต่มุ่งกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งจริงแล้วรัฐบาลวางแผนเอาไว้จะประกาศมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯในช่วงปีใหม่ หรือวันที่  1 มกราคม 2563 แต่ผู้ประกอบการเกรงว่าหากทิ้งช่องว่างหลัง ครม.มีมติรับทราบมาตรการแล้ว แต่ประกาศใช้ล่าช้าไปปีใหม่ อาจกระทบตลาดค่อนข้างหนัก ผู้ซื้อจะชะลอการตัดสินใจออกไป จึงเลื่อนให้เร็วขึ้น เป็นวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562

มาในช่วงจังหวะที่ดี ปกติไตรมาสที่ 4 ไตรมาสสุดท้ายของปีตลาดอสังหาฯค่อนข้างซื้อขายคึกคัก หลังผู้ประกอบการรับทราบข่าวดี แต่ละค่ายต่างนำโครงการจัดโปรโมชันกันอย่างสนุก ไม่ว่าจะเป็น บมจ.แสนสิริ ขน 17 โครงการราคาถูกออกขาย บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ นำ 10 โครงการคอนโดฯพร้อมอยู่ จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี “ANANDA BIG DEALS” ดีลดี รอไม่ได้ ราคาสุดพิเศษ เริ่ม 1.59 – 6.79 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2562 เช่นเดียวกับ ค่ายพฤกษา ที่ให้ราคาพิเศษทุกโครงการ บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ กระชากใจด้วย แคมเปญสุดว้าว “ถูกที่ ถูกเวลา ในราคาที่ถูกกว่า”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ธนาคารไทยพาณิชย์ ผนึกกำลัง ลิควิด กรุ๊ป เจ้าตลาดคิวอาร์เพย์เมนต์

ธนาคารไทยพาณิชย์ ผนึกกำลัง ลิควิด กรุ๊ป เจ้าตลาดคิวอาร์เพย์เมนต์

ธนาคารไทยพาณิชย์ จับมือ ลิควิค กรุ๊ป (Liquid Group) ข่ายระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่านคิวอาร์เพย์เมนต์ระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์

ธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ชำระเงินระหว่างประเทศผ่านคิวอาร์โค้ดระหว่างประเทศเพื่อสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งการร่วมมือกับลิควิด กรุ๊ปครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการขยายเครือข่ายบริการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาค นอกจากจะอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ Mobile Banking ในการชำระเงินง่ายๆที่ประเทศสิงคโปร์ที่ร้านค้าที่มีสัญลักษณ์พร้อมเพย์แล้ว ในฝั่งร้านค้าของธนาคารก็สามารถรองรับการใช้จ่าย เพิ่มรายได้ จากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์และผู้ใช้ Liquid Pay Application ที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยได้ด้วย ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่ายจะมีมูลค่าสูงขึ้น เพราะการใช้จ่ายไม่ได้จำกัดเฉพาะจำนวนเงินสดที่นักท่องเที่ยวแลกเงินมา แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินในบัญชีเงินฝาก ก็จะยิ่งทำให้เพิ่มความสะดวกเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านคิวอาร์โค้ดขึ้นไปอีก นอกจากนี้ธนาคารและลิควิค กรุ๊ป ยังมองไปถึงความร่วมมืออื่นๆในการสร้าง Awareness และกระตุ้นการใช้จ่ายอีกด้วย

นายโสพล ฉัตรธนานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หนึ่งในหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจของธนาคารไทยพาณิชย์ คือ การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันใหม่ๆ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความร่วมมือกับ ลิควิด กรุ๊ป ผู้นำด้านการให้บริการคิวอาร์เพย์เมนต์ในเอเชียแปซิฟิกในครั้งนี้ นับเป็นการสานต่อกลยุทธ์ SCB Global Payment ของธนาคารในการเพิ่มศักยภาพและขยายขอบเขตการให้บริการ รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบเรียลไทม์และไร้รอยต่อ (Real-time, Seamless Global Payment Experience) สำหรับลูกค้าชาวไทยในการใช้จ่ายในต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ในรูปแบบของการพัฒนาช่องทางการชำระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ (Cross-border Payment) โดยในเฟสแรกจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวจับจ่ายสินค้าและบริการที่ประเทศสิงคโปร์ ให้สามารถใช้แอปพลิเคชัน SCB EASY และโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารไทยอื่นๆ ที่รองรับ Cross-border Payment ในการสแกนคิวอาร์โค้ด ณ ร้านค้าที่สนามบินชางฮี สิงคโปร์ ได้ ก่อนขยายการให้บริการไปยังร้านค้าอื่นๆในประเทศสิงคโปร์ และในเฟสถัดไปมีแผน ที่จะขยายการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวสิงคโปร์ให้สามารถชำระเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดที่ประเทศไทยได้ ธนาคารเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือกับลิควิด กรุ๊ป จะสามารถมอบประสบการณ์ในการใช้จ่ายต่างประเทศแบบเรียลไทม์และไร้รอยต่อผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม และตอบโจทย์ลูกค้าของเราทั้งสององค์กรได้เป็นอย่างดี

ก่อนการเปิดตัวการใช้งานแพลตฟอร์มชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดระหว่างประเทศ ลิควิด กรุ๊ป ได้มีการทดสอบและวางแผนการดำเนินงาน กับพันธมิตรจากหลากหลายประเทศ เพื่อขยายการรองรับรูปแบบการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดบนแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการ โดยบริษัทได้ร่วมจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านช่องทางการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่านคิวอาร์โค้ด เริ่มต้นจากสิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย ไต้หวัน และประเทศไทยเป็นประเทศล่าสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

วิจัยใหม่!! การตรวจเลือดสามารถหา มะเร็งเต้านม ได้ล่วงหน้าถึง 5 ปี ก่อนแสดงอาการ

มะเร็ง มะเร็งเต้านม

ล่าสุดนักวิจัยสามารถตรวจเลือดเพื่อตรวจจับ มะเร็งเต้านม ได้ล่วงหน้าถึง 5 ปีก่อนที่โรคจะแสดงอาการออกมา เซลล์มะเร็งจะผลิตโปรตีนที่เรียกว่า “แอนติเจน” โดยจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อต่อต้านพวกมัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nottingham พบว่าแอนติเจนที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกเหล่านี้อาจเป็นตัวบ่งชี้โรคมะเร็ง

ในการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัย Nottingham ได้ทำการเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม 90 คน กับตัวอย่างจากกลุ่มที่ไม่ได้เป็นมะเร็งเต้านม 90 คน

มะเร็งเต้านม

ทั้งสองกลุ่มได้รับการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจดูว่าจะสามารถตรวจจับออโตแอนติบอดี้ที่เกิดจากแอนติเจนของเนื้องอกได้หรือไม่ ซึ่งผลจากการเก็บตัวอย่างเลือดนักวิจัยสามารถระบุได้ว่าเป็นมะเร็งเต้านมถึง 37% จากตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ที่สำคัญนักวิจัยยังสามารถบอกได้ว่าไม่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม 79% จากกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้เป็นมะเร็งเต้านม

ผลลัพธ์จากการวิจัยในครั้งนี้ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจหามะเร็งเต้านมระยะแรกได้ด้วยวิธีการตรวจเลือด นักวิจัยยังคงทดสอบตัวอย่างจากผู้ป่วย 800 คน และคาดหวังว่าผลจากทดสอบจะแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ

มะเร็งเต้านม

Daniyah Alfattani หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า “การตรวจเลือดเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านมระยะแรกจะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง วิธีนี้ยังเป็นการคัดกรองที่ง่ายมากๆ เมื่อเทียบกับวิธีการปัจจุบัน เช่น การตรวจเต้านมด้วยแมมโมแกรม ”

นักวิจัยประเมินว่าโครงการนี้จะได้รับทุนสนับสนุนอย่างเต็มที่และการทดสอบนี้อาจเปิดให้บริการในคลินิกอีกประมาณ 4-5 ปีข้างหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก health.mthai.com


in, on, at เมื่อใช้กับวัน เวลาและสถานที่ ใช้ต่างกันอย่างไร

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปเทพีเสรีภาพ

at = ใช้บอกแบบชัดเจน ในระดับเจาะจงที่สุด
on = เจาะจงน้อยลง
in = บอกแบบกว้างๆ แทบไม่เจาะจง

1. บอกวันและเวลา

AT = เจาะจงในระดับเวลา คือชัดเจนมาก
…….. นัดกี่โมงก็เจาะจงไปเลย เช่น at noon, at 10 a.m.
ON = ใช้ในระดับวันและวันที่ กว้างๆ
…….. ถ้าเป็นนัดวันศุกร์ก็ยังไม่รู้ว่ากี่โมง เช่น on Friday
IN = ใช้กับเดือน กว้างที่สุด
…….. ถ้านัดเป็นเดือนยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นวันไหนกี่โมง เช่น in June
ถ้ามีทั้ง 3 อย่างในประโยค เราเลือกใช้ตามตัวที่เจาะจงที่สุด
I met Timmy in March last year.
(ใช้ in เพราะบอกในระดับเดือน)
I met Timmy on June 1st last year.
(ใช้ on เพราะบอกแคบมาในระดับวันที่.. ถึงแม้มีเดือนก็ให้ดูที่วันที่)
I met Timmy on Sunday June 8th last year at noon.
(ใช้ on เพราะบอกแคบลงมาในระดับวันอาทิตย์ ส่วนเวลาเราใช้ at เสมอ.. จะใช้ at ควบทั้งหมดคือไปแทน on เลยไม่ได้)

2. บอกสถานที่

AT = เจาะจงในระดับเลขที่บ้านหรือห้องเลย
…… นัดกันก็หากันเจอแน่นอน เช่น at 864 Sukhumwit Road
ON = ใช้ในระดับถนนหรือชั้นของตึก ยังกว้างอยู่
……. บอกมาก็หาบ้านหรือจุดนัดพบยังไม่เจอ เช่น on Sukhumwit Road
IN = ใช้ในระดับตำบล/แขวง อำเภอ/เขต จังหวัด/เมือง ประเทศ ทวีป เช่น
……. in Bangkok, in Pattaya, in Asia

ถ้ามีทั้ง 3 อย่างในประโยค เลือกใช้คู่ของตัวที่แคบสุด เจาะจงสุด
We are meeting in Bangkok next month.
(กว้างๆ ในระดับเมืองคือ Bangkok จึงใช้ in)
We are meeting on Sukhumwit Road in Bangkok next month.
(แคบลงมาก็เลือกใช้ตามตัว on กับถนน in กับจังหวัด)
We are meeting at 864 Sukhumwit Road, Bangkok next month.
(มีบอกถึงระดับเลขที่บ้าน เจาะจงที่สุดจึงใช้ at)

ขอบคุณข้อมูลจาก thebestenglish.net


GET ชู 4 แบรนด์ไทย เจ้าของธุรกิจอาหารวัยมิลเลนเนียล

GET เผยพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน จำนวนคนโสดและครอบครัวขนาดเล็กเพิ่มขึ้นพร้อมชวนรู้จัก 4 แบรนด์ธุรกิจอาหารไทยรับกระแสคนยุคมิลเลนเนียล

วงศ์ทิพพา วิเศษเกษม ผู้อำนวยการฝ่ายแพลตฟอร์มโอเปอเรชั่น GET กล่าวว่า ผู้บริโภคในกลุ่มมิลเลนเนียลเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยทำงานและมีกำลังซื้อ ในขณะเดียวกันก็มีไลฟสไตล์ที่ใช้เวลากับการออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น การสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่จึงเข้ามาตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้เป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนในกลุ่มวัยอื่นที่ถือเป็น Early Adopter ที่หันมาใช้บริการนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจที่จะหันมาใช้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจนี้ในการช่วยเพิ่มยอดขายของตนเอง ทั้งนี้เจ้าของธุรกิจวัยมิลเลนเนียลทั้ง 4 แบรนด์ ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การสร้างธุรกิจและร่วมงานกับ GET FOOD เพื่อต่อยอดธุรกิจให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น

  “ตอนเรียน ตอนแรกเข้าไปคณะแพทย์และเรียนอยู่ 1 ปี แต่คิดว่าไม่ใช่ตัวเอง เลยหันว่าเรียนด้านบิสสิเนสแทน บวกกับเคยดูสารคดีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนหันมาทานมังสวิรัติ ซึ่งทำให้ตัวเราและคุณแม่สุขภาพดีขึ้นมา จนตอนอายุ 19 ก็เริ่มจากการเปิด pop-up store ที่ฟาร์มเมอร์มาร์เก็ต ขายอาหาร Vegan ทำเอง เพราะอยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี จนตอนอายุ 21 ถึงได้เปิดเป็นร้านจริงจังสาขาแรกที่เมอร์คิวรี่วิลล์ และตอนนี้ก็มี 5 สาขาแล้ว เนื่องจากเทรนด์อาหารสุขภาพได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเราสนใจทางด้านนี้ทำให้ธุรกิจเป็นไปด้วยดี การที่มีธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่เข้ามาก็ช่วยตอบโจทย์คนเมืองได้มาก ทำให้คนสามารถสั่งอาหารของเราได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ซึ่งทำให้เรามีลูกค้าที่มากขึ้น” นปภัสสร ต่อเทียนชัย (อายุ 26 ปี) จากร้าน Veganerie กล่าว

อรรณพ จันทร์น้อย (อายุ 28 ปี) จากร้าน วัวล้วนๆ ไม่มีควายผสม เล่าว่า “ตอนเรียนจบใหม่ๆ ช่วงแรกก็ทำงานประจำ จนได้มาคุยกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนร้านและชอบทำธุรกิจว่าเราอยากมีร้านของตัวเองด้วยกัน ก็เลยชวนกันมาเปิดร้านวัวล้วนๆ ไม่มีควายผสมสาขาแรกที่เกษตร เดือนแรกก็ไม่ได้ขายดีครับ แต่เราทำการตลาดกันเยอะ เพราะเราเพิ่งเรียนจบกันไม่นานเราเลยมีความเข้าใจว่านักศึกษาเขาชอบอะไร เราเลยเน้นทำการตลาดกับกลุ่มนักศึกษา ซึ่งทำให้เราเริ่มต้นมาได้ด้วยดีจนตอนนี้เรามี 22 สาขา แล้วมีแผนว่าจะเปิดเพิ่มอีก 4 สาขา ผมเองมองว่าฟู้ดเดลิเวอรี่ช่วยเพิ่มยอดขายได้มากโดยเฉพาะสาขาในเมือง ที่สำคัญ ถ้าบางเมนูที่ปกติคนไม่นิยม แต่เราอยากให้คนได้ลองสั่งแล้วเรามาจัดโปรโมชั่นกับทาง GET เราสามารถเพิ่มยอดขายได้เป็น 10 เท่าเลยทีเดียว”

   ขณะที่ พรภวิศย์ อบสุวรรณ (อายุ 29 ปี) จากร้าน ปังเด็ด เล่าว่า “ผมเองเริ่มจากการเป็นคนชอบกิน แล้วมีโอกาสได้ไปต่างประเทศ ไปลองขนมปังของที่ต่างๆ เลยมาคิดว่าเรายังไม่เคยเห็นขนมปังแบบนี้ในไทยเลย เลยเกิดมาเป็นธุรกิจร้านขนมปังไส้เยิ้มกรอบนอกนุ่มในด้วยความชอบเป็นการส่วนตัว ก็มาพัฒนาสูตรเอง จากสาขาแรกที่สีลมเมื่อ 4 ปีก่อน ตอนนี้ปังเด็ดเรามี 4 สาขา ซึ่งโชคดีที่ช่วงที่เริ่มธุรกิจเองก็มีบริการฟู้ดเดลิเวอรี่เข้ามา ทำให้ร้านเล็กๆ ของเรามียอดขายมากขึ้นเพิ่มจากหน้าร้าน อย่างเฉพาะที่ขายกับทาง GET ก็มียอดเดือนละหลักล้านบาท”  

      ด้านธีรนัย จินดานุภาจิตต์ (อายุ 26 ปี) จากร้านติดลมหมูทอดปลาร้า เล่าว่า “ผมจบทางด้านการทำอาหารมา เคยเปิดร้านข้าวต้มแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร ตอนที่ผมเห็นเทรนด์ของฟู้ดเดลิเวอรี่กำลังโต เลยตั้งใจที่จะเปิดร้านเพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เริ่มจากเลือกโลเคชั่นที่แรกที่ค่าเช่าไม่แพง ร้านอาหารน้อย แถวเกษตร จนตอนนี้ร้านมีที่ผมดูแลเอง 5 สาขา และเป็นเฟรนไชส์อีก 8 สาขา โดยยอดส่วนใหญ่ก็ยังมาจากบริการเดลิเวอรี่ อย่างกับที่ GET เองก็มียอดขายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดือนละหลายแสน” 

      ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของ GET ยังคงเป็นคนในกลุ่มมิลเลนเนียล หรือคนที่เป็นกลุ่มระหว่าง GEN Z และ GEN Y ที่อยู่ในช่วงอายุ 23-38 ปี และเป็นคนกลุ่มที่เติบโตมาในช่วงของการพัฒนาทางเทคโนโลยี ที่ผ่านมาเก็ทได้มีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ของลูกค้ามาวิเคราะห์ ให้ร้านค้าสามารถพัฒนาสินค้าและบริการได้ตอบโจทย์และตรงผู้บริโภค ซึ่งจากการสังเกตพบว่าคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการสั่งอาหารแบบ Order for One หรือสั่งรับประทานคนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คนโสดเพิ่มมากขึ้นและครอบครัวเดี่ยวมีจำนวนมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้หญิงชอบสั่งอาหารเดลิเวอรี่มากกว่าผู้ชาย ในขณะที่มื้ออาหารที่คนนิยมสั่งมากที่สุดคือมื้อเย็น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้ร้านอาหารสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 21,100.00 21,200.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,367.00 20,723.72 21,700.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,230.30 18,651.35 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,093.60 16,578.98 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 615.00 9,323.40 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 478.00 7,246.48 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,417.00 21,481.72 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/11/2562

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 26.75 26.75 26.75 26.75 26.75 26.75 26.75 26.75 26.75 26.75
แก๊สโซฮอล์ 91 26.48 26.48 26.48 26.48 26.48 26.48 26.48 26.48 26.48 26.48
แก๊สโซฮอล์ E20 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74 23.74
แก๊สโซฮอล์ E85 19.64 19.64 19.64
เบนซิน 95 34.16 34.61 34.66 34.16 34.16
ดีเซล 25.89 25.89 25.89 25.89 25.89 25.89 25.89 25.89 25.89 25.89
ดีเซล B10 23.89 23.89 23.89 23.89 23.89
ดีเซล B20 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89
ดีเซลพรีเมี่ยม 29.74 29.76 30.14 30.14 30.14
แก๊ส NGV 15.73 15.73

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า