สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 08 มิถุนายน 2563

ไร้โฉนดที่ดินโวย จ่อยื่นคลังขอทบทวนเสียภาษี

โวยที่ “นส.3-สปก.” ต้องเสียภาษีที่ดินตั้งแต่บาทแรก ตามประเภทกิจการ กรมส่งเสริมท้องถิ่นชี้ชัดไม่ใช่โฉนด ส่วนโฮมสเตย์ ชายคาเดียวกัน แบ่งห้องเกิน 4 ห้อง อยู่ในข่ายโรงแรม สภาหอการค้า-กูรูอสังหาฯกระทุ้งคลังทบทวนใหม่

ภาษีที่ดิน ผ่อนปรนในหลายประเภทกิจการ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยเพื่อเช่า เก็งกำไร เสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับโฮมสเตย์ ที่ก่อนหน้านี้จัดอยู่ในประเภทพาณิชยกรรม กลุ่มเดียวกับโรงแรม ในที่สุดได้อนุโลมให้เสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย หากเป็นอาคารชายคาเดียวกัน แบ่งห้องพักไม่เกิน 4 ห้อง เช่นเดียวกับที่ดินรกร้างว่างเปล่าหากนำมาทำการเกษตรจะเสียภาษีในอัตราเกษตร

ที่สำคัญที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท รวมถึง ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับยกเว้น และในส่วนที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กฎหมายเปิดช่องให้สามารถกระจายถือครองได้คราวละไม่เกิน 50 ไร่ หากไม่ต้องการเสียภาษี ที่ดินแต่ละแปลงต้องไม่ตั้งอยู่ในเขตตำบลเดียวกัน และต้องเป็นเอกสารสิทธิ์ประเภทโฉนดเท่านั้น

ขณะที่ดินประเภท นส.3 นส3.ก (หนังสือรับรองจากเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดิน) และ สปก., ส.ป.ก. 4-01 นับล้านไร่ (เอกสารสิทธิให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน) กลับไม่ได้รับการคุ้มครอง ต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรกโดยเริ่มวันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นครั้งแรก สร้างความเดือดร้อนไม่น้อยสำหรับประชาชนและเกษตรกรผู้ยากไร้

แหล่งข่าวจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สาเหตุภาษีที่ดินต้องเรียกเก็บรายได้จากที่ดินประเภท นส.3, นส3.ก, สปก., สปก4-01 ฯลฯ ตั้งแต่บาทแรก เนื่องจากเป็นที่ดินที่เจ้าพนักงานอนุญาตให้ทำประโยชน์ แต่ไม่อนุญาตให้ครอบครอง ต่างจากโฉนดที่มีเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ของกรมที่ดิน สำหรับอัตราจัดเก็บขึ้นอยู่กับประเภทกิจกรรมใช้ประโยชน์ หากใช้เพื่อการเกษตรจะเสียอัตราเกษตร 0.01% เป็นต้น

นายอธิป พีชานนท์ ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สะท้อนว่า ชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินประเภทนส.3 มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบาก ส่วนใหญ่อยู่บริเวณพื้นที่ชนบท, ในเขตป่า มีรายได้จากการทำการเกษตร แต่กลับต้องเสียภาษีที่ดินตั้งแต่บาทแรก มองว่า ไม่เป็นธรรม และพวกเขาเหล่านั้นไม่น่าจะทราบด้วยซ้ำไป เพราะมองว่า นส3ก., นส.3. ไม่ต่างจากโฉนดที่ดิน

อย่างไรก็ตาม การตี ความที่ดินที่ถือครองระหว่างโฉนดกับที่ดินประเภทนส.3กับนส.3ก ซึ่งทั้ง 3 สมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยรวมถึงหอการค้าไทย จะยื่นหนังสือถึงรัฐบาลและกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพิจารณาตีความซึ่งน่าจะมีการทบทวนการตีความใหม่ เพราะส่งผลกระทบในวงกว้างกับประชาชนและเชื่อว่ายังมีผู้ที่ยังไม่มีความรู้อีกมาก

นายอิสระ บุญยังกรรมการผู้จัดการบริษัทกานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เผยว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงและผู้ประกอบการเพิ่งรับทราบคือการเรียกจัดเก็บภาษีที่ดินกับที่ดินนส.3 และนส.3ก อาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการ อสังหาฯในต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มที่พัฒนาโครงการก่อนปี 2543 ตามกฎหมายระบุว่าไม่ต้องยื่นขออนุญาตจัดสรรแต่หลังจากปี 2543 เป็นต้นมาต้องยื่นขออนุญาตจัดสรรทางออกสมาคมที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องหารือกันและอาจจะทำหนังสือถึงภาครัฐให้ทบทวน

นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ที่ปรึกษาสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะนักกฎหมาย ระบุว่า ตัวบทกฎหมายการถือครองที่ดินไม่เพียงเฉพาะเป็นการออกโฉนด แต่ควรรวมไปถึงผู้ได้ครอบครองที่ดินก็ถือสิทธิเป็นเจ้าของด้วยเช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แก้กฎหมาย เปิดตลาดรับต่างชาติ  กู้อสังหาฯไทย

“แม้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะชะลอตัว แต่ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัย คงจะไม่เกิดปัญหารุนแรงเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2540” คือ คำบอกเล่า การันตรีจากปากของดีเวลลอปเปอร์แทบจะทุกราย เมื่อเอ่ยคาดการณ์ถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2563 ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน นำไปสู่การปรับยุทธศาสตร์ กระบวนทัศน์ใหม่ในการดำเนินธุรกิจ บ้างมองเป็นวิกฤติ บ้างเห็นเป็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ยอดการซื้อ-ขายที่หดตัว, อัตราดูดซับระหว่างดีมานด์ซัพพลายลดลงชัดเจน และจำนวนเปิดโครงการใหม่ที่หายไปเกือบครึ่งตลอดช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา รวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  คาดการณ์ว่าทั้งปี อาจร่วงแรงทั้งจำนวนและมูลค่า ที่ -16.7% และ -14.8% ตามลำดับ ได้สะท้อนภาวะความเหนื่อยยากของตลาด และกำลังต้องการแรงผลักใหม่ๆเข้ามาช่วย โดยเฉพาะข้อเสนอที่เริ่มดังขึ้น การปลดล็อกเปิดตลาดเพื่อรับชาวต่างชาติ ที่ปัจจุบันล้มหายตายจากไปมากจากข้อจำกัดต่างๆ 

นายปฎิมา จีระแพทย์ ประธานกรรมการบริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ฐานะบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ภาคอสังหาฯไทย อาจตกอยู่ในภาวะซึมยาวหลายปี จากผลกระทบโควิด-19 ล็อกดาวน์เศรษฐกิจ ตั้งแต่กลุ่ม ออฟฟิศบิวดิ้ง, รีเทล และโรงงาน (บริการคลังสินค้า) เนื่องจากพบเจ้าของหลายราย กำลังประสบปัญหาด้านรายได้ เพราะผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้เช่าไม่ต่อสัญญา บางส่วนขอคืนพื้นที่ จากธุรกิจไปไม่รอด เลย์ออฟพนักงาน  

ส่วนกลุ่มโรงแรมและโรงพยาบาลนั้น กระทบชัดเจน ดั่งปรากฎเป็นข่าวมีเจ้าของประกาศขายทิ้งรายวัน และมีการเทคโอเวอร์ควบรวมกิจการ เป็นต้น ขณะตลาดที่อยู่อาศัย แม้จะมีการกระตุ้นฝั่งดีมานด์อย่างหนัก จากการที่ดีเวลลอปเปอร์ยอมหั่นกำไร ขายลดราคากระหน่ำสูงสุดถึง 50% เพื่อหวังพยุงสภาพคล่องของบริษัทให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไป แต่ในระยะยาวคงเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นวิธีที่ผิดกลไกตลาดอยู่มาก และอาจสร้างปัญหาต่อการซื้อขายในอนาคต จากการต่อรองสูงขึ้นในฝั่งลูกค้า ฉะนั้น ตลาดจำเป็นต้องหาทางออกอื่นๆ มาเป็นตัวขับเคลื่อน ช่วยดูดซับซัพพลายที่เกิน หลังจากคาด ไวรัสโควิด-19 อาจมีการระบาดเป็นระลอกๆ จนกว่าวัคซีนป้องกันจะถูกนำมาใช้อย่างสำเร็จ ในช่วงปี 2565 

จากจุดแข็งด้านระบบสาธารณสุข ซึ่งไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรค และลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว เป็นอีกตัวกระตุ้นเร้าให้ชาวต่างชาติ ต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนั้น นายปฎิมา เปรียบว่า เป็นโอกาสทองของอสังหาฯไทย ช่วยแก้ต่างเอาตัวรอดจากภาวะตลาดกำลังซื้อในประเทศซบเซาได้ แต่ขณะนี้รัฐยังไม่เล็งเห็น ทั้งๆที่ จะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมาก เพราะเดิมทีกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ มีความต้องการสูง แต่มีกำแพงข้อจำกัดหลายด้าน ตั้งแต่โควต้าถือครองกรรมสิทธิ์ ได้เพียง 49% ในโครงการคอนโดฯเท่านั้น หรือไม่สามารถถือครองบ้านพร้อมที่ดินแนวราบได้ และกลไกที่ยุ่งยากในการซื้อขาย มองรัฐควรใช้โอกาสนี้เอง ทบทวนกฎหมายต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อหรือลงทุนของชาวต่างชาติ เช่น จัดโซนนิ่งชาวต่างชาติ,ให้วีซ่าระยะยาว เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับอสังหาฯไทยในยามอ่อนแรง เพราะขณะนี้ไม่ใช่เพียงชาวสวีเดน สแกนดิเนเวียน รัสเซีย และจีน ลูกค้าเดิมที่มีความต้องการ แต่ชาวยุโรปก็เพิ่มสัดส่วนขึ้น และต้องการอยู่อาศัยรูปแบบระยะยาวแทบทั้งสิ้น

“โอกาสมาถึงแล้ว เปรียบเป็นวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ทั้งยังจะช่วยดูดซับซัพพลายในตลาดได้ รัฐควรเปิดโอกาสให้คนที่อยากจะมา อยู่โดยไม่ต้องหลบเลี่ยง เราเห็นว่ากฎหมายอะไรที่ล้าสมัยต้องชำระเขียนใหม่ จัดระเบียบได้ เช่น การจัดโซนนิ่ง 100% ให้ชาวต่างชาติ ในเมืองท่องเที่ยว หรือ โซนภาคตะวันออก เป็นไชน่าทาวน์ เป็นอเมริกันโซน ฯลฯ เพราะพบหลายโครงการมีลูกค้ารอ แต่ขายไม่ได้จริงๆ เนื่องจากติดโควต้า 49%”

ขณะเดียวกัน การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนวันเกษียณ สูงอายุ ซึ่งมีกำลังซื้อสูง นายปฎิมา กล่าวต่อว่า จะช่วยเกื้อหนุนทั้งภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจเวสเนส โรงพยาบาล และการพัฒนาพื้นที่ การค้า การเกษตร การสร้างงานให้กับชุมชน คนว่างงานได้อีกด้วย 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไอแบงก์ เร่งช่วยลูกค้ารายย่อย

ไอแบงก์ เร่งช่วยลูกค้ารายย่อย

ไอแบงก์ เร่งช่วยลูกค้ารายย่อยตามมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยชั้นดี

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยตามมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยชั้นดีที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไปแล้วเกือบ 2,000 ราย พร้อมยินดีให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ยังไม่ได้ยื่นเรื่องเข้าร่วมตามมาตรการ โดยขอให้รีบยื่นเรื่องภายในสิ้นเดือน มิ.ย. นี้ สามารถยื่นผ่านอีเมลหรือสาขาใกล้บ้านได้

ตามที่ ไอแบงก์ ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยชั้นดี เพื่อลดภาระผ่อนชำระค่างวดระยะสั้นด้วยการพักชำระหนี้ระยะเวลา 3 เดือน ทั้งที่เป็นลูกค้าสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อเพื่อธุรกิจนั้น โดยล่าสุดไอแบงก์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมได้มีลูกค้ายื่นความจำนงและได้รับความช่วยเหลือไปแล้วเพียง 1,973 ราย เป็นยอดคงค้างที่ให้ความช่วยเหลือแล้วกว่า 871 ล้านบาท โดยธนาคารได้ตั้งเป้าในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อยประมาณ 5,000 ราย คิดเป็นวงเงินคงค้าง 2,000 ล้านบาท ส่วนลูกค้าสินเชื่อเพื่อธุรกิจและ SMEs รายย่อย ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือตามมาตรการพักชำระหนี้ 6 เดือนอัตโนมัติไปแล้วจำนวน 3,908 ราย เป็นวงเงินรวมกว่า 5,152 ล้านบาท

ในการนี้ ไอแบงก์ ยินดีให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารที่เป็นลูกหนี้รายย่อยที่ยังไม่ยื่นขอความช่วยเหลือตามมาตรการของธนาคารและประสงค์รับความช่วยเหลือ ให้เร่งยื่นเรื่องแสดงความจำนงขอรับความช่วยเหลือ โดยสามารถ Download ใบคำขอในเว็บไซต์ธนาคาร เพื่อกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนดแล้วส่งมาที่อีเมล covid19@ibank.co.th หรือกรณีที่ไม่สะดวกในการใช้ช่องทางอีเมล สามารถติดต่อที่สาขาธนาคารใกล้บ้านทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ibank Call Center 1302

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


“เอวีซี” รอสรุปจัดแข่งปี 2020 รอเคาะกลางเดือน ก.ค.นี้

เรืออากาศโท “ชาญฤทธิ์ วงศ์ประเสริฐ” รองประธานและเลขาธิการสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย ออกมาเปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ “โควิด-19” จะคลี่คลาย แต่ทาง “เอวีซี” จะตัดสินใจโปรแกรมในปี 2020 นี้อีกครั้ง

วันที่ 7 มิ.ย. 63 เรืออากาศโท ชาญฤทธิ์ วงศ์ประเสริฐ รองประธานและเลขาธิการสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย เปิดเผยถึงเรื่องของการจัดการแข่งขันรายการต่างๆ ของปีนี้ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ “โควิด-19” จะคลี่คลายลงบ้าง แต่ปัจจัยสำคัญคือเรื่องการเดินทางต้องรอดูว่าสนามบินแต่ละชาตินั้นเปิดทำการหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่สนามบินแต่ละชาติจะเปิดทำการภายในสิ้นเดือนนี้ แต่ทางเอวีซีก็จะตัดสินใจอีกครั้งในการประชุมช่วงกลางเดือนกรกฎาคม

ถ้าจัดแข่งขันได้ก็จะทางเอวีซีก็ได้กำหนดระยะเวลาเอาไว้ โดยรุ่นซีเนียร์ 4 รายการ ประกอบด้วย สโมสรชายชิงแชมป์เอเชีย ที่ไทย, สโมสรหญิงชิงแชมป์เอเชีย ที่จีน, เอวีซีชาย ที่เมียนมา และ เอวีซีหญิง ที่ไต้หวัน จะต้องแข่งให้จบภายในเดือนตุลาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทางสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติหรือเอฟไอวีบีได้กำหนดให้เดือนสิงหาคมเป็นช่วงแข่งขันฤดูกาลใหม่ ปี 2020-2021 ขณะเดียวกันทางเรืออากาศโท ชาญฤทธิ์ ยังเผยว่า ทางไต้หวันแสดงความต้องการที่จะจัดแข่งขันเอวีซีคัพหญิงเพราะที่ผ่านมายังไม่เคยจัดแข่งขันรายการใดในระดับเอเชีย ส่วนการแข่งขันระดับเยาวชนกำหนดให้จัดเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม

นอกจากนี้ เรืออากาศโท ชาญฤทธิ์ แสดงความกังวลว่า หากปีนี้เอวีซีไม่สามารถจัดทัวร์นาเมนต์แข่งขันก็จะกระทบต่อรายได้ เพราะไม่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดและโฆษณาต่างๆ.

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


เปิดแผนท่องเที่ยววิถีใหม่ ร่วมป้องกันโควิด-19

เปิดแผนท่องเที่ยววิถีใหม่  ร่วมป้องกันโควิด-19 thaihealth

ภายหลังจากผ่อนปรนเฟส 3 พบว่าสถานที่พักผ่อนตามธรรมชาติ เช่น บริเวณชายหาด มีผู้คนหลั่งไหลไปเป็นจำนวนมาก การท่องเที่ยววิถีใหม่ โดยความตระหนักทั้งผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว จึงจำเป็น ต้องร่วมป้องกันเพื่อ ไม่นำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่อยากให้เกิด

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สำหรับแหล่งท่องเที่ยวชายหาด ในการแถลงข่าวสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 ประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2563  ว่า มาตรการหลักสำคัญ อันดับ 1 คือ ความสะอาด ทั้งห้องน้ำสาธารณะ ห้องอาบน้ำ อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญ รวมถึงทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส

นอกจากที่จะมีหน้ากากอนามัยพกติดตัว ต้องมีถุงเล็กๆ เพื่อเก็บขยะออกจากพื้นที่ไม่ทิ้งไว้ให้เป็นภาระของคนในพื้นที่ เป็นการท่องเที่ยววิถีใหม่ ขณะที่ส่วนท้องถิ่น ควรมีจุดคัดแยกขยะ ให้นักท่องเที่ยวสามารถทิ้งในสถานที่จัดเตรียมไว้ เรื่องของความสะอาด เป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันให้สถานที่ท่องเที่ยสสะอาด และปลอดภัย

ถัดมา คือ การใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพราะเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคได้ประสบความสำเร็จ เพราะเราใช้หน้ากากอนามัยกันอย่างแพร่หลาย แม้แต่ในพื้นที่ท่องเที่ยวขอให้ยึดหลักการนี้ แม้ชายหาดจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง สามารถเว้นระยะห่างที่พอเหมาะได้ แต่หากร่วมกับการใช้หน้ากากผ้า จะปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งการเว้นระยะห่างต้องมาจากความร่วมมือ หากไปเป็นครอบครัว ขอให้อยู่กลุ่มก้อนของเราเอง แยกจากกลุ่มอื่น เพื่อให้มั่นใจว่าอยู่ระยะที่ห่างเพียงพอ

ในระยะถัดไป อาจจะต้องออกมาตรการในการคัดกรองจำนวนคน ไม่ให้แออัด หากทำได้สำเร็จ แปลว่ากำลังจะเดินหน้าสู้การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ จะรู้ล่วงหน้าก่อนไปสถานที่ท่องเที่ยว มีการลงทะเบียน จองคิว เช่นเดียวกับ ร้านตัดผม ในพื้นที่ที่มีชายหาดหากแบ่งปัน ลดความแออัด ลดระยะเวลาให้พอเหมาะ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียน ให้คนอื่นเข้าไปใช้พื้นที่ได้ เว้นระยะห่างได้ดี จะมีความปลอดภัยมากขึ้น และต้องไม่ลืมเรื่องการล้างมือ พกเจลแอลกอฮอล์

อธิบดีกรมอนามัย   กล่าวว่า หากมีระบบนัดหมาย ลงทะเบียน จะสามารถลดความแออัดได้ จะได้รู้หากใครมีความเสี่ยง ทั้งนี้ แต่เดิมสถานที่ท่องที่ยว มีเซฟการ์ด แต่ตอนนี้ต้องมีทีมเซฟใหม่เพิ่มขึ้นมา เพื่อดูว่านักท่องเที่ยวทำตามกติกาหรือไม่ เช่น การรวมกลุ่ม การใส่หน้ากากอนามัย หรือก่อความบันเทิงบางอย่างที่สุ่มเสี่ยง ขณะนี้ ยังไม่อนุญาตให้มีการสังสรรค์ที่ชายหาด ต้องมีป้ายแนะนำ วิธีปฏิบัติตัว ติดไว้ตามที่ต่างๆ

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติงาน ต้องมีการตรวจวัดอุณหภูมิ ต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าตา และทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ผู้มาใช้พื้นที่ พนักงานทำความสะอาด ขอให้จัดอุปกรณ์ป้องกันให้พร้อม และมีการเก็บขยะอย่างถูกวิธี

สำหรับนักท่องเที่ยว หากมีอาการไข้ ไอจาม เจ็บป่วย ขอให้ยกเว้น หากไปในพื้นที่สาธารณะอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ขณะที่ กลุ่มสี่ยง ผู้สูงอายุ เด็ก ขอให้อยู่ในระยะห่างที่ชัดเจน ใช้เวลาไม่นานในการอยู่ในพื้นที่ ถือว่าเป็นการพักผ่อน ผ่อนคลายและเดินทางกลับ ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน

“ขอย้ำว่า “New Normal” ในการไปท่องเที่ยวจะต้องมีการคัดแยกขยะ มีถุงพลาสติกติดตัวไป หรือผู้ประกอบการเตรียมถุงให้กับนักท่องที่ยว เพื่อเก็บขยะออกจากพื้นที่ นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องยังคงอยู่ คือ ลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง หันมาใช้ ถุงผ้า ตะกร้า” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ทั้งนี้ หลักการสำคัญในการไปในพื้นที่สาธารณะ คือ 1. ดูแลตัวเอง ทุกครั้งที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ หากไปเป็นครอบครัวให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา 2. อุปกรณ์ช่วยในการล้างมือ ต้องเตรียมพร้อม เผื่อสถานที่ไม่มีจัดไว้ให้ 3. การเว้นระยะห่าง เราสามารถปรับตัวเราเองได้ 4. การใช้เวลาในพื้นที่สาธารณะให้พอเหมาะราว 1-2 ชม. ใช้ระยะเวลาให้น้อยลง สั้นลง ผ่อนคลายตามสมควร เป็นเรื่องที่ปลอดภัย และเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาใช้ด้วย

“กรมอนามัย มีการติดตามทุกระยะที่มีการผ่อนปรน มีการลงไปติดตาม สังเกตการณ์ในระดับพื้นที่ทั้งหมด พบว่า สิ่งที่ทุกคนทำได้ดีใน 5 มาตรการหลัก คือ การล้างมือ ขณะที่การสวมหน้ากากอนามัย เริ่มลดระดับลง ขณะที่เรื่องการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสยังคงต้องรักษาความสะอาดอย่างต่อเนื่อง รักษาระยะห่างโดยเฉพาะในฟิตเนส ภัตตาคาร หรือสถานที่ปิด ต้องร่วมมือกันต่อไป

ขณะที่ในโรงภาพยนตร์ หลายคนสงสัยว่าจะสามารถทานป็อบคอร์นและเครื่องดื่มได้หรือไม่ อธิบดีกรมอนามัย อธิบายว่า เนื่องจากโรงภาพยนตร์ อยู่ในพื้นที่ปิด ควรใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากไม่ทานขนมระหว่างดูหนัง จะทำให้เราสวมหน้ากากได้ตลอดเวลาลดความเสี่ยง อย่างไรก็ตามยังคงเป็นมาตรการเชิงคำแนะนำเท่านั้น ไม่ได้ห้าม แต่ขอให้เก็บกลับออกมาทุกครั้ง เพื่อให้พนักงานสามารถดูแลความสะอาดได้ดีขึ้น อะไรที่เป็นขยะขอให้เก็บกลับออกมา

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


รู้หรือไม่? คำว่า “ตาย” ใช้ต่างกันอย่างไร และใช้กับบุคคลระดับไหน?

RIP คำราชาศัพท์ คำศัพท์ คำเรียก ตาย ตาย สวรรคต สิ้นพระชนม์

เคยสงสัยกันไหมว่า คำศัพท์ คำราชาศัพท์ ที่มีความหมายว่า “ตาย” ไม่ว่าเป็น เสียชีวิต สวรรคต สิ้นพระชนม์ สิ้นชีพิตักษัย ทิวงคต ถึงแก่พิราลัย นั้นใช้ต่างกันอย่างไร และใช้กับบุคคลระดับไหนบ้าง วันนี้เราจะไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ให้กับน้องๆ วัยเรียน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจ และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม

รู้หรือไม่? คำว่า “ตาย”
ใช้ต่างกันอย่างไร และใช้กับบุคคลระดับไหน?

คำว่า “ตาย” ใช้กับบุคคลฐานะต่างๆ ดังนี้

สวรรคต (อ่านว่า สะ-หฺวัน-คด) ใช้กับ พระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และพระบรมราชวงศ์ ที่ทรงได้รับพระราชทานฉัตร ๗ ชั้น

ทิวงคต ใช้กับ พระยุพราช หรือเจ้าฟ้าซึ่งได้รับการเฉลิมพระยศพิเศษ

สิ้นพระชนม์ ใช้กับ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระสังฆราช สมเด็จเจ้าฟ้า เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า

สิ้นชีพิตักษัย ใช้กับ หม่อมเจ้า

ถึงแก่พิราลัย ใช้กับ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าประเทศราช

ถึงแก่อสัญกรรม ใช้กับ ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา, นายกรัฐมนตรี, ประธานาธิบดี, ประธานองคมนตรี, องคมนตรี, ประธานรัฐสภา หรือ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า

ถึงแก่อนิจกรรม ใช้กับ พระยาหรือผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทยขึ้นไปหรือทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ

ถึงแกมรณภาพ ใช้กับ ภิกษุ สามเณร

ถึงแก่กรรม ใช้กับ สุภาพชนทั่วไป

ล้ม ใช้กับ สัตว์พาหนะที่มีรูปร่างใหญ่ เช่น วัว ช้าง ควาย

ตาย ใช้กับ คน สัตว์ทั่วไป

เสียชีวิต เป็นคำสุภาพของ “ตาย” เรานิยมใช้ คำว่า “เสียชีวิต” กับคนในภาษาทางการ และใช้คำว่า “ตาย” ในภาษาพูด

ขอบคุณข้อมูลจาก teen.mthai.com


รัฐเร่งเครื่องเทคโนโลยี ชูดิจิทัลโซลูชัน รับวิถี New Normal

ภาครัฐ เร่งเครื่อง พัฒนาเทคโนโลยีเนคเทค ลุยต่อ ยอด “มิวเทอร์ม เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะของไทย ด้านดีป้า เดินหน้าหลักสูตรหนุนภาคการเกษตรไทยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมรับวิถี New Normal หลังพ้นวิกฤติโควิด-19

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) กล่าวว่า เนคเทค-สวทช. ได้ร่วมกันวิจัยและพัฒนา “มิวเทอร์ม เฟสเซนซ์” (µTherm-FaceSense) ที่ปรับปรุงข้อจำกัดของมิวเทอร์มในอดีตที่พัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 2007 ด้วยงบประมาณการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) โดยจุดเด่น ของ “มิวเทอร์ม เฟสเซนซ์” นั้นเป็นระบบตรวจอุณหภูมิที่ใช้กล้องตรวจจับความร้อนสแกนใบหน้าได้ครั้งละหลายคนพร้อมกันได้สูงสุด 9 คน และรู้ผลภายใน 0.1 วินาทีจากระยะห่าง 0.5-1.5 เมตร สามารถวิเคราะห์และประมวลผลได้ภายในตัวเครื่อง ส่งข้อมูลเพื่อจัดเก็บผ่านเครือข่ายการสื่อสารในราคาที่เข้าถึงได้เพื่อใช้ในการคัดกรองเบื้องต้นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ โรงพยาบาล เรือนจำ สถานีรถไฟฟ้า สนามบิน โรงเรียน ซึ่งเบื่องต้นได้มีการพัฒนามิวเทอร์ม เฟสเซนซ์ จำนวน 40 เครื่อง โดยจะกระจายไปยังโรงพยาบาลและหน่วยบริการโลหิต 8 แห่ง จำนวน 15 เครื่อง, หน่วยงานราชการและเรือนจำ 10 แห่ง จำนวน 12 เครื่อง, หน่วยงานด้านคมนาคม 3 แห่ง จำนวน 5 เครื่อง และสำรองไว้ที่เนคเทค 8 เครื่อง

นอกจากนี้ในอนาคต มิวเทอร์ม เฟสเซนซ์ จะมีการพัฒนาเพิ่มเติมอีก 2 ส่วน คือ 1) การวิจัยและวิศวกรรม เรื่องของความสามารถในการจดจำใบหน้า (Face Recognition) ภายใต้หน้ากาก และ 2) การขยายผลเชิงพาณิชย์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยกับภาคเอกชนไทยที่สนใจจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเอาไปผลิตเพื่อจำหน่ายต่อได้

ด้านดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ดีป้าได้ผลักดันให้ทุกภาคส่วนเกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล รองรับยุคฐานวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ภายหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 นั้น หนึ่งในภารกิจสำคัญคือ การปรับเนื้อหา “หลักสูตรผู้นำการส่งเสริมดิจิทัลด้านธุรกิจเกษตร” รุ่น 2 เพื่อให้ผู้บริหารจากองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะด้านการเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และธุรกิจที่เกี่ยวข้องสามารถนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการอบรมไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศักยภาพองค์กรให้พร้อมเข้าสู่ยุคนิวมอร์มอล หลังผ่านพ้นวิกฤติ โควิด-19
ทั้งนี้หลักสูตรผู้นำการส่งเสริมดิจิทัลด้านธุรกิจเกษตร รุ่น 2 จะมุ่งเน้นการส่งเสริมทักษะและองค์ความรู้ สร้างความเข้าใจจากประสบการณ์จริง พัฒนาวิสัยทัศน์การกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลด้านการเกษตรสมัยใหม่รับยุคนิว นอร์มอล ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการ เกษตรที่มีความทันสมัยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น IoT (Internet of Things) การใช้ระบบเครื่องรับรู้ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลระดับสูง (Big Data Management) เครื่องจักรกลอัตโนมัติ (Robot) ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) อากาศยานไร้คนขับ (Drone), Cloud, AR & VR, Blockchain, Digital Marketing และการวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงการบริหารจัดการผลิตผลเกษตรแบบครบวงจรเพื่อตอบรับวิถี New Normal หลัง โควิด -19 
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com

8 สรรพคุณประโยชน์ของต้นหนุมานนั่งแท่น ! (ว่านหนุมานนั่งแท่น)

หนุมานนั่งแท่น

หนุมานนั่งแท่น

หนุมานนั่งแท่น ชื่อสามัญ Gout Plant, Guatemala Rhubarb, Fiddle-leaved Jatropha[5]

หนุมานนั่งแท่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Jatropha podagrica Hook. จัดอยู่ในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)[1]

สมุนไพรหนุมานนั่งแท่น มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หัวละมานนั่งแท่น (ประจวบคีรีขันธ์), ว่านเลือด (ภาคกลาง), ว่านหนุมาน, ว่านหนูมานนั่งแท่น เป็นต้น[1],[4]

ลักษณะของหนุมานนั่งแท่น

  • ต้นหนุมานนั่งแท่น เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลาง พบได้ตั้งแต่ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึงระดับ 800 เมตร โดยจัดเป็นพรรณไม้พุ่ม ที่มีความสูงของต้นประมาณ 1.5-3 เมตร ลำต้นพองที่โคน ลำต้นอวบน้ำผิวไม่เรียบ เป็นสีน้ำตาลอมเขียว และมีเหง้าอยู่ใต้ดินลักษณะกลมยาว อาจเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย ต้นมีน้ำยางสีขาวขุ่นใส ๆ ไม่เหนียวเหนอะหนะ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและใช้หัวหรือเหง้าที่อยู่ใต้ดิน เจริญเติบโตได้ดีในที่ชุ่มชื้น ชอบแสงแดดจัดแบบเต็มวัน สามารถทนต่อความแล้งได้ดี[1],[3]

ต้นหนุมานนั่งแท่น

 

  • ใบหนุมานนั่งแท่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง โคนใบเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเว้าเป็นแฉก 3-5 แฉก ใบมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร หลังใบและท้องใบเรียบ ก้านใบยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ติดแผ่นใบแบบก้นปิด หูใบแตกแขนงยาวได้ถึง 5 มิลลิเมตร[1],[3]

ว่านหนุมานนั่งแท่น

  • ดอกหนุมานนั่งแท่น ออกดอกเป็นช่อกึ่งช่อเชิงหลั่น ยาวได้ถึง 26 เซนติเมตร แกนช่อดอกยาวได้ถึง 20 เซนติเมตร โดยจะออกที่ปลายยอด มีใบประดับเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ดอกย่อยเป็นสีแดงมีจำนวนมาก กลีบดอกมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีส้มหรือสีแดง ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่กว้าง ยาวประมาณ 0.6 มิลลิเมตร กลีบดอกเป็นรูปไข่กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 5-6 มิลลิเมตร จานรองดอกเป็นรูปโถ เกสรเพศผู้จะยาวประมาณ 6-8.5 มิลลิเมตร ก้านชูเกสรเชื่อมกันที่โคน ส่วนดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงจะเป็นรูปรี ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกยาวประมาณ 6-7 มิลลิเมตร ก้านชูและก้านชูช่อดอกเป็นสีแดง[1],[2],[3]

รูปหนุมานนั่งแท่น

ดอกหนุมานนั่งแท่น

  • ผลหนุมานนั่งแท่น ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปกระสวย ผิวผลเรียบ แบ่งเป็นพู 3 พู ปลายมน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีดำ เมื่อผลแห้งจะไม่แตก ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปกระสวยหรือรูปรี มีขนาดกว้างประมาณ 6 มิลลิเมตร และยาว 12 มิลลิเมตร เมล็ดมีเยื่อสีขาวอยู่ที่ขั้ว[1],[2],[3]

ผลหนุมานนั่งแท่น

เมล็ดหนุมานนั่งแท่น

สรรพคุณของหนุมานนั่งแท่น

  1. หัวหรือเหง้าใช้กินเป็นยาบำรุงพละกำลังสำหรับผู้ที่ใช้กำลังแบกหามหรือทำงานหนัก (เหง้า)[4]
  2. เหง้ามีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิต (เหง้า)[4]
  3. ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้น้ำยางเป็นยาทารักษาแผลมีดบาด แผลถลอก และใช้ห้ามเลือด ส่วนวิธีใช้ขั้นตอนแรกก็ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดเสียก่อน แล้วซับแผลด้วยสำลีให้แห้ง แล้วใช้มือเด็ดบริเวณก้านกลางใบ โดยให้เลือดใบที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป เมื่อน้ำยางเริ่มไหลออกมาก็ให้ใช้นิ่วมือรองยางที่หยดลงมา แล้วนำไปป้ายบริเวณแผลวันละ 2-3 ครั้ง แผลก็เริ่มแห้งและตกสะเก็ดภายใน 1-2 วัน(น้ำยาง)[1],[2] ส่วนเหง้าก็มีสรรพคุณเป็นยาสมานแผลเช่นกัน (เหง้า)[4]
  4. ตำรับยาพื้นบ้านจะใช้น้ำยางจากต้นหนุมานนั่งแท่นเป็นยาทารักษาฝี (น้ำยาง)[1],[2]
  5. นำเหง้ามาโขลกให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกทาตามข้อมือข้อเท้า นวดแก้อาการเคล็ดขัดยอก (เหง้า)[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหนุมานนั่งแท่น

  • เมล็ดมีสารกลุ่ม phorbol esters ที่เป็นพิษเช่นเดียวกับสบู่ดำ[2]
  • สารสกัดจากเมล็ดหนุมานนั่งแท่นด้วยปีโตรเลียมอีเทอร์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ดี[2]

พิษของหนุมานนั่งแท่น

  • ส่วนที่เป็นพิษ : เมล็ดและยาง โดยมีสารพิษที่ออกฤทธิ์คล้ายกับ toxalbumin,curcin พิษจาก resin alkaloid glycoside[5]
  • อาการเป็นพิษ : น้ำยางเมื่อถูกผิวหนังจะเกิดอาการแพ้ระคายเคือง บวมแดงแสบร้อน ส่วนเมล็ดหากรับประทานเข้าจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หายใจเร็ว การเต้นของหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อชักกระตุก ความดันโลหิตต่ำ (พิษคล้ายละหุ่ง) โดยเมล็ดตะมีรสอร่อยหากรับประทานเพียง 3 เมล็ด ก็ทำให้เป็นอันตรายได้ และถ้าเข้าตาจะทำให้ตาอักเสบ ตาบอดชั่วคราวได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากจะอาจทำให้ตาบอดถาวร (และห้ามนำเมล็ดหรือผลมารับประทานเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้)[5]
  • การรักษาพิษ : ให้ล้างน้ำยางออกจากผิวหนังโดยใช้สบู่ และอาจใช้ยาสเตียรอยด์ทา แต่ถ้ารับประทานเข้าไปให้เอาส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมออกโดใช้ถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ล้างท้อง หรือรีบทำให้อาเจียน และรักษาไปตามอาการ[5]

ประโยชน์ของหนุมานนั่งแท่น

  • สมุนไพรหนุมานนั่งแท่นเป็นยาที่ถูกนำมาใช้รักษาแผลในม้า โดยพบว่าได้ยางหนุมานสามารถรักษาแผลให้หายได้ดีกว่าและเร็วกว่ายาเนกาซันท์ ยาปฏิชีวนะ และยาสมานแผลทั่วไป และยังเป็นยาเพียงชนิดเดียวที่ใช้รักษาบาดแผลเนื้องอกได้ ในขณะที่ยาอื่นรักษาไม่ได้ ส่วนแผลเน่าเปื่อยก็รักษาให้หายได้โดยใช้ระยะเวลาที่สั้นกว่ายาอื่นเท่าตัว (แม่โจ้)
  • ในด้านของความเชื่อ ในสมัยก่อนมีการนำมาใช้ในทางคงกระพันชาตรี ด้วยการนำหัวว่านมาแกะเป็นรูปพญาวานร แล้วเสกด้วยคาถาพุทธคุณ “อิติปิโส ภะคะวา – ภะคะวาติ” 3-7 จบ แล้วอมไว้หรือพกติดตัวไว้ จะทำให้ศัตรูแพ้พ่าย ถ้านำมาแกะเป็นรูปพญานาคราช ให้เสกด้วย “เมตตา” 3-7 จบ เมื่อไปเจรจากับผู้ใด จะมีแต่ผู้รักใคร่ ปราถนาสิ่งใดก็สำเร็จทุกประการ ถ้านำมาแกะเป็นรูปพระพรหมแผลงศร ให้เสกด้วยคาถา “อิติปิโส ภะคะวา – ภะคะวาติ” 3-7 จบ ใครจะมาทำร้ายทิ่มแทงเราก็จะล้มทับตัวเอง อาวุธที่มีก็จะพลัดหลุดจามือ จนสุดท้ายต้องหลบหนีไปเอง ถ้านำหัวว่านมาแกะเป็นรูปภควัมบดีปิดหูปิดตา คือปิดทวารทั้งเก้า ให้เสกด้วยคาถา “อิติปิโส ภะคะว่า – ภะคะวาติ” 7 จบ แล้วนำมาอมไว้ในปาก ผู้อื่นจะมองไม่เห็น ทำร้ายไม่ได้ หรือหากต้องการสิ่งใดก็จะสมดัง ปราถนา และถ้านำมาแกะเป็นรูปพระ แล้วเสกด้วยคาถา “อะ อิ อุ ธะ 7 จบ ก็จะช่วยป้องกันอันตรายได้ทั้งปวง”[4]
  • นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและว่านมงคลชนิดหนึ่งตามบ้านและวัดทั่วไป นิยมขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัวหรือเหง้า โดยนำดินร่วนปนทรายปนกับผงอิฐดินเผาทุบให้แหลกละเอียด ตากน้ำค้างทิ้งไว้หนึ่งคืน ผสมใบพืชตระกูลถั่ว หญ้าสับ วางหัวว่านไม่ต้องกลบดินจนมิด (ให้หัวโผล่ และให้แสงแดดรำไร) ตอนจะรดน้ำให้ว่าคาถา “นะโมพุทธายะ” 3 จบ และถ้าจะให้ดีควรปลูกในวันพฤหัสบดีข้างขึ้น เวลานำไปใช้ให้บอกกับต้นไม้ด้วยว่าจะใช้รักษาอะไร เช่น “ขอยารักษาแผลหน่อยนะ” แล้วน้ำยางจะไหลออกมามาก[4] ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งระบุว่าถ้าจะขุดหัวว่านมาใช้ ให้เสกด้วยคาถา “สัพพาสี – ภาณามเห” 3 หรือ 7 จบ รดน้ำรอบต้นแล้วขุด ในขณะที่ขุดให้เสกด้วยคาถา “หะนุมานะ โสธาระ” ซึ่งเป็นคาถาผูกอีก 3 หรือ 7 จบ จึงเก็บหัวว่านมาใช้ และตอนนำมาใช้ก็ต้องเสกด้วยคาถา “นะโมพุทธายะ” 3 จบก่อนทุกครั้ง เชื่อว่าจะมีอานุภาพฟันแทงไม่เข้า

ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 25,100.00 25,200.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,626.00 24,650.16 25,700.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,463.40 22,185.14 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,300.80 19,720.13 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 732.00 11,097.12 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 569.00 8,626.04 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,685.00 25,544.60 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/06/2563 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 21.15 21.15 21.15 21.15 21.15 21.15 21.15 21.15 21.15 21.15
แก๊สโซฮอล์ 91 20.88 20.88 20.88 20.88 20.88 20.88 20.88 20.88 20.88 20.88
แก๊สโซฮอล์ E20 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64
แก๊สโซฮอล์ E85 17.64 17.64 17.64
เบนซิน 95 28.56 29.01 29.06 28.56 28.56
ดีเซล 21.29 21.29 21.29 21.29 21.29 21.29 21.29 21.29 21.29 21.29
ดีเซล B10 18.29 18.29 18.29 18.29 18.29 18.29 18.29 18.29 18.29 18.29
ดีเซล B20 18.04 18.04 18.04 18.04 18.04 18.04 18.04 18.04
ดีเซลพรีเมี่ยม 25.44 25.46 27.44 27.44
แก๊ส NGV 1531 1531

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า