18 โปรเจ็กต์ร้อน 8 แสนล้าน ตั้งแท่น ครม.ไฟเขียวก่อนเลือกตั้ง
เหลือเวลาอีก 3 เดือนเศษ ๆ ที่ประเทศไทยของเราจะเข้าสู่โหมด “เลือกตั้ง” ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 หากไม่มีอะไรพลิกล็อก
นับเป็นช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ที่น่าจับตา ! โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมรอเข้าคิวและขอแทรกคิวเป็นกรณีพิเศษ เพื่อชาติบ้านเมือง
“ประชาชาติธุรกิจ” จึงขอปัดฝุ่น “โพย” เมกะโปรเจ็กต์ที่สำคัญ ๆ ที่คาดว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พิจารณาอนุมัติ
18 โครงการ 7.3 แสนล้าน
เมื่อกางบัญชีรายชื่อโครงการ มูลค่าการลงทุนรวมจะมีมากถึง 2.4 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้จะมี 5 โครงการที่รอจ่อคิวประมูลแบบเร่งด่วน คิดเป็นมูลค่าราว 5 แสนล้านบาท
ซึ่งไม่รวมอีก 18 โครงการ มูลค่ากว่า 7.3 แสนล้านบาท ที่คมนาคมเตรียมทยอยเสนอ ครม.ขออนุมัติ เมื่อคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนทั้งหมดในอินฟราสตรักเจอร์ของรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท
เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้า “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี มือเศรษฐกิจรัฐบาล คสช. ได้เดินทางไปยังกระทรวงคมนาคมด้วยตัวเอง พร้อมสั่งให้ “อาคม” เจ้ากระทรวง สับเกียร์เหยียบคันเร่ง ลุยงานโครงการที่ล่าช้าอยู่โดยเร็วที่สุด โดยประกาศให้กดปุ่มประมูลทันที หลัง ครม.อนุมัติ ภายในเดือนธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นการประชุม “ครม.นัดสุดท้าย” ณ แดนอีสาน จ.หนองคาย
“ระยะเวลาที่เหลือก่อนจะเลือกตั้งในต้นปีหน้า ไม่อยากให้ปล่อยไว้เฉย ๆ ไปตามกระบวนการ ได้เร่งรัดคมนาคมประมูลโครงการขนาดใหญ่ที่ค้างให้แล้วเสร็จ เพราะโครงการใหญ่เป็นเป้าหมายของรัฐบาลจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผน ถ้าโครงการไหนจะต้องจัดซื้อจัดจ้าง เปิดประมูล หรือเสนอคณะรัฐมนตรี ขอให้คมนาคมเร่งให้เสร็จสิ้นในปีนี้ ห้ามล่าช้าอีกเด็ดขาด เพราะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่เติบโตในวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากโครงการของคมนาคม จึงไม่อยากให้ชักช้า” แหล่งข่าวในกระทรวงคมนาคมกล่าวถึง “คำกำชับ” ของ ดร.สมคิด
ล่าสุด นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าว่า นับจากนี้ถึงเดือนมกราคม 2562 กระทรวงเตรียมโครงการลงทุนที่อยู่ในแผนเสนอขออนุมัติจาก ครม.แล้วจำนวน 18 โครงการ รวมมูลค่าลงทุน 738,885 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นโครงข่ายคมนาคมการขนส่ง ครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่างจังหวัด และเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถ้าได้รับการอนุมัติแล้วจะดำเนินการเปิดประมูลก่อสร้างได้ทันที ทั้งเปิดประมูลทั่วไปและเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน PPP
ทยอยอนุมัติ พ.ย.-ม.ค. 62
ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน มี 7 โครงการ วงเงินรวม 230,442 ล้านบาท ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงิน 114,047 ล้านบาท ศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) วงเงิน 10,588 ล้านบาท มอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ วงเงิน 79,006 ล้านบาท ศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม วงเงิน 1,200 ล้านบาท ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย วงเงิน 1,360 ล้านบาท
รถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,570 ล้านบาท สายสีแดงอ่อนช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เงินลงทุน 7,469 ล้านบาท และช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 10,202 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดสภาพัฒน์) ได้เห็นชอบโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
ช่วงเดือนธันวาคม มี 6 โครงการ เงินลงทุนรวม 204,258 ล้านบาท มีรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 4 เส้นทาง ช่วงจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 37,523 ล้านบาท ช่วงขอนแก่น-หนองคาย เงินลงทุน 26,654 ล้านบาท ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เงินลงทุน 8,116 ล้านบาท และช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม เงินลงทุน 67,965 ล้านบาท ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ วงเงิน 42,000 ล้านบาท และก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 3 วงเงิน 22,000 ล้านบาท
อีก 5 โครงการที่เหลือจะเสนอ ครม.ภายในเดือนมกราคม 2562 รวมเงินลงทุน 304,185 ล้านบาท เป็นโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 4 เส้นทาง คือ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย วงเงิน 62,614 ล้านบาท ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 24,287 ล้านบาท ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 57,369 ล้านบาท และช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 59,915 ล้านบาท และโครงการจัดซื้อเครื่องบิน 23 ลำ ของ บมจ.การบินไทย วงเงินกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามความเห็นของ สศช. (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
จ่อประมูล 5 แสนล้าน
นายชัยวัฒน์ย้ำว่า กำลังเร่งรัดการเปิดประมูลโครงการที่ ครม.อนุมัติไปแล้ว 5 โครงการ รวมมูลค่า 519,505 ล้านบาท ให้ได้ตามแผนที่กล่าวไป ซึ่งจะมีการยื่นซองในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP net cost สัมปทาน 50 ปี ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี และบริหารโครงการ 45 ปี
ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ 2562 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะเปิดประมูลทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกตะวันตก วงเงิน 31,244 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 128,235 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายเอกสารได้ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
เดือนมกราคม-มีนาคม 2562 มีรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง เงินลงทุนรวม 50,137 ล้านบาท และรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 85,345 ล้านบาท
คลอดงานด่วนปี”62
นอกจาก “เร่งงานเก่า” ที่ค้างคา ล่าสุด คมนาคมเตรียมทำคลอด “แผนปฏิบัติการเร่งด่วน” หรือ action plan ในปี 2562 ด้วย
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า เพื่อเร่งขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กำลังคัดเลือกโครงการลงทุนเร่งด่วนที่เป็นโครงการใหม่ เพื่อขออนุมัติ จะเริ่มได้ภายในปี 2562 ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท และพร้อมในการดำเนินการทั้งหมดตามขั้นตอนแล้ว นั่นคือได้ศึกษาเรื่องความเหมาะสม การออกแบบรายละเอียด การได้รับอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ในเบื้องต้นจะมีประมาณ 43 โครงการ เป็นโครงการในแผนเร่งด่วนปี 2561 ที่ยังไม่ได้รับอนุมัติและมีโครงการใหม่ 12 โครงการ ที่ สนข.ทำเสร็จแล้ว
โดยกระทรวงคมนาคมจะตรวจสอบความคืบหน้าในโครงการต่าง ๆ พร้อมแจ้งไปยังหน่วยงานเจ้าของโครงการที่เกี่ยวข้อง
ก่อนจะรายงานบอร์ด สศช. และเสนอ ครม.ไฟเขียว คาดว่าจะมีผลบังคับทันที ภายในเดือนมกราคมปีหน้า
ขอบคุณที่มา prachachat.net
ปรับFARเกิน10เท่า
เอื้อคนรายได้ปานกลางซื้อคอนโดฯในเมือง
กูรูอสังหาฯ เห็นพ้องปรับ FAR สูงสอดคล้องราคาที่ดิน ปัจจัยสำคัญหนุนให้คนรายได้ปานกลางและรายได้น้อย สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเมืองได้ พร้อมพัฒนาศูนย์ชุมชนกระจายหลายพื้นที่
วันนี้กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความเจริญอย่างมากนับแต่มีรถไฟฟ้าเข้ามา สิ่งที่ตามมาคือราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯค่อนข้างแพง ตามราคาที่ดินที่ขยับตัวเพิ่มขึ้น ในอดีตคอนโด มิเนียมขายราคาต่อตารางเมตรไม่กี่หมื่นบาท หรือยูนิตละ 2-3 แสนบาท แถมขนาดห้องขนาดใหญ่กว่าเริ่มต้นที่ 26 ตารางเมตร ปัจจุบันราคาขายคอนโด มิเนียมปรับราคาเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด กลายเป็นราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 1-3 แสนบาทต่อตารางเมตร แล้วแต่ทำเล
ขณะที่ราคาขายคอนโด มิเนียมเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด สวนทางรายได้ของผู้ซื้อที่ไล่ตามไม่ทัน จนกลุ่มรายได้ปานกลางและรายได้น้อย ซึ่งเป็นผู้ซื้อกลุ่มใหญ่ต้องออกไปซื้อที่อยู่อาศัยย่านชานเมืองหรือปริมณฑลเรื่องนี้เป็นประเด็นที่วงเสวนาในงานสัมมนา “ผังเมืองใหม่ เมกะโปรเจ็กต์ พลิกโฉม กทม.” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอย่างกว้างขวาง
โดยนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวถึงปัจจัยที่ผลักดันให้คนรายได้ปานกลางและรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในเมืองได้เพราะผังเมืองกรุงเทพฯ ไม่มีการจัดโซนหรือกำหนดศูนย์กลางชุมชน ต่างจากประเทศที่เจริญแล้ว ได้กำหนดให้มีศูนย์กลางชุมชน โดยให้ดีเวลอปเปอร์ที่สนใจจะพัฒนาโครงการในชุมชน ต้องบรรจุเรื่องนี้ลงไป เช่น ที่ออสเตรเลีย มีการกำหนดให้มีทาวน์เซ็นเตอร์ ถ้าดีเวลอปเปอร์จะพัฒนาโครงการศูนย์การค้า ก็ต้องมีสถานออกกำลังกายสาธารณะ หรือสิ่งอื่นๆ ซึ่งการกำหนดโซนช่วยให้รัฐบาลประหยัดเวลาและงบประมาณในการพัฒนาเมือง
การมีศูนย์กลางชุมชนหรือทาวน์เซ็นเตอร์ กระจายหลายๆพื้นที่ ยิ่งดีคนจะได้ไม่ต้องเดินทางไกล ทั้งคนทำงานและนักเรียนนักศึกษา ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
นอกจากนี้ ควรมีการปรับ เอฟเออาร์ (FAR) ให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ดิน ปัจจุบันที่ดินในกรุงเทพฯ บางทำเลล่าสุดซื้อขายตารางวาละ 3 ล้านบาท ถ้าเอฟเออาร์ 10 เท่า สุดท้ายราคาขายต่อตารางเมตรจะเป็นเท่าไร ทุกวันนี้คอนโดมิเนียมราคาขายต่อตารางเมตรต่ำกว่า 1 แสนบาท เริ่มหายาก ถ้าดีเวลอปเปอร์ทำคอนโดฯราคาต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร คนจะเกิดความสงสัยว่าของไม่ดีหรือไม่ ดังนั้น ราคา 1 แสนบาทต่อตารางเมตรกลายเป็นเรื่องปกติของตลาดไปแล้ว
“เมื่อประมาณปีกว่าๆ ผมไปดูงานคอนโดมิเนียมที่มิวนิก ประเทศเยอรมนี เทียบกับในกรุงเทพฯ วันนี้คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ราคาขายต่อตารางเมตร เท่ากับที่มิวนิก แต่รายได้ของคนไทยต่างจากคนเยอรมัน ก็ไม่รู้ว่าคนไทยจะซื้อได้อีกนานแค่ไหน ฉะนั้นต้องปรับเอฟเออาร์ เพื่อให้มีพื้นที่ก่อสร้างเพิ่ม และคนรายได้น้อยและปานกลางไม่ถูกไล่ให้ไปอยู่สุดขอบปริมณฑล”
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวเสริมว่า วันนี้ราคาขายคอนโดมิเนียม ในกรุงโซล เกาหลี ขนาด 2 ห้องนอน 80 ตารางเมตร ราคา 100 ล้านบาท เฉพาะปีนี้ปรับขึ้นมา 30% โดยที่ประชากรในกรุงโซลมีประมาณ 10 ล้านคน ใกล้เคียงกรุงเทพฯ แต่พื้นที่กรุงโซลเล็กกว่า อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาคอนโดมิเนียมของเราก็อาจจะถึง 1 ล้านบาทต่อตารางเมตรได้ เพราะราคาที่ดินแพงไม่หยุด ขณะที่พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็ยังไม่ประกาศใช้
ส่วนนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยฯ กล่าวว่า การกำหนดโซนศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่มีประโยชน์ เพราะจะเป็นแนวทางในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เอกชนก็ต้องลงไปพัฒนา ซึ่งไม่ง่ายในการจะไปตัดถนน ซอกซอยให้เกิดขึ้นการพัฒนาเป็นโซนพาณิชย์ เพราะการกำหนดโซนใหม่ยังเป็นไปตามแนวรถไฟฟ้าควบคู่ไปกับพื้นที่ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ อย่างที่สยาม จะเห็นว่า ตามซอยเล็กๆ มีร้านค้าเกิดขึ้นมากมาย ซึ่ง กทม.จะต้องไปทำเพิ่มในการตัดถนน เปิดพื้นที่ให้เกิดการพัฒนา
นอกจากนั้น ผังเมืองฉบับใหม่ยังให้สิทธิประโยชน์ในการพัฒนาด้วยการเปลี่ยนสีโซน แต่ไม่ได้ช่วยให้เกิดการพัฒนา อย่างเช่น บางพื้นที่เปลี่ยนจากสีเหลือง เป็นส้ม หรือจากส้มเป็นน้ำตาล ซึ่งจะทำให้ FAR เพิ่ม แต่ในบางพื้นที่ไม่ได้ติดถนน ไม่ได้ติดแนว รถไฟฟ้า จึงไม่ใช่พื้นที่ของการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวสูงประเภทคอนโดมิเนียม ส่วนใหญ่ ยังเป็นแนวราบ ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร
อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนสีชัดเจน อย่างพุทธมณฑล จากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล จะทำให้เกิดการพัฒนาบ้านขนาดเล็กทาวเฮาส์ จะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นชัดเจนกว่า จึงเป็นพื้นที่ที่สามารถนำมาพัฒนา หรือซื้อเพื่อเก็งกำไรได้ ทำให้เปิดโอกาสในการพัฒนาที่ดินมากขึ้น แต่ไม่น่าจะเกิดประโยชน์กับนักลงทุนรายย่อยนัก น่าจะสนับสนุนนักลงทุนรายใหญ่หรือการรถไฟฯที่มีพื้นที่แปลงใหญ่หลายแห่งที่สามารถนำมาพัฒนาได้ ซึ่งจะเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเมืองขนาดย่อม
“เรื่องสิทธิประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงโซนนิ่ง ถ้ามองในการพัฒนา ยังไม่มีประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ อย่าง เอฟเออาร์ 1 ต่อ 7 เป็น 1 ต่อ 7.5 หรือ 1 ต่อ 8 ไม่ได้ทำให้ต้นทุนพัฒนาลดลง อย่างเป็นนัยสำคัญหรือทำให้ราคาคอนโดมิเนียมถูกลง เพราะต้นทุนพัฒนาเพิ่ม จากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น ซึ่งต้นทุนที่ดินอยู่ที่ 30-35% ของโครงการ ดังนั้นควรให้ FAR เพิ่ม เป็น 1 ต่อ 7.5 หรือ 8 ไม่ได้ทำให้ต้นทุนเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นนัยสำคัญ ที่จะทำให้ราคาคอนโดฯ ถูกลงควรเพิ่มเป็น 1 ต่อ 12 และไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวที่ราคาที่อยู่อาศัยสูงกว่าราคาอาคารสำนักงาน”
ขอบคุณที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
พรุ่งนี้ได้ใช้! รถโดยสารรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมืองโฉมใหม่
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) นำรถโดยสารรุ่นใหม่ให้บริการผู้โดยสารเปลี่ยนถ่ายสายการบินระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) และท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) (Airport Bus Link) เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารที่ใช้บริการทั้ง 2 ท่าอากาศยาน โดยไม่คิดค่าบริการ รถรุ่นใหม่นี้ เป็นรถแบบ Low Floor ขนาด 23 ที่นั่ง ภายในโอ่อ่ากว้างขวาง มีที่วางสัมภาระโดยเฉพาะ รวมทั้งมีอุปกรณ์และระบบควบคุมการเดินรถที่ทันสมัย ปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ผู้โดยสารที่ประสงค์จะใช้บริการจะต้องนำตั๋วโดยสารแสดงแก่เจ้าหน้าที่ ณ เคาน์เตอร์ให้บริการ โดย ทสภ. สามารถขึ้นรถได้ที่ หน้าชานชาลา ชั้น 2 บริเวณประตู 3 และ ทดม. ขึ้นรถได้ที่โถงผู้โดยสารขาเข้า อาคาร 1 บริเวณประตู 6 ระหว่างเวลา 05.00-24.00 น.
ขอบคุณที่มา prachachat.net
นักวิทย์ชี้ ใช้ส้วมสาธารณะอย่าเอา “กระดาษทิชชู” มารองนั่ง สกปรกกว่าเดิม!
เดอะซัน รายงานว่า การใช้ห้องน้ำสาธารณะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากหลีกเลี่ยง เนื่องจากกลิ่นและความสกปรก คนส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกโดยใช้ กระดาษทิชชู มาวางบนที่รองนั่งของชักโครก แต่ผลวิจัยล่าสุดกลับพบว่า การกระทำดังกล่าวกลับทำให้สัมผัสกับเชื้อโรคมากกว่าเดิม
ฟิลลิป เทียร์โน ศาสตราจารย์คลินิกในภาควิชาจุลชีววิทยาและพยาธิวิทยา ของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า “ความจริงแล้วที่รองนั่งชักโครกสะอาดกว่าอ่างล้างจานในครัวด้วยซ้ำ” เนื่องจากที่รองนั่งชักโครกถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันเชื้อโรค ด้วยรูปร่างและพื้นผิวที่เรียบลื่น อีกทั้งแบคทีเรียชนิดที่พบบนที่รองนั่งมักจะเป็นแบคทีเรียที่ตายอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกัน กระดาษทิชชูมีพื้นผิวที่หยาบและถูกออกแบบมาเพื่อดูดซึม จึงทำให้มีแบคทีเรียจำนวนมากอาศัยอยู่ งานวิจัย แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่มีการกดชักโครก แบคทีเรียจะกระจายตัวอยู่ในอากาศ และไปติดอยู่ที่กระดาษทิชชูได้ การนำกระดาษทิชชูไปวางฝารองนั่งจึงทำให้เราสัมผัสเชื้อโรคมากกว่าเดิม
สิ่งที่ควรทำเมื่อใช้ห้องน้ำเสร็จคือการล้างมือและถูสบู่โดยใช้เวลาในการล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที
ขอบคุณที่มา prachachat.net
ผลลัพธ์ที่ดี เริ่มจากทัศนคติที่ดี
ทัศนคติเปรียบเหมือนแว่นตาที่คุณสวมใส่ไว้มองโลกรอบตัว เป็นรากฐานของทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวในชีวิต มันสามารถสร้างและทำลายคุณได้ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ทัศนคติจะเป็นสิ่งที่คอยควบคุมทิศทางชีวิตของคุณ แต่ข่าวดีก็คือ คุณเองนั่นแหละ “คือผู้ที่ควบคุมทัศนคติของตนเอง”
ทัศนคติคือตัวกำหนดความรู้สึกของคุณ ที่มีต่อคนและสถานการณ์รอบข้าง เป็นเหตุให้คุณกระทำในสิ่งที่ต่างกันออกไป ซึ่งแน่นอน ว่าย่อมจะได้รับปฏิกิริยาตอบกลับมาจากคนรอบข้างด้วย ทัศนคติที่คุณมีต่อสิ่งรอบตัวเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะถูกมองด้วยทัศนคติแบบไหนตอบแทน ดังนั้นจงคิดบวกเข้าไว้ แล้วคุณก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกลับคืนมา และในทางกลับกัน แค่คุณคิดลบก็ทำให้คุณล้มเหลวก่อนจะเริ่มลงมือทำเสียด้วยซ้ำ สรุปง่ายๆ ก็คือ คิดเช่นไรก็จะได้รับผลตามมาเช่นนั้นนั่นเอง
ทัศนคติเชิงลบมาจากไหน?
ทัศนคติเชิงลบเกิดจากการที่เรามีความคิดลบอยู่บ่อยครั้ง จนมันเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึก กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเรา และติดเป็นนิสัยถาวร คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คุณมีทัศนคติเชิงลบเพราะมันอยู่กับคุณมาโดยตลอดเป็นระยะเวลานาน การมีทัศนคติเชิงลบจะกระตุ้นให้คุณคาดหวังแต่ความล้มเหลวและภัยพิบัติในชีวิต และความคาดหวังดังกล่าวนี่แหละที่ดึงดูดความล้มเหลวและภัยพิบัติเข้ามา จนคุณไม่อาจหนีพ้น
มันจะกลายเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น คุณคิดถึงแต่สิ่งแย่ๆ – ทำให้ได้รับแต่สิ่งแย่ๆ ซึ่งนั่นก็ยิ่งไปเสริมความคิดลบที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้คุณยังคงคิดถึงแต่สิ่งแย่ๆ และได้รับแต่สิ่งแย่ๆ ต่อไปอีก แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงความคิดและสร้างทัศนคติเชิงบวกได้อย่างไร?
แล้วเราจะแก้มันได้ยังไง?
ไม่มีสิ่งมีค่าใดจะได้มาง่ายๆ โดยปราศจากความพยายาม คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจนถึงจิตใต้สำนึกเพื่อจะสร้างทัศนคติใหม่ ทำอย่างไรน่ะหรือ? วิธีการก็คือ ให้คุณวิเคราะห์ความคิดทุกอย่างที่คุณมี ค่อยๆ แยกเอาความคิดในแง่บวกออกมา จนการคิดบวกกลายเป็นนิสัยติดตัวของคุณ มันคือการแทนที่นิสัยเก่า ด้วยนิสัยใหม่ที่ดีกว่าเดิม เหมือนกับการเลิกสูบบุหรี่ ด้วยการออกกำลังกายนั่นเอง คุณไม่สามารถเลิกคิดในแง่ลบได้ในทันทีทันใดหรอก แต่จะต้องค่อยๆ แทนที่ความคิดเหล่านั้นด้วยความคิดบวก
หลายคนอาจแย้งว่า “อ้าว แต่สถานการณ์แย่ๆ มันคือความเป็นจริงที่เราต้องเจออยู่ทุกวันนิ”
ถ้าคุณคิดเช่นนั้น คุณคิดผิด จริงอยู่ที่สถานการณ์ต่างๆ คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต แต่ตัวชี้วัดสถานการณ์เหล่านั้นคือทัศนคติของคุณต่างหาก ชีวิตจะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณคิดกับมันอย่างไร?
ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะรู้ว่า คุณมีพลังในการควบคุมความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ไม่มีใครในโลก ที่จะมาควบคุมความคิดของคุณได้ นอกจากว่าคุณปล่อยให้เขามามีอิทธิพลเหนือคุณ
จงออกแบบทัศนคติและความคิดด้วยตนเอง แล้วผลลัพธ์ที่ตามมาก็ย่อมจะเป็นไปดังที่คุณปรารถนาเช่นกัน
ขอบคุณที่มา sumrej.com
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 19,100.00 | 19,000.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,600.00 | 18,661.96 | 1,231.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,344.16 | 1,276.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,795.76 | 1,107.90 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,929.57 | 984.80 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,398.64 | 554.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,533.96 | 431.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 | 29.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 | 29.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 | – | 26.84 | 26.84 | 26.84 | 26.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.14 | 21.14 | – | – | – | – | – | 21.14 | 21.14 | – |
เบนซิน 95 | 36.96 | – | – | – | 37.41 | – | 37.46 | 37.26 | 37.06 | 37.26 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.73 | 15.73 | – | – | – | – | – | – | – | – |