สันทราย-หางดง ทำเลน่าห่วง สต็อกบ้านเหลือขายมากสุดในเชียงใหม่
REIC แนะผู้ประกอบการอสังหาฯจังหวัดเชียงใหม่ลงทุนอย่างระมัดระวัง หลังสินค้าขายดีกลุ่ม 2-5 ล้าน ยังมีสต็อกเหลือขายจำนวนมาก สูงสุดในทำเล สันทราย – หางดงตอนบน
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคเหนือมีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยในจังหวัดเชียงใหม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยมาก ส่งผลให้มีโครงการอยู่ระหว่างการขายรวมทั้งสิ้น 221 โครงการ รวม 11,465 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 42,820 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ 7 แบ่งเป็นอาคารชุด 2,582 หน่วย และบ้านจัดสรร 8,883 หน่วย
เมื่อพิจารณาจากหน่วยขายได้ใหม่จากการสำรวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 2,316 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ 13.3 แต่ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ -11.8 ในจำนวนดังกล่าวเป็นการขายห้องชุด 647 หน่วย และเป็นบ้านจัดสรร 1,669 หน่วย และมีหน่วยเหลือขายจำนวน 9,149 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ 5.5 มูลค่ารวม 35,426 ล้านบาท โดยมีหน่วยเหลือขายประเภทโครงการอาคารชุดจำนวน 1,935 หน่วย บ้านจัดสรรจำนวน 7,214 หน่วย
โดยทำเลขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก โดยพิจารณาจากหน่วยที่ขายได้ใหม่ ได้แก่ 1.ทำเลสารภี จำนวน 560 หน่วย 2.ทำเลหางดงตอนบน จำนวน 536 หน่วย 3.ทำเลแม่โจ้ จำนวน 229 หน่วย 4.ทำเลสันทราย จำนวน 208 หน่วย และ 5.ทำเลสันกำแพง จำนวน 187 หน่วย โดยทำเลอันดับ 1 และ 2 มีอัตราดูดซับในระดับสูงคือร้อยละ 6.9 และร้อยละ 6.7 ตามลำดับ
สำหรับทำเลที่มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ทำเลสันทราย จำนวน 448 หน่วย 2.ทำเลหางดงตอนบน จำนวน 430 หน่วย 3. ทำเล ม.พายัพ จำนวน 426 หน่วย 4.ทำเลแม่โจ้ จำนวน 317 หน่วย และ 5.ทำเล หางดงตอนล่าง จำนวน 190 หน่วย
“จากการสำรวจจะพบว่าที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ ตลาดหลักยังคงเป็นอาคารชุดพักอาศัย บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ เป็นหลัก ซึ่งทำเลสารภี และ หางดง มีอัตราดูดซับที่สูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีสินค้าใหม่เข้ามาในตลาดน้อยมาก และกลุ่มราคาที่ขายได้ดี จะอยู่ใน 2 กลุ่มระดับราคา คือ 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท แต่กลุ่มระดับราคาดังกล่าวก็เป็นกลุ่มที่มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายอยู่จำนวนมากที่สุดเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการทำการตลาด”
อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลฯได้ประมาณการว่าในปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อยู่ในตลาดจำนวน 9,343 หน่วย ประกอบด้วยอาคารชุดจำนวน 2,050 หน่วย บ้านเดี่ยวจำนวน 4,321 หน่วยทาวน์เฮ้าส์จำนวน 1,814 หน่วย บ้านแฝดจำนวน 1,025 หน่วย และอาคารพาณิชย์จำนวน 133 หน่วย ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดูดซับที่ขยับขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ในครึ่งหลังปี 2562 หากจำนวนที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดตามที่ศูนย์ข้อมูลประมาณการไว้ ภายใต้เงื่อนไขกำลังซื้อที่ลดต่ำลงเช่นในปัจจุบัน คาดว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะเหลือประมาณสูงสุดไม่เกินร้อยละ 1.6
ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดการณ์ว่า การโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงมาอยู่ที่ 12,156 หน่วย มูลค่าประมาณ 23,141 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งมีมูลค่า 26,817 ล้านบาท โดยมูลค่าลดลงร้อยละ -14.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจาก 2561 ด้วยภาพรวมดังกล่าวผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การเสนอขาย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว และอาคารชุดพักอาศัยที่มีอัตราการดูดซับชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงต้นปี 2562 และคาดว่าจะต่อเนื่องมาถึงปี 2563
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
อสังหาฯ กระหน่ำจัดโปรโมชั่น “เวลาทองของผู้บริโภค”
ดิ เอเจ้นท์ กูรูอสังหาฯ ชี้ช่วงเวลาทองของผู้บริโภค แนะซื้ออสังหาฯพร้อมอยู่ ได้ประโยชน์จากการอยู่ฟรี ดอกเบี้ยต่ำ และผลตอบแทนสูง
นายอัณณพ วงศ์ชุมพิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหาร บริษัท ดิ เอเจ้นท์ (พร็อพเพอร์ตี้ เอ๊กซ์เพิร์ท) จำกัด บริษัทในเครือบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ฉุดสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกให้ซบเซาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยก็ได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการรัฐที่ออกมาคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ทั้งมาตรการ LTV และ DSR เป็นตัวคัดกรองให้กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการซื้อเหลือจำนวนลดลง ในขณะที่สินค้าประเภทพร้อมเข้าอยู่ในตลาดมีจำนวนสูงขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 6-10% ต่อปี
ทำให้ช่วงนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายออกมาจัดโปรโมชั่นพิเศษ รวมถึงการลดราคาที่อยู่อาศัยไม่ว่าเป็นคอนโดมิเนียมหรือแนวราบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อในตลาดที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งทำให้ช่วงเวลานี้เป็นGolden Time หรือ โอกาสทองของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุน เนื่องจากมีโครงการพร้อมอยู่ให้เลือกมากมายหลายทำเล โดยสามารถเข้าดูห้องจริง วิวจริงได้ในราคาพิเศษที่ถูกลงจากราคาตลาดปกติ และมีการเตรียมใช้เงินต้นในการซื้อน้อย
รวมถึงขณะนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ยังลดลงทำให้ต้นทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลงไปด้วย พร้อมโปรโมชั่นต่างๆ จากผู้ประกอบการ อาทิ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จัดแคมเปญพิเศษ ฟรีเงินโอน ฟรีค่าส่วนกลาง แถมเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการช่วยผ่อนแบงค์ให้ใน 2 ปีแรกอีกด้วย ถือว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้ออสังหาฯ เหมาะทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และการลงทุนด้วยข้อเสนอที่อนันดาฯ เข้าใจลูกค้าในสถานการณ์แบบนี้ ให้สามารถเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้นกับโปรอยู่ฟรีสูงถึง 2 ปี
จากการสำรวจสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้า คือ ทำเล เพราะทำเลที่ดียังมีดีมานด์ต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ทำเลใกล้สถานศึกษา ย่อมนำมาซึ่งจำนวนดีมานด์ที่มีความต้องการซื้อ และความต้องการเช่าจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของผลตอบแทนจากการซื้อขาย หรือปล่อยเช่าในอนาคต อาทิ โครงการของอนันดาฯ เพื่อลงทุนปล่อยเช่าในช่วงเวลาที่ได้ราคาพิเศษช่วงนี้ มีโอกาสได้รับ rental yield สูง เฉลี่ยประมาณ 5-7%
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ส่องไม้เด็ดรัฐบาลยุโรป ไม่แจกเงิน แต่ทุกคนรอดจากโควิด
ช่วงที่ Covid-19 ระบาดทำให้บริษัทหลายแห่งทั่วโลกต้องหยุดดำเนินกิจการไปโดยปริยาย ส่งผลให้พนักงานหลายล้านคนเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง ถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปมีโครงการช่วยเหลือทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปลดพนักงานในช่วงวิกฤตนี้
เยอรมนีผุดโครงการทำงานระยะสั้น
โครงการนี้มีชื่อว่า Kurzarbeit หรือ short-time working ที่แปลว่า การทำงานระยะสั้น ที่อนุญาตให้นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ลดชั่วโมงการทำงานของลูกจ้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ห้ามไล่พนักงานออก
ขณะที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณช่วยบริษัทเหล่านี้จ่ายเงินเดือนให้พนักงาน 60% ของเงินเดือนปกติก่อนเกิด Covid-19 และ 67% สำหรับรายที่มีบุตร เพื่อชดเชยรายได้ที่ลูกจ้างขาดหายไป
วิธีนี้ถือเป็นการช่วยทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และเศรษฐกิจของประเทศ ในมุมของนายจ้างคือยังสามารถรักษาแรงงานที่มีฝีมือไว้โดยที่ไม่ต้องแบกรับภาระมากเกินไปในช่วงที่เศรษฐกิจชะงัก เพราะวัฒนธรรมของธุรกิจเยอรมันมองว่าพนักงานคือการลงทุน
ส่วนลูกจ้างก็ยังมีเงินจับจ่ายใช้สอย เป็นการช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไปในตัว
รัฐบาลคาดว่าชาวเยอรมันจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ราว 2.35 ล้านคน ซึ่งต้องใช้งบประมาณอย่างน้อย 10,000 ล้านยูโร หรือ 353,421 ล้านบาท ทว่าก็ไม่ใช่ภาระหนักของรัฐบาล เนื่องจากได้กันเงินส่วนนี้ไว้ราว 26,000 ล้านยูโร หรือ 919,014 ล้านบาท
โครงการนี้เคยใช้ได้ผลมาแล้วในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2009 หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ โดย อันเก้ เฮสเซล ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณะจากมหาวิทยาลัยแฮร์ที (Hertie School) ของเยอรมีเผยว่า โครงการนี้ทำให้เยอรมนีฟื้นตัวจากวิกฤตปี 2009 ได้เร็วกว่าประเทศอื่น
ในขณะนั้นเศรษฐกิจเยอรมันหดตัวถึง 5% โดยมีแรงงานตกงานราว 1.1 ล้านคน แต่ภายในช่วงสิ้นปีของปีเดียวกันหลังจากรัฐบาลนำโครงการ Kurzarbeit เข้ามาแก้ปัญหา ตัวเลขชาวเยอรมนันว่างงานอยู่ที่ 7.6% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขของปี 2008
ชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้ช่วยแก้ปัญหาคนตกงานได้ส่วนหนึ่ง
เดนมาร์กจ่ายชดเชยให้นายจ้างไม่ไล่ลูกจ้างออก
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์กยึดหลักว่า ต้องยอมเจ็บแล้วจบให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเสียหายหนักไปทั้งระบบ
เดนมาร์กจึงใช้วิธีแช่แข็งเศรษฐกิจไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน ด้วยการปิดทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ โรงภาพยนตร์ รวมทั้งห้ามรวมตัวกันเกิน 10 คน และปิดพรมแดนทั้งหมด เพื่อให้การแพร่ระบาดยุติเร็วที่สุด เมื่อควบคุมเชื้อโคโรนาไวรัสได้แล้ว จึงค่อยละลายน้ำแข็งโดยที่ทุกคนยังมีงานทำเหมือนเดิม
ระหว่างที่บริษัทเอกชนถูกแช่แข็งไว้ รัฐบาลจะรับผิดชอบจ่ายเงินชดเชยเงินเดือนของพนักงาน 75% หรือราว 3,288 เหรียญสหรัฐ หรือ 103,013 บาทต่อเดือนตราบใดที่บริษัทไม่ไล่พนักงานออก
จุดมุ่งหมายของโครงการชดเชยรายได้ก็คือ รัฐบาลต้องการให้บริษัทรักษาพนักงานของตัวเองไว้ เพื่อที่เมื่อถึงเวลาที่ธุรกิจกลับมาเดินหน้าอีกครั้งจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นรับสมัครพนักงานกันใหม่
ความแตกต่างระหว่างโครงการช่วยเหลือของรัฐบาลเยอรมนีกับเดนมาร์กก็คือ รัฐบาลเยอรมนีกับนายจ้างร่วมกันจ่ายเงินเดือนให้พนักงานมาทำงาน ส่วนรัฐบาลเดนมาร์กจ่ายเงินให้บริษัทนำไปจ่ายชดเชยให้กับพนักงานที่ต้องพักงานอยู่ที่บ้าน แต่ผลที่ได้เหมือนกันก็คือ การรักษาการจ้างงานเอาไว้
อังกฤษชดเชยเงินเดือนลูกจ้าง 80%
ด้านรัฐบาลอังกฤษก็ใช้นโยบายคล้ายกัน นั่นคือโครงการ Coronavirus Job Retention Scheme (โครงการรักษาตำแหน่งงานช่วงโคโรนาไวรัส) เพื่ออุดหนุนเงินให้ภาคธุรกิจนำมาจ่ายเงินเดือนพนักงานแทนการไล่ออกโดยเริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.นี้ โดยรัฐจะจ่าย 80% ของค่าจ้างรายเดือน แต่ไม่เกินเดือนละ 2,500 ปอนด์ หรือ 99,132 บาท
โครงการจ่ายเงินอุดหนุนภาคธุรกิจเพื่อไม่ให้มีการลอยแพพนักงานในช่วงวิกฤต covid-19 ของทั้งสามประเทศข้างต้น เป็นการช่วยเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เพราะเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ บริษัทต่างๆ ก็พร้อมกลับมาเดินหน้าต่อได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาฟื้นฟูหรือเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ทั้งยังทำให้ประเทศฟื้นตัวจากวิกฤตได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น
อย่างไรก็ดี วิธีการนี้อาจใช้ไม่ได้กับทุกประเทศ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล วิธีการนี้แม้แต่เดนมาร์กเองในช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ก็ยังไม่มั่นใจว่าควรทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่ออุ้มธุรกิจหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับวิกฤต Covid-19 ที่รัฐบาลเดนมาร์กมีงบประมาณเกินดุล จึงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่จะอัดฉีดพยุงเศรษฐกิจของประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“แมนยูฯ” ยกเลิกอุ่นแข้งด่วน หลังคู่แข่งตรวจพบเชื้อโควิด-19
“ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกเป็นข่าว ตัดสินใจยกเลิกเกมอุ่นแข้งกับสโต๊ก ซิตี้ แบบเร่งด่วน เนื่องจากกุนซือของทีมคู่แข่ง ตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนจะมีการฟาดแข้ง
วันที่ 10 มิ.ย. 63 เดอะ มิร์เรอร์ สื่อดังของอังกฤษ ตีข่าว “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยกเลิกการอุ่นเครื่องกับ “ช่างปั้นหม้อ” สโต๊ก ซิตี้ สโมสรในลีก เดอะ แชมเปียนชิพ ก่อนลงสนามเพียงไม่กี่อึดใจ หลัง ไมเคิล โอนีลล์ ผู้จัดการทีมสโต๊ก ถูกตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19
สำหรับ ปิศาจแดง ภายใต้การคุมทัพของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมก่อนกลับมาทำศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดรีสตาร์ต ที่จะเริ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้า โดยก่อนหน้านี้พวกเขาได้จัดอุ่นเครื่องแบบเจอกันเองในสนามโอลด์ แทรฟเฟิร์ด ไปแล้ว และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พวกเขาได้วางโปรแกรมอุ่นเครื่องกับ สโต๊ก ซิตี้
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า หลังจากที่บรรดานักเตะของสโต๊กขับรถยนต์ส่วนตัวมาถึงแคร์ริงตันในช่วง 10 โมงของวันอังคาร (ตามเวลาท้องถิ่น) เพื่อเตรียมฟาดแข้งกับ ปิศาจแดง เวลา 11.00 น. แต่ก่อนจะถึงเวลาลงสนามเพียงไม่กี่นาที ปิศาจแดงได้ยกเลิกการอุ่นเครื่องครั้งนี้ เนื่องจากกุนซือของสโต๊กผลตรวจเชื้อโควิด-19 ออกมาเป็นบวก จากนั้นนักเตะและทีมงานของสโต๊กก็ออกมาจากแคร์ริงตัน ศูนย์ฝึกซ้อมของปิศาจแดงทันที ส่วนปิศาจแดงก็ใช้วิธีอุ่นเครื่องกันเองเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะประเดิมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดรีสตาร์ต ด้วยการเปิดสนามโอลด์ แทรฟเฟิร์ด รับการมาเยือนของ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ในวันที่ 19 มิถุนายนนี้.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ย้ำมาตรการโรงหนัง-ฟิตเนส ป้องกันโควิด-19
กรมอนามัย ย้ำมาตรการ “โรงภาพยนตร์-ฟิตเนส” พร้อมขอร่วมความมือทุกคนทุกฝ่าย เพื่อความปลอดภัยจากโควิด-19 ยัน ไม่ห้ามทานป๊อปคอร์น เครื่องดื่ม แต่ขอให้สวมหน้ากากให้มากที่สุด
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงมาตรการของโรงภาพยนตร์ และสถานที่ออกกำลังกาย หรือฟิตเนส โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้ให้บริการ สถานประกอบการ และผู้รับบริการ ดังนี้
โรงภาพยนตร์
มาตรการหลัก
1. ทำความสะอาดพื้นผิวและกำจัดขยะทุกวัน
2. สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ
3. เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1 เมตร
4. จัดให้มีจุดล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์
5. ควบคุมจำนวนคน ลดความแออัด ลดเวลา
6. ควบคุมทางเข้าออกและลงทะเบียน
มาตรการเฉพาะ
1. การคัดกรองพนักงานและผู้ใช้บริการทุกครั้ง
2. ควบคุม/งดจัดกิจกรรม
3. จัดที่นั่งชมภาพยนตร์ หากมาคนเดียวก็จะไม่ให้คนอื่นมานั่งข้าง
4. จัดให้มีการระบายอากาศที่ดี
5. สถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
6. ประชาสัมพันธ์ ขั้นตอนการใช้บริการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19
7 . มีนวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการแพร่ระบาด เช่น การจองแบบออนไลน์
สถานที่ออกกำลังกาย หรือ ฟิตเนส
สำหรับผู้ประกอบการ
1. มาตรการคัดกรอง – มีจุดคัดกรองผู้เข้าใช้บริการ- มีจุดลงทะเบียน
2. มาตรการป้องกันโรค – พนักงานและเทรนเนอร์ ต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา – เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร ลดการใกล้ชิด- จำกัดผู้เข้าใช้บริการไม่ให้แออัด
3. มาตรการทำความสะอาด – ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกาย บริเวณที่นั่ง มือจับ และพื้นผิวที่เสี่ยงต่อการสัมผัส ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องสุขา อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
ผู้ใช้บริการ
1. ผ่านการคัดกรอง
2. ลงทะเบียนผ่าน “ไทยชนะ”
3. สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า แต่เมื่อออกกำลังกายสามารถถอดออกได้
4. ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก
5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร
ทั้งนี้ แพทย์หญิงพรรณพิมล ได้ขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัย ส่วนคำถามเรื่องการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรนั้น เน้นย้ำว่ายังต้องใช้หลักการสาธารณสุขในทุกกิจการ รวมถึงผู้ใช้บริการก็ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ ไม่สัมผัสหน้า ระวังพื้นผิวสัมผัสร่วม และเว้นระยะห่างระหว่างกัน
ขณะที่เรื่องการทานป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มไม่ได้ห้าม แต่หากทานเสร็จขอให้รีบสวมหน้ากาก และขอให้ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วย อย่างไรก็ตามหากทุกคนร่วมมือจนเกิดความมั่นใจ ก็จะนำไปสู่การค่อยๆ ผ่อนปรนตามลำดับในอนาคต
5 คำในภาษาอังกฤษแบบ Canadian พร้อมคำอธิบายและที่มา
สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษแล้วต้องรู้ว่าภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้มีแค่แบบฉบับเดียว นอกจากจะมีภาษาอังกฤษแบบชาวอังกฤษ (British English) แล้ว ยังมีภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียน (Australian English) แล้วก็ยังมีภาษาอังกฤษแบบแคนาเดี่ยน (Canadian English) ซึ่งแต่ละพวกก็จะมีลักษณะของการใช้คำและสำเนียงแตกต่างกันไป วันนี้ DailyEnglish จะมานำเสนอภาษาอังกฤษ 5 คำของชาวแคนาดาและที่มาของมันให้ได้รู้กันค่ะ
1. Toque
Toque (โทค) คือหมวกผ้าไม่มีขอบแบบที่ผู้หญิงชอบใส่กัน อันที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่ขาดกันไม่ได้เลยในช่วงหน้าหนาวของชาวแคนาดา ซึ่งแน่นอนว่าเจ้า touge นี้ก็ไม่ได้รับมาจากไหนไกล แต่มาจากภาษาฝรั่งเศสที่ใช้คำว่า “Tugue” นั่นเอง (เนื่องจากว่าในแคนาดามีบางส่วนที่พูดภาษาฝรังเศสเป็นภาษาแรกด้วย ไม่ใช่เพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบางทีในภาษาอังกฤษก็ยังคงรูปสะกดเดิมของภาษาฝรั่งเศสเอาไว้นะคะ
2. Poutine
Poutine (พูทีน) เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่งของแคนาดาที่เป็นเฟรนฟรายที่ราดด้วยลิ่มน้ำนมและน้ำเกรวี่ โดยเป็นอีกคำที่มีที่มาจากภาษาฝรั่งเศส แต่ว่า Dictionary of Canadianism on Historical Principle (DCHP) กลับอ้างว่าคำนี้จริง ๆ แล้วกลายมาจากคำว่า Pudding ในภาษาอังกฤษอีกที
อาหารอย่าง poutine ที่มีขายอยู่ในแคนาดาทุกวันนี้ค่อนข้างเป็นเมนูที่ใหม่ เพราะยังเรียกกันว่าเป็น “The new fast food snack” อยู่ เนื่องจากว่าจะมีอาหารที่เป็นเมนูเดิมของชาวอคาเดียนซึ่งเรียกกันว่า poutine râpée ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาหารนี่ก็มีลักษณะเป็นก้อนพุดดิ้งต้มใช้กับมันฝรั่งที่ห่อด้วยเนื้อ แต่ถึงอย่างนั้นนักภาษาศาสตร์ก็ยังพูดไม่ได้ว่า คำว่า poutine นั้นกลายมาจากเมนูนี้ด้วยหรือเปล่า
3. Canuck
Canuck (คานัค) คือ ชื่อเล่นของชาวแคนาดาที่ชาวต่างชาติเรียกกัน หรือไม่ก็เป็นคนแคนาดาด้วยกันที่ใช้เรียกชาวแคนาดาเชื้อสายฝรังเศสอีกที ซึ่งมีทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของมันหลายทฤษฎีด้วยกัน
ทฤษฎีแรกมาจาก Dictionary of Canadianism on Historical Principle เวอร์ชั่นล่าสุด อ้างว่ามันมาจากภาษาฮาวาย ฝีพายที่ทำงานอยู่บนเรือใหญ่จะเรียกตัวเองว่า “kanaka” (คานาคา) ซึ่งหมายถึง “men” ซึ่งคนเรือทางแถบอเมริกาเหนือ ก็เอามาใช้เรียกแทนพวกคนที่อาศัยอยู่แถบหมู่เกาะแปซิฟิก
หลังจากนั้นคนเรือทางแถบอเมริกาเหนือก็เลยเอาคำนี้ (kanaka) มาเรียกชาวต่างชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาวเยอรมัน ชาวดัชท์ แล้วก็ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศสด้วย (อาจจะเป็นคำเรียกที่หยาบคาย)
แต่จากนั้นก็มีการกร่อนเสียง (เป็น คา-นัค) และมันก็กลายมาเป็นคำที่ใช้กันในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเอามาเรียกชาวแคนาดา หรือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มาจากแคนาดา โดยเฉพาะทีมฮอคกี้
4. Bunny hug
Bunny hug (บันนี่ ฮัค) ก็คือสิ่งที่ชาวบ้านชาวช่องในประเทศอื่น ๆ เขาเรียกกันว่า “Hoodie” หรือว่าเสื้อกันหนาวที่มีฮู้ดและมีกระเป๋าใหญ่ข้างหน้า คำว่า bunny hug นี้มีการพูดถึงครั้งแรกในช่วงปี 1978 ซึ่ง Dictionary of Canadianism on Historical Principle เชื่อว่าเป็นคำของเหล่าวัยรุ่นในยุด 1980s นั่นเอง เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เสื้อฮู้ดกำลังเข้ามาโด่งดังในหมู่วัยรุ่นของแคนาดามาก
5. Eh
ความเชื่อที่ว่าคนแคนาดาชอบมีหางเสียงว่า ‘eh’ (เอ๋ย์) กันโดยชาวอังกฤษ (เจ้าของภาษาตามแบบฉบับ) แต่จริง ๆ แล้วหาเสียงแบบนี้คนในประเทศนิวซีแลนด์ก็ใช้เหมือนกัน แล้วก็ใช้เหมือนกันเลยด้วย ส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้ในแง่ที่เอาไว้ถามหาคำยืนยันหรือว่าการรับรู้ เช่น “It’s cold out, eh?’ เป็นต้น
จริง ๆ แล้วคำนี้ก็ไม่น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ความเป็นคนธรรมดาเท่าไหร่ แต่ว่าคนแคนาดานี่ชอบเชื้อในเรื่องคำเฉพาะของคนแคนาดา หรือว่าความเป็นคนแคนาดา หรือว่าสัญลักษณ์ของความเป็นแคนาดามาก ๆ หางเสียง “eh” ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของคนแคนาดาไปนั่นเอง
เห็นไหมคะว่า ภาษาอังกฤษเหล่านี้นั้นเป็นตัวบ่งบอกความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างภาษาอังกฤษด้วยกันเองได้มากมายเลยทีเดียว เพราะว่าการใช้ภาษาอังกฤษในแต่ละภูมิภาคนั้น ก็จะได้รับอิทธิพลทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างกันทำให้เกิดคำและบริบทต่าง ๆ กันขึ้นมาได้ เราในฐานะคนเรียนภาษาอังกฤษก็ควรจะเรียนรู้และแยกแยะออกให้ได้ด้วย เพราะบางทีก็จำเป็นมาก ๆ สำหรับการนำมาใช้และการสื่อสาร ส่วน DailyEnglish ก็พร้อมจะนำสาระดี ๆ แบบนี้มาเสิร์ฟให้ได้เสมอเลยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
เปิดรายละเอียด ภาษีอี-เซอร์วิส “แพลตฟอร์มดิจิทัล” ต่างประเทศ
เปิดรายละเอียด ร่างพ.ร.บ.แก้ไขประมวลรัษฎากร จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม อี-เซอร์วิส “แพลตฟอร์มดิจิทัล” จากต่างประเทศ
กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากรฯ จัดเก็บภาษีอี-เซอร์วิส เพื่อจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก แพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศ ที่ไม่มีบริษัทลูกในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศแก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในประเทศ หากผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศมีรายรับจากการให้บริการดังกล่าวเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับกรณีผู้ประกอบการต่างประเทศได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้รับบริการในประเทศไทยผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างประเทศ กำหนดให้รายได้ที่ได้รับจากการให้บริการนั้นเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มของดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งหากดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างประเทศมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้ เพื่อป็นการสนับสนุนให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เกิดความเหมาะสมและส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ
ครม.เห็นชอบ เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม “แพลตฟอร์มดิจิทัล” จากต่างประเทศ”
เปิดมติครม. เก็บภาษี อี-เซอร์วิส “แพลตฟอร์มดิจิทัล” ต่างประเทศ
กฎหมายจัดเก็บภาษี “อี-เซอร์วิส ฉบับนี้สาระสำคัญคือเป็นการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้ผู้ประกอบการที่ให้บริการ ทางอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับการใช้บริการในประเทศไทย โดยผู้ใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนี้
- แก้ไขเพิ่มเติมให้การดําเนินการเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออื่นใด ตามประมวลรัษฎากรสามารถดําเนินการด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
- แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคําว่า “สินค้า” และเพิ่มบทนิยามคําว่า “บริการทางอิเล็กทรอนิกส์” และคําว่า “อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม”
- แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศแก่ผู้ใช้ซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยคํานวณจากภาษีขายโดยไม่ให้หักภาษีซื้อ และกําหนดให้ผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์
- แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่ของผู้จ่ายเงินในการนําส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม และหน้าที่ ของผู้ประกอบการในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ จากต่างประเทศแก่ผู้ใช้ซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียน
- กําหนดให้การดําเนินการทางทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกระทําโดย กระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
- กําหนดห้ามมิให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ได้ให้บริการ ทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศออกใบกํากับภาษี
ขั้นตอนต่อไปหลังจาก ครม.มีมติแล้ว จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯต่อไป เพราะมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว คาดว่ากระทรวงการคลังจะจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีตัวอย่างประเทศที่ใช้กฎหมายฉบับนี้ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ซึ่งกรมสรรพากกรจะทำคู่มือให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใจในทุกขั้นตอน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เสม็ด สรรพคุณและประโยชน์ของต้นเสม็ดขาว 20 ข้อ !
เสม็ด
เสม็ด ชื่อสามัญ Cajuput tree, Milk wood, Paper bark tree, Swamp tree[1],[2],[3]
เสม็ด ชื่อวิทยาศาสตร์ Melaleuca quinquenervia (Cav.) S.T.Blake[1],[2], ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าเป็นชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melaleuca cajuputi Powell (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Melaleuca leucadendra var. minor (Sm.) Duthie)[4] โดยจัดอยู่ในวงศ์ชมพู่ (MYRTACEAE)[1]
สมุนไพรเสม็ด มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เสม็ดขาว (ภาคตะวันออก), เม็ด เหม็ด (ภาคใต้), กือแล (มลายู-ปัตตานี) เป็นต้น[1]
ลักษณะของต้นเสม็ด
- ต้นเสม็ด จัดเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัด มีความสูงของต้นประมาณ 5-25 เมตร มีเรือนยอดแคบเป็นพุ่มทรงสูง ลำต้นมักบิด เปลือกลำต้นเป็นสีขาวนวลจนถึงสีน้ำตาลเทา เปลือกเป็นแผ่นบาง ๆ เรียงซ้อนกันเป็นปึกหนานุ่ม ลอกออกได้เป็นแผ่น ๆ ส่วนเปลือกชั้นในบางและเป็นสีน้ำตาลอ่อน ตามยอดอ่อน ใบอ่อน และกิ่งอ่อนมีขนสีขาวเป็นมันคล้ายเส้นไหมขึ้นปกคุม และกิ่งมักห้อยลง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีมากในสภาพที่ลุ่มมีน้ำขัง มักพบได้ทั่วไปตามชายทะเล ป่าชายหากใกล้ทะเล ในที่ลุ่มมีน้ำขัง ตามขอบของป่าพรุที่ถูกไฟเผาผลาญทำลายจนโล่งเตียน ในประเทศไทยพบต้นเสม็ดขาวได้มากทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทางภาคใต้ ส่วนในต่างประเทศพบได้ที่พม่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย สามารถออกดอกและติดผลได้ตลอดทั้งปี[1],[2],[3],[8]
- ใบเสม็ด ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรือมนหรือเป็นรูปลิ้ม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนาและกรอบ เป็นสีเขียวอมเทา มีเส้นใบหลักประมาณ 5-7 เส้น ออกจากโคนใบจรดปลายใบ มีก้านใบยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ส่วนใบอ่อนมีขนคล้ายเส้นไหมขึ้นปกคลุม[1],[2],[3]
- ดอกเสม็ด ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด โดยจะออกตามซอกใบหรือใกล้กับปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีขาวและมีขนาดเล็ก ดอกประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบเลี้ยงดอกยาวประมาณ 0.3 เซนติเมตร โคนกลีบติดกัน ส่วนดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกยาวประมาณ 0.2-0.3 เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูปช้อนแกมรูปไข่ เกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีขาวและมีจำนวนมาก ก้านเกสรเพศผู้ยาวพ้นกลีบดอกเป็นพู่ ก้านชูช่อดอกมีขนสีขาว โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายนผล[1],[2],[3]
- ผลเสม็ด ผลเป็นผลแห้ง แตกออกได้เป็นพู 3 พู ลักษณะของผลเป็นรูปถ้วย ปลายปิด ขนาดเล็กและแป้น มีขนาดกว้างและยาวประมาณ 0.4 เซนติเมตร ผลแก่เป็นสีน้ำตาลอมเทาถึงสีคล้ำ ผลแห้งแตกด้านบน ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก[1],[2],[3]
สรรพคุณของเสม็ด
- ใบสดมีรสขมหอมร้อน ใช้นำมากลั่นเป็น “น้ำมันเขียว” ใช้รับประทานช่วยขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบ (น้ำมันเขียว-ใช้ภายใน)[1]
- น้ำมันที่สกัดได้จากใบใช้เป็นยาดมเพื่อรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ (น้ำมันเขียว)[7]
- น้ำมันเขียวใช้รับประทานเป็นยาขับลม แก้จุกเสียด ท้องอืด ท้องขึ้น ถ้ากินมากจะเป็นยาขับพยาธิ และมีฤทธิ์ทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร (น้ำมันเขียว-ใช้ภายใน)[1],[5],[6]
- ใช้ทำเป็นยาหม่องแก้ปวดศีรษะ ปวดหู และใช้อุดฟันแก้ปวดฟัน (น้ำมันเขียว-ใช้ภายนอก)[1],[6]
- ช่วยขับเหงื่อ (น้ำมันเขียว)[5]
- ช่วยแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อในกระเพาะลำไส้ (น้ำมันเขียว-ใช้ภายใน)[6]
- ช่วยแก้ลมชัก (น้ำมันเขียว)[5]
- น้ำมันเขียวใช้ภายนอกเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ใช้ฆ่าเชื้อโรค และช่วยรักษาสิว (น้ำมันเขียว-ใช้ภายนอก)[6]
- ใบและเปลือกเมื่อนำมาตำรวมกันใช้เป็นยาพอกแผลที่กลัดหนอง จะช่วยดูดหนองให้แห้งได้ หรือใช้ทาฆ่าเหา ฆ่าหมัด และไล่ยุงก็ได้ (ใบและเปลือก)[5]
- น้ำมันเขียวใช้เป็นยาทาแก้ปวดเมื่อย บวม ทาแก้เคล็ด รักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคปวดข้อรูมาติซั่ม (น้ำมันเขียว-ใช้ภายนอก)[1],[7] หรือจะใช้ใบสดตำพอกแก้เคล็ดขัดยอกฟกบวมเลยก็ได้ (ใบ)
- น้ำมันเขียวใช้ทาไล่ยุง ฆ่าหมัด ฆ่าเหา และฆ่าแมลง (น้ำมันเขียว-ใช้ภายนอก)[1],[6]
ประโยชน์ของเสม็ด
- ใบนำมาต้มกับน้ำดื่มแทนน้ำชา หรือนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น ควายและแพะ นอกจากนี้ชาวบ้านยังใช้ใบและยอดอ่อนเสม็ดนำมารับประทานเป็นผักอีกด้วย[6] ดอกและยอดอ่อนมีรสเผ็ดใช้รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกได้[7]
- ใบสดนำมาใช้กลั่นทำเป็นน้ำมันหอมระเหยได้ (ใช้เฉพาะยอดอ่อน ไม่ควรใช้ใบแก่เกินไป และต้องเก็บจากต้นที่อยู่บนดอน น้ำไม่ท่วมขัง[6]) ซึ่งจะมีกลิ่นคล้ายกับการบูร ที่เรียกว่า “น้ำมันเขียว” (Cajuput oil) หรือ “น้ำมันเสม็ด“[1],[5] และมีคุณสมบัติในทางยาคล้ายกับ Eucalyptus oil[3]
- น้ำมันเสม็ดสามารถใช้ไล่แมลงบางชนิดได้ เช่น ยุง เห็บ หมัด เหา ปลวก สัตว์ดูดเลือด เช่น ทาก ได้ดี และยังสามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มได้อีกหลายอย่าง เช่น สเปรย์ไล่ยุง สเปรย์ฆ่าปลวก สเปรย์ป้องกันทาก ธูปกันยังแชมพูสุนัข เป็นต้น[6],[8]
- มีงานวิจัยที่ระบุว่าน้ำมันเสม็ดสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดสิวได้ดี จึงสามารถนำไปสู่พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวได้ เช่น สบู่เหลวล้างหน้าป้องกันสิว เป็นต้น[8]
- ผลแห้งใช้ทำพริกไทยดำ[5]
- เนื้อไม้เสม็ดขาวมีความคงทนต่อสภาพที่เปียกชื้นและในน้ำเค็มได้ดี จึงสามารถนำมาใช้ทำเสาเข็ม สร้างบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำรั้ว และทำถ่านได้ดี ส่วนเปลือกต้นใช้มุงหลังคา ทำฝาบ้านชั่วคราว ใช้ทำหมันเรือ ใช้อุดรูรั่วของเรือ ทำประทุนเรือ ใช้ย้อมแหหรืออวน ใช้ห่อก้อนไต้สำหรับใช้จุดไฟ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวประมง[2],[3],[5],[6]
- นอกจากนี้ยังสามารถใช้น้ำต้มใบเสม็ดที่ได้จากการกลั่นน้ำมันหอมไปย้อมสีผ้าได้อีกด้วย โดยจะให้สีน้ำตาลอ่อนและช่วยทำให้ผ้าคงทนต่อการเข้าทำลายของแมลงที่กัดกินเนื้อผ้าได้ดี[8]
- ทุก ๆ ปีในช่วงหน้าแล้งยาวนาน หากมีฝนตกจนป่าเสม็ดชุ่มชื้น และมีแสงแดดจัดประมาณ 4-5 วัน ก็จะมี “เห็ดเสม็ด” งอกขึ้นมา (เรียกอีกอย่างว่า “เห็ดเหม็ด” เป็นเห็ดจำพวก Ectomycorrhiza และมีชื่อวิทยาศาสตร์ Boletus griseipurpureus Corner) โดยเป็นเห็ดมีรสค่อนข้างขม แต่ถือเป็นเห็ดยอดนิยมของชาวใต้เลยก็ว่าได้[7]
- นอกจากป่าเสม็ดจะเป็นแหล่งกระจายพันธุ์ของเห็ดเสม็ดแล้ว ป่าเสม็ดยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผึ้งและนกน้ำอีกด้วย และในเวียดนามจะใช้ป่าเสม็ดเป็นที่กักเก็บน้ำเพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำที่เป็นกรดให้มีความเป็นกรดลดลง ก่อนนำไปใช้ปลูกข้าว[8]
ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,300.00 | 25,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,639.00 | 24,847.24 | 25,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,475.10 | 22,362.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,311.20 | 19,877.79 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 738.00 | 11,188.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 574.00 | 8,701.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,698.00 | 25,741.68 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/06/2563
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 | 21.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 | 21.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.24 | 20.24 | 20.24 | 20.24 | 20.24 | – | 20.24 | 20.24 | 20.24 | 20.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 18.04 | 18.04 | – | – | – | – | – | 18.04 | – | – |
เบนซิน 95 | 29.16 | – | – | – | 29.61 | – | 29.66 | 29.16 | – | 29.16 |
ดีเซล | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 | 21.89 |
ดีเซล B10 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 | 18.89 |
ดีเซล B20 | 18.64 | 18.64 | 18.64 | 18.64 | 18.64 | – | 18.64 | 18.64 | – | 18.64 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 26.04 | 26.06 | 28.04 | 28.04 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |