สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2561

ประวัติศาสตร์รับเหมาไทย! “31 ขาใหญ่” โดดชิงเค้กรถไฟฟ้า 3 สนามบิน

รฟท.เผยรายชื่อบริษัทแห่ซื้อเอกสารการคัดเลือกเอกชน ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน พุ่งสูงถึง 31 ราย มีลุ้นจับขั้วพร้อมกำหนดยื่นข้อเสนอ 12 พย.นี้ เผยตัวเต็งมากันครบทีม

ฝ่ายประชาสัมพันธ์การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตามที่ได้มีการเปิดขายเอกสารการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน เป็นต้นมาจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 (วันนี้) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการขายเอกสาร รวมระยะเวลา 3 สัปดาห์ โดยมีเอกชนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เข้าซื้อเอกสารการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน จำนวน 31 ราย ประกอบไปด้วย

1. บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

2. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด (ประเทศไทย)

3. บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

4. บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

5. บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (ประเทศไทย)
6. ITOCHU Corporation (ประเทศญี่ปุ่น)

7. ซิโนไฮโดร คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด (ประเทศจีน)

8. บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

9. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จากประเทศไทย

10. บริษัท ฟูจิตะ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น)

11. China Railway Construction Corporation Limited (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

12. บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

13. บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

14. บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย) 15. CHINA RAILWAY GROUP LIMITED (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

16. China Communications Construction Company Limited (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

17. China Resources (Holdings) Company Limited (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

18. CITIC Group Corporation (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

19. Korea-Thai High-speed Railroad Consortium Inc. (ประเทศไทย)

20. บริษัท เทอดดำริ จำกัด (ประเทศไทย)

21. Salini Impregio S.p.A. (ประเทศอิตาลี)

22. บริษัท ฮิตาชิ เอเซีย (ประเทศไทย) จำกัด (ประเทศไทย)

23. TRANSDEV GROUP (ประเทศฝรั่งเศส) 24. SNCF INTERNATIONAL (ประเทศฝรั่งเศส)

25. Japan Overseas Infrastructure Investment Corporation for Transport & Urban Development (ประเทศญี่ปุ่น)

26. บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย)

27. บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (ประเทศไทย) 28. บจก. แอล เอ็ม ที สโตน (ประเทศไทย)

29. WANNASSER INTERNATIONAL GREEN HUB BERHAD (ประเทศมาเลเซีย)

30. บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด (สาธารณรัฐประชาชนจีน)

31. MRCB Builders SDN. BHD. (ประเทศมาเลเซีย)

ภายหลังจากการขายเอกสารเสร็จสิ้นแล้ว จะจัดให้มีการประชุมชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจ จำนวน 2 ครั้ง ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ณ สโมสรรถไฟชั้น 2 การรถไฟแห่งประเทศไทย เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ หลังจากนั้นจะนำผู้ยื่นข้อเสนอไปดูสถานที่ก่อสร้างของโครงการ (Site Visit) ในวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 และวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561

โดยเข้าดูพื้นที่ของโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงค์ มักกะสัน สถานีสุวรรณภูมิ และสถานีรายทาง , โครงการระบบรถไฟชานเมือง(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต สถานีกลางบางซื่อ โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ – พญาไท – มักกะสัน – หัวหมาก และเขตทางรถไฟ


ปัจจุบันตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ จากสถานีดอนเมืองไปตามเส้นทางรถไฟสายตะวันออก ผ่านสถานีมักกะสัน สถานีฉะเชิงเทรา สถานีพัทยา และสิ้นสุดที่บริเวณสถานีบ้านฉาง ทั้งนี้จะเปิดให้มีการส่งข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ หรือคำถามเกี่ยวกับเอกสารการคัดเลือกเอกชน และให้มีการตรวจสอบข้อมูลหรือรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ระหว่างวันที่ 10 กรกฎาคม – 9 ตุลาคม 2561 ณ ห้องประชุมฝ่ายโครงการพิเศษและก่องสร้างการรถไฟฯ ในเวลาราชการ

กำหนดการรับซองข้อเสนอ จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2561 เวลา 09.00 – 15.00 น. โดยผู้ยื่นข้อเสนอต้องยื่นหลักประกันซองพร้อมกับซองข้อเสนอ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และต้องชำระค่าธรรมเนียมการประเมินข้อเสนอให้แก่ รฟท. เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาท ที่สำนักงานโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงค์ มักกะสัน และผู้ที่ยื่นเสนอผ่านการประเมินข้อเสนอจะต้องวางหลักประกันสัญญาที่ออกโดยธนาคารให้กับการรถไฟฯ ในวันที่เข้าทำสัญญาร่วมทุนเป็นมูลค่า 4,500 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาร่วมลงทุนของเอกชนคู่สัญญา

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นโครงการที่ใช้โครงสร้างและแนวเส้นทางการเดินรถเดิมของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแอร์พอร์ตลิงค์ (Airport Rail Link) ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะก่อสร้างทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร (Standard Gauge) ส่วนต่อขยาย 2 ช่วงจากสถานีพญาไท ไปยังสนามบินดอนเมือง และจากสถานีลาดกระบัง ไปยังสนามบินอู่ตะเภา พร้อมเชื่อมเข้าออกสนามบิน

โดยใช้เขตทางเดิมของการรถไฟฯ เป็นส่วนใหญ่ รวมระยะทาง 220 กม. มีผู้เดินรถรายเดียวกัน ซึ่งรถไฟความเร็วสูงมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง (สำหรับช่วงการเดินทางระหว่างเมือง คือ สถานีสุวรรณภูมิ ถึง สถานีอู่ตะเภา) และความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง (สำหรับช่วงการเดินทางในเมือง คือ สถานีดอนเมือง ถึง สถานีสุวรรณภูมิ) ประกอบไปด้วยสถานีรถไฟความเร็วสูงจำนวน 9 สถานี ได้แก่ สถานีดอนเมือง สถานีบางซื่อ สถานีมักกะสัน สถานีสุวรรณภูมิ สถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา และสถานีอู่ตะเภา

โครงสร้างทางวิ่งของโครงการ ประกอบไปด้วย ทางวิ่งโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ปัจจุบัน (ARL) ระยะทางประมาณ 29 กิโลเมตร และทางวิ่งที่ต้องก่อสร้างใหม่ประมาณ 191 กิโลเมตร โดยเบื้องต้นจำแนกลักษณะรูปแบบโครงสร้างทางวิ่งทั้งโครงการเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) ทางวิ่งยกระดับระยะทางประมาณ 181 กิโลเมตร 2) ทางวิ่งระดับดินระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และ 3) ทางวิ่งใต้ดินระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร

การพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟในพื้นที่มักกะสันของ รฟท. ประมาณ 150 ไร่ ต้องเป็นการพัฒนาร่วมไปกับการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร รวมทั้งพื้นที่โดยรอบสถานีศรีราชา ประมาณ 25 ไร่ ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ร่วมกับโครงการได้ทันที

แนวเส้นทางโครงการผ่านพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.สมุทรปราการ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และจ.ระยอง ใช้แนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนทางรางของโครงการเดิมและมีการออกแบบใหม่เฉพาะบริเวณเชื่อมต่อเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ (ขาออก) และสนามบินอู่ตะเภา (ขาเข้า) โดยแนวเส้นทางโครงการประกอบด้วย 3 โครงการ คือ

1.โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (Suvarnabhumi Airport Link and City Air Terminal: ARL)

2.โครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนต่อขยาย ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ-พญาไท (ARL Extension)

3.โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพ-ระยอง

ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ (ก่อสร้างและให้บริการ) ให้เอกชนร่วมทุนฯ 50 ปี

https://www.terrabkk.com


ครม.ไฟเขียว “ภาษีลาภลอย” อสังหาฯเชิงพาณิชย์ เกิน 50 ล้าน รอบรัศมีไฮสปีด-ทางคู่

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ… หรือ ภาษีลาภลอย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งจุดประสงค์ของการจัดทำกฎหมายฉบับนี้เนื่องจากที่ผ่านมามีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แต่ผู้ที่มีที่ดินอยู่ดีดีมีโครงการรถไฟฟ้าผ่าน ทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น อยู่ดีดีได้รับประโยชน์จากการไม่ลงทุนอะไรเลย แต่รัฐไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน ดังนั้นร่างพ.ร.บ.นี้ต้องการสร้างความเป็นธรรมระหว่างผู้ได้รับประโยชน์กับรัฐที่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และรายได้จากภาษีตรงนี้ทำให้รัฐสามารถนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมได้

ส่วนสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ. โครงการที่อยู่ในข่ายจัดเก็บภาษี อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รถไฟทางคู่ สนามบิน ท่าเรือ ทางด่วน และโครงการที่กำหนดในกฎกระทรวง ส่วนผู้ที่เสียเสียภาษีเป็นบุคคลคนธรรมดาและนิติบุคคลที่ครอบครองที่ดิน มีห้องชุดมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท แบ่งช่วงเวลาเก็บภาษี 2 ช่วง 1.วันที่รัฐเริ่มโครงการจนแล้วเสร็จ จะเก็บภาษีตามรัศมี 5 กม. รอบโครงการ 2.เมื่อโครงการเสร็จจะเก็บจากที่มูลค่าที่ห้องชุดมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ ส่วนที่ดินที่เป็นที่พักอาศัยและเกษตรกรรมจะได้รับการยกเว้น รวมถึงอาคารชุดที่ยังไม่ได้จำหน่าย ทั้งนี้หากเป็นช่วงที่โครงการยังไม่เสร็จกรมที่ดินจะเป็นผู้เก็บภาษี เมื่อโครงการเสร็จแล้วองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)จะเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บแล้วส่งรายได้ให้กับแผ่นดิน
ส่วนการกำหนดเพดานการจัดเก็บจะไม่เกิน 5% ของฐานภาษี หรือส่วนต่างของมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นนับจากวันที่รัฐเริ่มก่อสร้างหรือนับจากวันที่พ.ร.บ.บังคับใช้ จากการประเมินราคาของโดยกรมธนารักษ์ ส่วนขั้นตอนของกฎหมายหลังครม.ให้ความเห็นชอบจะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจรายละเอียด และส่งเข้าพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ต่อไป โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่ากฎหมายจะออกมาบังคับใช้ได้เมื่อใด

http://www.bkkcitismart.com


พาณิชย์จ่อขยับเป้าส่งออกทะลุ

พาณิชย์จ่อขยับเป้าส่งออกทะลุ 8%

พาณิชย์เตรียมปรับเป้าส่งออกปี 2561 ชี้แนวโน้มมีโอกาสโตมากกว่า 8%  พร้อมจับตาปัจจัยเสี่ยงทั้งสงครามการค้า ค่าบาท และน้ำมัน           นายสุพพัต อ่องแสงคุณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่าในวันที่ 16 ก.ค. 2561 นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริม การค้าระหว่างประเทศ จะแถลงข่าวประเมินตัวเลขการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 โดยคาดจะมีการปรับเป้าหมายการส่งออกทั้งปี 2561 จากเดิมที่ตั้งเป้าทั้งปีเติบโตแล้ว 11.55%.

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกมีโอกาสขยายตัวมากกว่าเป้าหมาย 8% เนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่สำคัญมีสัญญาณการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัวดีเช่นกัน โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเป็นกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) สินค้าส่งออกที่สำคัญ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ความงาม สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่กรมยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเรื่องของสงครามการค้าสหรัฐและจีน  ได้ติดตามรายสินค้าและรายกลุ่มที่ถูกทั้งสหรัฐและจีนใช้มาตรการภาษีตอบโต้กัน ซึ่งในส่วนของกรมจะทำงานหนักในเรื่องของการรักษาฐานตลาดเดิมให้เอกชนยังคง สามารถส่งออกสินค้าไปได้และการหาตลาดใหม่ให้กับกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการสงครามการค้า เช่น เครื่องซักผ้า แผง โซลาร์เซลล์ เหล็กและอะลูมิเนียม รวมถึงการจับตาเรื่องค่าเงินบาทและราคาน้ำมันดิบ ที่มีแนวโน้มทรงตัวสูง อาจกระทบต่อต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการได้

https://www.posttoday.com


บาทเปิดตลาดเช้านี้อ่อนค่าที่ 33.23 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังมีความเสี่ยงจากตลาดมีโอกาสปิดรับความเสี่ยง บาทมีแนวโน้มอ่อนค่า1-2เดือนข้างหน้า

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 33.23บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าจากราคาปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 33.17 บาทต่อดอลลาร์

ในคืนที่ผ่านมาตลาดการเงินยังเปิดรับความเสี่ยง (risk on) แต่เริ่มมีความกังวลกับปัญหาการเมือง เนื่องจากการกีดกันทางการค้ากำลังจะมีเพิ่มมากขึ้น ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 0.3% ขณะที่บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลงมาที่ระดับ 2.85% แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นต่อ โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ระดับ 74 เหรียญต่อบาร์เรล

เนื้อหาหลักของตลาดการเงินสัปดาห์นี้คือการประกาศตัวเลขกำไรของบริษัทจดทะเบียนซึ่งส่วนใหญ่ยังออกมาเป็นไปตามคาด จึงไม่สามารถทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นต่อได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วงที่เหลือของสัปดาห์เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะจับตาไปที่การหารือระหว่างสหรัฐกับพันธมิตรในยุโรปและการเตรียมพร้อมพบกันระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ปัญหาการเมืองกลับมากดดันตลาดทุนอีกครั้ง

ในฝั่งตลาดเงิน การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือเงินเยน ซึ่งล่าสุดอ่อนค่าขึ้นมาเหนือระดับ 111 เยนต่อดอลลาร์จากความกังวลว่าปัญหาการกีดกันค้าอาจกดดันเศรษฐกิจเอเชีย และบางส่วนยังจับตาไปที่การประชุมของธนาคารกลางแคนาดาในคืนนี้ ว่ามีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเช่นกัน

ขณะที่เงินบาทยังคงมีความเสี่ยงจากตลาดที่มีโอกาสปิดรับความเสี่ยง (Risk off) นักลงทุนสถาบันยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่ซื้อดอลลาร์อยู่และมองว่าแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทน่าจะดำรงอยู่ในระยะ1-2เดือนนี้ มองกรอบเงินบาทระหว่างวันที่ระดับ 33.18-33.28 บาทต่อดอลลาร์

http://www.bangkokbiznews.com


6 ผักยอดนิยมของคนญี่ปุ่นที่ทานแล้วสุขภาพจะดี

6 ผักยอดนิยมของคนญี่ปุ่นที่ทานแล้วสุขภาพจะดี

ในปัจจุบันคนหลากหลายเชื้อชาติเริ่มหันมารับประทานอาหารญี่ปุ่นด้วยเหตุผลที่ว่า ดีต่อสุขภาพ และทำให้มีชีวิตยืนยาว ซึ่งแหล่งข้อมูลต่างๆ นั้นสามารถพิสูจน์ได้จริงจากอายุค่าเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นที่มีอายุยืนยาวเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 70-80 ปีเลยทีเดียว แถมยังติด 1 ในประเทศที่มีอัตราความเสี่ยงโรคอ้วนน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย

 ถั่วแระญี่ปุ่น

1. ถั่วแระญี่ปุ่น

ถั่วแระญี่ปุ่นหรือ Edamame เป็นอาหารทานเล่นของคนญี่ปุ่นที่ทานง่าย ได้คุณประโยชน์ และสารอาหารมากมาย หากทานก่อนมื้ออาหารก็จะช่วยทำให้เจิรญอาหารมากขึ้น มีโปรตีน, ไฟเบอร์ และโอเมก้า 3 จึงเป็นของว่างที่น่าสนใจไม่หยอก แต่อย่าทานมากเกินไปล่ะ เพราะอาจจะทำให้อิ่มก่อนอาหารจานหลักมาได้

2. วาซาบิ

2. วาซาบิ

แน่นอนว่าพอพูดถึงข้าวปั้นหน้าปลาดิบแล้วก็ต้องขาดสิ่งนี้ไปไม่ได้นั่นคือ วาซาบิ นั่นเอง แม้จะเป็นเพียงแค่เครื่องเคียงสำหรับใส่ในโชยุ แต่คุณประโยชน์กลับมีมากกว่าที่เห็นมากนัก เพราะวาซาบิมีสารชนิดเดียวกับกะหล่ำปลีและบร็อคโคลี่ที่สามารถยับยั้งมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายได้อีกด้วย เผ็ดจี๊ดได้ใจทั้งรสชาติและสรรพคุณจริงๆ

3. เห็ดชิทาเกะ

3. เห็ดชิทาเกะ

เห็ดชิทาเกะหรือเห็ดหอมเป็นเห็ดที่มีรสชาติเฉพาะ รวมถึงกลิ่นที่หอมหวนชวนรับประทาน สามารถนำไปเป็นส่วนประกอบอาหารหรือปิ้งกินสด ๆก็ได้ มีคุณค่าโปรตีนสูง จะกินมากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา สรรพคุณทางยาของเห็ดชนิดนี้มีมากจนเรียกได้ว่าเป็นยาสมุนไพรที่กินง่ายสุดๆ ทั้งช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และยังป้องกันโรคคอเลสเตอรอลสูงได้อีกด้วย

4. สาหร่ายญี่ปุ่น

4. สาหร่ายญี่ปุ่น

สาหร่ายของญี่ปุ่นที่กินกันนั้นมีหลายชนิด ที่นิยมก็อย่างเช่น สาหร่ายคอมบุ สาหร่ายวาคาเมะ (ในภาพ) เป็นได้ทั้งอาหารทานเล่นและอาหารจานหลัก ด้วยรสชาติและเนื้อสัมผัสเฉพาะทำให้เป็นที่นิมยมอย่างมาก และเจ้าสาหร่ายนี้ไม่ใช่แค่เพียงอร่อย แต่ยังประกอบไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายของเราต้องการ เช่น สังกะสี, ซีลีเนียม, ไอโอดีน และวิตามินบี 12 นอกจากนี้ยังช่วยความคุมความดันโลหิตและลดคอเรสเตอรอลได้เป็นอย่างดี

5. ถั่วเหลือง

5. ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองนับได้ว่ามีบทบาทอย่างมากกับอาหารของคนญี่ปุ่น เพราะไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรส น้ำซุป เช่น ซุปมิโสะ หรือแม้แต่ขนมหวาน ก็ต้องมีวัตถุดิบนี้ปนอยู่ทุกครั้งไป ถั่วเหลืองนั้นมีสรรพคุณช่วยปกป้องจากโรคมะเร็งได้ และยังช่วยยับยั้งการผลิตเซลล์ไขมันด้วยนะ หากรับประทานแต่พอเหมาะก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากเลยล่ะ

6. ผักชี

6. ผักชี

ผักญี่ปุ่นกิตติมศักดิ์วันนี้คือ “ผักชี” ผักที่คนไทยนิยมนำมารับประทานหรือนำมาจัดตกแต่งอาหารไทยนั่นเอง แม้ว่าจะไม่มีใช้ในอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่ที่ญี่ปุ่นตอนนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความหอมเฉพาะตัวของมัน และคุณค่าทางอาหารนั้นก็สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี, แคลเซียม, วิตามินเอ ล้วนอัดแน่นอยู่ในพืชต้นเล็กๆ นี้แหละ ทำให้ในปัจจุบันมีอาหารที่มีผักชีเข้ามารวมอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น เบียร์ผักชี, สลัดผักชี หรือการกินผักชีสดๆ เป็นของทานเล่นที่ญี่ปุ่นก็มีเช่นเดียวกัน

https://www.sanook.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 11/07/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,650.00 19,750.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,273.00 19,298.68 20,250.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,145.70 17,368.81 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 573.00 8,686.68 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 446.00 6,761.36 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,319.00 19,996.04 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  11/07/2561


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
29.65
29.65
34.29
29.65
29.65
29.25
29.65
29.65
30.30
29.65
แก๊สโซฮอล E-20
26.74
26.74
27.39
26.74
26.74
26.74
26.74
27.79
26.74
แก๊สโซฮอล E-85 21.14 21.14 21.14 21.14
แก๊สโซฮอล 91 29.38 29.38 29.63 29.38 29.38 28.98 29.38 29.38 30.30 29.38
เบนซิน 95 36.76
37.21
37.26 36.76 36.76
ดีเซลหมุนเร็ว
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
28.79
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 32.19 33.06 33.01 32.96 33.06
มีผลตั้งแต่ 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00 10 July 05:00

 

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า