‘สิงห์เอสเตท’รุกไทย-ตปท. ลงทุน 5.5หมื่นล้านปี63
สิงห์ เอสเตท เดินหน้าสู่บริษัทโฮลดิ้ง ลุยลงทุนธุรกิจอสังหาฯหลากหลายกว่า 5.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2563 ชู 4 ธุรกิจหลัก ที่พักอาศัย โรงแรม คอมเมอร์เชียลและธุรกิจใหม่ เล็งขยายลงทุนโรงแรมตลาดเอเชีย วางเป้าปี63 โกยรายได้ 2 หมื่นล้าน
ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ปีของ“สิงห์ เอสเตท” ปี2558-2563 วางเป้าหมายลงทุน“แสนล้านบาท” ก้าวสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริษัทโฮลดิ้ง เน้นการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนใหม่ที่เชื่อมโยงกลุ่มอสังหาฯ ทั้งในและต่างประเทศ
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการลงทุนของบริษัทในปีนี้ถึงปี 2563 จะขยายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ มูลค่ากว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคอมเมอร์เชียล (ธุรกิจค้าปลีกและอาคารสำนักงาน) และธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ เพื่อสร้างโอกาสในอนาคต
บริษัทมีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจรูปแบบ “พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ อินเวสต์เมนท์ โฮลดิ้ง คัมปานี” เน้นการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในธุรกิจหลากหลาย สอดคล้องกับภาพรวมตลาดและเทรนด์ธุรกิจปัจจุบัน ซึ่งการลงทุนพัฒนาธุรกิจหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนและสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง
เล็งลงทุนโรงแรมตลาดเอเชีย
สำหรับงบประมาณลงทุน 5.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท 50% ,ที่พักอาศัย สัดส่วน 30% และธุรกิจคอมเมอร์เชียล สัดส่วน 20%
นายนริศ กล่าวว่ามองโอกาสขยายธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศปีละ 1-2 แห่ง ในกลุ่ม 4 ดาวและลักชัวรี โดยการขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ เน้นตลาดเอเชียและตลาดอินเตอร์เนชั่นอื่นๆ โดยตลาดเอเชียยังมีโอกาสการลงทุนสูงและผลตอบแทนที่ระดับ 7-8%
ปัจจุบันบริษัทเข้าไปลงทุนโรงแรมในต่างประเทศที่อังกฤษ และเมกะโปรเจค Emboodhoo Lagoon ที่มัลดีฟส์ ซึ่งเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่กับรัฐบาล 9 เกาะ ระยะเวลา 50 ปี และสิทธิต่อสัญญาอีก 49 ปี เฟสแรกพัฒนา 3 เกาะ ลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท รูปแบบมิกซ์ยูส ประกอบไปด้วย โรงแรม ที่ได้รับความร่วมมือจากฮาร์ดร็อค เข้ามาร่วมพัฒนาธีมโฮเทล เจาะกลุ่มครอบครัวและพื้นที่คอมเมอร์เชียล
ทั้งนี้ คาดว่าจะลงทุนครบทั้ง 9 เกาะ ภายในปี 2565 รวมงบลงทุนโปรเจคมัลดีฟส์ 2 หมื่นล้านบาท แผนการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปมัลดีฟส์ จากการขยายสนามบินใหม่ที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ปีละ 7 ล้านคน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านคน
ดันกลุ่มโรงแรมเข้าตลาดปี63
ส่วนธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศ ประกอบด้วย สันติบุรี บีช รีสอร์ทแอนด์สปา ที่ สมุย และ พีพี ไอส์แลนด์ ซึ่งอัตราการเข้าพักและราคาได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรก 2560 กลุ่มธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้ 865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
บริษัทวางเป้าหมายการขยายธุรกิจโรงแรมถึงปี 2563 จะมีห้องพักรวม 3,000-4,000 ห้อง โดยมีมูลค่ารวมธุรกิจโรงอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท และวางแผนนำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
พัฒนาที่อยู่อาศัยตลาดบน
นายนริศ กล่าวว่าทิศทางธุรกิจที่อยู่อาศัยช่วงไตรมาสสุดท้าย มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย. เป็นต้นไปต่อเนื่องปีหน้า สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นและ จีดีพี เติบโต เชื่อว่ากำลังซื้อจะฟื้นตัวชัดเจนหลังจากนี้
รูปแบบการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทเน้นกลุ่มลักชัวรี และระดับกลาง-บน ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ มุ่งทำตลาดไทยและนักลงทุนต่างประเทศ
ช่วงครึ่งหลังปี จะพัฒนาโครงการใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการที่พักอาศัยลักชัวรี ที่พัฒนาโดยสิงห์ เอสเตท 2 โครงการ คือ ดิ เอส แอท สุขุมวิท 36 มูลค่า 6,175 ล้านบาท และ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส บ้านหรูหลังละ 200 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,932 ล้านบาท และโครงการที่พัฒนาโดย บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ซึ่งสิงห์ เอสเตทร่วมถือหุ้น รวม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรีริมแม่นำเจ้าพระยา บันยันทรี เรสซิเดนเซส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ มูลค่า 6,000 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม เนอวานา ดีฟายน์ กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 1,900 ล้านบาท
ปี63หวังรายได้ 2 หมื่นล้าน
ทางด้านธุรกิจคอมเมอร์เชียล กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและอาคารสำนักงาน ภายในปี 2563 จะมีพื้นที่เช่าราว 2 แสนตร.ม. โดยจะพัฒนาอาคารสำนักงานทั้งเกรดเอและเกรดบี รวม 3 อาคารใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้กลุ่มผู้เช่าพื้นที่
นายนริศ กล่าวว่าในปี 2563 บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากยอดขายที่อยู่อาศัย 50% และรายได้ประจำ 50% ในส่วนนี้มาจากธุรกิจโรงแรม 35-40% สำหรับแผนการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ จะอยู่ในช่วงหลังปี 2563
ไทย–ตปท.ร่วมลงทุน7.7 พันล้าน
ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมด้านการเงิน จากการเพิ่มทุนและการออกหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่า 7,720 ล้านบาท ส่งผลให้มีฟรีโฟลตเพิ่มขึ้นจาก 24% เป็น 38% โดยมีสถาบันชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุน โดยได้เสนอขายหุ้นใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) มูลค่า 1,664 ล้านบาท ให้กับ บลจ.บัวหลวง บลจ.วรรณ และกองทุนแฟรงกลิน เทมเพิลตัน (Frankling Templeton) ซึ่งเป็นกองทุนที่ติดอันดับท็อป5 ของโลก และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 6,056 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและจับจองเต็มมูลค่า
สำหรับผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 1,229 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com
ศูนย์ข้อมูลฯคาดไตรมาส 4 อสังหาฯโต อานิสงส์ศก. ส่งออก ลงทุนรัฐหนุนขยายตัว
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ คาดไตรมาส 4 ตลาดอสังหาฯแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจ ส่งออก ลงทุนภาครัฐ-เอกชน ปรับตัวดีขึ้น คาดแบงก์ลดเข้มงวดปล่อยกู้ช่วยคนซื้อบ้านเพิ่มขึ้น พร้อมคาดการณ์ปี 60 โครงการใหม่ราว 108,709 หน่วย บมจ.ยังครองส่วนแบงตลาดสูงสุด
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์และประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 ว่า ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 มีการชะลอตัวของจำนวนหน่วยทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ แต่ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่มีจำนวนและมูลค่ารวมถึงราคาเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น กลุ่มผู้ซื้อที่มีรายได้น้อย มีศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ยอดการปฏิเสธสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยประมาณ 30% ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการที่อยู่อาศัยในจำนวนมากก็ตาม
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้แนวโน้มตลาดมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นโดยพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ การส่งออกปรับตัวดีขึ้น การลงทุนภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยทางเศรษฐกิจจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นและกล้าตัดสินใจซื้อบ้าน เมื่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น แนวโน้มเอ็นพีแอลปรับลดลงก็เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะลดความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อลง และปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นอย่างแน่นอน
ไตรมาส 2 เปิดใหม่ 73 โครงการ 28,051 หน่วย
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ยังเปิดเผยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 มีจำนวน 73 โครงการ มีหน่วยในผังรวม 28,051 หน่วย จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 97 โครงการ 18,421 หน่วย และมีมูลค่าโครงการรวม 106,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 65,530 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าโครงการเปิดขายใหม่ในปี 2560 เปิดขายโครงการที่มีขนาดใหญ่กว่า และเปิดขายในระดับราคาต่อหน่วยสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน
โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ แบ่งออกเป็นโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่จำนวน 40 โครงการ 11,371 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 43,937 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 และมีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีโครงการเปิดขายจำนวน 72 โครงการ 9,717 หน่วย มูลค่าโครงการ 36,230 ล้านบาท
บมจ.แชร์ตลาดบ้านจัดสรรเปิดใหม่ 89.5%
โครงการบ้านจัดสรรที่เปิดขายใหม่ 40 โครงการ เป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 33 โครงการ 10,180 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89.5 ของจำนวนหน่วยโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ทั้งหมดในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559
ส่วนโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ในไตรมาส 2 ปี 2560 มีจำนวน 33 โครงการ 16,680 หน่วย มีมูลค่าโครงการอาคารชุดรวม 62,011 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 91.6 และมูลค่าเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 111.6 จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 25 โครงการ 8,704 หน่วย มูลค่า 29,300 ล้านบาท และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 14 โครงการ 7,477 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 88.5 ของจำนวนหน่วยโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ทั้งหมดในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559
ในไตรมาสนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดขายจำนวน 55 โครงการ 23,163 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82.4 ของจำนวนหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทั้งหมด เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 90.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดขายจำนวน 41 โครงการ 12,138 หน่วย
ปี 60 คาดโครงการเปิดใหม่ 108,709 หน่วย
สำหรับแนวโน้มโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2560 คาดว่าจะมีหน่วยโครงการเปิดใหม่อยู่ที่ประมาณ 108,709 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 2.9 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 97,900 ถึง 119,700 หน่วย
ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล 5 จังหวัด (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 มีจำนวน 27,151 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 19,366 หน่วย
ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่จำนวน 27,151 หน่วยนี้ เป็นห้องชุดมากที่สุด จำนวน 15,805 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 58.2 ของหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว มีจำนวน 6,727 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 24.8 ทาวน์เฮาส์ มีจำนวน 3,180 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 11.7 อาคารพาณิชย์พักอาศัยจำนวน 885 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 3.3 และบ้านแฝดมีจำนวน 554 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 2.0
สำหรับแนวโน้มที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2560 คาดว่าจะมีหน่วยอยู่ที่ประมาณ 111,300 หน่วย ลดลงจากปี 2559 ร้อยละ 12.0 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 100,200 ถึง 122,500 หน่วย
ปี 60 คาดยอดโอน 154,500 หน่วยลดลง 11.9%
การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 มีจำนวน 39,597 หน่วย และมีมูลค่า 103,560 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ 25.3 และมูลค่าลดลงร้อยละ 16.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 53,030 หน่วย และมูลค่า 123,766 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดือนเมษายน ของไตรมาส 2 ปี 2559 เป็นเดือนสุดท้ายของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ทำให้มีการเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก
ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 มีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมากที่สุด จำนวน 19,600 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 49.5 ของหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ จำนวน 11,980 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 30.3 บ้านเดี่ยวมีการโอนจำนวน 5,174 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 13.1 บ้านแฝดมีการโอนจำนวน 1,472 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 3.7 และอาคารพาณิชย์พักอาศัยมีการโอนจำนวน 1,371 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 3.5
การโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ หรือบ้านที่โอนจากนิติบุคคลมีจำนวน 25,151 หน่วย และโอนบ้านมือสอง หรือบ้านที่โอนจากบุคคลธรรมดามีจำนวน 14,446 หน่วย ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านใหม่ต่อบ้านมือสองในไตรมาส 2 ปี 2560 เท่ากับ 64 : 36
สำหรับแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ปี 2560 คาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่ประมาณ 154,500 หน่วย ลดลงจากปี 2559 ร้อยละ 11.9 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 139,000 ถึง 170,000 หน่วย และมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 416,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ร้อยละ 6.3 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 374,500 ถึง 457,650 ล้านบาท
สินเชื่อบุคคลปล่อยใหม่ทั้งระบบทั่วประเทศ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2560 มีมูลค่า 147,491 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีมูลค่า 154,171 ล้านบาท บาท ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดือนเมษายน ของไตรมาส 2 ปี 2559 เป็นเดือนสุดท้ายของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จึงทำให้มีการซื้อขายและเร่งขอสินเชื่อเป็นจำนวนมากกว่าปกติเพื่อให้ทันในช่วงเวลาของมาตรการที่รัฐบาลสนับสนุน
สินเชื่อปล่อยใหม่แนวโน้มลด 3.4 % เหลือ 5.66 แสนล้านบาท
สำหรับแนวโน้มสินเชื่อบุคคลปล่อยใหม่ทั้งระบบทั่วประเทศ ปี 2560 คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 566,300 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ร้อยละ 3.4 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 558,000 ถึง 602,700 ล้านบาท
สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปคงค้าง ณ ไตรมาส 2 ปี 2560 มีมูลค่า 3,391,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559
สำหรับแนวโน้มสินเชื่อบุคคลทั่วไปทั้งระบบทั่วประเทศ ปี 2560 คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,441,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 3.5 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 3,425,500 ถึง 3,464,500 ล้านบาท
https://mgronline.com
รถไฟฟ้าสายสีม่วงทุบสถิติ ! ยอดผู้โดยสารพุ่งเฉียด 6 หมื่นคน หลังเชื่อมสายสีน้ำเงิน
คมนาคม ใจชื้น เผยจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังเปิดเดินรถเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงิน พบยอดผู้โดยสารเฉลี่ยพุ่ง 47% เป็น 48,000 คนต่อวัน พร้อมทำนิวไฮเกือบ 60,000 คน นับตั้งแต่เปิดใช้บริการ
วันที่ 8 กันยายน 2560 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ เปิดเผยว่า หลังจากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสถานีบางซื่อ เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีเตาปูน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารของรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยนับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2560 พบว่า ในวันธรรมดามีจำนวนผู้โดยสารมาใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพิ่มขึ้นเป็น 48,760 คนต่อวัน สูงขึ้น 47.18% จากเดิมที่เฉลี่ยอยู่ที่ 33,130 คนต่อวัน และจากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2560 ปรากฏว่า มีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 59,431 คนต่อวัน ทำสถิติผู้โดยสารสูงสุดนับตั้งแต่รถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2559
ขณะเดียวกัน รฟม. จึงได้ขยายระยะเวลาโปรโมชั่นค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีม่วง ในราคา 14-29 บาท สำหรับวันธรรมดา (เฉพาะผู้ถือบัตร MRT และ MRT Plus) และ 15 บาทตลอดสายในวันหยุด ออกไปจนถึงสิ้นปี 2560 และมีโปรโมชั่นลดค่าจอดรถ 50% จากอัตราค่าจอดรถปกติ โดยคิดค่าบริการ 2 ชั่วโมง 5 บาท สำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ชั่วโมงละ 10 บาท สำหรับผู้ไม่ใช้บริการรถไฟฟ้า และเดือนละ 500 บาท สำหรับผู้ใช้บริการจอดรถรายเดือน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมมาเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามากขึ้น สำหรับอาคารจอดรถของรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีให้บริการ 4 แห่ง ได้แก่ สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1 ตั้งแต่เวลา 05.00 – 01.00 น
นอกจากนี้ รฟม. ได้สั่งการให้บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน จัดทำมาตรการรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน อาทิ การปรับตารางเดินรถให้เหมาะสมกับความหนาแน่นของผู้โดยสาร ปรับเปลี่ยนตารางการซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า เป็นต้น โดยช่วงที่ผ่านมา BEM ได้จัดซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มแล้ว 35 ขบวน ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการผลิต และรถไฟฟ้าขบวนใหม่จะสามารถให้บริการได้ในปี 2562
https://money.kapook.com
รัฐบาลประกาศอย่างยิ่งใหญ่ให้ปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน”
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเพื่อหาแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ในการดำเนินโครงการปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน โดยมีนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมประชุม พร้อมแถลงข่าวโครงการ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Year 2018” ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติมีมติให้ปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” หรือ “Amazing Thailand Tourism Year 2018” โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 – 1 มกราคม 2562 และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 โดยที่ประชุมในวันนี้ประกอบด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลุ่มห้างสรรพสินค้า และกลุ่มสายการบิน เพื่อขอความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ การใช้ตราสัญลักษณ์ การมอบสินค้าและบริการราคาพิเศษ อีกทั้งการเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยไมตรีจิต การดำรงวัฒนธรรมที่ดีงามและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์
สำหรับสาระสำคัญในการส่งเสริม “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” นั้น เป็นการเน้นย้ำให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่เกื้อกูลเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยาและการต่างประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพที่เจริญเติบโตอย่างมีดุลยภาพบนพื้นฐานของความเป็นไทยโดยนำรายได้สู่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนำของโลกที่เติบโตอย่างแข็งแรง
ทั้งนี้ รัฐบาลจะส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีความพร้อมบนพื้นฐานของเอกลักษณ์ไทย ซึ่งสอดคล้องกับกระแสความต้องการของประชากรโลก อีกทั้งสอดรับกับเจตนารมย์ของ UNWTO มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ยังคงรักษาฐานนักท่องเที่ยวตลาดเดิม สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม สนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน โดยยกระดับและเพิ่มมูลค่าทางการท่องเที่ยวให้กับชุมชนทั่วประเทศ อันจะเป็นการวางรากฐานของเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัด 15 กิจกรรม เพื่อส่งเสริมปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 7 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism)
การท่องเที่ยวทางน้ำ (Maritime Tourism) การท่องเที่ยวเพื่อการแต่งงานและการฮันนีมูน (Wedding & Honeymoon Tourism) การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism) การท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ (Leisure Destination) และ 8 กิจกรรมเสริม ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Green Tourism) การท่องเที่ยวยามค่ำคืน (Night Tourism) การท่องเที่ยวในธุรกิจไมซ์ (MICE Tourism) การจัดงานแสดงสินค้า (Trade Fair) การจัดกิจกรรมการตลาดระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่ต่างประเทศ (B2B Marketing Activity Aboard) การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว (Logistics) การเป็นเจ้าบ้านที่ดี (Human Resource Development) และการจัดกิจกรรมเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Country Relationships)
โดยในปีนี้ประเทศไทยมีโอกาสในการเป็นเจ้าภาพงานระดับโลกมากมาย เช่น การสวนสนามทางเรือนานาชาติ (The 50th Anniversary of ASEAN International Fleet Review 2017 : ASEAN IFR 2017) โดยกองทัพเรือจะเชิญกองทัพเรือจากประเทศสมาชิกอาเซียนและนอกอาเซียนรวมกว่า 30 ประเทศ จัดสวนสนามเรือรบที่ทันสมัยและมีสมรรถนะสูงกว่า 40 ลำ โดยเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาฝ่ายไทยและต่างประเทศ รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมชมการสวนสนามทางเรือนานาชาติ โดยกำหนดจัดกิจกรรมขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน นี้ ณ บริเวณอ่าวพัทยา เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
การแข่งขันการบิน “AIR RACE 1 THAILAND” ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย การแข่งขันเครื่องบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ชมทั่วโลก โดยมีนักกีฬาและผู้ติดตามชมการแข่งขันจากต่างประเทศเข้าร่วมชมเป็นจำนวนมากซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย ทั้งด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยจัดขึ้นในวันที่ 19 – 20 พฤศจิกายนนี้ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง
การจัดแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโต จีพี ในปี 2561 – 2563 เป็นระยะเวลา 3 ปี ส่งผลให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 19 สนามแข่งขันทั่วโลก กำหนดจัดการแข่งขันในเดือนตุลาคมปี 2561 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งปัจจุบัน Moto GP มีการติดตามชมกว่า 800 ล้านคน จาก 207 ประเทศทั่วโลก และคาดว่าจะมีผู้ชมการแข่งขันในประเทศไทยกว่า 2 แสนคน มีเงินหมุนเวียนกว่า 1 พันล้านบาท
งาน UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism ครั้งที่ 4 เป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยและองค์การการท่องเที่ยวโลก จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2561 โดยถือเป็นโอกาสในการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานครั้งนี้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ในรูปแบบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ร้านอาหาร โรงแรม แหล่งผลิตวัตถุดิบ ต่อไป
อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมระดับโลกดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังคงส่งเสริมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม ประเพณีการละเล่นของท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน เช่น เทศกาลลอยกระทง ตรุษจีน สงกรานต์ ประเพณีเชิงศาสนา เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา ฮารีรายอ ซึ่งจัดขึ้นทั่วประเทศตลอดทั้งปี รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ที่มีความสวยงามตามฤดูกาล อีกด้วย
นอกจากนี้ ททท. ยังได้มีการจัดประกวดตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” โดยมี ผู้ส่งผลงานเข้าประกวด 168 ชิ้นงาน ผ่านการคัดเลือก 7 ชิ้นงาน โดยรางวัลชนะเลิศเป็นของนายสุรัตนชัย ชื่นตา ซึ่งมีแนวคิดในการออกแบบตราสัญลักษณ์โดยรวมคล้ายกับเครื่องหมายอนันต์ (Infinity ∞ ) สื่อถึงปีท่องเที่ยววิถีไทย
เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน ที่นักท่องเที่ยวจะได้รู้สึกถึงความพิเศษที่ได้เดินทางมาและได้สัมผัสความเป็นไทยที่จะสร้างความสุข และความทรงจำอันน่าประทับใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยผสมผสานสัญลักษณ์แบบไทย ได้แก่ ลายประจำยาม ช้าง และเรือสุพรรณหงส์ ซึ่งผลงานดังกล่าวจะเป็นตราสัญลักษณ์ที่ทุกหน่วยงานใช้ตลอดปี 2561 ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดการขอใช้ตราสัญลักษณ์ ได้ที่ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย
https://thai.tourismthailand.org
60 คำและวลีภาษาอังกฤษสำหรับการขับขี่
การเดินทางโดยยานพาหนะต่างๆเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ในภาษาอังกฤษคำศัพท์และวลีต่างๆเหล่านี้ต่างก็มีคำเฉพาะที่ใช้ในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ เราจึงควรเรียนรู้คำศัพท์และวลีที่ถูกใช้ในการขับขี่ไว้เพื่อที่จะได้นำมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องการ
การเดินทาง
Where is the parking lot, please? | ที่จอดรถอยู่ที่ไหน? |
Where is the nearest gas/petrol station? | ปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน? |
How can I get to…? | ฉันจะไปที่…ได้อย่างไร? |
How many kilometres is it to..? | อีกกี่กิโลเมตรถึงจะถึงที่…? |
Where does this road lead to? | ถนนเส้นนี้มุ่งหน้าไปที่ไหน? |
Where is the turn to…? | ฉันจะเลี้ยวไป…ได้ตรงไหน? |
The car in front has just cut me off. | รถคันข้างหน้าเพิ่งขับตัดหน้าฉัน |
ปั๊มน้ำมัน
How much petrol would you like? | ต้องการเติมน้ำมันเท่าไหร่ครับ? |
Full, please. | เต็มถังเลย |
20 litres, please. | 20 ลิตรค่ะ |
This car takes diesel. | รถคันนี้ใช้น้ำมันดีเซล |
I’d like some oil. | ฉันต้องการเติมน้ำมันเครื่อง |
Can I check my tyre pressure here? | ฉันสามารถเช็คลมยางรถที่นี่ได้ไหม? |
Can I have the car washed? | ฉันสามารถล้างรถที่นี่ได้ไหม? |
I’d like to pay with credit card. | ฉันต้องการจ่ายเงินโดยบัตรเครดิต |
ปัญหาทางเทคนิค
The car has broken down. | รถเสีย |
The car won’t start. | รถสตาร์ทไม่ติด |
We’ve run out of gas/petrol. | รถน้ำมันหมด |
The battery’s flat. | แบตเตอรี่หมด |
I’ve got a flat tyre. | รถของฉันยางแบน |
I’ve got a puncture. | รถของฉันยางรั่ว |
The … isn’t / aren’t working. | (อุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง)…ไม่ทำงาน |
speedometer | มาตรวัดอัตราความเร็ว |
fuel gauge | มาตรวัดน้ำมัน |
brake lights | ไฟเบรก |
There’s some problem with … | รถมีปัญหาเกี่ยวกับ… |
the engine | เครื่องยนต์ |
the steering | พวงมาลัย |
the brakes | เบรก |
สัญญาณและสัญลักษณ์ต่างๆบนถนน
Stop | หยุด |
Give way / Yield | ให้ทาง |
No entry | ห้ามเข้า |
One way | รถเดินทางเดียว |
Parking | ที่จอดรถ |
No parking | ห้ามจอด |
No stopping | ห้ามหยุดรถ |
Keep left | ชิดซ้าย |
Get in lane | เข้าเลน |
Slow down | ลดความเร็ว |
No overtaking | ห้ามแซง |
Low bridge | สะพานเตี้ย |
Level crossing | ถนนข้ามทางรถไฟ |
Bus lane | เลนโดยสารรถประจำทาง |
No through road | ทางตัน |
Caution | ระวัง |
Fog | หมอก |
Diversion | ทางเบี่ยง |
Road closed | ถนนปิด |
Roadworks | ซ่อมถนน |
Accident ahead | อุบัติเหตุด้านหน้า |
Queue ahead | ด้านหน้ามีรถแน่น |
Queues after next junction | แยกหน้ามีรถแน่น |
เนื่องจากทุกคนต้องขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์กันทุกวัน ดังนั้นศัพท์และวลีเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องใช้ในชีวิตประวันอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าการเรียนภาษาอังกฤษสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา หากมีความใส่ใจและพยายาม ภาษาอังกฤษก็จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอีกต่อไป
https://bestkru.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 12/09/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 20,750.00 | 20,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,344.00 | 20,375.04 | 21,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,209.60 | 18,337.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 605.00 | 9,171.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 470.00 | 7,125.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,393.00 | 21,117.88 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 12/09/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 27.45 | 27.45 | – | 27.45 | 27.45 | 27.45 |
27.45
|
27.45
|
27.45
|
27.45
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
24.94
|
24.94
|
24.94
|
24.94
|
24.94
|
– |
24.94
|
24.94
|
24.94
|
24.94
|
แก๊สโซฮอล E-85 | 20.24 | 20.24 | – | – | – | – | – | 20.24 | 19.94 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 | 27.18 |
เบนซิน 95 | 34.56 | – | – | – | 34.56 | – | 34.56 | 34.56 | 34.56 | 34.56 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 | 25.49 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 28.49 | 29.17 | 29.17 | 29.17 | 29.17 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 | 07 Sep 05:00 |