คอนโดฯ เมืองท่องเที่ยว พักผ่อน-ปล่อยเช่า เทรนด์ใหม่นักลงทุน
อสังหาริมทรัพย์ 5 เมืองท่องเที่ยวหลัก อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หัวหิน-ชะอำ และเขาใหญ่ ถือว่าเป็นทำเลที่อสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมมาแรงที่สุด จากการสำรวจของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่า คอนโดมิเนียมในทำเลจังหวัดท่องเที่ยวมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 76% ราคาขายต่อ (รีเซล) สูงถึง 19% และผลตอบแทนจากการเช่า (Yield) สูงถึง 8% ต่อปี จากอานิสงส์ของภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการซื้อคอนโดมิเนียมไว้พักผ่อนและถือโอกาสปล่อยเช่าในช่วง High Season
คอนโดฯ คว้าส่วนแบ่งสูง เหตุท่องเที่ยวบูม
ผลตอบรับที่ดีของคอนโดมิเนียมในเมืองท่องเที่ยวมาจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างชัดเจน และนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนระยะยาวนิยมเช่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักอาศัยส่งผลให้การปล่อยเช่าได้รับอัตราผลตอบแทนสูงแม้ในบางพื้นที่จะปล่อยเช่าได้เฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวเที่ยว แต่ด้วยราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าทำเลทั่วไปจึงทำให้ยังมีคนสนใจซื้อ ประกอบกับเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ไม่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นลักษณะ time sharing ที่ไปพักเองเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถได้รายได้จากการปล่อยเช่า ซึ่งจะมาช่วยค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะทำเลเขาใหญ่ และหัวหิน-ชะอำ การปล่อยเช่าจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกือบ 100% ดังนั้น การเข้าพักจึงสูงในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ โดยเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 1.5 เดือน นอกจากนี้ คนในพื้นที่เองก็นิยมซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ และเก็บไว้เก็งกำไรได้เนื่องจากมองเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต
เชียงใหม่โต จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่
คอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่าพื้นที่ใช้สอย 30-60 ตร.ม. จะคิดค่าเช่าอยู่ระหว่าง 10,000-25,000 บาท/เดือน ด้านราคารีเซลในบางโครงการ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30 ตร.ม. ขายประมาณ 75,000-80,000 บาท/ตร.ม. หรือยูนิตละ 2-2.5 ล้านบาท โดยราคารีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% ต่อปี ในอนาคตคาดว่าราคามีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สนับสนุนการเติบโตของเชียงใหม่ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมเชียงใหม่-เชียงราย และโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ อีกจำนวนมาก
ภูเก็ต คอนโดฯ ติดชายหาด ให้ Yield 6-8%
คอนโดมิเนียมที่นิยมปล่อยเช่าเป็นห้องขนาดสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยประมาณ 30-32 ตร.ม.อัตราค่าเช่า City Condo ประมาณ 10,000-18,000 บาท/เดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเช่า คิดเป็น Yield เฉลี่ยประมาณ 6-8% ต่อปี สำหรับค่าเช่า Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season ค่าเช่าประมาณ 50,000-70,000 บาท/เดือน คิดเป็น Yield เฉลี่ยประมาณ 4-5% ต่อปี ราคาของคอนโดมิเนียมเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 99,700 บาท/ตร.ม. ขยับขึ้น 7% ทั้งนี้ยังพบว่า คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ มีราคาเปิดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งส่วนมากเป็น Resort Property ที่อยู่ริมหาด
Resort Condo ที่อยู่ติดหาด จะได้รับความนิยมโดยเฉพาะในช่วง High Season
หัวหิน-ชะอำ ราคารีเซลดีสุดถึง 19%
คอนโดมิเนียมรีเซลติดชายทะเลราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 135,000 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 10% ส่วนโครงการที่ไม่ติดชายทะเลราคารีเซลอยู่ที่ 79,000 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดโครงการ 19% ด้านการปล่อยเช่า หากเป็นโครงการใจกลางเมืองที่ติดชายทะเล ขนาด 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 35,000-45,000 บาท/เดือน และขนาด 2 ห้องนอน 55,000-70,000 บาทต่อเดือน ส่วนโครงการที่ไม่ติดทะเล ขนด 1 ห้องนอน ปล่อยเช่าได้ 15,000-20,000 บาท/เดือน และขนาด 2 ห้องนอน 30,000-50,000 บาท/เดือน
พัทยา Yield 6-7% รีเซลเพิ่ม 5% ต่อปี
คอนโดมิเนียมรีเซลบางโครงการในพื้นที่พัทยากลางราคาอยู่ที่ 110,000 บาท/ตร.ม.หากนำมาปล่อยเช่า ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30-35 ตร.ม. จะได้ค่าเช่าประมาณ 18,000-20,000 บาท/เดือน หรือคิดเป็น Yield เฉลี่ยประมาณ 6-7% ต่อปี ส่วนราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5%
เขาใหญ่ เน้นปล่อยเช่าช่วง High Season
คอนโดมิเนียมรีเซลบางโครงการ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 50-55 ตร.ม.ราคาอยู่ที่ประมาณ 92,000 บาท/ตร.ม. หรือยูนิตละ 4.6-5.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-6% ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมในพื้นที่เขาใหญ่นิยมปล่อยเช่าห้องพักแบบระยะสั้น หรือในช่วง High Season (พฤศจิกายน-มกราคม)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2559-2560 คอนโดมิเนียมในทำเลเชียงใหม่ หัวหิน-ชะอำ และภูเก็ต ตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่นิยมซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศ ส่วนในทำเลพัทยา และเขาใหญ่ ตลาดค่อนข้างทรงตัวจากการระบายอุปทานที่คงค้าง ในทางกลับกันยังมีการขยายตัวในบางทำเล ในบางช่วงราคาที่ยังมีกำลังซื้อ ส่วนทิศทางการขยายตัวในอนาคตคาดว่าตลาดจะเติบโตได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
https://www.ddproperty.com
เงินบาทกับเศรษฐกิจไทย
ประเด็นเศรษฐกิจที่ร้อนแรงสุดในช่วงนี้หนีไม่พ้นเรื่องค่าเงินบาท ซึ่งปัจจุบันแข็งค่าขึ้นจากปลายปีที่แล้วเกือบ 10% เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับผู้ที่สนใจติดตามภาวะเศรษฐกิจไทย คำถามนโยบายที่สำคัญ คือ (1) ค่าเงินบาทในปัจจุบันทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่กำลังไปได้ดี เสียแรงส่งไปหรือไม่ และ (2) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ ควรดำเนินการอย่างไรภายใต้บริบทดังกล่าว
คำถามข้อแรก มีความสำคัญต่อทุกภาคส่วน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นสำคัญ ทั้งการส่งออกสินค้าและรายรับจากการท่องเที่ยว แม้เศรษฐกิจในประเทศจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่โดยเปรียบเทียบแล้ว ถือว่าช้ากว่ากันมาก จนนักเศรษฐศาสตร์บางท่านเรียกเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า เป็นเศรษฐกิจที่แข็งนอกอ่อนใน ดังนั้น หากค่าเงินที่แข็งทำให้การส่งออกสินค้าสะดุดติดขัดขึ้นมา ย่อมมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ช่วงนี้ มักได้ยินว่าค่าเงินบาทที่ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้อยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ ข้อเท็จจริง คือ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีเพียงปีที่แล้วเท่านั้น ที่ค่าเฉลี่ยของค่าเงินบาททั้งปีอยู่ที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงปี 2553-2556 ซึ่งเป็นช่วงแรกๆ หลังวิกฤตการเงินโลก ค่าเฉลี่ยเงินบาทอยู่ระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์เท่านั้น
หากพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของดอลลาร์สหรัฐคู่ไปกับค่าเฉลี่ยของค่าเงินบาทในแต่ละปี จะพบว่าทั้งสองตัวแปรไม่มีความสัมพันธ์กันแต่ประการใด อันนี้ไม่ใช่เพราะค่าเงินบาทไม่มีผลต่อการส่งออกสินค้าของไทย แต่เป็นเพราะการส่งออกขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก ซึ่งจากงานศึกษาของ ธปท. พบว่า ผลของการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าต่อปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยมีมากกว่าผลของค่าเงินบาทเกือบสิบเท่า จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดแต่ประการใด ที่การส่งออกสินค้าไทยจะกลับมาขยายตัวได้เกือบถึงเลขสองหลักในปีนี้ ซึ่งเป็นปีแรกที่เศรษฐกิจโลกในเกือบทุกภูมิภาคกลับมาขยายตัวดีพร้อมๆกัน และส่งผลให้มูลค่าการค้าโลกขยายตัวสูงสุดในรอบเจ็ดปี
มองไปข้างหน้า นักวิเคราะห์หลายสำนักฟันธงว่า การค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง แม้จะชะลอลงบ้างจากผลของฐานมูลค่าที่สูงขึ้น จึงค่อนข้างวางใจได้ว่าการส่งออกสินค้าของไทยจะยังไปได้ดี ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์กับการขยายตัวของการส่งออกไม่ไปด้วยกัน เป็นเพราะการส่งออกในภาพรวมจะดีไม่ดี ไม่สามารถดูได้จากค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์เพียงสกุลเดียว แต่ต้องดูค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินคู่ค้าและคู่แข่งอื่นๆด้วย เช่น ในปีนี้ การแข็งค่าของเงินบาทเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆ
ดังนั้น เงินบาทไม่ใช่เงินสกุลเดียวที่แข็งค่า สกุลเงินส่วนใหญ่ก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน อาทิ เงินยูโรแข็งค่าขึ้นมากกว่า 11% เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกันสองสกุลเงินแล้ว เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร จึงไม่ได้ยินเสียงบ่นจากผู้ส่งออกไปสหภาพยุโรปมากนัก หรือถ้ามองในภูมิภาคเอเชีย อัตราการแข็งค่าของเงินบาทถือว่าเกาะกลุ่มอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเงินวอนของเกาหลีใต้ และเงินริงกิตของมาเลเซีย ผลัดกันแซงไปมา แบบที่เรียกว่าหายใจรดต้นคอกันทีเดียว โดยมีเงินดอลลาร์ไต้หวันและเงินดอลลาร์สิงคโปร์ตามหลังมาไม่ห่างกันมากนัก ดังนั้น ไม่ว่าในมุมมองของคู่ค้าหรือคู่แข่งเราไม่ได้เสียเปรียบประเทศเหล่านี้
อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมีผลโดยตรงต่ออัตรากำไรของผู้ส่งออก เนื่องจากหนึ่งดอลลาร์ที่ผู้ส่งออกขายได้ เมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้วได้เงินบาทน้อยลง เช่น ในช่วงสิบเดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 9.7% แต่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของเงินบาทขยายตัวเพียง 6.5% (ไม่เท่ากับหรือใกล้กับศูนย์ตามที่หลายคนอาจจะเข้าใจ เพราะตัวเลขอัตราการแข็งค่าของเงินบาทที่พูดกันว่าเกือบ 10% นั้น เป็นการเทียบกับค่าเงินบาท ณ สิ้นปีที่แล้ว แต่ถ้าเป็นการเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน การแข็งค่าของเงินบาทจะน้อยกว่า 10% พอสมควร)
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกแต่ละชนิดมีความสามารถในการรองรับการแข็งค่าของเงินบาทได้ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าในตลาดส่งออกของแต่ละสินค้า ตัวอย่างเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มีสัดส่วนของชิ้นส่วนประกอบนำเข้าสูง เงินบาทที่แข็งขึ้น ช่วยให้ต้นทุนการนำเข้าในรูปเงินบาทลดลง ทำให้สุทธิแล้ว ไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่แข็งขึ้นมากนัก
ขณะที่สินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป และสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีสัดส่วนการนำเข้าน้อยมากหรือไม่มีเลย ไม่นับว่าผู้ส่งออกในสามหมวดหลังนี้มีการทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนน้อยมาก รวมถึงไม่มีอำนาจต่อรองราคา สินค้าสามหมวดนี้จึงมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษกับค่าเงินบาท
อย่างไรก็ดี เมื่อไปดูข้อมูลสิบเดือนแรกของปีนี้ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของเงินบาทของสินค้าทั้งสามหมวดขยายตัว 18% 9% และ 0.2% ตามลำดับ สาเหตุหนึ่งที่สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มขยายตัวต่ำเกิดจากการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านเพื่อใช้ประโยชน์จากค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า
โดยสรุป ความต้องการจากต่างประเทศช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นได้ แม้กระทั่งหมวดสินค้าที่อ่อนไหวกับค่าเงินเป็นพิเศษ ในภาพรวมก็ยังไปได้ดี อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้สูงว่า หากค่าเงินบาทอ่อนกว่านี้ การส่งออกสินค้าในช่วงที่ผ่านมาจะขยายตัวได้มากกว่านี้และแม้ในกรณีที่ส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐไม่ได้เพิ่มขึ้น รายได้ของผู้ส่งออกในรูปของเงินบาทก็ยัง
มากขึ้น
คำถามสืบเนื่อง คือ แล้ว ธปท. ดูแลให้ค่าเงินบาทอ่อนกว่านี้ได้หรือไม่ เพื่อเป็นการช่วยผู้ส่งออกอีกแรงหนึ่ง โดยเฉพาะ SMEs ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน การจะตอบคำถามนี้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ค่าเงินบาทเป็นเสมือนเหรียญสองด้าน การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทมีทั้งผู้เสียประโยชน์และผู้ได้ประโยชน์ เงินบาทที่แข็งทำให้ผู้นำเข้าสินค้าและ วัตถุดิบสามารถนำเข้าได้ถูกลง
ทำให้ต้นทุนการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์จากต่างประเทศต่ำลง ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไม่พุ่งขึ้นแรงเหมือนราคาน้ำมันในตลาดโลก ช่วยบรรเทาภาระต้นทุนการขนส่งและการผลิต ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากราคาสินค้านำเข้าที่ถูกลง รวมถึงช่วยให้ผู้มีหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศมีภาระการชำระหนี้ในรูปของเงินบาทที่น้อยลง วิธีหนึ่งในการรักษาสมดุลของค่าเงินบาท คือ ให้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนด บทเรียนราคาแพงของวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คือ การฝืนกลไกตลาดนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและการเงิน
การที่เงินบาทแข็งค่ามากกว่าหลายสกุลเงินสามารถอธิบายได้จากขนาดของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (รายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการหักด้วยรายจ่ายในการนำเข้าสินค้าและบริการ)ของไทยที่อยู่ในระดับที่สูง ซึ่งมาจากความสามารถในการขายสินค้าและบริการของเรา ประกอบกับตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ออกมาเกินความคาดหมายของนักลงทุนต่างประเทศ ทั้งสอง
ปัจจัยนำไปสู่ความต้องการแลกเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท เป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเพิ่มเติมจากปัจจัยดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าซึ่งเป็นปัจจัยหลัก
ขนาดของดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่สูงมาก นอกจากจะสะท้อนความต้องการเงินบาทที่สูง(ผู้ประกอบการต้องเอาเงินตราต่างประเทศที่เหลือจากรายได้หักด้วยรายจ่ายมาแลกเป็นเงินบาท) ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นแล้ว ยังเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ในแง่ที่ว่าประเทศไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี ปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ของไทย ทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ ในช่วงสิบเดือนแรกของปี รวมกันประมาณ 8.4พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่าดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 3.97 หมื่นล้านดอลลาร์มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่ำเกือบที่สุดในภูมิภาค และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร(Yield curve) ของไทยต่ำกว่าเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐ โดยเฉพาะดอกเบี้ยรายวัน
ไม่ได้จูงใจให้เงินไหลเข้ามามากเหมือนประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยในประเทศสูงทั้งนี้การยึดกลไกตลาดไม่ได้หมายความว่า ธปท. นั่งมองเงินบาทแข็งค่าโดยไม่ได้ทำอะไรเลยในทางตรงกันข้าม ปีนี้มีหลายเหตุการณ์ที่ปัจจัยภายนอกทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ารวดเร็วไม่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง ธปท. ได้เข้าดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ
สะท้อนได้จากปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจากต้นปีประมาณสามหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการลดการออกพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติที่เก็งกำไรค่าเงินบาทนิยมมาพักเงิน ตั้งแต่เดือนเม.ย.2560 นอกจากนี้ ตลอดทั้งปี ธปท. ได้มีการให้ความรู้และกระตุ้นเตือนให้ผู้ประกอบการทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาท
รวมถึงร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) และธนาคารพาณิชย์ในโครงการช่วยเหลือค่าธรรมเนียมสำหรับเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงค่าเงินให้กับ SMEs ที่เข้าคุณสมบัติ
ในระยะต่อไป คาดว่าแรงกดดันต่อค่าเงินบาทจากดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง ตามแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่จะปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้การนำเข้าสูงขึ้น และทำให้ขนาดของดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง
อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางค่าเงินบาทมาจากค่าเงินดอลลาร์ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง ขนาดของดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นเพียงปัจจัยเสริม ผู้ประกอบการจึงควรทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าในด้านที่มิใช่ราคา ซึ่งเป็นวิธีรับมือกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดในระยะยาว
http://www.bangkokbiznews.com
เปิด 10 อันดับ ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2561
หอการค้า เปิด 10 อันดับ ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2561 ชี้ ธุรกิจเด่นอันดับ 1 คือ ธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจการวิจัยทางธุรกิจ 10 อันดับธุรกิจเด่นปี 2561 พบว่า ธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์มีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 จากนโยบายส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเตอร์เน็ตในระดับท้องถิ่นของรัฐบาล, สังคมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมเมืองมากขึ้น, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบโทรคมนาคมของไทยที่มีประสิทธิภาพ
รองลงมาอันดับ 2 เป็นธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม อันดับ 3 เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกมากขึ้น อันดับ 4 เป็นธุรกิจเครื่องสำอางค์และครีททาผิว อันดับ 5 ธุรกิจขนส่งและโลจิสตกิส์ และ ธุรกิจด้านปิโตเลีนมและพลาสติก อันดับ 6 ธุรกิจโมเดิร์นเทรด, ธุรกิจบริการทางด้านการเงิน, และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแนวใหม่
อันดับ 7 ธุรกิจร้านขายยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อันดับ 8 ธุรกิจด้านการศึกษา และธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อันดับ 9 ธุรกิจประกันภัย, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านความเชื่อ และอันดับที่ 10 ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจร้านเสริมสวย
โดยหอการค้าไทยมองปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ คือการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปี 2561 ที่ห้องการค้าไทยคาดว่าจะ มีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 ส่งผลให้ประชาชนมีโอกาสที่มีรายได้สูงขึ้น การลงทุนภาครัฐยังคงขยายตัวต่อเนื่อง การส่งออกขยายตัวตามฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า กำลังซื้อของประชาชนฐานรากมีเพิ่มมากขึ้นตามมาตรการสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงนโยบายในการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐบาล
ส่วน 10 อันดับดาวร่วง ของปี 2561 ได้แก่ อันดับ 1 ธุรกิจหัตถกรรมที่ไม่มีนวัตกรรม อันดับ 2 ธุรกิจด้านการผลิตเหมืองแร่ อันดับ 3 ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์นิตยสาร และธุรกิจเช่าหนังสือ อันดับ 4 ธุรกิจผลิตและจำหน่ายซีดีและดีวีดี อันดับ 5 ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน อันดับ 6 ธุรกิจเคเบิ้ลทีวี อันดับ 7 ธุรกิจผลิตสินค้าเกษตรยาง ปาล์ม ข้าว อันดับ 8 ธุรกิจร้านขายมือถือมือ 2 อันดับ 9 ธุรกิจร้านค้าแยบดั้งเดิม และอันดับ 10 ธุรกิจร้านอินเตอร์เน็ต
https://news.mthai.com
ห้างค้าปลีกทั่วไทยลดราคาสินค้ารับปีใหม่ตามนโยบายรัฐ 14 ธ.ค.นี้
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงความพร้อม การจัดงานเทศกาล “รวมใจ เพิ่มสุข ช็อปสนุก ลดรับปีใหม่” ว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ ห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ รวมกว่า 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ
โดยกิจกรรมครั้งนี้ ผู้ประกอบการจะนำสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งของใช้ประจำวันและสินค้าอื่นๆ มาลดราคาพิเศษ สูงสุดถึงร้อยละ 80 ในช่วงระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม ถึงวันที่ 4 มกราคม 2561
นายบุณยฤทธิ์ เชื่อมั่นว่า กิจกรรมครั้งนี้ จะสร้างความคึกคักในการจับจ่ายก่อนปีใหม่และหลังปีใหม่ รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี 2560 และช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย โดยขณะนี้ ทุกห้างร้าน ทุกสาขา ทั่วประเทศ ต่างจัดเตรียมสินค้าและแคมเปญต่างๆ ไว้ให้บริการกับประชาชนได้เลือกซื้อเรียบร้อยแล้ว
http://money.sanook.com
ม้มงคล ที่ควรนำวางไว้บนโต๊ะทำงาน เสริมดวง เพื่อความเป็นศิริมงคล!!
โต๊ะทำงาน เป็นพื้นที่ที่หนึ่งที่คนทำงานจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่ เป็นเวลานานนับชม. หรือทั้งวันเลยทีเดียว ดังนั้นแล้วโต๊ะทำงานจึงควรจัดให้มีระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน และนอกจากนั้นแล้วการตกแต่งโต๊ะทำงานให้สวยงาม ก็ยังช่วยให้น่านั่งทำงานมากยิ่งขึ้น แถมยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้อีกด้วย
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากตกแต่งโต๊ะทำงานบ้าง แต่ไม่รู้จะตกแต่งอย่างไรดี ลองประดับโต๊ะด้วยต้นไม้ดูมั้ยคะ นอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศสดชื่นและดูดซับสารพิษได้แล้ว หากคุณเลือกเป็นต้นไม้มงคลต้นไม้เหล่านี้ยังมีความหมายดีๆ ให้ความเป็นสิริมงคลได้อีกด้วย วันนี้เราได้รวบรวม 10 ต้นไม้มงคล ที่ควรนำวางบนโต๊ะทำงาน เสริมดวงเฮง!! ไว้ให้คุณแล้ว น่าสนใจมากเลยทีเดียวใช่มั้ยคะ เช่นนั้นแล้วไปดูกันเลยค่ะ
1.ต้นกระบองเพชร
พรรณไม้ขนาดเล็กถึงปานกลาง ลักษณะต้นเตี้ยๆ แลดูน่ารัก มีรูปทรงหลากหลายไม่ว่าจะเป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยม หรือรูปร่างแปลกๆ แตกต่างกันออกไปแล้วแต่สายพันธุ์ มีประโยชน์ในการดูดคลื่นรังสีจากจอคอมพิวเตอร์เป็นไม้ประดับที่คงทน ปลูกง่าย แต่มีความเชื่อว่าไม่เหมาะแก่คนโสด เพราะจะทำให้ผิดหวังในความรัก
2. แก้วกาญจนา
เขียวหมื่นปี หรือ อโกลนีมา (Aglaonema) เป็นสกุลของพืชไม้ประดับที่มีความสวยงามที่ใบ ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งไม้ประดับ ทนกับความชื้นต่ำได้ดี อยู่ได้เป็นเดือนโดยไม่ต้องรดน้ำหรือได้รับแสงแดด เป็นไม้ที่อยู่ในร่มได้นาน จึงเหมาะกับคนที่งานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาดูแล
3. ไผ่กวนอิมเล็ก
คนโบราณเชื่อกันว่าหากปลูกต้นไผ่กวนอิม จะช่วยทำให้คนในบ้านมีฐานะดี เงินทองไหลมาเทมาเรื่อยๆ แนะนำให้ปลูกในกระถางขนาดเล็กที่มีดินผสมกับปุ๋ยคอกและแกลบในอัตราส่วนที่เท่ากัน ตั้งให้โดนแดดเพียงเล็กน้อย และควรเปลี่ยนดินในกระถางทุกๆ ปี
4. ลิ้นมังกรแคระ
เป็นต้นไม้ที่ดูแลง่ายมาก สามารถอยู่ได้นานถึง 6-7 เดือนโดยไม่จำเป็นต้องรดน้ำ และที่สำคัญยังช่วยเพิ่มออกซิเจนในอากาศ และดูดสารพิษได้อย่างดี เมื่อนำมาวางที่โต๊ะทำงานก็จะช่วยป้องกันและต่อสู่กับสิ่งไม่ดีที่จะเข้ามาเราได้
5. เฟิร์นเงิน
ถ้านำมาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน จะมีประโยชน์ช่วยดูดซับความร้อนและปรับบรรยากาศให้สดชื่นขึ้นมาได้ มีความหมายเป็นสิริมงคล เชื่อกันว่าจะทำให้มีเงินไม่ขาดมืออีกด้วย ปลูกง่ายโดยการเติมน้ำในระดับโคนต้น พรมน้ำเบาๆ ระหว่างวัน และนำออกแดดสามครั้งต่อสัปดาห์
6. บอนสี
เป็นไม้ประดับที่แข็งแรง อยู่ในร่มได้ แต่ควรนำออกแดดบ้าง เวลารดน้ำควรรดให้อยู่ระดับโคนก็พอ ไม่เช่นนั้นใบไม้จะเน่าได้ ถือเป็นไม้มงคล ที่ช่วยคุ้มครองชีวิตจากภัยอันตรายต่างๆ ให้ชีวิตมีแต่ความสุข
7. สับปะรดสี
เป็นไม้ตระกูลสับปะรด มีใบและสีฉูดฉาดสวยงาม มีรากอากาศสามารถเจริญเติบโตขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ดินปลูก แค่เพียงได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ความสวยงามของสัปปะรดสี จะช่วยให้ผ่อนคลายสายตาได้ และเป็นมงคลตามความเชื่อว่า ทำให้ชีวิตราบรื่นไร้อุปสรรค
8. หน้าวัว
ไม้ประดับที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ มีสีสันสวยงาม เหมาะกับคนที่เครียดจากการทำงาน เมื่อได้มองแล้วจะสบายตา แต่บางความเชื่อบอกไว้ว่าสามารถช่วยเสริมดวงความรักได้ด้วย เหมาะกับปลูกในที่ที่มีอากาศเย็น ที่ร่ม และมีแสงรำไร
9. พลูด่าง
พันธุ์ไม้เลื้อยสวยงาม สามารถนำมาทำเป็นกระถางแขวนหรือใส่เป็นแจกันวางบนโต๊ะ ถ้านำไปไว้ในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงก็จะยิ่งดี เชื่อว่าเมื่อนำมาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน ก็จะทำให้มีแต่คนรักคนหลง ทำให้อยู่เย็นเป็นสุขไม่มีทุกข์ร้อน อีกทั้งยังช่วยดูดซับสารพิษในอาคารอีกด้วย
10. ออมเงิน
ต้นไม้ชนิดนี้เป็นพรรณไม้เลื้อย ต้องการแสงแดดจัด และต้องการน้ำมาก ลักษณะใบเป็นใบทรงกลมมน ปลายใบเรียวแหลม กลางใบเป็นสีขาวโดดเด่น เชื่อกันว่าเป็นต้นไม้มงคลที่จะช่วยส่งเสริมดวงทางด้านการเงิน
เปลี่ยนบรรยากาศบนโต๊ะทำงาน ที่มีแต่งานๆ ความรกรุงรัง ยุ่งเหยิง ให้มีความสวยงาม มีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้มงคลกันค่ะ นอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจแล้ว ยังส่งเสริมความเป็นมงคลให้ชีวิตเราอีกด้วย หากชอบต้นไหนก็ลองหามาประดับไว้บนโต๊ะทำงานกันเลยค่ะ
http://สาระน่ารู้.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 12/12/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง
|
ราคารับซื้อต่อกรัม
|
ราคารับซื้อ/บาท
|
ราคาขายออก/บาท
|
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
19,200.00 |
19,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,244.00 |
18,859.04 |
19,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,119.60 |
16,973.14 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
560.00 |
8,489.60 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
435.00 |
6,594.60 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,289.00 |
19,541.24 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 12/12/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปตท
PTT |
บางจาก
BCP |
เชลล์
Shell |
เอสโซ่
Esso |
คาลเท็กซ์
Caltex |
ไออาร์พีซี
IRPC |
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG |
ซัสโก้
Susco |
ระยองเพียว
Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers |
แก๊สโซฮอล 95 |
27.85 |
27.85 |
– |
27.85 |
27.85 |
27.85 |
27.85
|
27.85
|
27.85
|
27.85
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
25.34
|
25.34
|
25.34
|
25.34
|
25.34
|
– |
25.34
|
25.34
|
25.34
|
25.34
|
แก๊สโซฮอล E-85 |
20.64 |
20.64 |
– |
– |
– |
– |
– |
20.64 |
20.64 |
– |
แก๊สโซฮอล 91 |
27.58 |
27.58 |
27.58 |
27.58 |
27.58 |
27.98 |
27.58 |
27.58 |
27.58 |
27.58 |
เบนซิน 95 |
34.96 |
– |
– |
– |
35.41 |
– |
35.46 |
34.96 |
34.96 |
34.96 |
ดีเซลหมุนเร็ว |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
26.39 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม |
29.39 |
30.07 |
30.26 |
30.26 |
30.07 |
– |
– |
– |
– |
– |
มีผลตั้งแต่ |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |
08 Dec 05:00 |