ส่องทำเลวิภาวดีรังสิต ถนนธุรกิจสายใหม่ใจกลางเมือง
เมื่อที่ดินที่มีศักยภาพมีจำกัด โดยเฉพาะในเขตเมือง ทำให้เกิดการขยับขยายพื้นที่ทั้งด้านที่อยู่อาศัย และการประกอบธุรกิจออกมาสู่มุมเมืองอื่นของกรุงเทพฯ มากขึ้น ทำเลวิภาวดีรังสิตเองก็เช่นกันที่ถูกเปลี่ยนหน้าตาจากทำเลที่อยู่อาศัยให้กลายมาเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ใจกลางเมือง มีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ทั้งอาคารสำนักงาน และศูนย์การค้า รวมทั้งเทรนด์ใหม่อย่างโครงการรูปแบบมิกซ์ยูส
รถไฟฟ้าปลุกศักยภาพทำเล
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ถ.วิภาวดีรังสิต กลายเป็นถนนธุรกิจสายใหม่เริ่มเห็นภาพชัดมาตั้งแต่การมาถึงของรถไฟฟ้า BTS เมื่อปี 2542 ส่งผลให้มีสาธารณูปโภคต่างๆ เพิ่มขึ้น และยังผลักดันให้ราคาที่ดินโดยรอบขยับตัวตาม โดยการประเมินราคาที่ดินของกรมธนารักษ์รอบปี 2559-2562 ถ.วิภาวดีรังสิต (เขตห้วยขวาง) พญาไท ดินแดง อยู่ที่ 220,000 บาท/ตารางวา ถ.วิภาวดีรังสิต (เขตจตุจักร) อยู่ที่ 150,000-260,000 บาท/ตารางวา และ ถ.วิภาวดีรังสิต (เขตดอนเมือง) อยู่ที่ 120,000 บาท/ตารางวา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ โดยเฉพาะโครงการสถานีกลางบางซื่อ จุดเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนทางรางขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟธรรมดา รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดจนเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วเสร็จ ก็จะได้เห็นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ผุดขึ้นอีกมากมาย เพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่
สู่การพัฒนาตามเทรนด์ “มิกซ์ยูส”
รูปแบบของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมต่อจากนี้ คือ การการผสมผสานโครงการให้มีความหลากหลาย เพื่อกำไรและความคุ้มค่าในด้านประโยชน์ใช้สอย หรือที่เรียกว่า “มิกซ์ยูส (Mixed-use Real Estate)” คือ เป็นที่อยู่อาศัย (Residential Real Estate) และอาคารเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Real Estate) โดยมิกซ์ยูสที่น่าสนใจส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีทั้งศูนย์การค้า สำนักงาน แหล่งความบันเทิง และที่อยู่อาศัย ซึ่งการพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าการพัฒนาโครงการในรูปแบบอื่นๆ ทั้งยังมีผลดีต่อการพัฒนาเมืองที่ส่วนใหญ่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เพราะที่ดินในส่วนนั้นจะสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เอื้อต่อการลงทุนอสังหาฯ
จากศักยภาพทำเลและรูปแบบโครงการ หากมองในเชิงของนักลงทุนรายย่อยที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไร ยังสามารถใช้ความครบครันเป็นตัวปั้นมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองได้อย่างดีอีกด้วย เนื่องจากองค์ประกอบของมิกซ์ยูสเข้าข่ายสินทรัพย์ที่ไม่มีวันด้อยค่าจากราคามูลค่าที่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา โดยส่วนใหญ่โครงการมิกซ์ยูสจะถูกเลือกให้อยู่ในแหล่งที่มีแนวโน้มความเจริญในอนาคตอย่างวิภาวดีรังสิต เนื่องจากมีรถไฟฟ้าผ่าน มีห้างชั้นนำมาเปิดบริการ ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากปัจจัยด้านตลาดคอนโดมิเนียมที่ยังคงเติบโต ซึ่งสวนทางกับพื้นที่ใจกลางเมืองที่นับวันจะยิ่งหาได้ยากขึ้น ประกอบกับการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้จะได้เห็นภาพการขยับขยายย่านธุรกิจ รวมถึงโครงการรูปแบบใหม่ๆ ได้อีกในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com
กทม.เข็นโปรเจ็กต์ทางเลียบเจ้าพระยาประมูลปลายปีนี้
ยังไม่พับ ! กทม.ดันสุดลิ่ม โปรเจ็กต์บิ๊ก คสช. ปักตอม่อสร้างทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเฟสแรก 14 กม. จาก “สะพานพระราม 7-สะพานปิ่นเกล้า” วงเงิน 8,362 ล้านบาท ปลายปีนี้กดปุ่มประมูล 2 สัญญากว่า 3.8 พันล้าน ปีหน้าลงเสาเข็ม “สะพานพระราม 7-คลองบางซื่อและสะพานพระราม 7-คลองบางพลัด” สนข.เตรียมชง คจร.เคาะพิมพ์เขียวพัฒนาทางเลียบเจ้าพระยาพาดยาว 4 จังหวัด 148 กม. ลงทุน 3.5 หมื่นล้าน นำร่องพื้นที่ “สะพานนนทบุรี 1-สะพานพระราม 5” โมเดลต้นแบบ
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบัน กทม.ยังคงเดินหน้าโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ระยะแรกช่วงสะพานพระราม 7-สะพานปิ่นเกล้า ระยะทางรวม 2 ฝั่งประมาณ 14 กม. แบ่งการก่อสร้าง 4 สัญญา ระยะทางสัญญาละ 3.5 กม. ค่าก่อสร้าง 8,362 ล้านบาท
ยันสิ้นปีเปิดประมูลแน่
ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 จากพระราม 7-คลองบางซื่อ วงเงิน 1,770 ล้านบาท ช่วงที่ 2 วงเงิน 2,470 ล้านบาท จากคลองบางซื่อ-สะพานปิ่นเกล้า ช่วงที่ 3 จากสะพานพระราม 7-คลองบางพลัด วงเงิน 2,061.5 ล้านบาท และช่วงที่ 4 จากคลองบางพลัด-คลองสามเสน วงเงิน 2,061.5 ล้านบาท จะใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปี 6 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563
“ที่ผ่านมาโครงการล่าช้าเพราะเราต้องการดำเนินการทำทุกอย่างให้เคลียร์ ก่อนที่จะเดินหน้าก่อสร้าง ทั้งการรื้อย้ายและรูปแบบก่อสร้าง เพราะผลกระทบค่อนข้างมาก และรัฐบาลก็ให้งบประมาณอุดหนุนมาแล้ว คาดว่าภายในปลายปี 2561 หรืออย่างช้าต้นปี 2562 จะเปิดประมูลก่อสร้างพื้นที่ฝังธนบุรีก่อน คือ ช่วงที่ 1 และช่วงที่ 3 เพราะเคลียร์เรื่องรูปแบบก่อสร้างและการรื้อย้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนตอนที่ 2 และตอนที่ 4 อยู่ในพื้นที่ฝั่งพระนคร ยังเคลียร์เรื่องการรื้อย้ายไม่แล้วเสร็จ และยังต้องปรับรูปแบบก่อสร้างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบก่อน เพราะช่วงบริเวณนี้จะมีส่วนที่ต้องตัดโค้งไปมาในบางช่วง”
รอ มท.1 ไฟเขียว
แหล่งข่าวจาก กทม. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้รอทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พิจารณาอนุมัติทีโออาร์เพื่อเปิดประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีบิดดิ้ง) โดยทางกระทรวงมหาดไทยรอการอนุมัติจากกรมเจ้าท่าและกรมศิลปากรอนุญาตให้ใช้พื้นที่ ซึ่ง กทม.ได้ยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ก่อสร้างไปยังกรมเจ้าท่าแล้วตั้งแต่ปี 2560 ขณะที่พื้นที่อยู่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ได้ขออนุญาตไปยังกรมศิลปากรแล้ว
“รัฐบาลสั่งการให้ กทม.เร่งรัดโครงการโดยเร็ว เพราะล่าช้ามานาน ซึ่งโครงการนี้เป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Chao Phraya for All ที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์มาใช้พื้นที่ริมน้ำ เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พักผ่อน ออกกำลังกาย เช่น บริเวณสะพานพระราม 8 จะพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กใหม่”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบก่อสร้าง จะสร้างทางขนาด 6-10 เมตร ยื่นเข้ามาในแม่น้ำ โดยสร้างต่ำกว่าระดับเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ 1.50 เมตร ออกแบบเป็นทางขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมเกาะกลางเพื่อเป็นเขตกั้นระหว่างทางจักรยานและทางเดิน โดยมีจุดแลนด์มาร์กเป็นระยะ ๆ ตามจุดพื้นที่ที่มีความสำคัญ
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับโครงการทางเลียบเจ้าพระยาที่ กทม.กำลังดำเนินการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาพื้นที่และทางสัญจรเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการไว้
สนข.ชง คจร.เคาะพิมพ์เขียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแผนพัฒนาทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาที่ สนข.ศึกษาไว้ จะดำเนินการใน 4 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี กทม. และสมุทรปราการ โดยเริ่มจากสะพานปทุมธานี 1 ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จนถึงสุดเขตพื้นที่บางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะทางทั้ง 2 ฝั่ง 148.6 กม. ใช้เวลาดำเนินการ 5 ปี วงเงินก่อสร้างทั้งโครงการ 35,835 ล้านบาท
แยกเป็นพื้นที่ กทม. 18,105 ล้านบาท ที่เหลือ 17,727 ล้านบาท เป็นของพื้นที่ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ
ปักหมุดท่าน้ำนนท์โปรเจ็กต์นำร่อง
โดย สนข.เตรียมจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบจราจรทางบก (คจร.) อนุมัติก่อสร้างโครงการนำร่องพื้นที่ท่าน้ำนนทบุรีช่วงสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ (สะพานนนทบุรี 1) ถึงสะพานพระราม 5 วงเงิน 5,129 ล้านบาท เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการต่อไป
สาเหตุที่ สนข.เลือกบริเวณท่าน้ำนนทบุรีเป็นพื้นที่นำร่อง เนื่องจากเป็นพื้นที่มีสถานีที่ราชการริมน้ำ สามารถเชื่อมต่อกับท่าน้ำนนทบุรี และมีอาคารศาลากลางเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ประกอบกับมีปริมาณการเดินทางบริเวณโดยรอบพื้นที่ของประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณดังกล่าวมีความกว้างเฉลี่ย 230 เมตร เป็นโอกาสในการพัฒนาทางสัญจรเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ชุมชนส่วนราชการ สวนสาธารณะ และการคมนาคมขนส่งทางน้ำให้เกิดศูนย์กลางกิจกรรมริมน้ำของเมืองนนท์
ปั้นศูนย์กลางสัญจรทางน้ำ
โดยแบบแนวคิดการพัฒนา ประกอบด้วย 1.ปรับปรุงพื้นที่ริมน้ำหน้าศาลากลางนนทบุรี 67,000 ตารางเมตร เป็นศูนย์กลางกิจกรรมสาธารณะของเมือง 2.ทางสัญจรแนวเหนือ-ใต้ ตามแนวเขื่อนเดิมและโครงการเขื่อนป้องกันน้ำท่วม 8.22 กม. 3.ปรับปรุงโครงข่ายถนนเดิมที่สามารถเข้าถึงพื้นที่เลียบแม่น้ำ 8.290 กม.
4.สร้างศูนย์กลางกิจกรรมสาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ลานกิจกรรม จุดแวะพัก พื้นที่ 790 ตารางเมตร 5.สร้างสะพานข้ามแม่น้ำและสะพานข้ามคลองต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงย่านพักอาศัยฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของเมืองนนท์ ให้เดินทางสะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระยะทาง 1.170 กม. และ 6.ปรับปรุงถนนเดิมที่อยู่ใกล้หรือขนานแม่น้ำ เพื่อรองรับทางจักรยาน ระยะทาง 760 เมตร
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
15 ต.ค.นี้ ขสมก.ปรับค่าโดยสารรถเมล์ปรับอากาศรุ่นใหม่6สาย 100 คัน เป็น13-25บาท
นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กำหนดให้รถโดยสารปรับอากาศที่วิ่งให้บริการประชาชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จัดเก็บค่าโดยสารในอัตรา 13 – 25 บาท แต่ที่ผ่านมา ขสมก.จัดเก็บค่าโดยสารในอัตรา 11 – 23 บาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการดูแลภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางให้กับประชาชน มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558
แต่ปัจจุบัน ขสมก.อยู่ระหว่างการพัฒนาการให้บริการรถโดยสาร ตามยุทธศาสตร์ของแผนฟื้นฟูกิจการด้วยการนำรถโดยสารปรับอากาศรุ่นใหม่ มีเทคโนโลยีทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาวิ่งให้บริการประชาชน ทดแทนรถโดยสารเดิมที่มีสภาพเก่าทรุดโทรม เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้น
โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ ครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561 เห็นชอบให้ ขสมก.กำหนดอัตราค่าโดยสารรถปรับอากาศรุ่นใหม่ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ขสมก.จึงขอกำหนดอัตราค่าโดยสารรถปรับอากาศรุ่นใหม่ ทั้งรถโดยสารที่นำเข้ามาวิ่งให้บริการแล้ว และรถโดยสารที่กำลังทยอยเข้ามาเพิ่มในอนาคต เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการดังกล่าว
ซึ่งรถโดยสารปรับอากาศรุ่นใหม่ที่ ขสมก.นำมาวิ่งให้บริการประชาชน เป็นรถโดยสารชานต่ำ (Low Floor) มีการออกแบบในลักษณะ Universal Design พร้อมติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้แก่ กล้อง CCTV, ระบบ GPS, ทางลาดสำหรับเข็นรถวีลแชร์ เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการทุกประเภท ทั้งคนพิการและผู้สูงอายุสามารถใช้บริการรถโดยสารได้อย่างสะดวกปลอดภัย โดย ขสมก.จะเริ่มใช้อัตราค่าโดยสารใหม่กับรถโดยสารปรับอากาศชานต่ำใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 100 คัน ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันรถโดยสารดังกล่าววิ่งให้บริการในสาย 20, 21, 37, 105, 138 และสาย 140 ส่วนรถโดยสารเก่าทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ยังคงใช้อัตราค่าโดยสารราคาเดิม
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ไทยเอาแน่! เร่งหามาตรการจัดเก็บ ภาษี โซเซียล
ต้องยอมรับว่า สังคมโลกออนไลน์มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นขายของออนไลน์ที่ฮิตติดลมบน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไปนั้นเอง จนทำช่วงปีที่ผ่านมา สรรพากรต้องออกมาตรการจัดเก็บ ภาษี เป็นการเร่งด่วน ล่าสุดเตรียมหารือหน่วยงานรัฐเพื่อเก็บภาษีโซเชียลแล้ว เนื่องจากเงินไหลออกนอกประเทศมหาศาล
ทำไม? ไทยเตรียมจัดเก็บภาษีโซเชียล (Facebook -Google)
สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยเร่งหารือกับหน่วยงานรัฐอย่างจริงจังหลังจากที่คนไทยใช้จ่ายผ่านโลกออนไลน์สูงถึง 1.41 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ Facebook และ Google ที่มีเม็ดเงินจากไทยไหลออกเป็นมหาศาล เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาพฤิตกรรมการบริโภคของคนเริ่มเปลี่ยนไป หันมาใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร หรือจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ จึงทำให้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าหรือแบรนด์ของตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น จึงควรให้มีมาตรการการจัดเก็บภาษีขึ้น
โฆษณาผ่านออนไลน์ทะลุหมื่นห้าพันล้าน
สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT ระบุว่า ช่วงครึ่งปีหลังการใช้งบโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจะมีเม็ดเงินทั้งปีหมุนเวียนกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งโตเพิ่ม 21% จากปีก่อน เนื่องจากสินค้ารุกอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มต่างๆ มีการแข่งขันกันดุเดือด เช่น Facebook มีส่วนแบ่งตลาด 30%และ Youtube 18% เพราะมีฐานผู้ใช้เป็นจำนวนมากบวกกับทั้งสองแพลตฟอร์มได้เข้ามาจัดตั้งบริษัทในไทยด้วย
ขณะที่ twitter และ Line เริ่มได้รับความนิยมจากกลุ่มสินค้าเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน รวมถึงแบรนด์สินค้า เริ่มหันมาใช้ twitter ส่วน Line ที่มีการพัฒนาฟังก์ชั่น บริการ และวิดิโอคอล ทำให้มีฐานผู้ใช้ครอบคลุมเด็กถึงผู้สูงอายุ และInstagram ที่เป็นที่นิยมของสินค้ากลุ่มแฟชั่น และความงาม
ไทยเตรียมลอกต้นแบบจัดเก็บภาษีแบบอินโดนีเซีย
ประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่เริ่มต้นจัดเก็บภาษีจากบริษัทที่ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Yahoo , twitter , Facebook ก็ตาม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา กรมสรรพากร อินโดนีเซียระบุว่า เมื่อปี 2557 Google เสียภาษีในอัตราไม่เกิน 0.1% เท่านั้น ซึ่งรัฐบาลจาการ์ตามองว่าไม่เป็นธรรมตามกฎหมายนิติบุคคล หลังจากที่สร้างรายได้จากค่าโฆษณาราว 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 28,000 ล้านบาท จึงให้เก็บภาษีเงินได้เพิ่มเป็นที่ 10% ต่อปี โดยเป็นการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งรวมมูลค่าแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 14,000 ล้านบาท
ยุโรปไล่เก็บภาษีดิจิทัล 3%
รายงานจากไฟแนนเชียล ไทมส์ ระบุว่า คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EC กำลังพิจารณาเรียกเก็บภาษีดิจิทัลในอัตรา 3% จากบริษัทเทคโนโลยีที่มีผู้ใช้งานเกินกว่า 100,000 คน ในภูมิภาคยุโรป โดยประเมินจากรายได้ของบริษัทแทนการประเมินจากผลกำไร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่รายได้จากการขายโฆษณาของ Google และ Facebook ไปจนถึงรายได้จากค่าสมาชิกของบริษัท Apple และ Spotify AB ซึ่งคาดว่าถ้าทำการจัดเก็บภาษีได้จะทำให้สหภาพยุโรป หรือ EU มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 5 พันล้านยูโรต่อปี
ขณะที่ประเทศในยุโรปอย่างอังกฤษ ก็เริ่มดำเนินการไล่เก็บภาษีจากบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่แล้วเช่นกัน เช่น ในอังกฤษมีข้อมูลระบุว่า Google ได้จ่ายภาษีย้อนหลังให้อังกฤษราว 185 ล้านดอลลาร์
E-Commerce โดนเก็บภาษีด้วย
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ระบุวา รัฐบาลกำลังเร่งเตรียมจัดเก็บภาษีการซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์ (E-Commerce) หลังจากที่มีการแพร่หลายไปในวงกว้าง โดยเฉพาะ Lazada, Alibaba, 11street และJD.com ฯลฯ ที่เข้ามาลงทุนในไทย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อร้านค้าที่เป็น Offline และยังเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคทางหนึ่ง จึงจำเป็นต้องจัดระบบภาษีที่ถูกต้อง ให้รู้ที่มาที่ไป ทำให้เกิดมูลค่าสูงสุดในอาเซียนของการซื้อขายสินค้าออนไลน์
และปัญหาของการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-payment) ทั้ง AliPay และ WeChat Pay บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ จดทะเบียนบริษัทในไทย ทำให้รัฐสูญเสียโอกาสจากการจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข
e-Businessต่างประเทศรายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องภาษี
กระทรวงการคลังเผยถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Business ในต่างประเทศ ที่ให้ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลแพลตฟอร์มในต่างประเทศ มีรายได้จากการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยื่นแบบแสดงรายการภาษี และนำส่งภาษีให้แก่กรมสรรพากรผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ตัวอย่างการเก็บภาษีจากผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลแพลตฟอร์มในต่างประเทศเช่น การโฆษณา ดาวน์โหลดเกมส์ ดาวน์โหลดสติกเกอร์ สมัครสมาชิกทีวีออนไลน์ เป็นการเก็บภาษีจากดิจิทัลคอนเทนส์ หรือดิจิทัลเซอร์วิส รวมถึงการให้บริการต่าง ๆ ที่มีการซื้อขายกันและมีการเก็บค่าบริการซื้อขายจากการซื้อสินค้านั้น ก็จะมีการเก็บภาษี Vat ในส่วนของค่าบริการเท่านั้นไม่รวมถึงค่าสินค้า
ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความเป็นธรรมทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ โดยจะเน้นการเก็บภาษีจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก ไม่ได้เก็บภาษีจากผู้ซื้อ เช่น หากจองที่พักในเมืองไทยผ่านผู้ให้บริการออนไลน์ต่างประเทศ ผู้ให้บริการออนไลน์จะเสียภาษี Vat ในส่วนของค่าบริการเท่านั้น ไม่ได้เก็บจากค่าห้องพักด้วย เพราะค่าห้องพักมีการเสียภาษีในส่วนนี้อยู่แล้ว ส่วนจะมีการผลักภาระให้ประชาชนต้องจ่ายเงินเพิ่มทางอ้อมหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ให้บริการ
ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดช่องโหว่มากมาย จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องเข้ามาควบคุมให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคไทยมากยิ่ง ไม่ให้ต่างชาติมาชุบมือเปิบหรือจับเสือมือเปล่าได้
ขอบคุณข้อมูลจาก กระทรวงการคลัง , กรมสรรพากร , สพธอ. , DAAT , ไทยโพสท์
ปลายฝนต้นหนาว เฝ้าระวัง 7 โรค ที่มากับอากาศเปลี่ยนแปลง
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จึงควรดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็ก อาจส่งผลอันตรายให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่มักเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของสองฤดูนี้ เราลองมาดูกันนะคะว่า มีโรคอะไรบ้าง และมีการป้องกันดูแลอย่างไร
ปลายฝนต้นหนาว ต้องระวังโรคอะไรบ้าง?
เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) ติดต่อได้ง่ายจากการไอ จาม หรือติดมากับมือ โดยอาการของโรคคล้ายกับไข้หวัด คือ มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คัดจมูก ไอ แต่จะเป็นรวดเร็วและมีความรุนแรงมากกว่า
โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่ ประมาณ 2-4 วัน อาการจะค่อยๆ ลดลง ใครที่เสี่ยงจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรพักผ่อนให้มากๆ สวมหน้ากากอนามัย หากป่วยมีอาการไข้สูง ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนปกติ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สามารถแพร่เชื้อได้ในอากาศ ติดต่อจากคนสู่คนผ่านการไอหรือจาม โดยอาการของโรค คือ หอบ น้ำมูกไหล ไอแห้งๆ และต่อมาจะเริ่มมีเสมหะเหนียว จาม คัดจมูก ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก รวมถึงอาจมีอาการท้องเสีย ซึ่งอาการดังกล่าวมักเกิดแทรกซ้อนตามหลังโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ทั้งนี้การรักษาขึ้นอยู่กับอาการ หากไม่รุนแรง แพทย์อาจให้ยากลับไปรับประทานที่บ้าน แต่ถ้ารุนแรงมาก เช่น มีไข้สูง เซื่องซึม หายใจเร็ว หอบมากจนริมฝีปากเขียว แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
สาเหตุมาจากความสกปรกและอับชื้น ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว และมีฝนตกชุก บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน จึงเอื้อต่อการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย โดยโรคที่พบได้บ่อย คือ โรคน้ำกัดเท้า ซึ่งเกิดจากการแช่น้ำ หรือเดินย่ำน้ำนานเกินไปจนเป็นเหตุให้ผิวหนังเปื่อย ยุ่ย ลอก และเกิดอาการระคายเคือง อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราตามมาได้ และในช่วงที่อากาศหนาวเย็น คนนิยมอาบน้ำอุ่นจัดหรือร้อนเกินไป ซึ่งก็อาจส่งผลให้ผิวแห้ง เกิดอาการคันและผิวหนังอักเสบได้ง่ายตามมาด้วย
ดังนั้นวิธีป้องกัน คือ ควรเลือกสวมเสื้อผ้าให้เหมาะสมตามฤดูกาลของประเทศ จะช่วยทำให้สภาพผิวของเราไม่เกิดการแพ้ อับชื้น รวมไปถึงการระคายเคืองของผิวหนัง จนก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้ ซึ่งหากเกิดความผิดปกติของผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโดยตรง และเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักและผลไม้ เช่น ข้าวโพด แครอท ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้
ในช่วงเวลาที่อากาศกำลังเปลี่ยนแบบนี้ โรคดังกล่าวมักพบได้บ่อย โดยอาการจะคัดจมูก หายใจไม่สะดวก จาม หรือบางรายอาจมีผื่นแดงตามตัวและผิวหน้า ดังนั้นควรดูแลสุขภาพโดยการหลีกเลี่ยง การเข้าไปในพื้นที่แออัดที่มีแนวโน้มว่าจะมีฝุ่นละอองเป็นจำนวนมาก เช่น การใช้บริการขนส่งสาธารณะ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้หาอุปกรณ์สวมปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้ง แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์
อาการของโรคที่พบได้บ่อยคือ จะมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงๆ อย่าง ฝรั่ง หรือผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวอย่าง ส้มเขียวหวาน, ส้มโอ, ส้มจี๊ด, มะขามป้อม ฯลฯ หรือแม้แต่แอปเปิ้ลที่มีราคาไม่แพงก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน สามารถรับประทานได้หมดทั้งสีเขียวและสีแดง แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์เฉพาะทางจะดีที่สุด
คนส่วนมากมักคิดว่าโรคนี้มักเป็นกันในช่วงหน้าร้อน แต่ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ก็สามารถเป็นได้เช่นกัน สาเหตุมาจากแบคทีเรีย และไวรัสจากอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด อาหารสุกๆ ดิบๆ การไม่ล้างมือก่อนหยิบอาหารเข้าปาก ก็มีส่วนทำให้แบคทีเรียต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ อาการโดยทั่วไปจะเริ่มถ่ายอุจจาระ วันละ 3 ครั้งขึ้นไป ถ่ายเป็นน้ำ หรือมีมูกเลือด และมักมีอาการปวดท้อง มวนท้อง อ่อนเพลียร่วมด้วย ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นหนักถึงขั้นติดเชื้อจนมีอาการไข้ขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ต้องรีบไปพบแพทย์ด่วน
7.โรคอีสุกอีใส
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคภายหลังรับเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ มักจะระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูฝน เช่นเดียวกับโรคหัด โดยมากพบในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-12 ขวบ รองลงมา คือกลุ่มเด็กอายุ 1-4 ขวบ กลุ่มวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว จะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่มักจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดขณะเดียวกันก็จะมีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังมีไข้ โดยในระยะแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆ และคัน ถ้าเริ่มมีอาการดังกล่าวก็ควรจะรีบไปพบแพทย์ เพราะถ้ามีไข้สูง อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนทางสมองและตับ อาจทำให้เสียชีวิตได้เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจาก 7 โรคที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ควรรู้จักเตรียมตัวเองให้พร้อม เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องเจ็บไข้ได้ป่วย หรือลุกลามจนเกิดมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้
ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง | ราคาขาย/บาท | ราคารับซื้อ/บาท | ราคารับซื้อ/กรัม |
ทองคำแท่ง 96.5% | 18,900.00 | 18,800.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 19,400.00 | 18,464.88 | 1,218.00 |
ทองรูปพรรณ 99.99% | n/a | 19,131.92 | 1,262.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | n/a | 16,618.39 | 1,096.20 |
ทองรูปพรรณ 80% | n/a | 14,771.90 | 974.40 |
ทองรูปพรรณ 50% | n/a | 8,307.68 | 548.00 |
ทองรูปพรรณ 40% | n/a | 6,458.16 | 426.00 |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2561
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 | 31.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 | 31.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 28.44 | 28.44 | 28.44 | 28.44 | 28.44 | – | 28.44 | 28.44 | 28.44 | 28.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 22.04 | 22.04 | – | – | – | – | – | 22.04 | 22.04 | – |
เบนซิน 95 | 38.56 | – | – | – | 39.01 | – | 39.06 | 38.86 | 38.66 | 38.86 |
ดีเซล | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 | 29.89 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 32.89 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | 33.76 | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.13 | 15.13 | – | – | – | – | – | – | – | – |