เดิมพันทางด่วนแสนล. ” BEM ” ลดค่าเสียหายอื้อแลกสัมปทาน 30 ปี
“บีอีเอ็ม” ลดค่าเสียหายแสนล้าน ถอนฟ้องทุกคดีลดหนี้เหลือ 5 หมื่นล้านแลกขยายสัมปทาน 30 ปี ด่วน 2-บางปะอิน-ปากเกร็ด พร้อมสร้างทาง 2 ชั้น แก้วิกฤติจราจร ประเมิน กทพ. ส่อแพ้
ทุกคดี ปี 2578 ค่าโง่ทะลุ 3 แสนล้าน
หลังจากคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(บอร์ดกทพ.) มีมติเห็นชอบให้ กทพ.ขยายอายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ให้กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบีอีเอ็ม 30 ปี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 แลกกับการลดมูลค่าหนี้ เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างกัน จาก 137,517 ล้านบาท เหลือเพียง 58,873 ล้านบาท
ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพนักงาน กทพ.ที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากศาลตัดสินเพียงคดีเดียวคือทางแข่งซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมด 17คดี ให้กทพ.แพ้คดี และต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับบีอีเอ็มจำนวน 4,300 ล้านบาท มองว่าไม่ควรนำคดีที่ศาลยังไม่ตัดสินในอนาคตมาเหมารวมว่าแพ้ โดยเฉพาะเรื่องการปรับค่าผ่านทางทุก 5 ปี ที่เอกชนและรัฐมองต่างมุม อีกทั้งบอร์ดกทพ.ยังยกโครงการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้นให้กับบีอีเอ็มได้ประโยชน์ แทนที่จะเปิดให้เอกชนรายอื่นร่วมแข่งขัน
ขณะที่ทางออกปมข้อพิพาทนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา แก้ไขปัญหา โดยมีนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแต่สหภาพตั้งข้อสังเกตอ้างว่าคณะกรรมการที่นาย ศักด์สยามแต่งตั้ง แม้แต่ตัวปลัดกระทรวงคมนาคมเอง กลับกลายเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ แลกสัมปทานทางด่วนดังกล่าว ล่าสุด เตรียมทำหนังสือ ถึง ปปช. สตง. ตรวจสอบ แม้เงื่อนสัญญาใหม่เอกชนจะตัดประโยคว่าทางแข่งออก
บีอีเอ็มแจงสู้ไปก็แพ้
ด้านผู้แทนของ บีอีเอ็ม ประเมินว่า เพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐ มูลค่าข้อพิพาท ที่ฟ้องร้องกันกว่า 137,517 ล้านบาท หากไม่ยุติ ปล่อยให้ฟ้องต่อจนกทพ.แพ้คดีจะมีมูลค่า ความเสียหายกว่า 163,800 ล้านบาท(มูลค่าปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม มองว่ากทพ.มีโอกาส แพ้คดีสูงเนื่องจากศาลปกครองสูงสุด ได้ตัดสินให้กทพ.แพ้คดีทางแข่งขัน ปี 2542-2543เป็นบรรทัดฐานแล้ว ส่วนค่าผ่านทาง กทพ.แพ้ในชั้นอนุญาโตตุลาการ และศาลปกครองกลางทุกคดี โอกาสที่จะแพ้ ในชั้นศาลปกครองสูงสุด จึงสูงมากเช่นกัน หาก กทพ.แพ้คดี ต้องชดใช้ให้บีอีเอ็มเป็นเงินกว่า 3.2 แสนล้านบาท ทำให้รัฐต้องเป็นหนี้มีภาระทางการเงินจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ เช่นกรณีโฮปเวลล์ ซึ่งเป็นภาระของรัฐบาล กระทั่งไม่สามารถหาทางออกได้
ปี78หนี้พุ่ง3แสนล้าน
“ปมข้อพิพาท หากกทพ. ยืนยันสู้ต่อไป ตามนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจาก 137,517 แสนล้านบาท ในปี2561 จะกลายเป็น 326,127 ล้านบาท ในปี 2578” ผู้แทนบีอีเอ็ม กล่าวพร้อมประเมินว่า หากคดีทยอยตัดสินคาดว่าจะรู้ผลปี 2578 มูลค่า หนี้ทั้งหมดจะอยู่ที่ 326,127ล้านบาท แยกเป็น ข้อพิพาท ถึงปี2561 เงินต้น 97,267 ล้านบาท ดอกเบี้ย 88,317 ล้านบาท รวมกรณีข้อพิพาทหลังปี 2561 เงินต้น 89,119 ล้านบาท ดอกเบี้ย 51,424 ล้านบาท
หากย้อนรอยค่าโง่ทางด่วนเกิดจาก กทพ.ไม่ปรับค่าผ่านทาง ทั้งๆที่ตามสัญญากำหนดให้ค่าผ่านทางปรับขึ้นทุก 5 ปี ตามดัชนี ผู้บริโภค ที่เพิ่มขึ้น โดยปัดเศษ ขึ้นเป็นจำนวนเต็ม 5 บาท ตั้งแต่ปี 2546 กทพ.ปรับค่าผ่านทาง โดยใช้วิธี ปัดเศษลงหากคำนวนได้ไม่ถึง 5บาท เพื่อเป็นนโยบายประชานิยมให้รัฐบาล เอาใจคนกรุงเทพ การไม่ปรับตามสัญญา ทำให้รายได้ของบีอีเอ็มลดลง ซึ่งกทพ. ไม่ชดเชยให้ตามสัญญา กลับนำเรื่องสู่การพิพาทจนท้ายที่สุด คดีส่วนใหญ่คณะอนุญาโต ตุลาการและศาลปกครองกลางตัดสินให้กทพ.แพ้ต้องชดเชย ซึ่งคดีนี้ จะมีผลต่อเนื่องทุกปี รวมดอกเบี้ย
ยุติข้อพิพาทแลกสัมปทาน
ส่วนข้อเสนอ ก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางด่วนพิเศษศรีรัชเพื่อแก้ปัญหาจราจร โดยกทพ.ไม่ต้องเสียเวลาเปิดประมูล ระยะทาง 17 กิโลเมตร มูลค่า 3.1หมื่นล้านบาท จากงามวงศศ์วาน-อโศก-พระราม 9 เป็นทางยกระดับเหนือทางด่วนเดิม โดยมีจุดขึ้น-ลงเชื่อมกับทางด่วนเดิม7จุด เหมือนทางด่วน ขั้นที่ 1 บริเวณท่าเรือคลองเตย มีด่านเก็บเงินเพิ่ม ที่ประชาชื่น (14ช่อง) และอโศก (14ช่อง) และก่อสร้างทางข้าม 2 แห่ง ที่ต่างระดับมักกะสันเพื่อลดการตัดกระแสจราจรการขยายผิวจราจรบริเวณ คลองประปา และมักกะสันเพื่อแก้ปัญหาจุดคอขวด ซึ่งยอมรับว่า กทพ.ลดค่าใช้จ่ายได้มาก ขณะค่าผ่านทาง ยังได้รับส่วนแบ่งเช่นเดิม โดยเฉพาะ ช่วงที่จราจรหนาแน่น
สหภาพลุยต่อ
“ฐานเศษฐกิจ”สอบถามไปยัง นายสุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ ผู้ว่ากทพ.และนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคมเพื่อสอบถาม แนวทางแก้ปัญหากรณีค่าโง่ทาง ด่วนและการต่อต้านจากพนักงาน ล่าสุดไม่สามารถติดต่อได้
แหล่งข่าวจากสหภาพฯกทพ.ยืนยันว่า หากกทพ.ยอมตกลง บัญชีจะถูกบันทึกเป็นข้อมูลว่า รัฐยอมแพ้ เอกชนจะมีอำนาจต่อรองเหนือกทพ. ทั้งๆที่อนาคต หลายคดีโดยเฉพาะการขึ้นค่าผ่านทางศาลยังไม่ตัดสินแต่ผู้บริหารตัดสินแทนว่า แพ้คดีและด่วนยก สินทรัพย์ให้เอกชนรายเดิมไป ทั้งๆ ที่อนาคตกทพ.อาจจะชนะคดีก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูล thansettakij.com
อสังหาฯจุก ธปท.ถล่มซ้ำ สแกนหนี้เทียบรายได้
อสังหาฯส่ออ่วมยาว แบงก์ชาติเตรียมฉีดยาแรงอีกเข็ม ให้สถาบันการเงินใช้มาตรฐานกลางคำนวณภาระผ่อนชำระหนี้เทียบกับรายได้ DSR หลังใช้ LTV ทำตลาดหด 50% ด้านดีเวลอปเปอร์วอนสกรีนรายบุคคล ประวัติดี ได้วงเงินกู้สูง ค่ายเล็กรับถูกปฏิเสธสินเชื่อ 50% เซ็นจูรี่ีี21 เอเยนต์ใหญ่ ยํ้ากำลังซื้อในประเทศไม่มี จีนหด เห็นด้วยคุมเข้ม เหตุซัพพลายเหลือตรึมแนวรถไฟฟ้าชานเมือง
นับตั้งแต่ ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับใช้เกณฑ์สินเชื่อใหม่ อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value: LTV ratio) บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมซบเซาหนัก ผสมโรงเศรษฐกิจโลกถดถอย ศึกสงครามการค้าปะทุรุนแรง ลามด้วยการลดค่าเงินหยวน ขณะฮ่องกงเกิดประท้วงครั้งใหญ่ดูทีท่าว่าไม่น่าจะจบได้ในเร็ววันนี้ ส่งผลให้ลูกค้าจีนซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อสำคัญหายไปจากตลาด คาดว่าอาจถึงขั้นทิ้งดาวน์ ไม่กลับมาโอนกรรมสิทธิ์ปลายปีนี้ มากถึง 10% จากยอดซื้อ 3-4 หมื่นหน่วยช่วงเปิดขายเมื่อ 2 ปีก่อน
ล่าสุด ธุรกิจอสังหาฯ กำลัง ถูกถล่มซํ้าอีกระลอก เมื่อมีเสียงสะท้อนว่า แบงก์ชาติจะออกนโยบายให้สถาบันการเงินทุกแห่งเข้มงวดกับภาระหนี้ ก่อนปล่อยสินเชื่อบ้าน โดยจะเริ่มนำมาตรฐานกลางในการคำนวณภาระผ่อนชำระหนี้เทียบกับรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) คาดว่าจะใช้ประมาณพฤศจิกายน 2562 เพื่อลดNPL หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ให้กับกลุ่มเสี่ยง ไล่ตั้งแต่กลุ่มผู้มี รายได้ไม่แน่นอน, เด็กจบใหม่, วัยเริ่มต้นทำงาน, วัยใกล้เกษียณ ขณะหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงระดับ 78.7% จากจีดีพีของประเทศ 16 ล้านล้านบาท มองว่าในระยะยาว มีความน่าวิตก หากไม่มีมาตรการป้องปราม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลายฝ่ายมองว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า มาตรการของแบงก์ชาติที่จะออกมาปลายปี จะบังคับใช้แทน LTV ที่ผู้ประกอบการต้องการยกเลิก, ผ่อนปรน หรืออีกมุมเพื่อไม่ให้ เศรษฐกิจพังพาบทั้งระบบ ซํ้ารอยวิกฤติต้มยำกุ้ง แบงก์ชาติอาจใช้ยาแรงอีกขนานฉีดซํ้าก็เป็นไปได้
ทั้งนี้ ในมุมสะท้อนของ ดีเวลอปเปอร์ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (ORI) กล่าวว่า ธปท.ควรแยกแยะระหว่างมาตรการเชิงป้องกัน กับมาตรการแก้ปัญหาที่กังวลล่วงหน้า ว่าจะเกิดภาพซัพพลายล้นฟองสบู่แตก หรือแม้แต่ต้องการเพื่อจะสกัดกั้นกลุ่มนักลงทุน-เก็งกำไรก็ตาม เพราะที่ผ่านมา การกำหนดให้ผู้ซื้อจากเดิมเคยวางเงินดาวน์ไม่ถึง 10% ขยับขึ้นมาสูงถึง 20% ของมูลค่าที่พักอาศัยนั้น เป็นอัตราที่ปรับขึ้นมากเกินควร ไม่มีโอกาสให้ทั้งผู้ซื้อและผู้พัฒนาได้ปรับตัว ทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดตามมา ซึ่งเห็นควรให้ปรับเปลี่ยนมาใช้วิธีการคัดกรองเป็นรายบุคคลแทน เช่น หากใครมีประวัติผ่อนชำระดี อาจผ่อนปรนเงื่อนไขให้วางดาวน์เพียง 10% ได้ กรณีมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่2 (ตํ่ากว่า 10 ลบ.) โดยที่การผ่อนหลังแรกอาจผ่อนไม่ถึงระยะ 3 ปีตามที่ธปท.กำหนดไว้ (หลักการ LTV : หลังแรกผ่อนอยู่ไม่ถึง 3 ปี กู้หลังที่ 2 หรือหลังแรก 10 ลบ. วาง 20% หลังที่ 3 วาง30%) หรือการขยับเป็นลักษณะขั้นบันได เช่น หลังที่ 2 จากหลักการได้เงินกู้เพียง 80% เป็น85% แทน เพื่อช่วยกระตุ้นอัตราการดูดซับ วงรอบการซื้อ-ขายในตลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ ธปท.และสถาบันการเงินต้องมานั่งพูดคุยจำแนกหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการต่างๆให้เหมาะสม ไม่ใช่การคลุมผู้ซื้อทั้งระบบเช่นนี้ เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นตลาดใหญ่ ครอบคลุมหลายธุรกิจเกี่ยวเนื่องเช่น ธุรกิจก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ สินเชื่อ ฯลฯ พบขณะนี้ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
สำหรับภาพรวมทั้งระบบ ของตลาดอสังหาฯ นายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจบริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “เซ็นจูรี่ 21” ระบุว่าการใช้มาตรการใหม่ของแบงก์ชาติสกัดปัญหา NPL มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากปัจจุบันกำลังซื้อในประเทศแทบไม่มี อีกทั้งสถาบันการเงินเข้มงวดปฏิเสธสินเชื่อ กำลังซื้อจีนลดน้อยลง ขณะซัพพลายเหลือขายค่อนข้างมากโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม แนวรถไฟฟ้าทำเลชานเมือง เช่น ส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้ รอบสถานีพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ, สถานีแพรกษา จังหวัดสมุทรปราการทำเลบริเวณถนนพระราม 5 ถึงแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง จังหวัดนนทบุรี ฯลฯ มีคอนโดมิเนียมของค่ายใหญ่ สร้างเสร็จเมื่อ 3 ปีก่อนเหลือขายมากถึง 40-50% ต่อโครงการซึ่งแต่ละโครงการมีประมาณ 1,000 หน่วยขึ้นไป
เช่นเดียวกับนายพีระวัฒน์ วานิชวัฒน์ กรรมผู้จัดการ บริษัท ฑีฆา เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจและภาพ รวมอสังหาฯ ยังไม่ฟื้นตัว กระทบต่อกำลังซื้อด้วยเช่นกัน โดย เฉพาะผู้ซื้อในระดับกลางล่าง ยอดปฏิเสธสินเชื่อค่อนข้างสูง ทั้งนี้ผู้ซื้อโครงการดิ เอสเซนส์ มียอดปฏิเสธสินเชื่อ 50% เป็นมาตรฐานของผู้ซื้อในย่านบ้านกล้วย-ไทรน้อย นนทบุรี ดังนั้นโปรโมชันที่โดนใจลูกค้ามากที่สุดคือ โครงการออกค่าใช้จ่ายในวันโอนเช่น ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าจดจำนองฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
นักวิเคราะห์มองหุ้นไทยเป็นลบ
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กรุงศรี มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยเป็นลบ คาดดัชนี SET ปรับตัวลงทดสอบ 1,640 – 1,647 จุดก่อนจะสลับดีดตัว เนื่องจากภาพรวมตลาดยังคงมีความกังวลผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ยืดเยื้อซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก
นอกจากนี้สถานการณ์การประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงที่รุนแรงขึ้น รวมถึงความผันผวนของดัชนีจากแรงขายหลังบริษัทจดทะเบียนประกาศงบไตรมาส 2 ก็เป็นอีกปัจจัยกดันต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้
บล.ทิสโก้ ระบุ ผลการเลือกตั้งของอาร์เจนตินาที่ฝ่ายค้านได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง ทำให้ค่าเงินเปโซปั่นป่วน และอาจจะกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกได้
บล. เอเซีย พลัส ประเมินว่าสัปดาห์นี้แรงกดดันอันเนื่องมาจากการประกาศเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ รอบที่ 4 น่าจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยน้อยลง ขณะที่ผลบวกจากการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่ 0.25% มาสู่ 1.5% น่าจะเริ่มขับเคลี่อนให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น หลังจากปรากฎสัญญาณของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 1 ปี ที่ลดลงมาต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ทั้งนี้ หากประเมินผลกระทบในเชิงการประเมินมูลค่า (Valuation )อันเนื่องมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยหลักการแล้วจะทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในตลาดหุ้นกับผลตอบแทนพันธบัตรขยายกว้างขึ้น และนำไปสู่การเปิดทางให้ปรับฐานราคาปิดต่อกำไร (พี/อี เรโช) ของตลาดหุ้นไทยให้สูงขึ้นในลำดับถัดไป
ด้วยมุมมองดังกล่าวข้างต้น ทำให้บล.เอเซีย พลัส มองแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในระยะกลาง น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น การปรับฐานราคาลงในช่วงที่ผ่านมา จึงควรถือเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพื่อการลงทุน อย่างไรก็ตามความเสี่ยงสำหรับการลงทุนก็ยังคงมีอยู่ โดยที่เด่นชัดที่สุดในช่วงนี้น่าจะเป็นปัจจัยทางด้านการเมือง ซึ่งพบว่าระดับความกังวลเรื่องเสถียรภาพรัฐบาลมีสูงขึ้น และนำไปสู่ความเสี่ยงในเรื่องของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2563 โดยภาพรวมจึงคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์สัปดาห์นี้น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,650 – 1,680 จุด
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
มันม่วง สรรพคุณและประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม สารต้านอนุมูลอิสระสูงปรี๊ด!
มันม่วง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Purple Sweet Potato ในผักผลไม้สีม่วงมีสารสำคัญที่ชื่อว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) เป็นสารที่ให้สีม่วงและยังช่วยปกป้องผักผลไม้จากการทำลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต จึงทำให้มันม่วงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าผักสีอื่นๆ
มันม่วง มีประโยชน์และสรรพคุณมากมาย
- มันม่วงเป็นอาหารประเภทแป้งที่ให้พลังงานสูง ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 90 แคลอรี่ มันเทศอุดมไปด้วย เส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและแร่ธาตุมากมาย
- มันม่วงเป็นแหล่งของวิตามินเอ จึงช่วยบำรุงสายตาช่วยการมองเห็น เพิ่มความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย ตามัว ตาฝ้าฟาง และยังช่วยป้องกันเซลล์เยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกายทำงานผิดปกติ ลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก
- ต้านมะเร็ง มันม่วงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า สารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง ลดโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งในช่องท้อง
- ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ มันเทศสีม่วงช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันกับโรคหัวใจ ช่วยชะลอการเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตัน และโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว
- ช่วยชะลอความแก่ มันม่วงยีงช่วยบำรุงผิวชะลอความเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่นช้าลงอีกด้วย
- ช่วยบำรุงตับ มันเทศสีม่วงมีฤทธิ์ป้องกันตับ ช่วยลดเอนไซม์ตับซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบ ทั้งยังลดการก่อตัวของเนื้อเยื่อแผลในตับและยับยั้งความเสียหายของเซลล์ตับที่เกิดจากสารพิษต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก health.mthai.com
“เทม” พักแค่ 4 เดือน “นก-จูเนียร์” นำทัพลุยเอเชียน โอเพ่น
“บิ๊กเอ” เผยข่าวดี “เทม” เทวินทร์ หาญปราบ จะต้องพักรักษาตัวเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้นหลังผ่าตัด ขณะที่ “รามณรงค์-พรรณนภา” นำทัพจอมเตะไทยลุยศึกเอเชียน โอเพ่น 2019 ที่เวียดนาม
วันที่ 12 ส.ค.62 ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ เตรียมส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันเทควันโดนานาชาติ “เอเชียน โอเพ่น เทควันโด แชมเปียนชิพส์ 2019” ระหว่างวันที่ 13-18 ส.ค.นี้ ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งรายการนี้เป็นการเก็บคะแนนสะสมโลกระดับ G1 โดยจะออกเดินทางในวันที่ 13 ส.ค.นี้
สำหรับทีมเทควันโดไทยชุดนี้ ประกอบด้วย “โค้ชเช” เช ยอง ซอก พร้อมด้วยนักกีฬาจำนวน 13 คน ได้แก่ วิลาสินี คามจังหาร รุ่น 46 กก., จุฬานันท์ ขันติกุลานนท์ รุ่น 49 กก., พรรณนภา หาญสุจินต์ รุ่น 53 กก., วิภาวรรณ ศิริพรเพิ่มศักดิ์ รุ่น 57 กก., ธัญนิตย์ ภูธนัตถ์วฤนร์ รุ่น 62 กก., วีรภัทร ไกรฤกษ์ รุ่น 54 กก., รามณรงค์ เสวกวิหารี รุ่น 58 กก., สาทร ชัยสวัสดิ์ รุ่น 58 กก., ศรัญ ตั้งฉัตรแก้ว รุ่น 58 กก., นฤพงษ์ เทพเสน รุ่น 63 กก., หลักชัย ห้วยหงส์ทอง รุ่น 68 กก., ณัฐวีร์ หล่อมพงษ์ รุ่น 74 กก. และ ณัฐภัทร ตันตรามาตย์ รุ่น 87 กก.
โดย ผศ.พิมล กล่าวต่อว่า รายการนี้สมาคมฯ ไม่ได้ส่ง “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ แชมป์โลก รุ่น 49 กก.หญิง เข้าร่วมแข่งขัน เพราะว่าต้องการให้พักร่างกาย หลักจากลุยศึกใหญ่มาหลายรายการติดต่อกัน อย่างไรก็ตามยังมีทั้ง “น้องนก” พรรณนภา หาญสุจินต์ แชมป์โลกคนล่าสุด รวมทั้ง “จูเนียร์” รามณรงค์ เสวกวิหารี นำทีม ซึ่งทั้งสองคนเป็นนักกีฬาตัวความหวังเหรียญทองของเรา ส่วนเป้าหมายนั้นมองไว้ที่อย่างน้อยต้องคว้า 1 เหรียญทอง
“ส่วนกรณีของ “เทม” เทวินทร์ หาญปราบ ที่ได้รับบาดเจ็บหนักไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการพักฟื้นร่างกาย ซึ่งจากที่มีการประเมินไว้ว่าจะต้องพักราวๆ 8 เดือน แต่ล่าสุดอาการบาดเจ็บดีขึ้นเป็นตามลำดับ คาดว่าจะใช้เวลาพักรักษาตัวประมาณ 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของทั้งตัวนักกีฬาและสมาคมฯ ด้วย” บิ๊กเอ กล่าว.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
ยื่นร้องนายก หวั่นล้วงตับ สแกนใบหน้า
หวั่นใช้เทคโนโลยี “ไบโอเมทริกซ์” ยันตัวตนทำธุรกรรมการเงิน กระทบบัญชีเงินฝากคนไทย สมาคมมั่นคงไซเบอร์ เผยเสี่ยงถูกแฮก ล่าสุดบุกยื่น “บิ๊กตู่” เสนอวางมาตรการตรวจสอบโปร่งใสหน่วยงานรัฐบังคับเก็บข้อมูล หามาตรการเยียวยาประชาชน
นายแพทย์สุธี ทุวิรัตน์ กรรมการสมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศ หรือ TISA เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่ากรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังผลักดันให้มี
การใช้ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID)
โดยการเอาเทคโนโลยีชีวมาตร (Biometric) เช่น การจดจำใบหน้า
ลายนิ้วมือ หรือม่านตา มาใช้ ในการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลในการทำธุรกรรมทางการเงิน (Biometric Payment) กำลังส่งผลกระทบต่อเงินฝากธนาคารคนไทย และมีโอกาสถูกแฮกเกอร์สวมรอยถอนหรือสั่งโอนไปจนเกลี้ยงบัญชีโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังไม่สามารถที่จะเรียกร้องความรับผิดชอบจากธนาคารได้
“ปัจจุบันมีการบังคับเก็บข้อมูลชีวมาตรประชาชน ได้แก่ ภาพถ่ายใบหน้า ลายนิ้วมือ 10 นิ้ว โดยหน่วยงานรัฐ เช่น การทำบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง ลงทะเบียนซิมมือถือ นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศ กำหนดให้มีการเก็บข้อมูลม่านตาเพิ่มเติม โดยข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเอกชนผู้รับสัมปทานภาครัฐ หากมีการรั่วไหลข้อมูลหรือเจ้าหน้าที่รัฐนำข้อมูลไปใช้ไม่ถูกต้อง จะส่งผลให้คนไทยทั้งประเทศมีความเสี่ยงที่จะถูกแอบอ้างสวมรอยตัวบุคคลถอนเงินในบัญชีธนาคารจนหมดตัวและยังมีโอกาสที่จะถูกแอบอ้างสวมรอยตัวบุคคลทำธุรกรรมทางดิจิทัลอื่นๆ
ล่าสุดสมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือเกี่ยวกับข้อวิตกกังวลถึงการเก็บข้อมูลชีวมาตรส่วนบุคคลในความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ ไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยประเด็นปัญหาสำคัญ คือ 1.การจัดเก็บข้อมูลชีวมาตรของประชาชนโดยหน่วยงานรัฐ ที่ไม่ได้มีการพิจารณาถึงเหตุผล และความจำเป็นอย่างรอบคอบและรอบด้าน รวมทั้งไม่ได้มีการพิจารณาถึงผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลกรณีที่เกิดการรั่วไหลหรือถูกละเมิด, 2.การที่หน่วยงานรัฐให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการฐานข้อมูลชีวมาตรของประชาชน ,3.การไม่มีมาตรการเยียวยาบุคคลผู้เป็นเจ้าของข้อมูลชีวมาตรที่อยู่ในความควบคุมของหน่วยงานรัฐกรณีเกิดการรั่วไหลหรือถูกละเมิด, 4.การไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่มีธรรมาภิบาลเปิดเผยและโปร่งใส บังคับใช้กับหน่วยงานรัฐที่บังคับเก็บข้อมูลส่วนบุคคลประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลชีวมาตร
สำหรับข้อเสนอแนะ คือ 1.จัดตั้งคณะทำงานเพื่อรวบรวมข้อมูลการบังคับเก็บข้อมูลชีวมาตรของประชาชน 2.ศึกษาว่าประกาศบังคับเก็บข้อมูลชีวมาตรของหน่วยงานรัฐ แต่ละแห่งเป็นไปโดยชอบธรรมและมีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่ และใช้อำนาจรัฐขัดกับบทบัญญัติเรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชนตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
3.ประเมินมาตรฐานแนวทางการกำกับดูแลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานรัฐที่บังคับเก็บข้อมูลชีวมาตรของประชาชนเป็นไปตามมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากลหรือไม่,4.เปิดเผยรายชื่อหน่วยงานรัฐที่ให้เอกชนเข้ามารับผิดชอบบริหารจัดการฐานข้อมลูชีวมาตร และแนวทางการกำกับดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เอกชนเอาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ รวมทั้งหลักฐานการติดตามควบคุมการกำกับดูแลบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานบริหารจัดการฐานข้อมูล
และ5.จัดทำมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหล กำหนดให้หน่วยงานรัฐที่มีการบังคับเก็บข้อมูลชีวมาตร รายงานผลการดำเนินการ ผลตรวจสอบ และการละเมิดต่อสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 21,950.00 | 22,050.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,422.00 | 21,557.52 | 22,550.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,279.80 | 19,401.77 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,137.60 | 17,246.02 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 640.00 | 9,702.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 498.00 | 7,549.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,474.00 | 22,345.84 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/08/2562
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 24.24 | 24.24 | 24.24 | 24.24 | 24.24 | – | 24.24 | 24.24 | 24.24 | 24.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 19.79 | 19.79 | – | – | – | – | – | 19.79 | – | – |
เบนซิน 95 | 34.66 | – | – | – | 35.11 | – | 35.16 | 34.96 | – | 34.96 |
ดีเซล | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 | 25.59 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 24.59 | 24.59 | – | – | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.85 | 15.85 | – | – | – | – | – | – | – | – |