สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561

คมนาคม เผยแผน 5 ปี ขยายมอเตอร์เวย์ 7 เส้นทาง

คมนาคม เผยแผน 5 ปี ขยายมอเตอร์เวย์ 7 เส้นทาง

ปี 2561 ทำเลชานเมืองและพื้นที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า กำลังเป็นทำเลทองที่ได้รับความสนใจทั้งกลุ่มผู้ซื้อและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ปัจจัยหลักมาจากนโยบายส่งเสริมแผนเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นพัฒนาเครือข่ายคมนาคม

รถไฟฟ้าจ่อเปิดบริการ เริ่มปลายปี 61
โครงการขยายเส้นทางให้บริการรถไฟฟ้า อาทิ สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2561 ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เปิดให้บริการบางส่วนในปี 2562 และเต็มระบบปี 2563 สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค เริ่มเปิดให้บริการปี 2562 ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ เปิดให้บริการปี 2563 สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี เปิดให้บริการปี 2564 และสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2566

ขยายมอเตอร์เวย์ 7 เส้นทาง เดินหน้าปี 62
นอกจากระบบรถไฟฟ้าที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทางและมีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ล่าสุด กระทรวงคมนาคมได้เดินหน้าแผนลงทุนโครงการมอเตอร์เวย์ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ใช้เงินลงทุน 3.54 แสนล้านบาท รวม 7 เส้นทาง เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและแก้ปัญหารถติดในโครงข่ายถนนหลักในเขตปริมณฑล

โดยจะเน้นการลงทุนไปที่โซนทิศเหนือและทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ ในรูปแบบการร่วมทุนกับภาคเอกชน เพื่อลดภาระงบประมาณและเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งแผนงานลงทุนทั้งหมดจะเริ่มดำเนินการในปี 2562 และเริ่มต้นก่อสร้างทั้งหมดภายในปี 2566

สำหรับ 7 โครงการดังกล่าว ประกอบด้วย
1. โครงการมอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 108 กิโลเมตร วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท
2. โครงการมอเตอร์เวย์บางบัวทอง-บางปะอิน ระยะทาง 70 กิโลเมตร วงเงิน 7.8 หมื่นล้านบาท
3. โครงการทางยกระดับศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ ระยะทาง 15 กิโลเมตร วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท
4. โครงการขยายโทลเวย์ ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 18 กิโลเมตร วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท
5. โครงการมอเตอร์เวย์บางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทาง 10 กิโลเมตร วงเงิน 1.05 หมื่นล้านบาท
6. โครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท
7. โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร วงเงิน 8.4 หมื่นล้านบาท

การขยายเส้นทางคมนาคมนอกจากจะช่วยเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่สัญจรผ่านไปมาได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเอื้อต่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยออกไปสู่โซนชานเมืองมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภค DDproperty Consumer Sentiment Survey ในไตรมาส 1 ปี 2561 พบว่า ผู้ที่คิดจะซื้อบ้านมีความต้องการโครงการที่อยู่อาศัยในโซนชานเมืองมากกว่าเขตศูนย์กลางย่านธุรกิจใหม่ (New CBD: Central Business Distrist) อย่างย่านรัชดาภิเษก ลาดพร้าว พระราม 9 ที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามมูลค่าที่ดิน ซึ่งเอื้อต่อการขายต่อหรือลงทุนในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก www.ddproperty.com


รู้จักเทคโนโลยี BIM ตัวช่วยยกระดับมาตรฐานอสังหาฯ

รู้จักเทคโนโลยี BIM ตัวช่วยยกระดับมาตรฐานอสังหาฯ

แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะไม่ใช่ภาคธุรกิจที่มีความไฮเทคมากเมื่อเทียบกับหลาย ๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคที่ยังมีไม่มากนัก แม้ว่าปัจจุบันจะมีเรื่องสมาร์ทโฮมที่สามารถสั่งการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟน รวมถึงระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ที่สะท้อนความไฮเทคให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ยังมีต้นทุนสูง เทคโนโลยีเหล่านี้จึงจำกัดอยู่เฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ ระดับไฮเอนด์ ไม่ได้ขยายวงกว้างไปยังทุกระดับราคา 

ขณะที่ภาคการออกแบบและการผลิต รวมถึงระบบบริหารจัดการภายในองค์กร ได้มีการนำเทคโนโลยีหลายรูปแบบเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น เพื่อให้การทำงานเบื้องหลังของภาคอสังหาริมทรัพย์มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น โดยหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยมและถูกพูดถึง นั่นคือ BIM หรือ Building Information Modeling เทคโนโลยีสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มตั้งแต่การออกแบบอาคารไปจนถึงการควบคุมงานก่อสร้าง 
BIM เป็นระบบที่ทำงานผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมกระบวนการต่าง ๆ โดยระบบจะสร้างแบบจำลองที่แม่นยำ ออกแบบ เขียนแบบ คำนวณโครงสร้าง งบประมาณ จัดซื้อ วางแผนงานต่าง ๆ ของอาคาร ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ทุกกระบวนการสอดคล้องกัน คล้ายกับการทำงานร่วมกัน แตกต่างจากวิธีการเดิมที่แยกส่วนกันทำ

ในหลายบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของต่างประเทศ มองว่าการใช้ระบบ BIM ช่วยยกระดับการทำงานในภาคอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นจนจบ ลดระยะเวลาในการทำงานทุกขั้นตอน ลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน ลดความผิดพลาดในการก่อสร้าง ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาโครงการลดลง รวมถึงระบบดังกล่าวยังเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างที่สามารถแบ่งปันให้ทีมงานที่เกี่ยวข้องรับทราบร่วมกันได้ ร่วมกันแก้ปัญหา และเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ ในการทำงานจากฐานข้อมูล BIM

เทคโนโลยี BIM ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะผู้พัฒนาโครงการเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับผู้บริโภคด้วยเช่นกัน เนื่องจากระบบบริหารจัดการต่าง ๆ ที่ควบคุมคุณภาพการทำงาน ทำให้งานก่อสร้างเป็นไปตามแบบ ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับที่อยู่อาศัยคุณภาพดี ตรงตามแบบที่ผู้บริโภคได้เห็นครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง และทำให้ที่อยู่อาศัยที่ได้มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับด้วย

Kuun Ratchapruk

ทั้งนี้ บริษัท เอ็นริช สเตทส์ จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เทคโนโลยี BIM เข้ามาใช้ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งช่วยให้แก้ไขข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในการออกแบบได้รวดเร็ว และยังใช้ระบบดังกล่าวเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง ที่ปรึกษา หรือแม้แต่พนักงานจัดซื้อเพื่อให้เข้าใจทุกกระบวนการตรงกัน ซึ่งมีผลให้บริษัท เอ็นริช สเตทส์ จำกัด ได้รับรางวัล Special Recognition for Design and Construction จากงาน PropertyGuru Thailand Property Awards 2018 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่การแข่งขันในทุกอุตสาหกรรมมีสูง และเทคโนโลยีมีบทบาทสูงที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายอุตสาหกรรม แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะไม่ได้ถูก Digital Disrupt หรือถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ก็เริ่มมีความจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยแม้ว่าจะไม่ได้ใส่เป็นฟังก์ชั่นที่ผู้บริโภคได้ใช้งาน แต่กระบวนการผลิตจนถึงส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีและมีคุณภาพให้ผู้บริโภคด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไม่ควรมองข้าม

ขอบคุณข้อมูลจาก www.ddproperty.com


บริหารเงินสไตล์ Gen Y เป็นตนเองได้ ไม่ต้องฝืน

เกิดกระแสเป็นระลอกกับภาระความเป็นห่วง Gen Y เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายเงิน แลดูแล้วคนรุ่นอื่นเหมือนจะทุกข์ร้อนมากกว่าคน Gen Y เสียอีก ตัวอย่างสถิติแสดงพฤติกรรมการใช้จ่าย Gen Y น่าตกใจ อาทิ  

  • สัดส่วนผู้ถือบัตรเปิดใหม่เป็น Gen Y มากกว่า 50% เฉลี่ยถือบัตรเครดิต 3 ใบต่อคน
  • ไตรมาส 1/60 Gen Y มีหนี้รวมกันสูงถึง 2.13 ล้านล้านบาท (จำนวน 5.4 ล้านคน) โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 29 ปี ที่มีหนี้สินสูงถึง 1.5 แสนบาทต่อคน ( สัดส่วน 20% เป็นหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน )
  • Gen Y เป็นตัวของตัวเอง ชอบใช้จ่ายตอบสนองความสุขแบบไม่พิจารณาถี่ถ้วน มักชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ 10% วนไปเรื่อย ๆ โดยยอมเสียดอกเบี้ย 20-28% ต่อปี กลายเป็นการติดกับดักบัตรเครดิต

         ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป TerraBKK มองว่าคงไม่เกินความสามารถที่เหล่า Gen Y จะลองมา ทำความเข้าใจพื้นฐานการเงินกันใหม่ ในสไตล์ Gen Y เป็นตนเองได้ ไม่ต้องฝืน แค่ปรับเล็กน้อยก็เห็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่าแล้ว เริ่มต้นจาก กฎทองของการเงินส่วนบุคคล นั้นคือ การแบ่งจ่ายตัวเองก่อนเสมอ “ pay yourself first ” ทุกครั้งที่มี “รายได้” เข้าบัญชีธนาคาร แบ่งจ่ายตนเองเป็น “เงินออมและการลงทุน” ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ส่วนที่เหลือค่อยนำไปเป็น“ค่าใช้จ่าย” ที่เรายินดีจ่ายออกไปให้กับผู้อื่น

  รายได้ – เงินออมเพื่อลงทุน = เงินใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ Gen Y  

          มองง่ายๆ นั้นก็หมายความว่า

  • รักษาระดับการใช้จ่ายแบบพอดี รายได้เพิ่ม เงินออมต่อเดือนเพิ่ม : Gen Y สไตล์ อนาคตของชาติ
  • รักษาระดับการใช้จ่ายแบบพอดี รายได้คงที่ เงินออมต่อเดือนคงที่ : Gen Y สไตล์ slow life มีความสุข
  • หาก ต้องการใช้จ่ายมากๆ ก็ควร เพิ่มรายได้ เพื่อรักษาระดับเงินออมคงที่ : Gen Y สไตล์ work/life balance
  • แต่ถ้าคุณคือ Gen Y ต้องการใช้จ่ายมาก ๆ แต่รายได้คงที่ กรณีมีเงินออมลดลงก็ยังดี แต่กรณีไม่มีเงินออมแถมยังเป็นหนี้ คุณคือ Gen Y สอบตก หมดอนาคต ชีวิตนี้จะไม่มีทางหลุดวงจรหนี้สิน อย่างที่เขาเป็นห่วงจริงๆ


หากสังเกตดู จะพบว่า การบริหารเงินสไตล์ Gen Y นอกจากด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายแล้ว ยังประกอบไปด้วยด้านรายได้ และด้านเงินออมเพื่อการลงทุน ที่ส่งผลต่อฐานะการเงิน Gen Y อีกด้วย ดังนั้นเพียง Gen Y ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเงินด้านใดด้านหนึ่งกันสักนิด เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

  เพิ่มช่องทางรายได้สไตล์ Gen Y  

          Gen Y ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน ชอบความเป็นอิสระ รักความสร้างสรรค์ ประกอบกับ ไลฟ์สไตล์เป็นตัวของตัวเอง Gen Y รู้ว่าตนเองชอบอะไร มองให้ดี ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติสำคัญในการมองหาอาชีพเสริมรายได้ยุคดิจิตอล 4.0 นี้ เลยทีเดียว

  • ขายของออนไลน์ สำหรับ Gen Y ที่มีหัวคิดการค้าและชอบการค้าขายผ่านช่องทาง Social เช่น Facebook , Instragram เป็นต้น
  • Freelance รับเขียนบทความ/กราฟฟิก สำหรับ Gen Y ถนัดเขียนขีด หรือ ชอบอ่านชอบออกแบบดีไซน์ รายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคำต่อบทความราคา หรือ ประเภทการออกแบบ เป็นต้น
  • ถ่ายภาพขายออนไลน์ สำหรับ Gen Y กับอาวุธคู่กายเป็นกล้องถ่ายรูป สร้างพอร์ตภาพออนไลน์ขาย เช่น Shutterstock เป็นต้น รายได้ต่อดาวน์โหลด ขึ้นอยู่กับการให้ราคาของผู้ซื้อออนไลน์รายนั้น ๆ
  • รับหิ้วของ สำหรับ Gen Y รักการชอปปิ้งและป้ายเซลล์ ราคารับหิ้วสินค้าขึ้นอยู่กับขนาดของและการจัดส่ง เริ่มต้น 40-60 บาทต่อสินค้า เป็นต้น
  • ทำเพจรีวิว สำหรับ Gen Y ที่รักสินค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ และมีความเชี่ยวชาญจนคนอื่นให้ความเชื่อถือ เช่น รีวิวภาพยนตร์ , รีวิวอาหาร, รีวิวท่องเที่ยว, รีวิวเครื่องสำอาง เป็นต้น รายได้จะมาจากค่าโฆษณาสินค้าหรือร้านค้าที่นำมาลงในเพจ นั้นเอง

แม้ไม่มีตัวเลขสถิติใดมาการันตี แต่เดาว่า มนุษย์เงินเดือน ยังเป็นอาชีพอันดับต้นๆที่เหล่า Gen Y บัณฑิตจบใหม่ จะเดินเข้าไปหา แม้ภาพลักษณ์ Gen Y ถูกตีความไปแล้วว่า ไม่อดทน ไม่จงรักภักดีต่อองค์กร ย้ายงานบ่อย ฯลฯ ก็อยากแนะนำว่า ก่อนตัดสินใจลาออก คุณได้เก็บ 2 ข้อต่อไปนี้ มาเรียบร้อยแล้ว

  • เก็บประสบการณ์จากคนเก่งในองค์กร มองหาไอดอลในที่ทำงาน แล้วสังเกตการทำงานของเขาคนนั้น กรณีไม่ได้รับการสอนโดยตรง จงใช้ วิธีครูพักลักจำ เก็บเล็กผสมน้อย เรียนรู้ไปเรื่อยในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับตัวเอง
  • เพิ่มเครดิตตัวเองจากชื่อเสียงบริษัท การรับเลือกเป็นพนักงานของบริษัทชั้นนำของประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว จงเรียนรู้เพื่อสร้างผลงาน เพิ่มเครดิตตนเอง เก็บไว้ต่อยอดที่อื่น

  Gen Y ต้องลงทุน ถึงเวลาออมเงิน  

          ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า Gen Y ควรออมเงินมากน้อยแค่ไหนต่อเดือน วิธีที่ง่ายที่สุด คือ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือน เช่น 10% ถึง 15% ของรายได้ทุกเดือน เป็นต้น ยิ่งฐานเงินเดือนเพิ่ม เปอร์เซ็นต์เงินออมจึงควรเพิ่มตามไปด้วย แม้ Gen Y จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็ทำได้ยาก ดังนั้น “ระบบตัดเงินอัตโนมัติ” คือคำตอบ ทันทีที่มีเงินเดือนเข้า มันจะถูกตัดไป บัญชีเพื่อการลงทุน หรือ บัญชีเงินออม ก่อนเสมอ


Gen Y ที่มีรายได้สูง มีแนวโน้มออมเงินในรูปแบบเงินฝากลดลง และสนใจลงทุนในกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น 
      • DCA หรือ Dollar Cost Average ปรับแนวการลงทุนตลาดหุ้นสไตล์ Gen Y จากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ หวังรวยเร็ว เข้าออกผิดจังหวะ พบเจอปัญหาภาระข้อมูลล้น ฯลฯ ลองปิดจอแล้วเปิดข้อมูลวิเคราะห์ตัวธุรกิจจริง ๆ จนได้คำตอบว่า “ฉันจะเป็นเจ้าของธุรกิจนี้” จากนั้น ทยอยลงทุนเป็นงวด ในจำนวนเงินที่เท่ากันทุกงวด โดยไม่สนใจราคาของหุ้นว่าจะขึ้นหรือลงมากน้อยเพียงใด แล้วรอดูผลลัพธ์ที่ตามมากัน

ขณะที่ Gen Y ที่มีรายได้ต่ำ จะสนใจกลุ่มที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากนัก ความเสี่ยงต่ำ การลงทุนไม่ยุ่งยากซับซ้อน 
       • ฝากเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เช่น บัญชีเงินฝากประจำ ต้องฝากทุกเดือนเพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยสูง หรือ สลากออมสิน ลักษณะฝากเงินประจำระยะตามกำหนด อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แถมลุ้นรางวัลได้ทุกเดือน เป็นต้น

  ใช้จ่ายสไตล์ Gen Y ไม่ต้องฝืน แค่ปรับนิดหน่อย  

          สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ ตัวเราเอง จึงไม่แปลกที่พฤติกรรมการใช้จ่าย Gen Y จะเป็นไปเพื่อเพิ่มประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ของตนเองจากสินค้าหรือสถานที่ต่าง ๆ จงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องฝืน แค่ปรับวิธีเรียกสติ Gen Y กลับมามองดู“ความสมดุลของรายได้และค่าใช้จ่าย” ของตนเองเสียก่อน เช่น

“ เงินเดือน 20,000 บาท เวลางาน 176 ชม.ต่อเดือน (= 22วัน x 8ชม)
เฉลี่ยรายได้ 114 บาทต่อชม. ( = 20,000/176)
แสดงว่า การกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างราคา 500 บาทในเวลาชั่วโมงครึ่ง ต้องแลกกับการทำงานครึ่งวัน ”

ครั้งคราวคงพอไหว หากบ่อยครั้งเกินไป ลองดึงสติการใช้จ่ายกลับมาตามสไตล์ Gen Y เช่น

Gen Y สายชอป

  •  อะไรใหม่ ๆ ต้องซื้อมาครอบครอง ไม่ต้องฝืดใจเลิกซื้อ ลองปรับด้วยวิธี ขายของเก่า เพิ่มเงินอีกนิด ได้ของใหม่ ช่องทางขายต่อสินค้ามือสองออนไลน์มีเยอะแยะ ไม่ยากเกินความสามารถ Gen Y แน่นอน
  • ช้าแต่ชัวร์ ขออ่านข้อมูลเปรียบเทียบความคุ้มค่าสุด ๆ Gen Y กับปัญหาข้อมูลล้น ลองปรับการค้นหาข้อมูลยิงตรงไปที่ผลการใช้งานจริง เช่น รีวิวเปรียบเทียบ กระทู้ความคิดเห็นของผู้ใช้ เป็นต้น

Gen Y สายรูดบัตร

  • การใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตไม่ผิด แต่ผิดที่ Gen Y ใช้แล้วไม่มีเงินจ่ายหนี้บัตรเครดิต เรียกว่าความสามารถในการบริหารจัดการเงินต่ำ ถ้ามองว่าบัตรเครดิตคือการใช้เงินอนาคตและควบคุมไม่ได้ ลองปรับและกลับมาใช้ “บัตรเดบิต” ใช้จ่ายได้จริงตามจำนวนเงินในบัญชี ช่วยจำกัดการใช้จ่าย Gen Y ได้ เงินส่วนอื่น ๆ จะได้ไม่ต้องมารับภาระหนี้บัตรเครดิตแทนด้วย

Gen Y สายเที่ยว

  • Gen Y ชอบการท่องเที่ยว เพราะทำให้มองเห็น “การเปลี่ยนแปลงของโลก” และ “ความต่างของแต่ละสถานที่” มากกว่าค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ก็คือ ช่องทางเพิ่มรายได้ ลองประยุกต์ความสามารถตามสไตล์ Gen Y ดูสิ เช่น ถ่ายภาพขายออนไลน์ เขียนรีวิวร้านอาหารเด็ด หรือ ไอเดียสร้างธุรกิจเจ๋ง ๆ เป็นต้น


   ท้ายนี้ TerraBKK มองว่า Gen Y ยังอยู่ในช่วงวัยอายุไม่มาก ยังมีภาระไม่สูง จึงมีความกล้าในการสร้างโอกาสใหม่ๆ แก่ตนเอง มากกว่าคนกลุ่มอื่น แต่สิ่งที่ Gen Y ขาด คือ ประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินก็เช่นกัน แก่ตัวไม่มีเงินออมแถมยังมีประวัติหนี้เสีย เอาแค่นี้ เชื่อว่า Gen Y ก็มองออกว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร และ ยังยืนยันคำเดิมว่า บริหารเงินสไตล์ Gen Y เป็นตนเองได้ ไม่ต้องฝืน แค่ปรับเล็กน้อยก็เห็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่าแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก www.terrabkk.com


นักวิทย์เล็งกำหนดนิยามมวลน้ำหนัก “กิโลกรัม” ใหม่

น้ำหนัก 1 กิโลกรัมในปัจจุบัน อาจเปลี่ยนไป เมื่อนักวิทย์เล็งโหวตเปลี่ยนนิยามมวลหน่วยกิโลกรัมใหม่ในรอบกว่าร้อยปี

เดอะการ์เดี้ยนรายงานว่า ภายในวันที่ 16 พ.ย. ที่จะถึงนี้ จะมีตัวแทนของบรรดานักวิทยาศาสตร์จากทั้งหมด 57 ประเทศ เดินทางมารวมประชุมที่เมืองแวร์ซาย ของฝรั่งเศส เพื่อทำการโหวต ว่าจะเปลี่ยนความหมายของมวลน้ำหนักกิโลกรัมหรือไม่

รายงานระบุว่า การโหวตที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 พ.ย. นี้ มีเนื้อหาในประเด็นสำคัญที่อาจเปลี่ยนมวลของหน่วย “กิโลกรัม” เป็นครั้งแรกในรอบ 129 ปี นับตั้งแต่ที่มีการประกาศใช้หน่วยกิโลกรัมอย่างเป็นทางการในปี 1889

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หน่วยน้ำหนักกิโลกกรัมที่เรารู้จักในทุกวันนี้อ้างอิงจาก “มวลกิโลกรัมมาตรฐาน” หรือที่มีชื่อเล่นว่า ก้อน Le Grand K หรือ International Prototype Kilogram (IPK) ซึ่งถูกจัดเก็บไว้ที่ สำนักมาตรการการชั่งตวงวัดนานาชาติ (International Bureau of Weights and Measures) ในประเทศฝรั่งเศส

โดยเจ้าก้อน  Le Grand K ถูกสร้างขึ้นในปี1889 จากโลหะผสมระหว่างแพลตินัม 90% ประกอบกับอิริเดียม 10% เป็นรูปทรงกระบอกความสูง 4 เซนติเมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางฐานยาว 4 เซนติเมตร ถูกบรรจุในครอบแก้วสูญญากาศ 2 ชั้น ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าก้อน  Le Grand K ก็เปรียบเสมือนเป็น “แม่แบบ” ในการใช้อ้างอิงหน่วยกิโลกรัมของทั่วโลก

สำเนาของก้อน Le Grand K

แต่ทว่านับตั้งแต่ปี 1889 เป็นต้นมา เมื่อนักวิทยาศาสตร์กลับพบปัญหากับนำเจ้าก้อน Le Grand K นี้อยู่ 2 ประการ

ประการแรก คือเมื่อนำเจ้าก้อนดังกล่าว กลับมาชั่งทดสอบในทุกๆ 40 ปี พบว่ามันกลับมีน้ำหนักคลาดเคลื่อนไม่เท่าเดิมกับการชั่งก่อนครั้งก่อนหน้า ถึงแม้ว่าความคลาดเคลื่อนดังกล่าวจะอยู่ในระดับ “ไมโครกรัม” เท่านั้น โดยพบว่าในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาเจ้าก้อน Le Grand K ดังกล่าวได้สูญเสียมวลจากเดิมที่ชั่งไปครั้งแรกเมื่อปี 1889 แล้วอย่างน้อย 50 ไมโครกรัมซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อีกทั้งแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะถือว่าน้อยมากๆสำหรับการใช้หน่วยกิโลกรัมในชีวิตประจำวันของเรา

ประการที่สองคือ ในทุกๆ 10 ปี นั้น นักวิทยาศาสตร์จะต้องทำการสร้าง “สำเนา” ของเจ้าก้อน  Le Grand K ดังกล่าว ไว้แจกจ่ายไปยังสถาบันมาตรฐานชั่งตวงวัดแห่งต่างๆทั่วโลก เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน อีกทั้งเพื่อในกรณีที่ก้อนต้นแบบ Le Grand K ได้รับความเสียหาย แต่ทว่านักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้าง “สำเนา” ของก้อน Le Grand K ให้มีน้ำหนักเหมือนเดิมแบบเป๊ะๆได้

แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาไม่คิดเช่นนั้น หากอ้างอิงจากแนวคิดที่ว่า “วัตถุใด ๆ ก็ตามในเอกภพ ที่เมื่อ 100 ปีก่อนมีมวล 1 กิโลกรัม และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ปัจจุบันจะมีมวลมากกว่าหนึ่งกิโลกรัมอยู่ 50 ไมโครกรัม” ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะทำให้มนุษย์สูญเสียมาตรฐานในการนิยามค่ามาตรฐานของหน่วยกิโลกรัมเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เล็กน้อยก็อาจสามารถทำให้ค่ากิโลกรัมที่แม่นย่ำคลาดเคลื่อนได้ในอนาคต

วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุดในการกำหนดค่ามาตรฐาน 1 กิโลกรัมคือ “น้ำหนักของอะตอมจำนวนหนึ่ง” แต่ทว่าการนับอะตอมที่มีอยู่รอบตัวเรานั้นมันไม่ใช้เรื่องง่าย

ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ล่าสุด ตลอดหลายปีสิบปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พยายยามหาวิทธีการรักษาค่ามาตรฐานตามหน่วยกิโลกรัม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การประดิษฐ์อุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้การอ้างอิงมวลเข้ากับค่าคงที่ของพลังค์  (Planck’s constant) ตามแนวคิดของมักซ์ พลังค์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นการวัดค่ามวลกิโลกรัมโดยใช้พลังงานของโฟตอนกับความถี่ของคลื่นไฟฟ้า แทนที่จะเป็นโลหะชิ้นเดียวเหมือนเจ้าก้อน Le Grand K

ด้าน Stephan Schlamminger นักฟิสิกส์จากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เผยกับการ์เดี้ยนว่า เขาเชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงใหม่นี้จะเป็นไปตามหลักการเดิมของ IPK ซึ่งที่ผ่านมาจากการทดสอบพบว่ามวลกิโลกรัมจากเครื่องมือพลังค์นั้นมีค่าคงตัวเสมอ มันจะเหมาะที่จะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับมนุษยชาติในการกำหนดค่ามาตรฐานกิโลกรัมในอนาคต

ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการประชุม General Conference on Weights and Measures ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 13 – 16 พ.ย. นี้ โดยนอกจากประเด็นค่ามาตรฐานกิโลกรัมแล้ว เหล่านักวิทยาศาสตร์จะถกเถียงถึงประเด็นค่ามาตรฐานของหน่วยแอมแปร์ หน่วยวัดอุณหภูมิเคลวิน และหน่วยวัดปริมาณสาร โมล ด้วย

ซึ่งหากผลการประชุมมีมติเปลี่ยนแปลงใดๆในหน่วยเหล่านี้ คาดว่าจะมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม ปี 2019

ขอบคุณข้อมูลจาก www.terrabkk.com


ความต่างระหว่าง all, every และ whole

Big_17.09.15-engoo

 

all, every และ whole ทั้ง 3 คำนี้มีความหมายว่า ‘ทั้งหมด’

แต่ถึงจะความหมายเดียวกันก็ใช่ว่าจะใช้แทนกันได้ทุกสถานการณ์

All

เราไม่ใช้ all แทนความหมายของ everybody หรือ everyone เช่น

Everybody enjoyed the party. ทุกคนสนุกกับปาร์ตี้ (ไม่ใช่ All enjoyed)

 

แต่เราใช้ All แทน Everthing ได้ในบางสถานการณ์ เช่น

I’ll do all I can to help. มีความหมายเดียวกับ I’ll do everything I can to help.

 

Every

***จำไว้ว่า Every ถึงจะมีความหมายว่า ทั้งหมด แต่ใช้กับกริยาเอกพจน์เท่านั้น เช่น

Every seat in the theatre was taken. ทุกที่นั่งในโรงละครถูกจับจองแล้ว

Everybody has arrived ทุกคนมาถึงแล้ว

 

Whole

Whole แปลว่าทั้งหมดทั้งสิ้น มักใช้คู่กับคำนามเอกพจน์ เช่น

Did you read the whole book? = อ่านหนังสือทั้งเล่มไม่ใช่แค่บางส่วน

She has lived her whole life in Thailand. = ตลอดชีวิตของเธอ

แล้วถ้าใช้กับเวลาล่ะ ทั้ง 3 คำนี้มีความหมายว่าอะไร

Every ใช้เพื่อบอกความถี่ของเวลา เช่น every day, every Tuesday

All day มีความเดียวกับ the whole day แปลว่า ทั้งวัน ตลอดวัน

เช่น

We spent all day / the whole day on the beach. พวกเราใช้เวลาทั้งวันบนชายหาด

ลองมาดูการเปรียบเทียบ all the time และ every time กันบ้างดีกว่า

They never go out. They are at home all the time. = เสมอ

Every time I see you, you look different. = ทุกครั้ง, แต่ละโอกาส

การเลือกใช้แต่ละครั้ง ควรดูให้ถูกต้องจะได้ไม่ผิดความหมายนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก engoo.co.th


ราคาทองทุกชนิดตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง ราคาขาย/บาท ราคารับซื้อ/บาท ราคารับซื้อ/กรัม
ทองคำแท่ง 96.5% 18,900.00 18,800.00 n/a
ทองรูปพรรณ 96.5% 19,400.00 18,464.88 1,218.00
ทองรูปพรรณ 99.99% n/a 19,131.92 1,262.00
ทองรูปพรรณ 90% n/a 16,618.39 1,096.20
ทองรูปพรรณ 80% n/a 14,771.90 974.40
ทองรูปพรรณ 50% n/a 8,307.68 548.00
ทองรูปพรรณ 40% n/a 6,458.16 426.00

ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15 29.15
แก๊สโซฮอล์ 91 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88
แก๊สโซฮอล์ E20 26.14 26.14 26.14 26.14 26.14 26.14 26.14 26.14 26.14
แก๊สโซฮอล์ E85 20.79 20.79 20.79 20.79
เบนซิน 95 36.26 36.71 36.76 36.56 36.36 36.56
ดีเซล 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59 29.59
ดีเซลพรีเมี่ยม 32.89 33.46 33.46 33.46 33.46
แก๊ส NGV 15.73 15.73
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า